กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี

ตอน: ตอนที่ 4 ทำไมต้องอยากตอแย

4

แฟ้มเอกสารกองใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานนั้นทำให้กริชนะถึงกับต้องผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่ค้างมาแต่หัวค่ำ...

หลังรับประทานอาหารเย็น งานที่รออยู่ก็คือการตรวจสอบเอกสารพวกนี้เพื่อหาความผิดปกติตามที่คุณป้าของเขาสงสัยและเขียนไปบอกเขาเมื่อหลายเดือนก่อนท่านจะเสียชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่าย และเขาก็ไม่มีเวลามากมายพอที่จะตั้งใจตรวจสอบเฉพาะงานชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียว

“เอาไงดีนะ...อยากตรวจสอบบัญชีให้ละเอียด แต่ไม่อยากให้คนที่บริษัทรู้”

“ให้แม่หนูข้างบ้านคนนั้นช่วยสิ...” คำแนะนำกระซิบแผ่วอยู่ข้าง ๆ หู ไม่ต่างกับสายลมพลิ้วผ่าน

ร่างโปร่งใสยิ่งกว่ากระจกหลบเปลือกตาลงอย่างปลง ๆ เมื่อนางไม่อาจติดต่อชายหนุ่มผู้เป็นสายเลือด ได้เช่นเด็กสาวคนนั้น มันช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งนัก วาวตาที่มองนิ่งไปยังหลานชายอ่อนแสงลงด้วยความทุกข์ ทุกข์ที่มองเห็นริ้วรอยความกังวลบนใบหน้าคมเข้ม ใบหน้าที่ถอดแบบผู้เป็นพ่อออกมาโดยไม่ผิดเพี้ยน หากเป็นดั่งโบราณท่านว่าไว้ ก็คงจะจริงตามนั้น ลูกผู้ชายที่เกิดมาหน้าตาเหมือนพ่อมักจะอาภัพ คงเพราะเป็นเช่นนี้ กริชนะจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเยาว์

บางครั้งการปรึกษาหารือใครสักคนที่พอวางใจได้ก็น่าจะดีกว่าต้องมานั่งปวดหัวอยู่คนเดียว...กริชนะจึงคว้าโทรศัพท์เพื่อติดต่อกับบุคคลที่มีคุณสมบัติตามนั้นทันที

“ทำไมนายไม่หาใครสักคนมาช่วยวะ...ถ้าไม่อยากให้เป็นเรื่องกระโตกกระตาก นายก็จ้างคนมาทำพิเศษสิ นักบัญชีเรียนจบใหม่ ๆ สาว สวย หมวย อึ๋ม หน้าตาน่าเอ็นดูมีออกเยอะแยะ” ธนัญชัยเอ่ยผ่านมาทางสัญญาณโทรศัพท์

“ใช่แล้วลูก...นักบัญชีข้างบ้านเราไง” ทิพย์ราตรียิ้มกว้างกับคำแนะนำของเพื่อนหลานชาย พลอยให้ดวงจิตระเอียดใสยิ่งกว่าหยดน้ำค้าง

“เฮ้ย...ฉันหานักตรวจสอบบัญชีนะเฟ้ย ไม่ได้หาอย่างว่า” กริชนะแย้ง อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองไปยังชิ้นส่วนบางเบาที่สร้างความกระอักกระอ่วนให้กับความรู้สึกจนต้องรีบคว้ามันไปยัดเก็บไว้ในลิ้นชัก

“ก็นักบัญชีน่ะสิ...นายคิดว่าฉันหมายถึงอะไร” ว่าพลางหัวเราะ

“นายก็รู้ว่าฉันเพิ่งกลับมาเมืองไทยได้ไม่กี่วัน จะไปวางใจหาใครที่ไหนได้” ว่าอย่างกังวล

“บอกแล้วไง...ให้แม่หนูขวัญช่วย หนูขวัญเรียนจบบัญชี แถมอยู่ข้างบ้านเรา ไปมาสะดวก จะได้ช่วยงานป้าให้สำเร็จได้” พลังงานโปร่งแสงล่องลอยวนเวียนอยู่รอบตัวชายหนุ่ม ทว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งสนใจ

“เอาไว้ฉันจะช่วยหาก็แล้วกัน ไม่น่าจะเกินความสามารถ” ธนัญชัยรับปาก

“ขอบใจมากเพื่อน”

“ไม่เป็นไร...เรื่องจิ๊บๆ ว่าแต่ มีเรื่องแค่นี้เองเหรอที่โทรหาฉัน” ธนัญชัยถามต่อ

“เรื่องการตายของป้าทิพย์ด้วย ฉันไม่อยากเชื่อว่านั่นมันคืออุบัติเหตุ ป้าทิพย์เป็นคนรอบคอบ เรื่องตรวจสอบสภาพรถ ป้าดูแลดีซะยิ่งกว่าบ้าน ทำยังไงฉันถึงจะรู้ว่าที่สงสัยอยู่มันจริงหรือแค่คิดไปเอง”

“ซากรถอยู่ที่ไหน”

“น่าจะยังอยู่ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ที่เกิดเหตุ”

“อืม...เอาเป็นว่า ถ้าว่างวันไหนเราไปดูซากรถ ไปสอบถามเรื่องคดี ถ้ามันซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างที่นายสงสัย ฉันว่าฉันพอมีทางช่วยนายรื้อคดี”

“ขอบใจนายอีกครั้ง นายนี่เพื่อนแท้ของฉันจริงๆ” กริชนะเอ่ย ซาบซึ้งน้ำใจของเพื่อนยิ่งนัก

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพื่อนย่อมช่วยเพื่อนอยู่แล้ว”

“ขอบใจจริงๆ...งั้นฉันรบกวนนายแค่นี้ก็แล้วกัน นายจะได้พักผ่อน”

“เออ...ไว้เจอกัน”

กริชนะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานด้วยความรู้สึกเบาใจขึ้นมาก อย่างน้อยเขาก็เริ่มมีหวังที่จะทำสิ่งที่มุ่งหวังให้สำเร็จ...หากสิ่งที่ป้าทิพย์สงสัยเป็นเรื่องจริง เขาจะจัดการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด คิดแล้วก็คว้าแฟ้มงานชิ้นแรกมาเปิด ต้องตรวจสอบด้วยตัวเองไปก่อน รอว่าอีกไม่นานจะมีคนเข้ามารับทำหน้าที่นี้แทน


หลังผ่านเหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญแขวนมาหมาดๆ เขมขวัญก็กลับมานั่งกอดเข่าคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา โดยเฉพาะความรู้สึกที่เหมือนร่างกายเธอยังถูกโอบกอด มุมปากและข้างแก้มยังเหมือนมีรอยบางอย่างประทับติดแน่น ไม่ว่าจะถูจะล้างจะเช็ดยังไงก็ไม่ยอมหลุดหายไปสักที

“บ้าที่สุด เสียของแล้วยังต้องมาเสียจูบแรกให้ไอ้บ้านั่นอีก” ว่าพลางทั้งเช็ดทั้งถูจนปากและแก้มแดงเถือก... “ไม่ใช่สิ มันแค่อุบัติเหตุฉันไม่นับหรอกว่านั่นมันเป็นจูบ ชิชิ”

บ่นอุบอิบด้วยความความโมโห ก่อนจะหันไปคว้าโทรศัพท์ที่เธอตั้งระบบสั่นเอาไว้ มากดรับสัญญาณ เมื่อมันเกิดอาการสั่นจนแทบหมดแรง พยายามปรับอารมณ์ให้เข้าสู่ภาวะปกติเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตแก่คนผู้อยู่ปลายสัญญาณ

“สวัสดีค่ะ พี่ก้อง” แม้ปรับอารมณ์ไปบ้าง แต่เสียงก็ยังสั่นอยู่บ้าง

“เป็นอะไรไปล่ะขวัญ ทำไมเสียงสั่น”

“เปล่า...ไม่มีอะไร” เสียงทักทายประโยคแรก ทำเอาต้องรีบปฏิเสธอย่างตกใจ

“ทำไมจะไม่มี...”

“มีที่ไหน...ไม่มี๊!” เธอปฏิเสธเสียงสูง

“พี่รู้จักขวัญดีนะ ถ้ามีเรื่อง เสียงขวัญจะสั่น และถ้าไม่อยากให้ใครรู้ก็จะทำเสียงสูงแบบนี้” ชายหนุ่มบอกจุดที่เขาจับผิดอย่างคนคุ้นเคยได้ละเอียดยิบ

“แหะๆๆ...ก็มีปัญหานิดหน่อยค่ะ...พี่ก้องนี่สมกับเป็นนายตำรวจแผนกสืบสวนสอบสวนจริงๆ” เขมขวัญยอมรับในที่สุด

“ปัญหาอะไร”

“ก็เรื่องจูบ...เฮ้ยไม่ใช่...เรื่องงาน” เขมขวัญรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

“ทำไม...ไหนบอกเขาเรียกสัมภาษณ์แล้วไง”

“ก็แค่เรียก...ยังไม่รู้เลยว่าจะได้หรือเปล่า...เฮ้อ” พอคิดถึงงานก็พลอยทำให้ลืมเรื่องวุ่นๆที่ผ่านมายังไม่ถึงชั่วโมงนั้นไปเสียสนิท

“ใจเย็นๆ ขวัญเก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวเขาก็คงเรียกไปทำงาน” ก้องเกียรติให้กำลังใจ

“เก่งอะไรกันพี่ก้อง เกรดเฉลี่ยคาบเส้น แถมยังไม่มีประสบการณ์อีก คนอื่นๆที่ไปสัมภาษณ์ดูท่าทางเก่งๆทั้งนั้น” น้ำเสียงทดท้อ
“ถ้าไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวพี่จะฝากงานให้ เพื่อนพี่เป็นเจ้าของบริษัทก็มี เขาน่าจะช่วยได้”

“ขอบคุณค่ะ...แต่ขวัญขอใช้ความสามารถของขวัญก่อนนะคะ ยังไม่อยากใช้เส้นกวยจั๊บตอนนี้” ว่าพลางหัวเราะเบาๆ

“ว่าแต่เรา สบายดีนะ”

“ค่ะ สบายดี...พี่ก้องถามยังกะว่าขวัญไม่เคยอยู่กรุงเทพฯซะงั้นแหล่ะ” ดูเหมือนพอได้คุยกับนายตำรวจหนุ่มก็ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของหญิงสาวกระจ่างใสขึ้น

“ก็ห่วง...เห็นว่าห่างหายจากเมืองหลวงมานาน...สองปีได้กระมัง ตั้งแต่เรียนจบ”

“ค่ะ สองปี...”

“แล้วอีกเรื่อง วันนี้ที่โทรหาพี่ บอกว่าขึ้นรถไปกับคนแปลกหน้า ทีหลังอย่าทำแบบนั้นอีกนะ เราเป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวเวลานี้ อย่าวางใจคน มันอันตราย” ก้องเกียรติเตือนเสียงเข้มขึ้น

“แหะๆๆ ขวัญขอโทษค่ะ คือ...ตอนนั้นมันโมโห เลยไม่ทันคิด”

“จะทำอะไรให้ใช้สมองอย่าใช้อารมณ์”

“ค่ะ...ขวัญจะไม่ทำอีก พี่ก้องไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรขวัญจะโทรหาพี่ก้องเป็นคนแรก” หญิงสาวรับปากเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย

“ดีแล้ว...ถึงพี่จะไม่ได้ทำงานประจำอยู่ที่นั่น แต่ก็มีเพื่อนหลายคนพอไหว้วานให้ดูแลได้...เอาล่ะพักผ่อนซะ ไว้มีโอกาสกลับบ้านที่กรุงเทพฯเมื่อไหร่จะไปรับมาทานข้าวด้วยกัน คุณแม่พี่บ่นถึงขวัญอยู่บ่อยๆ ถ้าท่านเห็นขวัญท่านคงดีใจ”

“จะล้างท้องรอค่ะ” เขมขวัญรับคำ ทั้งฟังอีกฝ่ายพูดต่ออยู่สองสามประโยคแล้วก็วางสาย

จริงสินะ เวลานี้คือเวลาพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์วันใหม่ เรื่องอื่นๆ ผ่านแล้วก็ผ่านไป จะคิดถึงทำไมให้ป่วยการ...คิดแล้วร่างบางก็ล้มตัวลงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่าง กินง่าย อยู่ง่าย นอนง่าย จึงไม่แปลกที่เธอจะหลับลงได้เพียงไม่กี่นาที


รถหรูคันคุ้นตาแล่นผ่านร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าชีฟองสีครีมชายเสื้อเหน็บเข้าในกระโปรงสีน้ำตาลแดงสั้นแค่เข่าเรียบร้อยไปด้วยความเร็วที่ไม่เร็วนัก จะมีก็แต่หางตาของผู้โดยสารที่นั่งอยู่เบาะหลังเยื้องๆคนขับยังเหลือบมองความเชยเฉิ่มในการแต่งตัวที่ใครเห็นก็ต้องเรียกป้า

“จอดรับคุณคนนั้นไปด้วยกันไหมครับ” คนขับรถผู้อารีเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นความสนใจของเจ้านายที่มีต่อหญิงสาวริมฟุตบาทคนนั้น

“ทำไมต้องจอด”

“คนบ้านใกล้เรือนเคียงกันนี่ครับ เป็นการแสดงน้ำใจ”

“เผอิญฉันเป็นคนแล้งน้ำใจซะด้วยสิ” กริชนะตอบเสียงเรียบ แล้วก็ก้มอ่านเอกสารในมือต่อไป ทำทีไม่สนใจสิ่งแวดล้อมใดๆอีกแม้กระทั่งดวงตาคู่สวยที่เหลือบมองท้ายรถคันงามด้วยความรู้สึกหมั่นไส้

แวบหนึ่งในความคิด เขมขวัญอยากให้รถหรูสีดำคันนั้นจอดรับเธอไปด้วย อย่างน้อยก็ทุ่นเวลาเดิน ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดที่ความคิดนั้นมันเกิดขึ้นมาได้ แต่เมื่อมันวิ่งผ่านไป มันกลับทำให้เธอรู้สึกโล่งอก เมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์น่าอับอายที่ผ่านมา

“ใครจะอยากไปด้วยเล่า...แล้วใครจะอยากสู้หน้าไอ้ผู้ชายบ้ากามคนนั้น” เธอบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว ก่อนจะทำเสียงอะไรบางอย่างในลำคอด้วยความแปลกใจ

รถคันนั้นแล่นห่างไปไม่กี่เมตรก็เบนเข้าชิดฟุตบาท เขมขวัญมองด้วยความแปลกใจแกมสงสัย แต่เธอยังคงก้าวผ่านไปอย่างมั่นคง...ไม่น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอ

“ขึ้นรถสิ...จะไปส่ง” เสียงคนที่เพิ่งเลื่อนกระจกรถลง เอ่ยออกมาเหมือนสั่ง เมื่อหญิงสาวเดินผ่านมาถึง

เธอเหลือบมาไปยังคนที่ยังนั่งคอเชิดตรง มองไปข้างหน้า จนทำให้คิดได้ว่าเขาคงพูดกับคนขับรถ หรือคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ เขมขวัญจึงทำแค่เพียงเดินผ่านไปเงียบๆ ไม่สนแม้จะได้ยินเสียงเปิดประตูรถ และเสียงฝีเท้าที่ก้าวตามหลังมาติดๆ

“อุ๊ย!...” เสียงอุทานเบาๆ ทั้งหันกลับไปมองคนที่ถือวิสาสะคว้าต้นแขนเธอเอาไว้ “นี่คุณ ปล่อยฉันนะ มีสิทธิ์อะไรที่มาทำแบบนี้”

“แล้วคุณล่ะ มีสิทธิ์อะไรเดินหนีผม”

“ฮะ...ฉันเดินของฉันอยู่ดีๆ นะ ไม่ได้เดินหนีใครทั้งนั้น”

“คุณ กำลังเดินหนีผม” ชายหนุ่มย้ำความเข้าใจอย่างช้าๆ

“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฉันต้องหนีมิทราบ” เขมขวัญพยายามแกะมือแข็งแกร่งดั่งคีมเหล็กนั้นออกให้พ้นจากต้นแขน
“ผมพูดกับคุณ ผมบอกให้คุณขึ้นรถ จะไปส่ง ไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณจะไม่ได้ยิน”

“คุณพูดกับฉันเหรอ” เขมขวัญทำหน้าแปลกใจ ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ใช่...ผมพูดกับคุณ และคุณก็ควรจะหยุดรับฟัง ไม่ใช่เดินหนีเหมือนคนไม่มีหูแบบนี้ เสียมารยาทสิ้นดี” น้ำเสียงคนพูดฟังดูห้วนจัด

“พูดโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา ไม่เรียกขาน ให้เขารู้ว่ามีคนกำลังต้องการสนทนาด้วย แบบนี้คงเป็นมารยาทของผู้ดีงั้นสิ...แต่ขอโทษเถอะค่ะ เชิดคอแข็งแบบนั้นฉันตรัสรู้ไม่ได้หรอกนะว่าคุณกำลังพูดด้วย”

“ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่...ไปขึ้นรถ ผมจะไปส่ง” กริชนะ เอ่ยทั้งออกแรงดึงเพียงเล็กน้องร่างบางก็เซไปตามทิศทางที่เขาต้องการ

“เดี๋ยวๆ ทำไมฉันต้องไปกับคุณ ในเมื่อเราต่างก็ไม่เคยไว้วางใจกัน คุณเองไม่ใช่เหรอที่กล่าวหาว่าฉันเป็นขี้ขโมย”

“ผมต้องการไถ่โทษเรื่องนั้น”

“ไถ่โทษที่กล่าวหาฉันน่ะเหรอ”

ชายหนุ่มไม่ตอบคำถาม แต่เขากลับถอนหายใจอย่างระอา ความรู้สึกยังคงสนับสนุนความคิดเดิมๆที่มีอยู่ในสมอง นั่นก็คือ ผู้หญิงคนนี้เรื่องมากและเข้าใจอะไรยาก

“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อค่ำวาน ฉันจะไม่ใส่ใจคิดถึงมันอีก หากคุณจะส่งของของฉันคืน”

“ทิ้งไปแล้ว...” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแกมรำคาญ

“หา...ทิ้งไปแล้วเหรอ...นั่นฉันเพิ่งใช้ได้ไม่กี่ครั้งเองนะ” น้ำเสียงทักท้วงสูงปี๊ด

“มันก็แค่...” เสียงกระแอมในลำคอ เหมือนมีบางสิ่งระคายเคือง เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าเอ่ยถึง “แล้วผมจะชดใช้ให้ จะเอากี่ตัวก็ว่ามา แต่ตอนนี้ ขึ้นรถก่อน ฝนกำลังจะตกรู้ซะบ้างสิ”

เขมขวัญแหงนมองดูท้องฟ้าที่จู่ๆก็มืดครึ้ม แต่เธอก็ยังขืนตัวที่จะเดินตามร่างสูงไปยังรถที่จอดอยู่ เธอสัญญากับพี่ก้องเอาไว้ว่าจะระวังตัวไม่ขึ้นรถไปกับคนแปลกหน้าอีก ยังไงก็ไม่เสี่ยงที่จะไปกับเขา ผู้ชายที่แม้จะอยู่บ้านใกล้เรืองเคียง แต่ก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี เพราะแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามยังไม่เคยรู้เลย

“ปล่อยเถอะค่ะ...ถ้าฝนตกฉันคงไม่ออกไปไหนแล้ว ฉันจะกลับบ้าน”

“แล้วคุณกำลังจะไปไหน”

“จะไปหาสมัครงานอื่นๆ เผื่อเอาไว้ หากที่ที่ไปสัมภาษณ์เมื่อวานเขาปฏิเสธ...จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งผิดหวังอยู่นาน ฉันไม่ใช่คนร่ำรวยคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดนี่นะ มีพ่อมีแม่ต้องเลี้ยงดู มีหนี้สินที่ต้องชดใช้ แต่เชื่อเถอะ ถึงฉันจะจน ฉันก็มีศักดิ์ศรี ไม่คิดจะรวยทางลัดหรอก”

“ถามนิดเดียว ตอบซะยาวเป็นวรรคเป็นเวร”

มือแข็งดั่งคีมคายออก พร้อมๆกับลำแขนที่สะบัดให้หลุดเร็วขึ้น เขมขวัญถอยห่างจากร่างสูงมาหลายก้าว ก่อนจะเดินแกมวิ่งกลับไปทางเดิม โดยมีสายตาคมกล้ามองตามอย่างไม่สามารถคาดเดาความคิดของเขาได้

“ขอบคุณค่ะ...อย่างน้อยครั้งนี้คุณก็ทำให้ฉันมองคุณดีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง” เธอหันมาตะโกนบอกเขา ก่อนจะเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อสายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา

“คุณคนนั้นไม่ไปด้วยเหรอครับ” คนขับรถวัยกลางคนถามอย่างสุภาพ เมื่อเจ้านายหนุ่มก้าวขึ้นนั่งประจำที่ ทั้งปิดประตูเรียบร้อย

“ไม่ไป... เขาบอกจะกลับบ้าน...เสียเวลาซะจริง...ออกรถเถอะ” กริชนะ บ่นเสียงหงุดหงิด ใบหน้ามุ่ย แต่ก็ยังดูคมคายนัก

คนขับรถ ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายทันที เขายิ้มบางๆ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า เจ้านายที่เคยบอกว่าตัวเขาเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่ได้แล้งน้ำใจอย่างที่บอกซะทีเดียว เพราะเพียงแค่เขาเอ่ยปากว่าฝนกำลังจะตก กริชนะ ก็บอกให้จอดรถเพื่อรับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงโดยสารไปด้วยกัน ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นจะปฏิเสธก็ตาม

“เธอเป็นผู้หญิงน่ารักนะ ถึงผลการเรียนของเธอจะดูแย่ แต่ป้าเชื่อว่า เธอจะทำงานในสิ่งที่กริชมอบหมาย และสิ่งที่ป้าต้องการได้เป็นผลสำเร็จ เชื่อป้าสิ” เสียงกระซิบแผ่วๆ นั้น คงทำให้คนฟังรับรู้ได้เพียงเสียงฝนที่ตกปรอยๆ ลงมาเท่านั้น


กริชนะบอกให้คุณขับรถประจำตำแหน่งของเขากลับบ้านไปก่อน เมื่อเพื่อนสนิทอย่างธนัญชัยขับรถมารับถึงบริษัทในเวลาที่ได้ตกลงกัน

“ต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้นายมาเสียเวลา แทนที่จะได้อยู่หาเงินวันละหลายล้าน” กริชนะเอ่ย เมื่อรถเคลื่อนตัวพ้นอาณาเขตบริษัทยักษ์ใหญ่

“บริษัทของฉันระบบมันดำเนินการเป็นอัตโนมัติแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลานั่งควบคุม...ก็คงไม่ต่างจากบริษัทของนาย ถึงขนาด และทุนจดทะเบียนจะน้อยกว่าก็เถอะ” ธนัญชัยเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ไม่มีแววประชดประชัน

“ขอบใจมากเพื่อน...งานนี้ถ้าเรื่องจบลงด้วยดี ฉันตอบแทนนายอย่างจุใจแน่นอน...ว่าแต่วันนี้เราจะไปยังจุดเกิดเหตุยังไง...อย่าบอกนะว่านะขับรถคันนี้ไป” กริชนะถามด้วยความสงสัย

“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น...ทำไงได้ ที่นั่นไม่มีสนามบินนี่นา เหนื่อยหน่อยก็ต้องทน...ไปครั้งแรก ขอแค่เป็นการสืบหาเบาะแสแบบคร่าวๆก่อน...ได้ข้อมูลมา เราค่อยวางแผนไปกันอีกรอบ”

“อืม...ความคิดเข้าท่า...ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ป้าทิพย์แกไปทำอะไรที่นั่น แกไปคนเดียว หรือมีใครไปด้วยหรือเปล่า”

“เท่าที่ทราบจากข่าว แกน่าจะไปคนเดียวนะ ไม่อย่างนั้นคงมีคนได้รับอุบัติเหตุร่วม” ธนัญชัยออกความเห็น

“ปกติแกไม่ค่อยเดินทางออกต่างจังหวัดคนเดียวนี่นะเท่าที่รู้...นั่นแสดงว่าธุระที่ป้าทิพย์ไปทำคงสำคัญไม่น้อย”

“อันนี้นายคงต้องสอบถามรายละเอียดจากคนที่บ้านแล้วล่ะ”

ได้ฟังคำแนะนำจากเพื่อนแล้ว กริชนะได้แต่ถอนหายใจ... “จริงสินะ...ฉันน่าจะสอบถามที่ไปที่มาจากบริวารในบ้านให้ชัดเจน ไม่ใช่ออกมาควานหาในสิ่งที่แม้แต่ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่า มันคืออะไร”

“แล้วหัวใจนายมันสั่งให้นายหาอะไรล่ะ...”

“เบาะแสสาเหตุการตายว่าเป็น...อุบัติเหตุ หรือฆาตกรรม”

“นั่นแหล่ะ...วันนี้เราจะไปสืบเรื่องนี้ ไปดูรถคันนั้น แล้วก็ไปสอบถามความคืบหน้า ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าเขาสรุปและปิดคดีหรือยัง แต่นายไม่ต้องห่วง ฉันมีรุ่นน้องเป็นตำรวจอยู่ที่นั่น งานนี้ไม่ใช่เรื่องยาก” ธนัญชัยเอ่ยถึงแผนการคร่าวๆ

“ขอบใจมาก คิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่รับนายไว้เป็นเพื่อนคู่ใจ” กริชนะตบบ่าเพื่อนเบาๆ

“เออ...อย่าลืมที่พูดก็แล้วกัน งานนี้ถ้าสำเร็จ นายจะตอบแทนฉันอย่างจุใจ”

“ไม่ลืมแน่นอนเพื่อน...แต่สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ฉันสามารถให้ได้เท่านั้นนะ...บอกเอาไว้ก่อน”

ธนัญชัยถึงกลับหัวเราะชอบใจในคำตอบรับของเพื่อน นี่แหล่ะที่เขาเรียกว่าเลือดนักธุรกิจ จะรับปากจะให้สัญญาสิ่งใด ยังไม่ทิ้งช่องโหว่ให้กับคำว่าเสียเปรียบหรือขาดทุน ธนัญชัยเชื่อว่า กริชนะจะเป็นนักบริหารแนวหน้าในหมู่นักธุรกิจชั้นนำที่หลายๆ คนต้องจับตามองอย่าง ประมาทไม่ได้





ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ต.ค. 2559, 08:53:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ต.ค. 2559, 04:17:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1194





<< ตอนที่ 3 เงื้อนงำและเบาะแส   ตอนที่ 5 คือคนนี้ที่ป้าเลือก >>
แว่นใส 10 ต.ค. 2559, 12:41:31 น.
แหม นึกว่าจะได้นั่งรถไปด้วยกัน


Zephyr 22 ต.ค. 2559, 08:02:14 น.
แน่ะ นายกริชยังคิดไม่ได้อีกว่าขวัญเรียนบัญชี และอยู่ข้างบ้าน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account