อัมฮารา...สุดปลายทางที่ความรัก (สนพ.ที่รัก)
เพราะคู่หมั้นหายตัวลึกลับในระหว่างปฏิบัติหน้าที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ธารวารีจึงต้องออกตามหา โดยไม่รู้ว่านายพีคนจรที่คอยตามติด คือน้องชายของคู่หมั้นที่จากกันไปนานกว่าสิบปี สองหนุ่มสาวกับการเดินทางในดินแดนอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก...อัมฮารา
Tags: ตามรักสุดแดนตะวัน อัมฮารา รักดราม่า ผจญภัย

ตอน: บทที่ 3/2 ความคิดถึงที่มาไม่ถึง

“แม่คิดถึงภู ไม่คิดจะพูดกับแม่สักคำหรือ... ลูก”

เงียบงัน ไม่มีเสียงตอบรับ!

โทรศัพท์ยังไม่ถูกตัดสายแต่อย่างใด รู้ว่าคนที่อยู่ปลายสายกำลังฟังอยู่ เงียบไปอีกชั่วอึดใจจนต้องเอ่ยคำสุดท้ายที่หวังว่าลูกชายจะได้รับรู้

“งั้นแม่ไม่กวนใจภูแล้ว ว่างเมื่อไหร่แวะมาหาแม่บ้างนะลูก แม่รักและคิดถึงภูนะ”

ภูบดีจอดรถข้างทางตั้งแต่ยังขับออกไปไม่พ้นปากซอย เพราะหมายเลขที่โทรมาทำให้เขาอึ้งแต่สุดท้ายก็กดรับ น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกภาวะทางอารมณ์ดังสะท้อนมาตามสายจนคนฟังอยู่นานรู้สึกสะท้าน ใจหายแต่ไม่สามารถสรรหาถ้อยคำกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ ไม่คิดจะตอบ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว

“ผม... คิดถึงแม่”

“ภู! ลูกจริง ๆ ด้วย มาหาแม่เถอะ แม่อยากเจอ ตอนนี้รุจไม่อยู่ไปเอธิโอเปียหลายปีแล้ว แม่อยากให้ภูกลับมาอยู่บ้านเรา แม่เป็นห่วง คิดถึงอยากเจอลูกมาก”

ชายหนุ่มยิ้มเยาะให้กับคำหวาน น้ำเสียงห่วงใยแต่จริงใจหรือไม่ เขาไม่เคยรู้ รู้แต่ว่าตอบกลับไปแบบประชดประชันที่สุด

“บ้านเราหรือครับ ไม่มีบ้านเราหรอก แม่คิดถึงอยากเจอผม เพราะลูกชายสุดที่รักของแม่ไม่อยู่ต่างหาก”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ตั้งแต่แม่รู้ข่าวว่าพ่อเสียก่อนถึงวันรับปริญญาลูก แม่เป็นห่วงมากอยากไปหา แต่ว่า”

“แต่ผมไม่สำคัญเท่าพี่ ผมรู้แล้วครับ แม่ไม่เคยติดต่อหา จดหมายสักฉบับก็ไม่มี กี่ปีแล้วครับกับความคิดถึงที่มาไม่ถึงของแม่ แม่ลืมผมสนิทเลย”

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่! อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับพี่เขาสิลูก แม่ไม่เคยลืมภู แต่แม่เลี้ยงของภู เธอไม่...”

“ไม่อะไรครับ” ภูบดีสวนทันควัน “ผมอยากรู้เหตุผลว่าทำไมแม้แต่พ่อเสียแม่ถึงไม่โทรหา ถามสักคำก็ได้ว่าผมยังอยู่สบายดีไหม”

“แม่จะบอก... ถ้าลูกยอมกลับบ้านเรา”

รมณีย์ถึงกับสะอื้นจนเขาได้ยินมาตามสาย แต่ทิฐิมานะมากเกินจะเปิดใจ

“ผมไม่ใช่เด็กที่แม่จะมาหลอกล่อด้วยคำพูดสวยหรู”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ แม่แค่อยากให้ลูกกลับบ้าน”

“ไม่มีบ้านเราหรอกครับแม่ บ้านของผมคือโรงเรียนประจำ หอพักนักศึกษา และร้านอาหารอีกไม่รู้กี่ร้านต่อกี่ร้านที่เวียนเข้าเวียนออกในแต่ละวัน เพื่อทำงานแลกเงินใช้เป็นค่าเล่าเรียนที่โน่น”

ชายหนุ่มแค่นยิ้มเมื่อได้พูดออกไป แม่คงเจ็บปวดกับคำพูดของเขาแต่คงไม่เท่ากับที่เขาได้รับในวัยเด็ก ยามที่ต้องถูกทิ้งให้อยู่ต่างถิ่นเพียงลำพัง แม่ไม่รู้สักนิดว่าเขาจะเป็นหรือตายอยู่ได้หรือไม่ นับจากวันที่พ่อแต่งงานใหม่ กับผู้หญิงม่ายคนนั้น

“แม่พยายามที่สุดแล้ว พ่อเขาไม่ยอม เลือกที่จะพาลูกไป แต่ภูก็โตมาได้ดีไม่ใช่หรือลูก ศัลย์แพทย์หัวใจจากมหาวิทยาลัยกรีนแลนด์คนนี้ คือลูกชายคนเล็กที่แม่ภูมิใจมากนะ”

“ฟังแล้วซาบซึ้งน้ำตาแทบไหล” ภูบดีกลั้นน้ำตาพูดต่อ พยายามไม่ให้เสียงสะอื้นของเขาเล็ดลอด

“แต่คงไม่ทำให้แม่ภูมิใจได้เท่ากับว่าที่รองศาสตราจารย์แห่งองค์การแพทย์ไร้พรมแดนอย่างพี่รุจหรอก... ใช่ไหมครับ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกนะลูก”

“แค่นี้นะครับ ผมยุ่ง”

“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งวาง”

ภูบดีกดตัดสายทิ้งโดยไม่ฟังคำทักท้วงให้จบ ได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่ทีไร หัวใจที่แข็งแรงก็พาลจะเจ็บปวด น้ำตารื้นจนต้องปาดทิ้งก่อนที่มันจะไหลออกมาประจานความอ่อนแอ

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่ปลดปล่อยอารมณ์ให้จ่อมจมอยู่ในวังวนของอดีต ความสุขในวัยเยาว์ รอยร้าวในอดีตที่ส่งผลให้เขาต้องพลัดพรากจากแม่และพี่ชายราวกับเป็นเส้นขนานไม่มีวันบรรจบ



เสียงเคาะประตูห้องดังสองสามครั้งกว่าภูบดีจะรู้สึกตัว ร่างกำยำในชุดลำลองลุกขึ้นบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยขบเดินไปเปิดประตูต้อนรับคนมาใหม่ที่แทบจะไม่ต้องเดาว่าใครที่รู้ว่าเขาพักโรงแรมไหน นอกจาก... ทิวา

ทันทีที่เปิดประตู หล่อนก็ค่อนขอดเขาด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดประชันทันที

“มาเปิดช้าจังนะภู เรายืนรอจนขาจะแข็งแล้ว”

ดวงหน้านวลแต่งแต้มเครื่องสำอางสวยงามอย่างที่ไม่เคยเป็นในเวลาทำงานบัดนี้งอง้ำ ภูบดียิ้มเล็กน้อยแต่สีหน้ายังอิดโรยและหม่นหมองจนทิวารับรู้ได้

“ไม่คิดจะพูดอะไรสักคำหรือ เอารถไปตั้งแต่บ่ายไหนว่าจะมารับเรากลับบ้านไง”

ทิวาก้าวตามภูบดีที่เดินคอตกหมดอาลัยตายอยากมาทิ้งตัวลงโซฟา อดไม่ได้ที่จะถามไถ่แต่คำพูดห้วนจนชายหนุ่มถึงกับเอือม

“เป็นอะไรไป เมื่อวานหายไปทั้งวันเลยนะ ไปไหนมาบ้างถึงหน้ามุ่ยแบบนี้ เราไม่ว่าหรอกนะที่เอารถไปใช้ แต่โทรบอกกันหน่อยก็ไม่ได้ ปล่อยให้รอเก้อถ้าเราไม่มา ภูก็ไม่คิดเป็นห่วงเราเลยสินะ”

“เข้าใจแล้ว ขอโทษทีที่ยืมรถไปข้ามวันข้ามคืน เอาไว้กลับมาเราจะซื้อรถเอง ไม่ต้องห่วงไม่รบกวนวานานหรอก”

“ภูพูดเหมือนจะไปไหน”

หล่อนถามสีหน้าสงสัย ภูบดีตัดบทเอาหมอนอิงปิดหูนอนเหยียดยาวบนโซฟา แอบลอบมองหล่อนทั้งที่ทำเป็นพักสายตา

“เราไม่เคยคิดว่าเป็นการรบกวนหรอกนะ เราเต็มใจ ก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง กลับบ้านเถอะ ภูก็รู้นี่พี่รุจหายตัวไปจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แม่ภูดูเหมือนจะยังไม่รู้เรื่องนี้ ทางคู่หมั้นเขาก็ปิดเงียบคงคิดจะไปตามเองว่างั้น”

ภูบดีนอนนิ่งฟัง ถึงจะทำทีไม่สนใจเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่พอเหลือบเห็นทิวานั่งทอดถอนใจจ้องมองเขานิ่งโดยไม่พูดอะไรอีกก็นึกเสียใจอยู่นิด ๆ

ทิวาเป็นเพื่อนรัก คู่คิด แต่ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้

หญิงสาวหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่เขาเอาติดมือมาขึ้นมาเปิดดูสิ่งของข้างใน

“นี่มันสมุดรับรอง หนังสือเดินทาง ของ... เอ๊ะ! เอกสารของคู่หมั้นพี่รุจมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

หล่อนถามเสียงสูง ส่งผลให้คนแกล้งหลับทะลึ่งพรวดลุกมากระชากสิ่งของออกจากมือของทิวาทันที

“อย่ามายุ่งของของเรา!”

ภูบดีเสียงกร้าว ดวงตาขึงขังหวงสิ่งของในซองราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าของเขา



ในขณะที่สองหนุ่มสาวกำลังอยู่กับบรรยากาศอึมครึมกันนั้น คนต้นเรื่องเจ้าของเอกสารกลับไม่รู้ตัว ร่างบอบบางในชุดอยู่กับบ้านกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้เอนตัวยาวมุมหนึ่งของศาลาท่าน้ำอย่างครุ่นคิด

…ศิลปะของการถ่ายภาพ คือการรังสรรค์งานศิลป์ด้วยแสง ที่แตกต่างจากงานศิลปะแขนงอื่นอย่างเห็นได้ชัด ภาพจะสวยหรือไม่ อยู่ที่เราจะสามารถสื่อสารกับแสงและเงาได้อย่างสมดุล...

ธารวารีพึมพำอ่านทบทวนที่เขียนไว้ในสมุดโน้ต หมุนปากกาในมือไปมาอย่างครุ่นคิด มันยังมีอะไรที่ไม่ลงตัวในบทนำของสกู๊ปพิเศษเรื่อง ‘แสงและเงา’ ที่หล่อนเป็นคอลัมนิสต์ประจำ เมื่อนึกคำพูดขึ้นมาได้อีก ก็จดต่อจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบกาย

ดวงตาสดใสมุ่งมั่นครุ่นคิด ขณะมองดอกบัวในบึงที่ใบแผ่ซ้อนทับจนดอกโดนบังแสงมิด มองแทบไม่เห็นว่ามีความงามซ่อนอยู่ภายใต้กอใบบัว ความคิดหนึ่งก็ฟุ้งขึ้นมาทันที

“รู้แล้ว! ยายรีเอ๊ย ถ้าสมองลื่นปรื๊ดแบบนี้ทุกวัน คงไม่มีปัญหาโดนทวงต้นฉบับแน่ ๆ” ช่างภาพสาวผู้ควบตำแหน่งคอลัมนิสต์ยิ้มอย่างพอใจ

…ฉะนั้นการเรียนรู้ศิลปะของการถ่ายภาพไม่ใช่เรื่องยาก เพียงใส่ใจ สังเกตฝึกฝนจนชำนาญ ก็จะเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่ง งานศิลป์จะสวยไม่จำเป็นต้องหาอะไรที่ยุ่งยาก เพียงแสงและเงาที่สาดในช่วงจังหวะที่พอเหมาะ คุณก็สามารถมีภาพที่สวยได้ด้วยตัวคุณเอง…

“เสร็จแล้ว ในที่สุดก็เสร็จไปอีกหนึ่งตอน ปรบมือให้กับความขยันของเธอนะธารวารี”

หล่อนให้กำลังใจตัวเอง ไม่ทันได้เห็นว่าใครมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง

“ทำอะไรอยู่ลูก”

ธารวารีสะดุ้งเล็กน้อย รับรู้ถึงสัมผัสอุ่นที่ลูบเรือนผมแผ่วเบา รีบวางปากกาแล้วยิ้มให้แม่ที่ทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน โดยมีนมอุ่นและขนมขบเคี้ยวมาให้อย่างใส่ใจเช่นเคย

“เขียนคอลัมน์ศิลปะการถ่ายภาพค่ะ กลับมาคราวนี้หนูว่าจะขอบก. รวมเล่มแจกเป็นสเปเชียลอิดิชั่นสำหรับคนที่ประมูลภาพในงานนิทรรศการด้วย”

หญิงสาวเล่าพลางพลิกสมุดโน้ตเล่มเล็กไปมา แต่ละหน้ามีรอยขีดเขียนเต็มไปหมด ทั้งร่องรอยดินสอที่วาดเป็นฉากคร่าว ๆ ราวกับจะคิดว่ายังมีสิ่งใดน่าสนใจให้หล่อนบันทึกเพิ่มอีก

“แม่ว่าจะถาม” ธาราเว้นระยะก่อนจะต่อ

“แน่ใจนะว่าบอกรุจแล้ว ไม่ใช่แอบไปไม่ให้เขารู้ตัว แม่เป็นห่วงนะรู้รึเปล่า”

คำพูดของแม่ทำให้หล่อนอึ้ง ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอก แต่เพราะว่าที่ลูกเขยของแม่ต่างหากที่ขาดการติดต่อจนหล่อนนึกเป็นห่วง พยายามไม่ให้ความกังวลแสดงออกมาทางสีหน้า

“ค่ะ แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะ พี่รุจดีใจจะตายตอนหนูโทรไปบอก ยังฝากความคิดถึงถึงแม่อยู่เลย พี่เขาเป็นสุภาพบุรุษรับรองลูกสาวแม่ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”

หล่อนโกหกเพื่อความสบายใจแต่ใช่ว่าจะไม่หวั่นใจ รีบเสเปลี่ยนเรื่องก่อนแม่จะจับความรู้สึกนึกคิดได้ ทำทีเป็นหยิบแก้วนมอุ่นขึ้นมาจิบและเคี้ยวขนมพลาง

“พรุ่งนี้สัมภาษณ์เสร็จ หนูว่าจะไปตัดผมสักหน่อย จะไปสมบุกสมบันผมยาว ๆ ท่าทางจะไม่ค่อยสะดวก”

“ก็ดีเหมือนกันกระเซอะกระเซิงก็ปานนี้ไม่เป็นผู้หญิงเสียเลยลูกแม่”

“แหม! แม่ก็พูดเกินไป ลูกสาวขายไม่ออกกันพอดี” หล่อนค้อน

“เอาเถอะ อะไรที่สบายใจก็ทำไป แต่แม่ไม่ไปด้วยหรอกนะเบื่อร้านทำผม”

“หนูก็เบื่อ ไปทีไรต้องรอนาน ๆ หนูว่าจะเอาผมที่ตัดส่งไปบริจาคสถาบันมะเร็งนะแม่ ได้บุญดีด้วย”

“แม่เห็นดีด้วย ว่าแต่ลูกเถอะวันนี้ทำไมไม่ขลุกอยู่ในสตูดิโอแบบทุกวันล่ะ”

“หนูลืมบอกแม่ไปว่าห้องมืดแอร์เสียตั้งแต่เมื่อคืน เรียกให้ช่างมาซ่อมตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่มาเลย ถ้าเขามาแม่ให้พี่นาพาไปที่สตูดิโอด้วยนะ เดี๋ยวหนูจะออกไปหาซื้อของจำเป็นสำหรับเดินทางเสียหน่อย แม่รู้รึเปล่าว่าที่หนูจะไปคราวนี้นะครีมกันแดดสามสิบยังเอาไม่อยู่เลย เห็นว่าต้องห้าสิบขึ้น กะจะไปซื้อสักหลาย ๆ ขวด ให้รู้ไปว่าแดดเอธิโอเปียรึจะสู้ครีมกันแดดเมืองไทยได้”

“คิดว่าจะพ้นหรือไง ไปไหนไม่ไปไปเมืองร้อนขนาดนั้น อย่ากลับมาหน้าดำเป็นท่านเปาก็แล้วกัน”

ธาราแย้งแต่ไม่ทันเมื่อธารวารีพูดจบก็หยิบสมุดบันทึกจะเดินตัวปลิวออกไปจากศาลา แต่ก่อนไปยังหันมาหยอกแม่

“หนูไปดีกว่า อย่าลืมนะแม่ ช่างแอร์มาให้พี่นาต้อนรับให้ดีด้วยนะคะ หนูต้องได้ใช้ห้องมืดคืนนี้นะ”

“โธ่เอ๊ย... ลูกคนนี้ เขาถึงว่ากันว่าอยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน อยู่ใต้แดดอย่ากลัวดำ” ธาราส่ายหน้าแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงแทรกเข้ามา

“ใครตลกคะ คุณป้า”

แม่บ้านสาวยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใกล้ ๆ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นทำให้ธาราต้องถามกลับ

“แล้วบ้านมีกี่คนจ๊ะ... คุณนา”

“คุณป้า น้องรี กับหนูค่ะ”

“ก็นั่นสิ ไม่ใช่เธอ ไม่ใช่ฉัน แล้วจะใคร”

ธารากอดอกทำตาดุ แม่บ้านสาวครุ่นคิดใหญ่โตกว่าจะอ้อมแอ้มบอก

“น้องรีหรือคะ... คุณป้า”

“ก็แน่ละสิจ้ะ จะใครเสียอีก ก็ยายลูกสาวคนเดียวที่ไม่ยอมแต่งงานออกเรือนไปสักทีนั่นแหละ”

พอได้ประชดประชันลูกสาวที่ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ยิน ความไม่สบายใจเมื่อครู่พลันละลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะเดินเข้าบ้าน ธารากำชับให้แม่บ้านสาวคอยดูแลเผื่อช่างแอร์มาซ่อมห้องมืดในสตูดิโออีกด้วย


“โอ๊ย! อยู่ไหน! หายไปไหนทำไมหาไม่เจอ”

ธารวารีโวยวายอยู่คนเดียวในห้องนอน ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายด้วยฝีมือตัวเอง ของสำคัญที่จะเช็คความเรียบร้อยหายไปได้อย่างไร หล่อนกุมขมับอ่อนอกอ่อนใจ คิดทบทวนไปมาจนหัวหมุน

“ทำไงดี ของสำคัญทั้งนั้น อีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางแล้ว หายไปไหนแล้ว หรือว่า... ที่รัก อยู่ที่แกแน่ ๆ ใช่! ลืมที่รักไปได้ยังไง”

ไวเท่าความคิด ธารวารีวิ่งเร็วจี๋ออกมาสวนกับแม่ที่เดินเข้ามาและหยุดมองตามด้วยความสงสัย หญิงสาวสาละวนกับการรื้อค้นทรัพย์สินภายในรถที่มีรกแสนรกอย่างหงุดหงิดแต่ก็หาไม่เจอ นาเยี่ยมหน้าเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ ด้วยความสงสัย ธารวารีเห็นก็เรียกไว้

“พี่นา ฝากเอากระเป๋าสะพายกับโทรศัพท์มือถือที่ห้องให้หน่อยสิจ๊ะ เร็วๆ เลยนะ จะออกไปธุระช้าไม่ได้!”

ธารวารีเงยหน้าที่เหงื่อผุดพราวเต็มใบหน้าขึ้นมาสบตา นาท่าทางละล้าลังด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“น้องรีจะไปตอนนี้นะหรือคะ”

“ก็ตอนนี้นะสิพี่นา เร็วๆ ค่ะ ช่วยรีหน่อย” ธารวารีออด

“ค่ะ ๆ รอแป๊บนึงนะ”

นาหายเข้าไปในตัวบ้านสักครู่แล้วก็ออกมาพร้อมสิ่งของที่สั่งไว้ หญิงสาวไม่พูดพร่ำทำเพลงตั้งท่าขับรถออกไป แต่นาเรียกไว้
“ไม่ไปแต่งตัวแต่งหน้าสักหน่อยหรือคะ น้องรี”

“ไม่แล้ว รีรีบ!”

หล่อนตอบพร้อมเร่งเครื่องเสียงกระหึ่มออกไปจากตัวบ้านทันที ทิ้งให้แม่บ้านสาวอ้าปากค้างเมื่อนึกสภาพนายสาว



ทันทีที่รถของธารวารีลับสายตาไป รถญี่ปุ่นรุ่นใหม่สีดำสนิทก็แล่นมาจอดหน้าประตูรั้วบ้าน ภูบดีไม่ทันเห็นรถจึงได้แต่ชะเง้อมองที่รั้ว เห็นประตูกำลังจะปิดจึงบีบแตรเรียกไว้แล้วเลื่อนกระจกรถลงถาม

“คุณธารวารีอยู่ไหมครับ”

“คุณรีออกไปข้างนอกเมื่อครู่นี้เองค่ะ”

เขาพยักหน้ารับ นึกเสียดายลึก ๆ แรกทีเดียวตั้งใจว่าจะฝากเอกสารไว้ให้ ในเมื่อไม่เจอตัวคนที่อยากเจอ แต่จู่ ๆ เมื่อเขากำลังหยิบเอกสาร นาก็เข้ามาเกาะกระจกรถท่าทางตื่นเต้น จนเขาถึงกับผงะ

“คุณคือ” หล่อนนิ่งไปสีหน้าครุ่นคิด แล้วก็ถึงกับตาโต

“โอ้โห! ช่างแอร์สมัยนี้ทำไมหล๊อหล่อ แถมยังเท่ระเบิดไปเลย คุณคือคนที่น้องรีนัดไว้ใช่ไหมคะ ขับรถเข้ามาได้เลยค่ะ บ้านสวนเดินไกลเอารถเข้ามาสะดวกกว่าเยอะ เร็ว ๆ ค่ะ จะได้ปิดประตู”

นาปล่อยมือจากกระจก แต่ไม่วายมีท่าทีตื่นเต้นจนชายหนุ่มได้แต่งง หล่อนเข้าใจผิดแน่ๆ เขาไม่ได้นัดกับธารวารีและ ไม่ได้คิดจะเข้าไปในบ้านแบบที่เชิญชวนด้วยซ้ำ

“คือ... คุณคงเข้าใจผิด ผมไม่ได้...”

ภูบดีถอดแว่นกันแดดออกเผยดวงตาคมกริบ ในมือถือเอกสารที่ต้องการส่งคืนเจ้าของค้างไว้แล้วก็ได้แต่ลังเลเมื่อนาที่ดูท่าจะเข้าใจผิดไปใหญ่รบเร้า

“เร็ว ๆ สิคะคุณ คนเราสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้นะ จอดรถติดเครื่องเอาไว้ระวังโจรจะมาช่วยขับให้ไม่รู้ตัวจะหาว่าพี่นาไม่เตือน”

“งั้นหรือ โอเคครับ... พี่นา”

ภูบดีรับสมอ้างขับรถเข้าไปภายในบริเวณบ้านอย่างงงุนงง นึกในใจว่าเขาทำตัวเหมือนช่างแอร์ตรงไหน แต่พอมองกระจกหลังเห็นนาปิดประตูเรียบร้อยแล้วรีบกุลีกุจอวิ่งตามมายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ข้างประตูรถแล้วเขาก็ได้แต่ถอนใจ

“คุณช่างแอร์คนใหม่หล่อซะณเดช น้องหมาก พี่บอยชิดซ้ายตกคลองไปเลยนะคะ”

“เอ่อ!”

ภูบดีถึงกับพูดไม่ออก ละล้าละลังจะลงไม่ลงจากรถจนแม่บ้านสาวต้องเปิดจากด้านนอก ทำทีเชื้อเชิญชายหนุ่มลงจากรถราวกับเขาเป็นเจ้าชายก็ไม่ปาน...


+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ^^



lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ย. 2559, 14:52:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ย. 2559, 14:52:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1418





<< บทที่ 3/1 ความคิดถึงที่มาไม่ถึง   บทที่ 4/1 ช่างแอร์จำเป็น >>
อังค์จิก 3 พ.ย. 2559, 17:08:13 น.
ช่างแอร์ในตำนานมาแล้นนนนนน
แซวหน่อย อิอิ


lovereason2 3 พ.ย. 2559, 21:08:14 น.
คุณอังค์จิก -- 555 พี่ภูโดนแซวมาสามปีแล้ว กว่าจะเขียนเรื่องนี้จบค่า


ปริยาธร 6 พ.ย. 2559, 07:45:43 น.
จำตอนนี้ได้เหมือนกันจ้า


lovereason2 6 พ.ย. 2559, 19:52:23 น.
พี่นุ้ย - 55 เป็นตอนที่แบบว่าโดนแซวจนบัดนี้เลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account