อัมฮารา...สุดปลายทางที่ความรัก (สนพ.ที่รัก)
เพราะคู่หมั้นหายตัวลึกลับในระหว่างปฏิบัติหน้าที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ธารวารีจึงต้องออกตามหา โดยไม่รู้ว่านายพีคนจรที่คอยตามติด คือน้องชายของคู่หมั้นที่จากกันไปนานกว่าสิบปี สองหนุ่มสาวกับการเดินทางในดินแดนอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก...อัมฮารา
Tags: ตามรักสุดแดนตะวัน อัมฮารา รักดราม่า ผจญภัย

ตอน: บทที่ 3/1 ความคิดถึงที่มาไม่ถึง

บทที่ 3/1 ความคิดถึงที่มาไม่ถึง


บ้านสองชั้นสีขาวโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค ดูแปลกตาไม่ซ้ำกับบ้านไทยหลังใดตลอดทั่วคุ้งน้ำ บ่งบอกสถานะผู้อยู่อาศัยที่ได้รับอิทธพลศิลปะยุคอาณานิคมมากพอสมควร ตัวบ้านตลอดจนแนวหน้าต่างประตูวงโค้งเกือกม้าถูกปรับปรุงซ่อมแซมทำสีให้ดูใหม่อยู่เสมอ ตลอดทั่วอาณาบริเวณเต็มไปด้วยไม้ใบและไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ร่มรื่น สงบ เป็นธรรมชาติ จนหญิงสาวต้องทึ่งอยู่ทุกโมงยามที่ได้มาเยือน

ทันทีที่เลี้ยวรถเก่าแก่คู่ใจมาจอดยังหน้าบ้าน ประตูรั้วไม้แกะสลักสวยงามก็ถูกเปิดออกต้อนรับการมาเยือนของหญิงสาวอย่างรู้งาน เด็กรับใช้ที่ดูจะอ่อนวัยกว่าธารวารีหลายปีไหว้นอบน้อม ทักทายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“สวัสดีค่ะ คุณรี ไม่เจอกันนานเลย คุณนายให้หนูมารอเปิดประตูให้ แล้วทำไมวันนี้ถึงเอารถมาได้คะ แบบนี้กลับบ้านก็ต้องขับอ้อมไปตั้งไกลทั้งที่บ้านก็อยู่แค่ข้ามฝั่งน้ำนี้เอง”

“ไม่เป็นไรหรอก พอดีฉันยังไม่ได้เข้าบ้านก็เลยแวะมาที่นี่ก่อนจ้ะ” ธารวารียื่นถุงขนมตาลมาให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“นี่จ้ะของฝาก”

“โอ้โห! หอมฉุย เจ้าไหนคะคุณรี”

“เจ้าหน้าตลาดริมคลองไง ตายจริง! ฉันก็ลืมไปเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนแท้ๆ”

ธารวารียกมือทาบอก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าว่าที่แม่สามีเป็นทั้งพยาบาลเก่าไม่พอยังจบเอกคหกรรมอีกหนึ่ง ฝีมือการทำขนมไทยไม่แพ้เจ้าใดในถิ่น แค่ติดที่ว่าไม่ได้ทำขายเป็นล่ำเป็นสันนอกจากคนใกล้ชิดจะขอช่วยให้ทำเวลามีงานมงคลเท่านั้น

“คุณนายไม่ค่อยได้ทำแล้ว ช่วงนี้คงเหงาเก็บตัวอยู่กับบ้านบ่นหาแต่คุณรุจค่ะ สงสัยคิดถึงมาก”

“เป็นธรรมดาของคนเป็นแม่นะ”

ธารวารีตอบแล้วเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องรุจิภพหายไป

“ว่าแต่เราเถอะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานสบายดีนะ มีแฟนรึยัง”

“โธ่... เจอกันทีไรถามแบบนี้ทุกที อย่างนี้หนูเขินแย่เลย”

“ยังไม่ชินอีก ฉันก็ทักอย่างนี้ทุกที นี่ไม่ได้มาสองเดือนนึกว่าจะมีความคืบหน้าซะอีก”

หล่อนหยอกล้อราวคนกันเอง เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้เด็กสาวหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ยืนบิดตัวไปมาท่าทางขวยเขินเป็นที่ขบขัน ธารวารีนึกเอ็นดูจึงคุยเล่นสนิทใจ

ทักทายกันครู่ใหญ่ ช่างภาพสาวก็นำรถเข้ามาจอดยังบริเวณหน้าประตูบ้านใต้ลีลาวดีต้นใหญ่ สายตามองตรงเข้าไปในตัวบ้านอย่างคุ้นเคยแต่บ้านเงียบกริบจนน่าสงสัย ก่อนเอื้อมหยิบถุงขนมไทยเจ้าอร่อยห่อใหญ่สำหรับเจ้าของบ้าน พร้อมกระเช้าผลไม้ผูกโบว์สวยงามจะเดินเข้าไปในบ้านแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเดินผ่านศาลาท่าน้ำ

“หนูเอาขนมไปไว้ให้ก่อนก็ได้ค่ะ คุณรี”

“ฉันเห็นมีรถจอดอยู่ สงสัยคุณป้ามีแขกมา ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันตามเข้าไปนะ”

พูดจบหล่อนก็เดินแยกตัวไปท่าน้ำ ละอองฝนปลิวมาปะทะผิวโผล่พ้นเสื้อเชิ้ตตัวบางอยู่เป็นระยะแต่ธารวารีไม่ทันได้ใส่ใจ สายตาทอดยาวไกลออกไป กอบัวหย่อมใหญ่กลางน้ำแสนสวยในอดีตเต็มไปด้วยวัชพืชน้ำขึ้นแซมเกือบเต็มพื้นที่ กลิ่นหอมของดอกแก้วยืนต้นเรียงแถวเป็นแนวตลอดทางเดินยังคงความหอมอบอวลตลอดทางให้ใจชื่น จิตใจเพลินเพลินลอยละล่องไปไกลถึงใครคนที่อยู่แสนไกล หล่อนยังยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึงเขา

“พี่รุจจะไปนานรีเปล่าคะ”

“น่าจะสองปีจ้ะ”

“ทำไมต้องไปด้วยคะ”

คำถามที่หล่อนนึกออกยามได้ยินจากปากคนรักว่าเขาจะไปทำงานต่างแดน สองหนุ่มสาวยืนเคียงกันมองฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกรากในวันฝนพรำเฉกเช่นเดียวกับวันนี้ที่ศาลาริมน้ำสถานที่ที่มักจะใช้พบปะ พูดคุย หยอกล้อกันอยู่เนืองนิจ ชายหนุ่มเหลือบมองสาวน่ารักข้างกายแล้วคว้ามือนิ่มมากุมไว้ ดวงตาคมสีดำสนิทจ้องลึกเข้าไปในตวงตาสีสนิมของหญิงสาวร่างบอบบาง

“ที่นั่นขาดแคลนอายุรแพทย์โรคติดเชื้อ พี่อยากจะใช้โอกาสที่ไปทำงานกับองค์การแพทย์ไร้พรมแดนทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคระบาดในแถบ จงอยแอฟริกาไปในตัว พี่อยากตามฝันให้สำเร็จก่อนที่เราจะแต่งงานกัน หรือถ้ายังไม่สำเร็จพี่ก็ขอเข้าใกล้มันให้มากที่สุด รีเข้าใจพี่ใช่ไหม”

“รีเข้าใจ ว่าแต่จงอยแอฟริกาอยู่ที่ไหนหรือคะ ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้น”

“แถวนั้นเรียกว่าคาบสมุทรโซมาลี มีเอริเตรีย จิบูติ เอธิโอเปีย กับโซมาเลีย พี่เลือกไปเอธิโอเปียเพราะที่นั่นเป็นประเทศที่ประชากรเจ็บป่วยและยากจนมาก อยากรู้ว่าพวกเขามีความเป็นอยู่ยังไง ทำไมประชากรของเขาถึงล้มตายกันมาก โรคระบาดอย่างพวกหัด พวกอหิวาห์ตกโรคมีอิทธิพลมากขนาดไหน พี่อยากรู้ให้ละเอียดลึกซึ้งกว่าที่ศึกษาจากในตำราน่ะ”

ธารวารีนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาเป็นประกายด้วยความชื่นชมคนรัก รุจิภพเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจทำอะไรมักไม่ค่อยพลาด แม้แต่การเรียนเขายังทำได้ดีจนได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง จบเฉพาะทางได้ในเวลาที่กำหนดไม่เท่าไหร่ก็ได้เป็นอาจารย์หมอ หล่อนได้แต่เฝ้ามองด้วยความชื่นชมคอยให้กำลังใจ และต้องไล่ตามหลังเขาอยู่เสมอ

“นั่นสินะ ก็พี่รุจใฝ่ฝันอยากจะเป็นศาสตราจารย์นี่ รีก็ต้องเข้าใจสิคะ”

“ขอบคุณนะที่เข้าใจพี่ หวังว่าพอพี่กลับมา รีคงได้จัดนิทรรศการภาพถ่ายในฝันได้สำเร็จเหมือนกัน”

“อนาคตศาสตราจารย์นายแพทย์รุจิภพกับธารวารีช่างภาพระดับโลกต้องเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากค่ะ”

หล่อนยังจำอ้อมกอดสุดท้าย สัมผัสอบอุ่นจนแทบไม่อยากปล่อย รู้สึกถึงหัวใจสองดวงที่เต้นรัวเร็วเป็นจังหวะเดียวกัน แต่นั่นมันก็สามปีมาแล้ว เกินกว่ากำหนดที่บอกไว้ เป็นสามปีกับการรอคอยอย่างไม่รู้จุดหมาย...


บรรยากาศในตัวบ้านเงียบเหงาวังเวง ธารวารีก้าวตามสาวรับใช้เข้ามาติดๆ ดวงตากลมกลอกไปมามองหาแม่ของคู่หมั้นแต่ไม่เห็นแม้เงา

“นี่ แป๋ว ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นคุณป้าเลย แล้วแขกไปไหนกันหมดแล้ว”

“อยู่ค่ะ เอ๊ย... ไม่ใช่ค่ะ ไม่อยู่ กลับกันหมดแล้วค่ะ”

“กลับกันหมดแล้ว ได้ยังไง ฉันรอที่ท่าน้ำไม่ได้ยินเสียงรถออกไปสักคัน นั่นไงยังจอดอยู่” ธารวารีแย้ง

“อ๋อ นั่นรถเพื่อนคุณป้า เอามาฝากจอดไว้ค่ะ” แป๋วมีท่าทีอึดอัดตอบ

“ทำไมต้องฝาก”

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คุณรี”

“แปลก หรือว่าฉันค่อยมาใหม่พรุ่งนี้น่าจะดีกว่านะ”

ธารวารีขมวดคิ้วมุ่นคิดหนัก ตัดสินใจไม่ถูกเกรงใจก็เกรงใจ แต่อยากถามไถ่เรื่องรุจิภพก็อยาก ยังไม่ทันคิดตัดสินใจไฟในบริเวณบ้านก็ดับลง

“เอ๊ะ! ทำไมไฟดับ แป๋ว!”

ธารวารีเลิ่กลั่ก ถึงแม้จะทำงานในห้องมืดเป็นประจำ แต่นั่นคืออาณาจักรส่วนตัวของหล่อนที่ไม่ใช่บ้านเก่าหลังใหญ่โตเช่นนี้ แค่คิดก็เริ่มหวั่น แถมสาวใช้ยังเงียบเสียงราวกับไม่มีใครอยู่แถวนั้น

“แป๋ว แป๋ว ยังอยู่ตรงนี้รึเปล่า ฉันกลัวนะ”

ธารวารีหันรีหันขวางตกใจ เมื่อเรียกหาแต่ไม่มีเสียงตอบรับใดกลับมานอกจากความเงียบ เท้าเริ่มก้าวเดินสะเปะสะปะ ถึงจะเคยคุ้นกับบ้านนี้พอสมควรแต่ใช่ว่าจะห้ามความกลัวได้ ยิ่งมืดๆ อย่างนี้บรรยากาศยิ่งวังเวงจนหล่อนรู้สึกหนาวจับใจ
แล้วเท้าก็สะดุดกับอะไรบางอย่างจนเสียการทรงตัว พับเพียบลงไปกองกับพื้นแบบหมดสภาพ ดวงหน้านวลเหยเกกับความรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าขวา

“โอ๊ย! เจ็บ”

“ยายรี! / หนูรี! / คุณรี!”

เสียงอุทานลั่นดังพร้อมกับไฟสว่างจ้าแทบจะทันทีจนธารวารีถึงกับสะดุ้ง สามสาวต่างวัยหน้าตาแตกตื่นกรูกันเข้ามาถึงตัวช่วยประคอง ธารวารีถูกพยุงตัวลุกขึ้นทั้งเจ็บแปลบ งุนงง เมื่อพบว่าคนที่ประคองหล่อนคือ

“แม่! ทำไมมาอยู่นี่ได้คะ”

“มารอเซอร์ไพรส์นะสิ... ยายลูกซุ่มซ่าม” ธาราค้อนขวับยังไม่ยอมปล่อย ในขณะที่คนอื่นถอยออกมายืนขำขันหล่อน

“เซอร์ไพรส์มากค่ะ อยู่ดี ๆ แกล้งให้ไฟดับอย่างนี้ หนูก็นึกว่าผีหลอกซะแล้ว”

ช่างภาพสาวหน้าแดงก่ำเกาะแขนแม่ไว้เพื่อพยุงตัวก่อนจะมองเลยไปที่เจ้าของบ้าน รมณีย์แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อได้ฟังคำตอบ

เสียงฝ่ามือกระทบแขนดังลั่น แม่ของหล่อนมือหนักชนิดไม่เกรงใจเนื้อหนังอ่อนบางสักนิด แถมตามด้วยคำพูดให้ได้อายต่อหน้าใคร ๆ

“นี่แน่ะ ผีเผอ บ้าบอที่ไหนกัน ลูกฉันนี่มันเพ้อเจ้อแล้วพี่ณีย์ สงสัยดูหนังผีแล้วมโนภาพมากไป”

ธาราหันไปพยักเพยิดกับรมณีย์ที่ยืนหัวเราะอยู่ใกล้ ๆ ทันใดนั้นชยานุช นภัทร ก็หอบช่อดอกลิลลี่สีขาวเดินยิ้มแฉ่งเข้ามา ธารวารีรับช่อดอกไม้มาถืออย่างงุนงง ถามกลับเพื่อนรัก

“มาอยู่นี่กันได้ไง รีไม่เห็นรถพี่ท็อป แล้วรถเธอละนุช”

“ฉันมากับพี่ท็อป” ชยานุชลอยหน้าตอบ

“พอ... ไม่ต้องสงสัย ถ้าฉันเอารถตัวเองมา ก็หลอกแกไม่ได้นะสิยายรี” นภัทรตอบเสียก่อนที่ธารวารีจะได้ถามย้ำ

คนโดนหลอกถึงกับหน้ามุ่ยค้อนให้แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเมื่อนึกได้ “ลิลลี่สีขาวเนื่องในโอกาสอะไร ยายนุช พี่ท็อป”

“ดอกไม้แสนสวยสำหรับคนเก่งสิยะ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะมีหนังสือมาสัมภาษณ์เรื่องนิทรรศการครั้งต่อไปนี่ อย่าบอกนะว่าลืมแล้ว”

“ไม่ลืม ยังแปลกใจอยู่ว่าทำไมหนังสือหัวเดิมที่เคยลง ถึงโทรมานัดขอสัมภาษณ์น่ะสิ ไม่รู้นึกครึ้มอะไรขนาดไม่ได้ออกงานไหนเลยนะช่วงนี้”

“ก็ดีแล้วไง อยู่ในกระแสตลอด แสดงว่าคนรอติดตามผลงานแกเยอะอยู่นะรี”

ชยานุชโอบไหล่เพื่อนรักที่อุ้มดอกไม้ช่อโตไว้แนบอกอย่างชื่นชม นภัทรยืนยิ้มข้าง ๆ ไม่วายสัพยอก

“เออ... สงสัยนักข่าวจะมาถามว่าเมื่อไหร่แกจะไปจับเสือ ดูดนมลิง กินรังผึ้งบนต้นไม้ซะที ได้ข่าวว่าจะไปเอธิโอเปีย อะไรทำนองนี้รึเปล่าวะ ยายรี”

“เชอะ อย่าดูถูกประเทศเขานะ เดี๋ยวนี้พัฒนาไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว อย่ามาแกล้งกันซะให้ยากเลย พี่ท็อป... รีจะไปไม่กลัวคำขู่หรอก”

ธาราฟังนภัทรพูดจบก็ออกอาการเงียบขรึมไปทันที ธารวารีเห็นท่าทางแม่แล้วก็ค้อนขวับคนปากมาก จนชายหนุ่มรู้ตัวรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ถามจริงเราจะไหวรึ ไปหานายรุจน่ะ มันอันตรายนะเว้ย แค่ไฟดับแกยังจับกบหน้าตื่นขนาดนี้ น่าถ่ายรูปเจ้าของนิทรรศการเวลาออกอาการแพนิกหัวชี้หัวตั้งว่ะ”

“บ้า! ถ้าไม่คิดจะพูดให้ดีกว่าเดิมก็เงียบไปเลยพี่ท็อป ดูสิ แม่รีจะร้องไห้อยู่แล้ว บาปกรรมนักนะคุณหมอ”

ธารวารีหน้ามุ่ยสวนกลับเรียกเสียงหัวเราะครึ้นเครง และก็ได้ผลเมื่อรมณีย์ออกโรงปราม

“ตาท็อป ไม่ต้องมาแซวว่าที่ลูกสะใภ้ป้าเลย ระวังเถอะอย่าให้เผลอ จะให้แม่เราจับแต่งงานกับสาวสักคนจะได้ไม่ว่างมากวนน้องนุ่ง”

“หึหึ ไม่ได้ผลหรอกคุณป้า ผมน่ะรักชีวิตโสดยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด อย่าหวังเลยว่าสาวคนไหนจะมาพาผมลงจากคาน ผมไม่หลงกลเล่นเกมจับคู่ของคุณป้าทั้งสองแน่”

คำตอบเล่นลิ้นชวนตลก ทำให้ชยานุชเหลือบมองชายหนุ่มด้วยสายตาเคลือบแคลง ไม่ทันที่ใครจะได้สังเกตเห็นโดยเฉพาะตัวคนพูดเอง มีเพียงธารวารีที่แอบสังเกตพฤติรรมเพื่อนรักด้วยความสงสัย ยังไม่ทันได้ความกระจ่าง รมณีย์ก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ว่าแต่หนูจะไปหารุจคนเดียวจะดีหรือจ้ะ แม่เป็นห่วง ไหนจะห่วงรุจไม่พอต้องมาห่วงหนูอีก”

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะคุณแม่ หนูตั้งใจไปทำงานด้วย แล้วก็จะได้เจอพี่รุจ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยไงคะ ป่านนี้พี่รุจคงตื่นเต้นเตรียมตัวรอรับแล้ว คุณแม่อย่าห่วงเลยนะคะ พี่เขาต้องดูแลหนูอย่างดีที่สุดเลย”

ธารวารีเกาะแขนแม่ว่าที่สามียิ้มประจบเอาใจ แต่พอจบคำพูดก็หันไปเจอสายตามองมาอย่างเป็นห่วงทั้งจากนภัทรและชยานุช ก็ได้แต่ยิ้มแห้งแล้งให้ รู้ดีว่าทั้งสองเป็นห่วงหล่อนแค่ไหน เพราะรู้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไรจึงเลือกที่จะเงียบไม่ต่อความให้หล่อนอึดอัด และอาจบานปลาย หากแม่ของรุจิภพรู้เรื่องที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหายตัวไปจะต้องเป็นห่วงกังวลแทน


ประตูรั้วไม้สีขาวปิดลงหลังจากรถยนต์ของชยานุชและธารวารีแล่นออกไป ใครบางคนเฝ้ามองตามรถญี่ปุ่นคันเล็กไปจนลับก่อนจะเบนสายตามองเข้าไปในตัวบ้านอยู่นาน สีหน้านิ่งเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกแล้วขับรถออกไป

รมณีย์ยืนอยู่ริมระเบียงมองตามจนรถยนต์คันนั้นแล่นไปลับตา ใบหน้าเนียนแต่กร้านด้วยวัยมีร่องรอยเศร้าหมอง แป๋ววิ่งกลับเข้ามาในตัวบ้านหลังจากปิดประตูรั้วเรียบร้อยสีหน้าแตกตื่น

“คุณนายคะ เมื่อกี้มีใครก็ไม่รู้มาจอดรถหน้าบ้านเราตั้งนาน แปลกมากเลยค่ะ พอหนูสังเกตเห็นจะเดินไปดู ก็”

“เขาไปแล้วหรือ”

“เขาไหนคะ อ๋อ ถ้าหมายถึง คุณรี คุณป้า คุณนุช คุณท็อป ไปกันหมดแล้วค่ะ”

รมณีย์ส่ายหน้า อ่อนใจขี้เกียจอธิบายจึงเลี่ยงคำตอบ

“ก็จะเขาไหน แม่จอมล้น ช่างเถอะไปนอนได้แล้ว ฉันก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน ดูแลปิดประตูปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยนะ”

รมณีย์มองตามแม่บ้านสาวก่อนจะถอนหายใจ เหน็ดเหนื่อยจนขี้เกียจอธิบาย ยิ่งนึกถึงเจ้าของรถคันที่จอดอยู่ริมรั้วเมื่อครู่แล้วก็ได้แต่ไม่สบายใจ สายตาชำเลืองไปทางโทรศัพท์อย่างนึกอะไรได้ ลังเลใจที่จะหยิบมันขึ้นมาแต่ในที่สุดก็อดใจไม่ไหว ทันทีที่ปลายสายรับโทรศัพท์ รมณีย์ยิ้มทั้งน้ำตา

“ภู... ภูใช่ไหม กลับมาแล้วทำไมไม่เข้ามาหาแม่”

ไม่มีเสียงตอบกลับจากปลายสาย มีเพียงความเงียบและเสียงสะอื้นที่กลั้นไม่อยู่ นึกรู้ว่าใครคนนั้นที่เฝ้ามองไม่ใช่ใคร เพียงแค่เห็นเงาภายในรถ หล่อนก็มั่นใจ รีบออกมาดูที่ริมระเบียงมองหาแต่ไม่เจอ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า ^___^



lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2559, 08:51:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2559, 08:51:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1173





<< บทที่ 2/2 เฉียด   บทที่ 3/2 ความคิดถึงที่มาไม่ถึง >>
อังค์จิก 1 พ.ย. 2559, 16:25:20 น.
ปิดท้ายแบบแอบดราม่าาาา
โอย


lovereason2 1 พ.ย. 2559, 23:51:49 น.
ดราม่านิดๆ จิตแจ่มใส เอ๊ยไม่ใช่ค่า
ภูเป็นเด็กมีปัญหานะ อิอิ


ปริยาธร 6 พ.ย. 2559, 07:43:18 น.
ภูมีปัญหาอะไรกับทางบ้านหว่า


lovereason2 6 พ.ย. 2559, 19:51:35 น.
พี่นุ้ย - เอาไว้ค่อยเฉลยค่า แต่อีกนานเลย แหะๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account