กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี

ตอน: ตอนที่ 8 ความจริงที่ได้รับรู้

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์น่ารักๆ ที่มีให้ จะกี่ปีที่ห่างหายไปก็ยังเป็นเพื่อนคนดีคนเดิม ยังคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่เสมอ... ยังคิดถึงกันอยู่ไม่เคยลืมเลือนนะคะ ^_^

*******************************
8

อาจจะฟังดูแปลกประหลาดสักหน่อยที่เขาต้องการกลั่นกรอง แทนที่จะยินดีตอบรับลูกค้าทุกรายที่ให้ความสนใจสินค้า หรือต้องการร่วมธุรกิจ แต่สมัยนี้ ความเชื่อถือเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันไปซะแล้ว ไม่มีมาตรการใดสามารถวัดความเชื่อถือได้ค่าที่ตรงเป๊ะ...เขาไม่ต้องการทำธุรกิจกับบริษัทที่ต้องการจับเสือมือเปล่า เพราะหากผิดพลาดมานั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย

การเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี ข้อมูลที่ได้รับล้วนแต่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องศึกษา ค้นหาข้อมูลเสริมให้มากกว่านี้

“จะไปไหนต่อครับ” นายชูถามขึ้นเมื่อเจ้านายของเขาพร้อมเลขานุการเดินมาถึงรถที่จอดรอรับอยู่

“กลับบ้าน วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน...เร็วสิมาเปิดประตูให้ฉันที”

คนตอบไม่ใช่กริชนะ ทั้งคำสั่งที่เอ่ยอย่างคนมีอำนาจทำให้ทั้งเจ้านายและลูกน้องต้องหันไปสบตากันด้วยแววตาแห่งคำถามและความสงสัย

“เร็วสิ...อากาศยิ่งร้อน ๆ ”

ชูรีบเข้าไปเปิดประตูตามคำสั่ง ทั้งมองท่วงท่าก้าวขึ้นนั่งอย่างงามสง่าดุจนางพญา มันทำให้คิดไปถึงใครคนหนึ่งที่เคยรับใช้ใกล้ชิด ยกเว้นวาระสุดท้ายในครั้งนั้นที่เขาไม่มีโอกาสได้รับใช้และนั่นก็ทำให้เขาเสียใจมาจนทุกวันนี้

“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกชู” น้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความกรุณาหลุดออกมาจากริมฝีปากที่เคลือบสีอ่อน ๆ ของลิปสติก

“ว่ายังไงนะครับ” นายชูเอ่ยถาม สีหน้าของเขาแสดงอาการตกใจ กับสิ่งที่ได้ยิน แม้เพียงแผ่วเบา แต่ก็สามารถจับใจความได้ ว่านั่นคือคำปลอบโยนในสิ่งที่เขากำลังคิด

“ฉันบอกให้ปิดประตูได้แล้ว” เขมขวัญสั่ง

“ครับ ๆ ๆ”

ลุงชูปิดประตูรถแล้วรีบอ้อมไปเปิดให้เจ้านายตัวจริงที่กำลังยืนนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่างที่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเดาความคิดของเขาได้ว่าจะเกี่ยวกับงานที่เพิ่งเจรจา หรือเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนคนหนึ่ง

“กลับบ้านเถอะ ดูเหมือนว่ามีบางคนต้องการพักจริง ๆ” กริชนะสั่งเมื่อขึ้นนั่งประจำที่ รอจนกระทั่งนายชูพารถเคลื่อนออกจากลานจอดตรงขึ้นสู่ถนนสายหลัก

หากสามารถสื่อสารความนึกคิดได้ ก็คงรู้ว่า สิ่งที่น่าห่วงที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้ก็คือเขมขวัญ เลขานุการคนใหม่ที่ดูเหมือนจะมีพฤติกรรมแปลกไปหลังจากฟื้นจากอาการเป็นลมหมดสติ

ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องโดยสาร แต่สายตาของคนที่นั่งอยู่เคียงข้างหันมาสบกันบ่อยครั้ง โดยที่แววตาของเขมขวัญที่มองนิ่งมายังชายหนุ่มตรงหน้าบ่งบอกอะไรบางอย่างในทุกครั้งกริชนะเหลือบมอง แววตาคู่นั้นที่มองตรงมายังเขาดูไม่เหมือนแววตาหญิงสาวจอมโวยคนเดิม มันต่างออกไป คล้ายแววตาของคนที่มองผ่านโลกมายาวนาน ทำให้เขารู้สึกประหม่า ทว่ากลับแฝงความรักความอบอุ่นเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม

“ไม่ได้มองกริชแบบนี้นานแค่ไหนแล้ว...คิดถึงเหลือเกิน” หญิงสาวพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ สายตายังไม่ลดละไปจากใบหน้าคมคาย

มือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ เอื้อมไปตรงหน้าคว้ามือใหญ่หนาอันอบอุ่น แล้วสอดปลายนิ้วเรียวเข้ากระชับจนอุ้งมือแนบชิดติดกัน ก่อนที่เธอจะยกมันขึ้นมาวางที่ข้างแก้ม

ดวงตาที่ช้อนขึ้นมองดูเหม่อลอยแต่มีแววบางอย่างที่ทำให้กริชนะถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาไม่อาจอ่านความหมายนั้นออก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ พฤติกรรมและคำพูดนั้นเป็นความรู้สึกจริง ๆ หรือว่าแกล้งทำกันแน่

“นี่เธอจะทำอะไร พล่ามอะไรบ้า ๆ ออกมา แค่ฉันซื้อชุดให้ ไม่ได้หมายความว่าฉัน...เอ่อ...ฉันสนใจเธอแบบนั้นนะ บอกแล้วไงว่า แค่ต้องการให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดูดีขึ้น...เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรแบบนี้” กริชนะกระชากมือของเขาออกจากแก้มนุ่มที่ทำให้เกิดอาการหวั่นไหว

“ไม่นะ...ไม่ใช่แบบนั้น” แววตาเศร้าสร้อยช้อนขึ้นสบตาคมกล้า

“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วหมายความว่ายังไง...เธอคิดจะหาเงินทางลัดหรือ...บอกเลยนะ ฉันไม่ใช่เจ้านายบ้ากามที่จะคอยจ้องจับไก่วัดใกล้ตัวกิน เพราะฉะนั้น อย่าแม้แต่จะคิด ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่เธอออก” เจ้านายหนุ่มดุเสียงเข้ม พยายามบังคับหัวใจไม่ให้เต้นแรงจนส่งเสียงออกมาภายนอก...แต่ทว่า...หัวใจ ใครเล่าจะบังคับได้

“ไม่ได้นะ ไล่เธอออกไม่ได้...กริช!...ป้า...ขอโทษ” ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงก่อนจะหรี่ลงจนปิดสนิทไปพร้อมกับร่างบางที่เอนลงซบไหล่ เลื่อนไหลไปฟุบอยู่บนตักอย่างคนไร้สติ

“เอ๊ะ...นี่คุณ...บอกแล้วไงว่าอย่ามาทำแบบนี้”

กริชนะจับร่างบางที่ดูเหมือนจะไร้แรงต่อต้านใด ๆ ให้ขยับออกห่าง แต่ร่างที่อ่อนปวกเปียกทั้งดวงตาที่ปิดสนิททำให้เขารู้ว่าเธอหมดสติไปอีกแล้ว

“สงสัยเธอจะเมาแล้วล่ะครับ อาจเพราะดื่มหนักเกินไป” ชูเอ่ยเมื่อเห็นอาการของหญิงสาวผ่านกระจกมองหลัง

“ดื่มหนักอะไร แค่ไวน์แก้วเดียวเอง” กริชนะตอบอย่างหัวเสีย ทั้งพยายามจัดท่าทางให้คนป่วยพิงอกเขาให้สบายขึ้น

“ก็ไม่แน่นะครับ บางคนแพ้ไวน์ แค่จิบเดียวก็เมาแล้ว”

“เห็นท่าจะจริง ดูสิพูดอะไรบ้าบอก็ไม่รู้ แถมพฤติกรรมแปลก ๆ นั่น แล้วยังคำพูดมั่ว ๆ อีก...คงเพราะเมาไวน์อย่างลุงว่า” กริชนะหาเหตุผลมาสนับสนุนให้เขารู้สึกดีขึ้นในแง่มุมมองที่มีต่อหญิงสาวผู้เดินเกมรุกจนเขาตั้งรับแทบไม่ทัน “เธออยู่บ้านหลังนั้นคนเดียวใช่ไหม”

“คงใช่ครับ ผมได้ข่าวว่าเจ้าของบ้านย้ายไปทำงานที่อื่น”

“ก็แย่น่ะสิ...อย่างนี้ใครจะดูแล”

กริชนะก้มมองเรือนผมดำขลับปล่อยสยายยาวถึงกลางหลัง มีกิ๊บรูปดอกไม้สีทองประดับเพชรเทียมหนีบอยู่กลางกระหม่อมเปิดให้เห็นหน้าผากโหนกนูน รับกับปลายจมูกโด่ง และริมฝีปากอิ่มนุ่มที่เขาเคยสัมผัสมาแล้ว

กริชนะเบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่างในทันที ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกจากอก ช้า ๆ และยาวนาน เพื่อดับอารมณ์ ความรู้สึกที่พลุกพล่านอยู่ในใจ

“เอายังไงดีครับ ให้พากลับไปส่งที่บ้านเธอไหม”

“ไม่มีใครอยู่กับเธอไม่ใช่เหรอ ไว้ฟื้นก่อนค่อยให้เธอกลับ...บ้านอยู่แค่กำแพงกั้น ใกล้แค่นี้เอง”

คนขับรถประจำบ้านทรัพย์บริบูรณ์อดที่จะเหลือบตาขึ้นมองผ่านกระจกส่องหลังไม่ได้ ความรู้สึกชื่นชมในความใจดีของเจ้านายคนใหม่ผุดขึ้นให้เกิดความสบายใจว่าประมุขของบ้านที่เขารับใช้มานานเกือบครึ่งค่อนชีวิต ไม่ได้มีหัวใจที่เย็นชาเหมือนภาพลักษณ์ที่เห็นภายนอก


ณ ห้องทำงานสุดหรูที่ได้รับการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี บรรยากาศเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่ให้ความเย็นไม่ต่างกับการอาศัยอยู่ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย จนคนที่เปิดประตูเข้ามาเยือนถึงกับสะท้าน เมื่อไอเย็นเข้าปะทะผิว

“สวัสดีครับท่าน” ผู้มาเยือนเอ่ยทักเพื่อให้สัญญาณการมาของเขาแก่ชายวัยกลางคน ท่าทางภูมิฐานที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาด้วยความสนใจ

“อืม...แม่ทิพย์ราตรีนี่เขียนนิยายเก่งยังกับว่าเคยลองเองมาแล้วซะอย่างนั้น...หึหึหึ” ชายผู้เป็นเจ้าของห้องเอ่ยไปอีกเรื่อง “ก็อย่างว่าล่ะนะ...ใช้ชีวิตมาตั้งแต่สาวรุ่นจนเข้าวัยสาวแก่ ผู้ชายมาติดพันก็ใช่น้อย ไอ้พรหมจารีมันคงไม่มีเหลือ” ปิดหนังสือเล่มหนาเลื่อนไปวางไว้ที่มุมโต๊ะทำงาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน “มาแล้วเหรอ...นั่งสิ”

“ขอบคุณครับท่าน” ชายหนุ่มขยับไปนั่งบนเก้าอี้เดี่ยวตัวหนึ่งในชุดรับแขก เหลือโซฟาตัวยาวเอาไว้สำหรับผู้เป็นเจ้าของ

“ขอกาแฟสองที่นะ” เครื่องติดต่อภายในถูกใช้ก่อนเจ้าตัวจะเดินออกจากโต๊ะทำงานมาสมทบ “ข่าวทางนั้นเป็นไงบ้าง”

“คงจะแย่ล่ะครับ ประธานหนุ่มคนใหม่ไร้ประสบการณ์ ขนาดเลขานุการที่เลือกยังเลือกได้ไม่ตรงสายงานที่เรียน ผมว่าอีกหน่อยคงได้ขายกิจการทอดตลาด”

“ของอย่างนี้มันเรียนรู้กันได้...อย่าประมาทไป”

“ไม่หรอกครับ...วันหนึ่ง ๆ เขาเข้าบริษัทไม่ถึงครึ่งวัน จากนั้นก็ไม่รู้หายไปไหน...อย่างวันนี้มีตารางนัดพบลูกค้าช่างเช้า บ่ายต้องเข้ามาเซ็นเอกสาร จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็น” คนรายงาน รายงานเหมือนบ่น แต่สุดท้ายเขาก็ยิ้ม “ท่านเตรียมพร้อมไว้เลยครับ อีกไม่นาน บริษัท ทั้งบริษัทในเครือของทรัพย์บริบูรณ์จะเป็นของท่านแน่นอน”

ก๊อก ๆๆ...

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้การสนทนาหยุดลงชั่วคราวเมื่อเลขาฯหน้าห้องนำกาแฟมาเสิร์ฟตามคำสั่ง แล้วกลับออกไปเงียบ ๆ

“คุณแน่ใจแค่ไหนว่านายกริชนะจะไม่ใช่นักบริหารที่ดี อย่าลืมสิว่าเขาจบปริญญาโทที่ต่างประเทศ แล้วยังได้รับการไว้วางใจให้ควบคุมงานที่สาขาแห่งนั้น”

“เท่าที่ทราบ งานที่กริชนะรับผิดชอบ ก่อนจะกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารในตอนนี้ก็คืองานผู้ช่วยผู้จัดการสาขา ทำอยู่ไม่เท่าไหร่ก็หาเรื่องเรียนต่อ สำหรับประสบการณ์แค่นั้น มันยากเกินกว่าที่จะมาเริ่มจับบังเหียนควบคุมดูแลกิจการที่มีทุนจดทะเบียนหลายร้อยหลายพันล้านแบบนี้...เชื่อเถอะครับ อีกไม่นานท่านก็จะได้ตามฝัน”

“ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น...แต่เพื่อความไม่ประมาท ฉันอาจจะทำอะไรเพิ่มขึ้นสักอย่างเพื่อเพิ่มความมั่นใจในความสำเร็จ” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากอย่างคนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าสิ่งที่กำลังคิดและคาดหวังจะสำเร็จด้วยวิธีการที่ไม่จำเป็นต้องทำตามกติกาไปซะทุกอย่าง

“อะไรครับที่ท่านว่า”

“ใจเย็น ๆ คุณศิริวัฒน์...ไว้งานเลี้ยงฉลองต้อนรับประธานกรรมการคนใหม่เริ่มขึ้นเมื่อไหร่คุณก็จะรู้เอง”

แล้วเสียงหัวเราะอย่างผู้เห็นทางชนะก็ดังขึ้น แต่มันไม่อาจดังไปจนถึงพลังงานอีกรูปแบบหนึ่งที่ยังคงวนเวียนดูแลห่วงใยบุคคลสำคัญทั้งสองไม่ยอมห่าง โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นที่ยังต้องได้อาศัยประโยชน์กันไปอีกยาวนาน


เกือบชั่วโมงที่ร่างบางยังไร้สติหลังถูกอุ้มเข้ามานอนพักบนเตียงบุนวมในห้องนั่งเล่น...

“ตื่นได้แล้วยัยขวัญจะนอนกินบ้านกินเมืองหรือไง...หนูต้องรีบไปโรงเรียนนะ”

ภาพมารดากำลังยืนเท้าสะเอวมองดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแกมบึ้ง...ภาพอันคุ้นเคยมายาวนานในช่วงวัยเด็กทำให้เขมขวัญผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ทั้งยิ้มอย่างมีความสุข

“อุ้มหน่อยสิ...นะ ๆๆ อุ้มขวัญหน่อย” ลำแขนเรียวยื่นไปข้างหน้าทั้งทำตาละห้อย

“ให้อุ้มไปไหน โตแล้วนะ ใครจะไปอุ้มไว” เสียงตอบอยู่ใกล้...จะมีอะไรสุขเท่าการได้อยู่กับคนในครอบครัวที่แสนรักท่ามกลางธรรมชาติแห่งชนบทอันงดงาม

“ไม่อุ้มก็ได้...แต่ขอจุ๊บทีนึง นะคะ ไม่งั้นไม่มีแรงใจทำอะไรเลย” เขมขวัญทำเสียงอ้อน ทั้งไขว้คว้าคนใกล้ตัวเข้ามาใกล้ชิด นึกอยากแกล้งมารดาอย่างที่เคยทำทุกครั้งตั้งแต่เล็กจนโต

“ไม่นะคุณ...อย่าสิ...บอกว่าอย่า...”

ต้นแขนกลมกลึงถูกยึดเอาไว้แน่นทั้งคนยึดเองก็เบนตัวออกห่าง ใบหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าด้วยความโกรธหรือความอาย กับเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตั้งรับไม่ทันแบบนี้

“นะคะ...นะ....” เปลือกตาคนร้องขออย่างออดอ้อนยังคงปิดสนิท แต่รอยยิ้มทะเล้นเกลื่อนใบหน้า ทั้งทำปากยื่นจะโน้มเข้าชนแก้มชายหนุ่มให้ได้

“นี่เมาจริงหรือแกล้งเนี่ย คิดว่าผมมีเงินแล้วอยากจะหาเรื่องรวยทางลัดหรือไง...บอกให้ปล่อยได้ยินไหม...เขมขวัญ!” ทั้งเขย่าตัวทั้งใช้เสียงตะคอก

ดูเหมือนจะได้ผล เพราะทันทีที่จบคำพูดนั้น ร่างบางที่พยายามใช้ร่างกายบุกรุกเข้าสู่อาณาเขตอันตรายมีอันหยุดชะงัก เปลือกตาที่ปิดอยู่เมื่อครู่ปรือขึ้น กระพริบถี่ ๆ กระทั่งสามารถเปิดขึ้นได้เต็มดวง

“ว๊าย!” ร่างบางถึงกับผวา เมื่อสบตาคมกล้าที่อยู่ห่างไม่ถึงฟุต “นี่คุณกำลังจะทำอะไรฉัน...ปล่อยนะ...ปล่อยฉันเดียวนี้”

“คุณผมต่างหากที่ต้องปล่อยผม”กริชนะเอ่ยใบหน้ายังคงแดงก่ำ ราวกับเพิ่งจะวิ่งผ่านเปลวแดดจ้ามาไม่นาน

เขมขวัญมองลำแขนตัวเองที่โอบอยู่รอบลำคอแข็ง เธอสะดุ้งทั้งคลายมันออกฉับพลัน ใบหน้าร้อนฉ่ายิ่งกว่าถูกส่องด้วยพระอาทิตย์ยามเที่ยง...

“จู่ๆ ก็กระโจนเข้ามาจะปล้ำจูบผม ไม่รู้ตายอดตายอยากมาจากไหน”

“ฉันนี่นะจะปล้ำจูบคุณ” ดวงตาเบิกกว้าง ไม่คิดเชื่อข้ออ้างนั้นแม้แต่น้อย

“ไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร มีกันอยู่แค่นี้...”

“ทั้งๆ ที่คุณเป็นฝ่ายจับฉันนี่นะ... ”

กริชนะเหลือบมองดูมือทั้งสองข้างของตนแล้วก็สะดุ้งรีบปล่อยต้นแขนของคนผู้กำลังหาเรื่องกวนประสาทในทันที...เพราะมัว
แต่ต่อล้อต่อเถียงเลยทำให้ลืมปล่อยมือที่ยึดแน่นนั้นไปเสียสนิท

“ก็คุณจะปล้ำจูบผม...ผมก็ต้องกันไว้ให้ห่าง”

“บ้า!...”

“ไม่อยากจะเชื่อ...แค่ไวน์แก้วเดียวจะทำให้คุณเมาจนขาดสติแบบนี้” กริชนะหมุนตัวขยับไปนั่งยังเก้าอี้บุนวมที่มุมหนึ่งของห้อง

“ฉันน่ะเหรอเมา”

“ใช่...คุณเมาไวน์...เมาจนหมดสติ...เมาจนผมต้องเหนื่อยพาคุณกลับมาที่บ้าน ถ้าไม่เชื่อก็ถามลุงชูดู” กริชนะอ้างคนขับรถ

“นี่ที่บ้านคุณเหรอ...แล้ว...” เขมขวัญสลัดศีรษะแรงๆ ขับไล่ความมึนงงที่ยังค้างในสมอง พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา...นึกยังไงก็นึกไม่ออก ยกเว้นฝันเมื่อครู่...ความฝันช่วงหนึ่งในวัยเด็ก

“ตายแล้ว!” ฝ่ามือนุ่มตะปบเข้าที่ปากครึ่งจมูก มองเห็นแค่ดวงตาที่กรอกกลิ้งไปมา “ชะ...ฉันทำอะไรคุณไปแล้วหรือยัง” ใบหน้านั้นแดงซ่านด้วยความอับอายจนอยากจะบรรยาย

“ถ้าผมไม่อนุญาต...ใครก็ไม่สามารถเข้ามายุ่มย่ามกับร่างกายผมได้หรอก” คนพูด พูดหน้าตาเฉย ก่อนจะหันไปมองหญิงรับใช้ที่เดินพินอบพิเทาผ่านประตูเข้ามา

“ผ้าเย็นกับเครื่องดื่มอุ่น ๆ ได้แล้วค่ะ”

“เอาไปให้เขาโน่น” กริชนะสั่ง

“ขอบคุณค่ะ”

เขมขวัญส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เมื่อรับถาดใส่ของตามคำสั่งของเจ้านายที่ให้หามาวางไว้บนโต๊ะเล็ก ๆ ใกล้ ๆ เธอหยิบผ้าเย็นมาเช็ดหน้าแก้เก้อ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืนเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“งั้น...ฉันขออนุญาตกลับก่อนนะคะ”

“อะไรกัน...จะไปเฉย ๆ อย่างนั้นเลยเหรอ...” เสียงร้องถามห้วน ๆ

เขมขวัญได้แต่ก้มหน้างุดซ่อนความอาย เธอไม่ตอบ มีแต่จะรีบสาวเท้าผ่านประตูไปให้พ้นสายตาคมกริบที่มองดูเธออยู่แทบจะทุกย่างก้าว... “เมาได้ไงวะ...แค่ไวน์แก้วเดียว” ได้แต่บ่นกับตัวเอง

หญิงสาวพยายามนึก ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเธอจะมาอยู่ที่นี่ในบ้านหลังนี้...ไม่หรอก เธอไม่ได้เมาสักหน่อย เธอจำไม่ได้ว่าดื่ม จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เจ้านายเจรจาธุรกิจ...จำไม่ได้สักอย่าง นอกจาก...คุณป้าคนนั้น...คนที่อยู่ในภาพใบใหญ่ ๆ เหนือบันไดทางขึ้นสู่ชั้นบน เขมขวัญถึงกับหยุดชักเมื่อมองเห็นภาพนั้นชัดเจน

...ใช่แล้ว...คุณป้าคนนี้แหละ...

“บอกว่าอย่าเพิ่งไป...คิดจะขัดคำสั่งหรือไง” กริชนะตามออกมาทันตรงที่หญิงสาวหยุดยืนนิ่ง

“คนนี้ใครคะ” ถามทั้งๆ ที่สายตาไม่ได้ละไปจากภาพผืนใหญ่แผ่นนั้น

“คุณป้าผมเอง”

“คุณป้าของเจ้านาย อยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ”

“เคยอยู่...”

คำตอบสั้น ๆ นั้นเรียกให้เจ้าของใบหน้ารูปไข่หันมามองด้วยความไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไงคะ ที่บอกว่าเคยอยู่ แล้วตอนนี้ท่านย้ายไปอยู่ที่ไหน”

“ท่านเสียแล้ว”


“ฮะ...เสียแล้ว! เสียนี่หมายถึงตายใช่ไหม” ถามเหมือนคนโง่

“ใช่...มีอะไรเหรอ”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างกว่าเดิม ตัวแข็งทื่อเป็นรูปปั้นหิน โดยเฉพาะเมื่อเธอมองผ่านไปทางด้านหลังชายหนุ่มแล้วเห็นกลุ่มพลังงานบางอย่างกำลังก่อตัวให้เกิดรูปร่างที่เป็นเหมือนคนในภาพไม่ผิดเพี้ยน

“ถ้าใช่ก็แสดงว่า...ที่ฉันเห็น ฉันฝันถึง และได้ยินเสียง ก็คือ...ผะ...ผะ...” ยังไม่ทันจะจบคำพูด สติที่มีอยู่ก็เป็นอันดับวูบลงไปอีกครั้ง โดยมีร่างสูงของคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ รองรับเอาไว้ได้ทันท่วงที





ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2559, 13:04:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2559, 13:19:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1139





<< ตอนที่ 7 เมื่อช่วยแล้ว ต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง   ตอนที่10 จู่ๆ ก็ได้ย้ายบ้านซะงั้น >>
Kim 31 ต.ค. 2559, 14:07:32 น.
โธ่ยัยขวัญสติกระเจิงเลยทีนี้ คุยกับ ผ...มาตั้งนานนึกว่าจะรู้


แว่นใส 31 ต.ค. 2559, 17:00:38 น.
โธ่เอ๋ย ถูกผีสิงซะละ น่าสงสารจริง


นกขมิ้น 31 ต.ค. 2559, 18:44:59 น.
นางเอกเจอของดีซะแล้ว


Zephyr 1 พ.ย. 2559, 00:20:44 น.
นางเป็นลมใส่พระเอกตลอดสิน่า


kaelek 1 พ.ย. 2559, 00:46:31 น.
มีความตกใจ มีความเป็นลมสองรอบ คุณกริชจะเชื่อมั้ย ว่าเห็นผี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account