กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี

ตอน: ตอนที่ 7 เมื่อช่วยแล้ว ต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง

^_^... นานมากที่ไม่ได้กลับมาเยียมบ้้านเลิฟ...คิดถึงจึงนำนิยายน่ารักๆ มาฝากซักเรื่อง....เป็นนิยายที่เขียนนานที่สุดเท่าที่เคยเขียนนิยายมา จนจะเข้าปีที่ 3 ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ...จึงหวังว่่่า แฟนนิยายน่ารักๆ ในเวป สิรินดา จะเป็นแรงกระตุ้นให้ นักเขียนจอมขี้เกียจคนนี้ลุกขึ้นมาฮึดอีกครั้ง...

อ่านจบแล้วแวะคุย แวะทักทายกันหน่อยนะคะ...

********************
7


ช่วงสายของวันนั้น...

อัสนียา เดินผ่านแสงแดดอ่อนๆ ที่ถูกอำพรางโดยเมฆก้อนใหญ่เข้าสู่ชายคาอาคารอันระบุด้วยป้ายข้างประตูว่า ‘สำนักพิมพ์สานฝัน’ ด้วยความหวังที่ผุดขึ้นในหัวใจอย่างล้นหลามจนอดกระหยิ่มยิ้มแย้มออกมาทางสีหน้าไม่ได้

“สวัสดีค่ะพี่อัสนียา...ลมอะไรหอบพี่มาถึงสำนักงานได้คะ” พนักงานประจำสำนักพิมพ์เอ่ยทัก เมื่อเห็นนักเขียนสาวใหญ่เดินผ่านประตูกระจกเข้ามา

“พี่มีพล็อตนิยายมาเสนอ ...ว่าแต่ บ.ก.วินิจอยู่ไหม”

“อยู่ค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี้เอง”

อัสนียายิ้มให้คำตอบ แล้วเดินต่อไปยังห้องที่มีป้ายระบุชื่อและตำแหน่งของเจ้าของห้องไว้ชัดเจน งานนี้อัสนียามั่นใจอย่างยิ่งว่าไม่พลาด เพราะถ้าพลาดก็หมายความว่า การพิจารณางานเขียนในแต่ละครั้งของบรรณาธิการมันมีเรื่องของเส้นสายเข้ามาเกี่ยวข้อง

“สวัสดีค่ะคุณวินิจ” อัสนียาเอ่ยทักทาย เมื่อได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าสู่ห้องทำงานหลังเคาะประตูตามมารยาท

“อ้าวพี่อัส...สวัสดีครับ...ว่าแต่ลมอะไรหอบพี่มาเยี่ยมเยียนผมถึงสำนักพิมพ์ได้” บ.ก.หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจไม่น้อย

“พี่มีพล็อตมานำเสนอค่ะ” ว่าพลางยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลส่งให้

“เอ...ทุกที ถ้าพี่จะส่งเป็นต้นฉบับเลยนี่ครับ ไม่ได้เอามาเสนอแบบพล็อตเรื่อง แถมยังส่งมาทางอีเมลล์ ไหงวันนี้ถึงลำบากมาเองได้”

“พี่กลัว บ.ก.จะไม่ว่างอ่าน หรืออ่านแล้วไม่ถูกใจ พี่อยากได้คำติชมก่อนเขียนจริง พล็อตนิยายเรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของพี่เชียวนะ เลยอยากนำเสนอด้วยตัวเอง...ว่าแต่ ช่วงนี้ทิพย์เขาส่งพล็อตให้คุณวินิจหรือยังคะ...” คำถามแสนจะธรรมดา ทว่าคงมีเฉพาะเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่านี่คือคำถามหยั่งเชิง

“ยังครับ...พี่ทิพย์เคยเกริ่นกับผมอยู่เหมือนกันว่าจะส่งพล็อต แต่น่าเสียดาย...” ความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งนี้ทำเอา บรรณาธิการหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก และไม่อยากพูดถึง

ทิพย์ราตรีถือเป็นนักเขียนชั้นครูที่เขาทั้งรักและเคารพ ทุกครั้งที่คิดถึงความรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ ดันขึ้นมาจุกที่คอ ทำให้เขาเลี่ยงไปคว้าซองสีน้ำตาลมาเปิดและให้ความสนใจกับมันแทน...กระดาษแค่ไม่กี่แผ่นเขาสามารถอ่านจับใจความให้เข้าใจถึงเนื้อหาได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที

“เป็นยังไงบ้างคะ...” หญิงวัยเฉียดห้าสิบเอ่ยถาม ทั้งสังเกตสีหน้าหนุ่มใหญ่ที่มีวัยอ่อนกว่าไม่กี่ปี

“ก็น่าสนใจดีนะครับ ผมอ่านแล้วทำให้คิดถึง...” บรรณาธิการหนุ่มนึกไปถึงนักเขียนมือทองของสำนักพิมพ์ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเดือนกว่าๆ

“พล็อตนิยายเรื่องนี้พี่ใช้เวลาหลายเดือนเชียวนะกว่าจะเขียนได้ลงตัวแบบนี้ คุณวินิจต้องนึกถึงผลงานของพี่สิ จะไปนึกถึงคนอื่นทำไม” อารมณ์ศิลปินเริ่มรวน

“ผมก็แค่คิดถึงพี่ทิพย์ พล็อตนิยายเรื่องนี้มันดีมากๆ ดีพอๆ กับที่พี่ทิพย์วางพล็อตมาเสนอสำนักพิมพ์ในทุกเรื่อง และทุกเรื่องที่พี่ทิพย์เขียนก็ได้รับผลตอบรับอันดีมาโดยตลอด”

“แต่พล็อตนี้พี่เขียนของพี่เองนะ...เป็นของพี่ไม่ใช่ของทิพย์ราตรี” อัสนียาแย้ง สีหน้าแสดงอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าคุณวินิจไม่สนใจ พี่ก็จะเอาพล็อตไปเสนอสำนักพิมพ์อื่น...นี่เห็นเป็นคนกันเอง เคยร่วมงานกันมาก่อนหรอกนะ เลยคิดถึงที่นี่เป็นอันดับแรก”

“ผมเชื่อครับว่าเป็นพล็อตของพี่ เพราะแนวนิยายมันแตกต่างกันชัดเจน ของพี่ทิพย์จะเป็นแนวอีโรติกโรแมนติก ส่วนพล็อตที่พี่อัสนีเอามาให้ผมพิจารณาเป็นแนวโรแมนซ์ ซอฟกว่ากันเยอะ แต่ให้ความน่าสนใจไม่แพ้กัน” วินิจวางแผ่นกระดาษในมือลงบนโต๊ะ ทั้งยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง สีหน้าของเขาดูจริงจังเมื่อเอ่ยประโยคที่ฟังดูเป็นงานเป็นการ “เอาเป็นว่าผมสนใจนิยายเรื่องนี้...พี่อัสลงมือเขียนได้เลย เขียนจบเมื่อไหร่ก็ส่งมาให้ผมพิจารณาอีกรอบ”

“ไม่ให้พี่เซ็นสัญญาเลยเหรอ ทีทิพย์ราตรียังเซ็นสัญญาทันทีทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงพล็อตเรื่อง”

“ผมขอดูสักสี่ถึงห้าตอนก่อนครับ เชื่อเถอะว่าถ้าได้เสนอที่ประชุม ยังไงก็ผ่านครับ”

“จริงเหรอคะ” นักเขียนวัยดึกยิ้มอย่างดีใจ

“ครับ...เรื่องนี้จะทำให้พี่อัสกลับมาดังเป็นพลุเหมือนเดิมแน่นอน”

“ขอบคุณที่ยังให้กำลังใจ และสนับสนุนพี่มาโดยตลอด”

“เราก็ไม่ต่างจากน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าหรอกครับ ถ้าพี่ไม่มีผลงานดี ๆ มานำเสนอ ผมก็คงไม่มีนิยายดี ๆ มาวางขาย”คำตอบของบรรณาธิการหนุ่มทำเอานักเขียนสาววัยดึกถึงกับยิ้มหน้าบาน

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ขอลาล่ะ ขอบคุณคุณวินิจมากที่ยังให้โอกาสพี่แสดงฝีมือ” อัสนียาเอ่ยทั้งลุกขึ้น พลอยให้ชายหนุ่มลุกตาม

“ครับ...ผมจะรอผลงานดีๆ ของพี่นะครับ” รอยยิ้มถูกส่งแนบไปกับความหวัง กระทั่งร่างสมวัยของนักเขียนผู้เคยมีผลงานดีเลิศในอดีตพ้นประตูไป

วินิจหวังที่จะมีใครสักคนเข้ามาทดแทนนักเขียนเลื่องชื่อผู้ทำผลงานดีเยี่ยมมาโดยตลอด ทว่ากลับมาจบชีวิตลง เขาจำได้ดีถึงครั้งสุดท้ายที่มีโอกาสได้ติดต่อพูดคุยกับทิพย์ราตรีเกี่ยวกับนิยายเรื่องใหม่ที่ได้รับการวางพล็อตไว้แล้วเรียบร้อย นิยายที่ทิพย์ราตรีบอกกับเขาว่า เธอจะลดแนวเขียนจากอีโรติกลงให้เหลือเพียงโรแมนติก น่าเสียดายเหลือเกินที่ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพล็อตนิยายแนวโรแมนติกเรื่องแรกของนักเขียนผู้มีนามปากกาว่า ทิพย์ราตรี

พล็อตนิยายแนวโรมานซ์ที่อัสนียานำมาเสนอ จึงเป็นมิติใหม่ที่อาจสร้างชื่อเสียงให้อัสนียาผู้เคยมีผลงานเด่นโด่งดังในอดีตให้มีชีวิตชีวากลับโด่งดังอีกครั้งหลังซบเซามาหลายปี


รถยังแล่นไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบเชียบที่แทบจะได้ยินแม้เป็นเพียงเสียงลมหายใจ...สายตาคมกริบเหลือบมองหญิงสาวผู้พยายามทำตัวไม่สนใจสิ่งใดมากไปกว่าสรรพสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างรถ เธอคงรู้ตัวอยู่บ้างว่ากำลังถูกจับตามอง อาการหยุกหยิกอยู่ไม่สุขจึงเกิดขึ้นเป็นระยะด้วยความประหม่าและขาดความมั่นใจ

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” บางทีการหันมาถามกันตรงๆ คงจะดีกว่าปล่อยให้ผู้ชายที่ยังมีหนังสือนวนิยายแนวสิบแปดบวก หรืออาจจะเป็นยี่สิบห้าบวกอยู่ในมือมองสำรวจละเอียดลอออย่างนี้

แทนที่จะตอบคำถามเธอ เขากลับหันไปเรียกคนขับรถ ผู้กำลังตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างดีเยี่ยมอยู่ข้างหน้า

“ลุงชู”

“ครับคุณกริช”

“แถวนี้พอมีห้องเสื้อดี ๆ สักแห่งไหม” กริชนะก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ “เรายังพอมีเวลาอยู่บ้าง ถ้ายังไงก็แวะสักครู่”

“คุณกริชจะหาสูทสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับคืนพรุ่งนี้เหรอครับ”

“เปล่า...ฉันแค่ทนมองชุดเลขานุการเชย ๆ ไม่ได้ มันเหมือนกับว่าฉันกำลังพาป้าแก่ ๆ มาเจรจาธุรกิจยังไงยังงั้น” พูดพลางเหลือบตามองคนข้าง ๆ อย่างไม่คิดปิดบังสายตา

“เอ๊ะคุณ...” ลมแทบออกหูเมื่อได้ยินคำวิจารณ์ ซึ่ง ๆ หน้า ถึงชุดที่เธอสวมอยู่ตอนนี้จะเป็นชุดมือสองที่หาซื้อมาจากตลาดนัดแถวบ้าน แต่เขมขวัญก็มั่นใจว่าเมื่อมันอยู่ในร่างของเธอ รูปร่างสมส่วนไม่ผอมแห้งหรืออวบอ้วนจนเกินไป ยังไงมันก็ดูดี

“ผมจะให้คุณเปลี่ยนชุดคุณป้าชุดนี้ทิ้ง ผมต้องการให้คุณดูดีในสายตาลูกค้าของเรา”

“ฉันไม่มีเงินถุงเงินถังมากมายพอที่จะจับจ่ายเสื้อผ้าสุรุ่ยสุร่ายตามแฟชั่นหรอกนะคะ...และไม่ต้องมานำเสนอเลยว่า ผมจะออกตังค์ให้ก่อน คุณค่อยผ่อนทีหลัง...ไม่เด็ดขาด ฉันไม่ยอมเป็นหนี้ใครโดยไม่จำเป็นอีก”

“แล้วถ้าผมซื้อให้เลยล่ะ จะรับไหม” กริชนะถามกลับ นึกขำในความตระหนี่ของป้าเชยคนนี้

“บอกแล้วไงคะว่าไม่อยากเป็นหนี้ ซื้อให้ก็เป็นหนี้อยู่ดี”

“ยังไง?”

“หนี้บุญคุณไงคะ ใช้ชาตินี้ถึงชาติหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นที่พอใจเจ้าหนี้หรือเปล่า”

“คิดมาก”

“เอาเป็นว่าครั้งนี้ ขอดิฉันแต่งตัวเชย ๆ ในสายตาเจ้านายออกงานสักงานก่อน ไว้คราวหน้าดิฉันจะพยายามไม่ทำให้เจ้านายขายหน้านะคะ” เธอเอ่ยอย่างนอบน้อม

“สรุป เอาไงครับคุณกริช”

“แวะร้านเสื้อ...”

“เอ๊ะ...ฟังไม่เข้าใจเหรอคะเจ้านาย ดิฉันบอกแล้วไงว่า ไม่อยากเป็นหนี้”

“นั่นมันก็เรื่องของคุณ ถ้าจะคิดเล็กคิดน้อยอย่างนั้น สำหรับผมภาพลักษณ์ของเลขานุการประจำตัวประธานก็เสมือนภาพลักษณ์ของบริษัท ถ้าไม่อยากตกงานอีกรอบก็หุบปาก แล้วทำตามที่ผมสั่ง” น้ำเสียงแม้ไม่ดังแบบตะโกนใส่หน้า แต่ก็ห้วนจัดเป็นมะนาวไม่มีน้ำให้คนฟังได้ขยาด

“ห้องเสื้อใช่ไหมครับ ข้างหน้ามีอยู่ที่หนึ่งที่คุณผู้หญิงเข้าไปใช้บริการอยู่บ่อยๆ” ลุงชูเอ่ย เพื่อช่วยลดดีกรีความร้อนระอุของบรรยากาศการเจรจาระหว่าเจ้านายและเลขานุการคนใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกรงกลัวเจ้านายสักเท่าไหร่นัก

รถจอดสนิทที่หน้าห้องเสื้อชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางผ่านพอดี กริชนะเปิดประตูก้าวลงไปก่อน เขมขวัญจำต้องก้าวตามลงมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเดินผ่านประตูกระจก ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศปะทะผิวกายผ่อนคลายความร้อนที่ระอุอยู่ภายในจิตใจลงได้บ้าง ยิ่งมีโอกาสได้เดิมชมชุดเสื้อผ้าสวย ๆ นับสิบที่สวมประดับอยู่บนหุ่นโชว์ ก็ยิ่งให้ความรู้สึกระรานตา

“สวัสดีค่ะ...มีอะไรให้ทางร้านของเรารับใช้บอกได้นะคะ ที่นี่มีชุดสวย ๆ หลายแบบหลายสไตล์ ทั้งแบบแฮนด์เม็ก แบบยี่ห้อดังจากต่างประเทศ มีชุดราตรี ชุดทำงาน หรือแม้กระทั่งชุดแต่งงาน แบบสำเร็จรูป และพร้อมรับสั่งตัดด้วยนะคะ” พนักงานในร้านเข้ามาต้อนรับ ทั้งสาธยายบริการแก่ลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว

“ช่วยหาชุดทำงานที่ทันสมัยให้คุณผู้หญิงคนนี้สักชุดเถอะครับ” กริชนะสั่ง ก่อนจะขยับไปนั่งยังโซฟารับแขก ที่ทางร้านจัดเอาไว้

“เชิญคุณผู้หญิงทางนี้เลยค่ะ ว่าแต่มีแบบที่ชอบเป็นพิเศษไหมคะ” พนักงานเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่ เมื่อเห็นอีกง่ายส่ายหน้า รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก

“แบบนี้ก็สวยนะคะ เพิ่งสั่งเข้ามาใหม่กำลังเป็นที่นิยมเชียวค่ะ” พนักงานคว้าชุดทำงานชุดหนึ่ง “นั่นไงคะ เป็นแบบเดียวกับที่อยู่บนตัวหุ่นโชว์ตัวนั้น...เชิญทางนี้ค่ะ ห้องลองชุดอยู่ทางนี้”

เขมขวัญเหลือบตาขึ้นมองหุ่นโชว์ในชุดทำงานสวยเก๋ บอกเลยว่ามันถูกตาต้องใจเธอเหลือเกิน จนไม่อาจเอ่ยปฏิเสธ และมันก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนละคน เมื่ออยู่ในชุดสวยชุดนี้

“สวยค่ะ...คุณเหมาะกับชุดนี้มากๆ ทั้งเอว ทั้งสะโพก ทั้งช่วงไหล่ ยังกับสั่งวัดตัวตัด” พนักงานของร้านเชียร์ เมื่อลูกค้าสาวเดินออกจากห้องลองเสื้อมาให้เห็น

“จริงหรือคะ”

“จริงสิคะ...คุณนะหุ่นดีมากๆ ไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป นี่ถ้าดัดผมเป็นลอนอีกสักหน่อยคงเหมือนตุ๊กตา”แววตาของพนักงานชื่นชมอย่างเปิดเผย

“แต่...เฮ้ย!” เมื่อดูแผ่นป้ายราคา เขมขวัญก็ถึงกับหน้าซีดเผือด รีบหมุนตัวกลับเข้าห้องลองชุด ถอดชุดเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเชยแสนเชยในสายตาของคนบางคนในทันที

สองพันเก้า...ตายๆๆๆ สั่งตัดเย็บมาจากดาวอังคารหรือยังไง ทำไมถึงได้แพงขนาดนี้...

“ทำไมคะ...หรือไม่ชอบ ทางร้านมีแบบอื่นๆ ให้เลือกอีกหลายแบบนะคะ”

“เรื่องชอบมันก็ชอบอยู่หรอก แต่...มีที่ถูกกว่านี้ไหม”

“ชุดนี้ถูกสุดแล้วค่ะ”

“ฮะ! ถูกสุดแล้วเหรอ งั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ไว้เก็บเงินครบค่าชุดเมื่อไหร่จะมาอุดหนุนนะคะ” เขมขวัญเอ่ย

กริชนะวางนิตยสารที่เขาใช้อ่านฆ่าเวลาลงบนโต๊ะ คิ้วเข้มขมวดหมุนเข้าหากัน เมื่อมองดูชุดราตรีสีหวานชุดหนึ่งที่สวมอยู่บนหุ่นโชว์

กริชนะนึกไปถึงผู้หญิงที่ถูกบังคับให้ลองชุดทำงานใหม่อยู่ภายใน อีกไม่กี่วันทางบริษัทจะจัดงานเลี้ยงฉลองการเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการคนใหม่ และงานนี้ คนที่ทำหน้าที่เลขานุการก็ต้องเข้าร่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่ยิ่งกว่าแน่คือ เธอจะลากชุดคุณป้าเชย ๆ ไปร่วมงานอย่างไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน คงได้มีการขายหน้ากันแน่ล่ะงานนี้หากเขาไม่จัดการทำอะไรสักอย่าง พอจบความคิด เขาก็เห็นเลขานุการคนใหม่กลับออกมาด้วยชุดทำงานชุดเดิม

“ทำไม ไม่มีชุดไหนถูกใจเลยเหรอ”

“ถูกใจค่ะ”

“ถูกใจแล้วทำไมยังใส่ชุดนี้อยู่เหมือนเดิม”

“มันแพงนี่คะ ดิฉันซื้อไม่ไหวหรอก”

“กลับไปใส่ชุดนั้นออกมาให้ผมดูเดี๋ยวนี้ ถ้ายังอยากได้งานทำอยู่...เร็ว!” ชายหนุ่มชี้นิ้ว

เขมขวัญถึงกับสะดุ้ง ในเสียงตวาดของเจ้านาย เธอรีบรนรานเข้าไปทำตามคำสั่งในทันที เพราะยังไงเสียค่าชุดก็คงจะน้อยกว่าเงินเดือนที่เธอจะได้รับแต่ละเดือนในอนาคต...ยังไงขอเลือกเงินเดือนเอาไว้ก่อนดีที่สุด

สุดท้ายเขมขวัญก็ได้ไปพบลูกค้าด้วยชุดทำงานชุดใหม่ แถมยังได้ชุดทำงานแบบอื่นอีกหนึ่งชุด รวมไปถึงชุดราตรียาวสีฟ้าน้ำทะเลที่ท้ายสุดเขาก็ยัดเยียดให้เธอจนได้

“กริชนี่ตาแหลมจริงๆ ป้าก็หมายตาชุดชุดนี้ให้กับแม่หนูขวัญเหมือนกัน...”

เสียงแผ่วๆ ที่ดังในโสตประสาททำให้หญิงสาวถึงกับหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียง ทั้งขนแขนที่ลุกซู่ขึ้นมาพร้อมความรู้สึกเย็นเฉียบ

“มีอะไรเหรอ...หันซ้ายหันขวายังกับกลัวว่าใครจะตามฆ่าซะงั้น” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามานั่งเรียบร้อยในรถ

“ปะ...เปล่าค่ะ...สงสัยหูจะแว่ว”

เขมขวัญพยายามประคับประครองจิตใจให้อยู่ในอาการสงบโดยเร็วที่สุด เรื่องชุดทำงานผ่านพ้นไป แต่ปัญหาใหญ่ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เรื่องการพบปะเจรจากับลูกค้าคนสำคัญของเจ้านายนั่นต่างหากล่ะที่สำคัญสุด สำคัญตรงที่เธอจะทำยังไงได้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามความต้องการของคนออกคำสั่ง


ขับรถไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงภัตตาคารหรูใจกลางกรุงอันเป็นจุดนัดหมายเจรจาธุรกิจ กริชนะก้าวนำผ่านประตูกระจกเข้าสู่ภายในสัมผัสอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศที่แผ่รัศมีความเย็นจนครอบคลุมทั่วพื้นที่ภายใน

“อย่าลืมที่สั่ง...ผมต้องการประเด็นสำคัญในทุกรายละเอียด เพื่อพิจารณาว่าเราสมควรจะร่วมทำธุรกิจกับเขาหรือเปล่า”

“อ้าว...ที่มาคราวนี้ไม่ได้มาทาบทามเหรอคะ”

“เปล่า...ลูกค้ารายนี้เป็นลูกค้าที่เข้ามาติดต่อกับเราผ่านกรรมการแผนกอื่น ผมยังไม่รู้สถานะความมั่นคงหรือแม้แต่คุณลักษณะอื่นๆ ในกิจการของเขาดีพอ นี่คือการเจรจาครั้งแรกเพื่อประกอบการตัดสินใจ ผมจึงต้องพึ่งคุณช่วยเก็บข้อมูลระหว่างสนทนา”

ความหนักใจเริ่มก่อเกิดหลังจากที่ลืมไปได้สักพักใหญ่ เขมขวัญเดินตามเจ้านายเข้าไปยังห้องที่พนักงานเดินนำเข้าไปอย่างเหม่อลอย และเมื่อเธอได้พบกับลูกค้าที่เจ้านายพูดถึง ชาวต่างชาติผมสีทองตาสีฟ้า พลันเกิดอาการกระตุกวาบไปทั้งตัว
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบเริ่มมืดมิดเหมือนมีใครสักคนกำลังดับแสงสว่าง คล้ายเธอกำลังยืนอยู่ในที่โล่งกว้างท่ามกลางสุริยะคาสที่ในที่สุดก็ดับมืดไปทั้งดวง

นี่ฉันกำลังตื่นเต้น ตกใจกลัวฝรั่งตรงหน้าจนจะเป็นลมหรือนี่...ไม่นะ ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอปานนั้น…

จากความมืดมิดที่แทบจะมองอะไรไม่เห็น ฉับพลันความสลัวลางค่อยๆ บังเกิดขึ้น เขมขวัญพยายามเพ่งมองไปข้างหน้า เพ่งมองภาพเลือนรางของบุคคล...

“นั่นใคร...ใช่เจ้านายหรือเปล่าคะ” เธอถามออกไปเพื่อความแน่ใจ

“ฉันเองจ้ะหนู...เรื่องงานหนู.ไม่ต้องกังวลแล้วนะ ฉันจะช่วยหนูเอง”

สิ้นคำตอบนั้น ร่างที่เห็นเป็นเพียงเงาค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้...เข้ามาใกล้ ใกล้จนเขมขวัญต้องหลับตาลงสติสัมปชัญญะของเธอที่มีอยู่เต็มร้อย ก็มีอันค่อย ๆ ลดถอยไปจนในที่สุดก็ไม่มีหลงเหลืออยู่ในจิตแม้เพียงน้อย

“คุณ ๆ เป็นอะไรไป หน้าซีดเชียว”

กริชนะเขย่าต้นแขนเลขานุการสาว ที่จู่ ๆ ก็เอนเข้าหาเขาจนทำให้คิดว่าเธอกำลังสร้างสถานการณ์หาเรื่องใกล้ชิด แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดถึงรู้ว่าเธอไม่ได้แกล้ง

“สงสัยจะเป็นลมครับ ผมว่าพยุงเธอเข้ามาข้างในก่อนดีกว่า” ข้อเสนอแนะต่างภาษาแต่เป็นที่เข้าใจดีสำหรับบุคคลผู้อาศัยอยู่ต่างถิ่นและใช้ภาษานั้นเป็นภาษาที่สองแต่ดูเหมือนจะมากกว่าภาษาหลักของเขาซะอีก

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพิ่งเจอกันครั้งแรก ก็มีเรื่องให้ชวนรำคาญใจซะแล้ว” กริชนะตอบไปเป็นภาษาเดียวกัน

แล้วร่างบางที่เพิ่งเซเข้าซบไหล่กว้างของเจ้านายก็เริ่มขยับตัว เปลือกตาค่อย ๆ เปิดขึ้นก่อนจะกระพริบถี่ ๆ เหมือนต้องการปรับสภาพให้ชินกับแสงสว่างอันเจิดจ้า

“ดูเหมือนเธอจะรู้สึกตัวแล้ว”

ในความรู้สึกหนึ่งที่แทรกอยู่ในความรู้สึกยุ่งยากใจของชายหนุ่มก็คือความห่วงใย เมื่อคนที่ซบอยู่กับไหล่ขยับตัว ก็ทำให้เขาพลอยยินดีอย่างบังคับไม่อยู่

“เป็นอะไรไป...เมื่อเช้าไม่ทานข้าวมาหรือไง ถึงได้เป็นลม” น้ำเสียงถามดูจะห้วนอยู่บ้าง

“มะ...ไม่เป็นไรแล้ว...ป้า...เอ่อ...ดิฉัน...”

“ดูสิ...เป็นลมแค่นี้ เล่นเอาสมองกลับเลยหรือ...ตัวกะเปียก เกิดเมื่อวาน เรียกตัวเองว่าป้าซะงั้น” อดแซวคนที่ยังทำหน้างุนงงไม่ได้ เมื่อเขาพยุงเธอให้เข้ามานั่งภายในห้องตามคำแนะนำของลูกค้าฝรั่ง

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง” เขมขวัญเอ่ยด้วยสำเนียงภาษาที่ไม่ต่างจากเจ้าของภาษาเลยแม้แต่น้อย ทั้งเงยหน้าขึ้นสบตาทุกคนที่อยู่ภายในห้องด้วยรอยยิ้มที่ หากเป็นเขมขวัญในเวลาปกติคงไม่อาจยิ้มได้แบบนี้

“เอาล่ะ...ยกอาหารเข้ามาได้เลยนะ” กริชนะหันไปสั่งพนักงานที่ยืนทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจต่อลูกค้าที่เขาจะต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน ว่าเขาเหมาะที่จะเป็นลูกค้าร่วมธุรกิจกับบริษัทของเขาหรือไม่

“เรารับประทานกันไป คุยกันไปนะครับ อย่างน้อยก็เห็นแก่เลขาฯ ของผมที่อดอาหารเช้าจนเป็นลมเป็นแล้งไปเพราะต้องการคุมน้ำหนัก” กริชนะเอ่ยทั้งเหลือบตาสังเกตสีหน้าของคนที่เขาพูดพาดพิงถึง อดคิดไม่ได้ว่าเธอจะกระโดดเข้ามางับคอเขาหรือไม่ นั่นคงเป็นไปไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าแขกคนสำคัญ

แล้วคิ้วเข้มก็ต้องขมวดเข้าหากัน เมื่อสิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นความราบเรียบยิ่งกว่าแม่น้ำที่ไร้คลื่นลม นิ่งงันเหมือนรูปปั้นหินที่ไร้ชีวิต...เธอเป็นอะไร หรือเพราะอาการเมื่อครู่ ที่ทำให้ใจของเธอยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...

“ไม่ต้องห่วงนะคะ...ฉันสบายดี”

คำตอบที่เอ่ยออกมาเบา ๆ ดั่งว่าเธอเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจ ทำให้กริชนะรู้สึกเย็นวาบไปทั้งไขสันหลัง ยิ่งรอยยิ้มที่ส่งมาให้เขานั่นอีก เขาไม่แน่ใจว่าเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหนมาก่อน รับรู้และสัมผัสได้เพียงว่ามันอบอุ่นเสียจนทำให้กระบอกของเขาตาถึงกับร้อนผ่าว



ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ต.ค. 2559, 10:28:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ต.ค. 2559, 12:17:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1294





<< ตอนที่ 6 ตำแหน่งที่ไม่ได้เลือก   ตอนที่ 8 ความจริงที่ได้รับรู้ >>
นกขมิ้น 28 ต.ค. 2559, 10:33:37 น.


นกขมิ้น 28 ต.ค. 2559, 11:40:40 น.
ติดตามตลอดๆจ้า


wane 29 ต.ค. 2559, 03:53:43 น.
ขวัญโชคดีไป คุณป้ามาช่วยทันเวลา ไม่งั้นจะพูดกับเค้ารู้เรื่องมั๊ยเนี่ย


Zephyr 29 ต.ค. 2559, 16:22:49 น.
ป้าสิงเลยเหรอเนี่ย
555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account