กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี
ตอน: ตอนที่10 จู่ๆ ก็ได้ย้ายบ้านซะงั้น
10
เสียงเอะอะดังแว่วมาให้ได้ยินก่อนเขมขวัญจะทันได้เห็นบุคคลแปลกหน้าจำนวนหนึ่งที่กำลังสาละวนในการขนข้าวของลงจากรถปิกอัพกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดสนิทอยู่หน้าบ้านพัก ทำให้เธอต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปหาด้วยความสงสัย โดยมีร่างสูงของเจ้านายเดินตามไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อน
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ พวกคุณมาทำอะไรที่บ้านนี้คะ”
“คุณเป็นใคร”
ชายวัยประมาณสี่สิบปลายๆ เอ่ยถาม ทั้งมองสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ไม่มีแววตาแห่งความเป็นมิตร นอกจากความระแวงสงสัย
“ฉันพักอยู่ที่นี่ค่ะ”
“อ้อ...คงเป็นคนดูแลบ้านอย่างที่เจ้าของเดิมเขาบอก มาก็ดีแล้ว...รีบๆมาเปิดประตู แล้วขนข้าวของของเธอออกไปซะ พวกฉันจะได้ย้ายของเข้าไปเก็บซะที”
“ฮะ!..หมายความว่ายังไงกัน” เขมขวัญถึงกับงงในคำสั่งของชายแปลกหน้าคนนั้น
“มีอะไรเหรอคุณ” กริชนะเอ่ยถามเมื่อเดินเข้ามาสมทบ
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ฉันยังงงอยู่เลยเนี่ย” เขมขวัญเอ่ยกับเจ้านายหนุ่มก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคู่กรณี
“พ่อครับเมื่อไหร่เราจะได้เข้าบ้านซะที ผมล่ะทั้งเหนื่อยทั้งร้อนเลยตอนนี้” เสียงเด็กชายวัยน่าจะยังไม่ถึงสิบห้าตะโกนถามมาจากประตูบ้านที่ยังปิดอยู่
“เดี๋ยวลูก คนดูแลบ้านเขามาแล้ว เดี๋ยวเขาจะไปเปิดประตูให้เราเข้าบ้าน” ชายคนนั้นตะโกนบอกก่อนจะหันมาเอ่ยกับหญิงสาวที่ทำให้เขาเสียเวลารออยู่นาน “เร็วสิ รีบเปิดประตูซะ ถ้ายังช้าอยู่เราจะพังกุญแจเข้าไป”
“คุณช่วยอธิบายให้ฉันฟังชัดๆ ก่อนได้ไหม...คุณเป็นใคร มาที่นี่เพื่ออะไร แล้วทำไมฉันต้องเปิดประตูบ้านของฉันให้พวกคุณด้วย” สีหน้าสดใส เริ่มเครียด คิ้วเรียวสวยก็เริ่มขมวดเข้าหากัน
“ขอโทษ...บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของคุณ แต่เป็นของเราโปรดเข้าใจใหม่ เราทำเรื่องซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ฉันกับครอบครัวกำลังจะย้ายเข้า เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องย้ายออก”
“ซื้อขายแล้ว!” เขมขวัญถึงกับเย็นวาบไปทั้งตัว “คุณซื้อบ้านหลังนี้กับใคร”
“กับนายขุน เจ้าของบ้านเดิม เธอคงจะรู้จักดีนะ เขาบอกเราว่าสามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้เลย เราถึงได้ย้ายมาที่นี่วันนี้” สีหน้าแววตาของผู้อ้างไม่ได้ส่อแววว่าโกหกเลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ...เดี๋ยวก่อนนะคะ” เขมขวัญควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ามือไม้สั่น
“คุณ...ไหวหรือเปล่า”
น้ำเสียงทุ้มๆ ถามเบาๆ นั่นคงเพราะเขาเห็นความผิดปกติทางสีหน้ารวมไปถึงอาการสั่นน้อยๆของร่างกายและน้ำเสียง...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าน้าชายผู้เป็นพี่น้องคลานตามกันออกมากับแม่ จะทำอะไรแบบนี้ได้
“ขายแล้วจริงๆเหรอคะน้าขุน...ทำไมน้าขุนไม่บอกล่วงหน้าขวัญ...แล้วอย่างนี้ขวัญจะทำยังไง จะไปอยู่ที่ไหน” หญิงสาวตัดพ้อไปตามสัญญาณโทรศัพท์ น้ำตาเอ่อขึ้นท่วมขอบตา
“น้าขอโทษจริงๆ น้าว่าจะบอกแต่น้าลืม อีกอย่าง น้าไม่คิดว่าเขาจะย้ายเข้าไปอยู่เร็วขนาดนั้น...เอาเถอะ...ยังไงเจ้าของใหม่เขาก็ไปถึงแล้ว ขวัญย้ายออกมาเถอะ ไปขออยู่กับเพื่อน หรือไม่ก็หาเช่าหอพักแถวนั้นอยู่ชั่วคราวก่อน เดี๋ยวเดือนแรกนี้น้าจะจ่ายค่าที่พักให้ แต่อย่าบอกแม่นะ...น้าไม่อยากมีเรื่องทะเลาะ”
คำแนะนำนั้นฟังดูง่ายดาย แต่ความจริงแล้ว การหาหอพักสักแห่งมันต้องใช้เวลา แล้วข้าวของของเธออีกล่ะ จะหอบจะขนไปยังไง ถึงมีไม่มาก แต่มันก็ไม่ใช่น้อยกับการต้องย้ายอย่างกะทันหัน
ไม่ต้องให้เขมขวัญอธิบายในสิ่งที่เธอกำลังเจรจา กริชนะก็สามารถเข้าใจเรื่องราวได้...ในเรื่องนี้เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ด้วย จึงทำได้แค่เพียงสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ เท่านั้น
“ว่าไง...จะเปิดประตูบ้านให้ได้หรือยัง” เจ้าของบ้านคนใหม่ท้วงขึ้นเมื่อเห็นว่าการสนทนาผ่านโทรศัพท์เสร็จสิ้นลง
“เอ่อ...ค่ะ...”
มือสั่นๆ ความหากุญแจในกระเป๋าเป็นอันดับต่อไป เธอหามันพบ แต่ก็ทำมันร่วงลงพื้น เพราะสภาพจิตใจในเวลานี้ มันทำให้ทั้งร่างกายอ่อนล้าโรยแรงไปเสียหมด เธอกำลังจะก้มลงหยิบ แต่ถูกอีกคนยึดไว้ และเขาคนนั้นก็เป็นคนก้มลงไปหยิบเอง ทั้งส่งให้คนที่กำลังรออยู่...พอฝ่ายนั้นได้กุญแจ เขาก็ปลีกตัวจากไปโดยไม่สนใจอะไรอื่นอีก
“ดูท่าคุณจะยังไม่หายดีนะ ขยับมานั่งตรงนี้ก่อน” กริชนะฉุดร่างบางที่พร้อมจะร่วงลงพื้นให้ขยับไปนั่งพักยังม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใบหนา
“ตะ...แต่...ข้าวของของฉัน ฉันต้องเข้าไปเก็บของ” ว่าพรางทำท่าจะลุก ทว่าถูกอีกฝ่ายกดเอาไว้
“เฉยเถอะน่า” เตือนแล้วก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองของมากดหมายเลขโทรออก “ลุง...ช่วยเรียกเด็กมาสักสองสามคนมาที่บ้านเขมขวัญเดี๋ยวนี้”
“เอ๊ะ!” ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองใบหน้าคมคาย...ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้
“เดี๋ยวผมให้คนบ้านโน้นมาช่วยขนข้าวของของคุณไปไว้ที่บ้านผมก่อน ไว้ขยับขยายหาที่อยู่กันอีกที...ว่าแต่ในบ้านมีของมีค่าอะไรบ้างไหม”
เขมขวัญส่ายศีรษะแทนคำตอบ ความรู้สึกไม่ชอบที่มีอยู่แต่เดิม แปรเปลี่ยนเป็นซาบซึ้ง เมื่อรู้ถึงความมีน้ำใจของอีกฝ่ายที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ลังเล
“ถ้าไม่มีก็ไปกับผม ส่วนที่นี่ปล่อยให้คนของผมจัดการ” บอกแกมสั่ง แถมยังฉุดต้นแขนของคนที่ภายในสมองว่างเปล่า
“ไปไหนคะ” สีหน้าตื่น ๆ บวกอาการมึนงงเข้าไปอีกอย่าง
“บ้านผม”
เป็นคำตอบสั้น ๆ ทั้งฉุดดึงให้เดินตามโดยไม่คิดลังเล... เขมขวัญเหลือบตาลงมองมือใหญ่ที่อบอุ่น...ใช่...เธอรู้ว่ามันอุ่นแค่ไหนเมื่อกุมกระชับฝ่ามือของเธอเอาไว้เต็มๆ เวลานี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อต้านขัดขืน บอกตรงๆ ว่าเธอไม่มีเรี่ยวแรงพอ มันอ่อนล้าไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ...
ขณะเดินผ่านบ้านไม้หลังเล็กที่โอบล้อมไปด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับงดงาม จู่ๆเท้าทั้งสองข้างที่กำลังก้าวตามเจ้านายหนุ่มก็มีอันหยุดชะงัก บังคับให้ขยับเช่นไรก็ไม่เป็นผล
“มีอะไรเหรอ” กริชนะหันมาถามหญิงสาวที่กำลังเหมอมองไปยังเรือนเล็กอันเป็นสถานที่ทำงานของป้าผู้วายชนม์
“ชอบที่นี่จัง...ขอฉันพักที่นี่ได้ไหม” อะไรกัน ฉันไม่ได้อยากจะพูดอย่างนี้สักหน่อย...
กริชนะกวาดตามองไปรอยังทิศทางที่หญิงสาวยังจ้องอยู่ไม่วางตา บ้านหลังน่ารักๆ สวนสวยๆ ที่มีกลิ่นหอมละมุนของไม้ดอก และความร่มรื่นของไม้ยืนต้นใบหนาหลายชนิด เป็นใครได้มาเห็นก็คงอยากจะพักอาศัย
“บ้านหลังนี้คุณป้าผมสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เขียนหนังสือ”
“นั่นแหล่ะ...ให้ฉันพักที่นี่ ฉันสัญญาว่าจะทำงานให้คุณอย่างเต็มกำลัง” ไม่นะ...อย่าให้ฉันอยู่บ้านหลังนี้... เขมขวัญได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ
“ก็เอาสิ...”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็คว้าข้อมือนุ่มจูงผ่านซุ้มประตูไม้เลื้อยเข้าไปในอาณาเขต น่าแปลก...ขาทั้งสองข้างที่แข็งดั่งหินสามารถขยับไปได้แถมยังเบาราวกับขนนก...ดูท่าเราจะถูกคุณป้าเล่นงานเข้าให้แล้ว...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งในเช้าวันนี้ แต่ไม่ใช่ของเขมขวัญอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าเป็นของชายหนุ่มที่อาจเรียกว่ามีภาวะจำใจช่วยเหลือคนในองค์กรของเขาตามหน้าที่ของเจ้านายที่ดี กริชนะแยกตัวไปรับโทรศัพท์ ไม่นานก็เดินกลับมาบอกขอตัวไปทำธุระสำคัญ
กริชนะเดินจากไปแล้ว ทิ้งหญิงสาวให้ยืนเคว้งคว้างที่หน้าเรือนไม้หลังงาม... ณ เวลานี้เขมขวัญไม่ได้คิดถึงปัญหาเรื่องที่พักแล้ว แต่เธอกำลังคิดถึงข้าวของของเธอที่ยังอยู่บ้านหลังเดิม คงไม่เหมาะหากจะยกเรื่องขนย้ายให้เป็นภาระของคนในบ้านเขา แค่กริชนะให้ที่พักอาศัยก็ถือว่าเป็นบุญคุณที่สุดแล้ว คิดแล้วเธอก็เดินตามร่างสูงไปยังซุ้มประตูไม้เรื้อย ทว่าแยกไปคนละทิศทางกับชายหนุ่ม มุ่งตรงไปยังบ้านเดิม ที่บัดนี้เธอไม่มีโอกาสได้พักอาศัยที่นั่นอีกต่อไปแล้ว
กริชนะก้าวผ่านประตูร้านคอฟฟี่ช็อปติดแอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำ อันเป็นสถานที่นัดหมายอย่างเร่งด่วนของธนัญชัย เพื่อนสนิทที่หากจะเรียกว่าเพียงหนึ่งเดียวในประเทศนี้ก็คงพอได้ สายตากวาดมองหาร่างอันคุ้นเคย ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังโต๊ะมุมร้านริมกระจกใส เมื่อเห็นมือที่โบกไหวๆเป็นสัญญาณ
“กริช...ทางนี้...”
“ไง...รอนานหรือเปล่า ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยหนทาง สถานที่” กริชนะถามเมื่อเดินมาถึง ทั้งทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ
“ไม่นานหรอก ฉันเองก็เผื่อเวลาไว้สำหรับการเดินทางของนายเหมือนกัน”
“ขับรถวนหาอยู่ตั้งหลายรอบ กว่าจะเจอ” น้ำเสียงบอกเล่ามากกว่าจะเป็นเรื่องบ่น
“นี่อุตส่าห์เลือกร้านนี้เพราะติดถนนสายหลัก มีสัญลักษณ์เด่นสะดุดตา ไม่คิดว่านายยังมีปัญหากับการหาร้านอยู่อีก” ธนัญชัยว่าพรางหัวเราะ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกพนักงานประจำร้านเพื่อสั่งเครื่องดื่มให้เพื่อน
“นายจะดื่มอะไรดี ที่นี่นอกจากกาแฟแล้วยังมีเบียร์เย็นเป็นวุ้นบริการด้วยนะ”
“ขอเอสเปรสโซ่ร้อน ๆ สักถ้วยก็แล้วกัน” กริชนะหันไปบอกบริกรแทน
“ยังเข้มจัดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะ” ธนัญชัยเอ่ย คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนก็ยังเป็นเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูจริงจังขึ้น
“ว่าแต่ที่เรียกฉันมาเกี่ยวกับเรื่องคุณป้า นายได้ความคืบหน้าว่ายังไง”
ธนัญชัยเอนหลังพิงพนักบุนวมในท่าสบาย ทั้งยกถ้วยกาแฟที่เขาสั่งมาก่อนหน้าเพื่อนจะมาถึงขึ้นจิบ ก่อนจะเริ่มเรื่อง “ฉันติดต่อไปทางท้องที่ที่เกิดเหตุแล้ว แจ้งความจำนงว่านายต้องการรื้อฟื้นคดี”
“ทางนั้นว่าไง”
“เขาก็บอกไม่มีปัญหา หากเจ้าทุกข์จะยืนยันว่านั่นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เขาอยากให้นายไปติดต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดคดีด้วยตนเอง นายพอมีเวลาปลีกตัวขึ้นเหนือไปได้สักสองสามวันหรือเปล่า”
“หากมันจะทำให้ความจริงกระจ่าง ให้ไปเป็นเดือนฉันก็ไปได้”
“โอเค...ถ้านายไปได้จริง ๆ นายติดต่อคนนี้เลยนะ สารวัตรก้องเกียรติเป็นเจ้าของคดี...โชคดีทีเดียวที่เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับเพื่อนฉันที่เป็นตำรวจประจำอยู่ที่นี่ แล้วนายจะได้รับความสะดวกทุกอย่าง” อธิบายสรรพคุณพร้อมยื่นนามบัตรไปให้
กริชนะรับนามบัตรแผ่นนั้นมาพิจารณา ก่อนจะหย่อนมันลงในกระเป๋าที่อกเสื้อ “คงต้องขอเคลียร์งานสักสามสี่วัน ไว้วันไหนพร้อมเดินทางฉันจะโทรหานาย...”
“ได้ ๆ...ถ้าจะดี นายโทรบอกฉันล่วงหน้าหลาย ๆ วันหน่อยนะ เผื่อว่างจะได้ตามไปด้วย อยากไปแอ่วสาวเหนือ ให้หัวใจกระชุ่มกระชวยสักหน่อย”
“ที่นั่นเหรอที่นายเรียกว่าเหนือ...ห่างกรุงเทพฯ ไม่กี่ร้อยกิโลเมตรนี่นะ”
“ก็เหนือกรุงเทพฯ ไงล่ะเพื่อน” ว่าแล้วก็หัวเราะ แต่อีกคนได้แต่ส่ายหน้าให้กับมุขเสี่ยว ๆ ที่ได้ยิน
“โอเค.เป็นอันว่าตกลงตามนั้น” กริชนะตอบ แล้วก็ยกถ้วยกาแฟรสเข้มสุด ๆ ขึ้นจิบด้วยความหวังเรืองรองที่จะเห็นเป็นของการจากไปอย่างกะทันหันของคุณป้าและเรียกร้องความเป็นธรรมให้คืนกลับมาอีกครั้ง
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่เขมขวัญนำติดตัวมาเพื่อใช้ชีวิตในเมืองกรุง ถูกวางกองอยู่ที่หน้าบ้าน ก่อนที่คนรับใช้ที่ถูกสั่งให้มาช่วยขนของจะแยกย้ายกันไป โดยไม่มีใครคิดจะช่วยเธอจัดข้าวของให้เข้าที่เลยสักคน...
“เอ่อ...เดี๋ยวจ้ะพี่สาว คือว่ากุญแจบ้านหลังนี้?” เขมขวัญเรียกและเอ่ยถาม เมื่อคนขนของคนสุดท้ายกำลังจะผละจากไป
หญิงรับใช้คนนั้นมองหน้าเธอ สลับกับมองตัวบ้านด้วยสีหน้าแปลก ๆ ที่พออ่านออกว่าเจือความกลัวเกรงอยู่ในที หรือพวกเขาจะเคยโดนเหมือนอย่างที่เธอกำลังประสบอยู่
“อยู่กับคุณยายเอียดค่ะ คุณรอสักเดี๋ยวนะ”
ว่าแล้วร่างค่อนข้างท้วมก็รีบแจ้นจากไป อย่างไม่คิดเหลียวหลัง ทิ้งหญิงสาวให้คว้างอยู่ที่หน้าบ้านไม้ปิดตายหลังนี้ตามลำพัง
“เอาไงดีล่ะทีนี้” ถามตัวเองแล้วก็มองหาที่นั่งรอ...เก้าอี้เหล็กดัดตัวยาวสีขาวที่วางอยู่ใต้ต้นลีลาวดีดูจะเป็นที่เหมาะสมที่สุด
เขมขวัญนั่งปล่อยจิตปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความสวยงามของสิ่งแวดล้อมรายรอบตัว และความคิดคำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไหลเลื้อยสู่อนาคต
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขมขวัญกำลังจะมีโอกาสได้เหยียบย่างเข้าสู่บ้านน้อยหลังงามในสภาวะของความเป็นจริง ไม่ใช่ในความฝัน นึกอยากรู้ว่าภายในจะเป็นเช่นไร และเธอจะสามารถทนอยู่ในบ้านสุดเฮี้ยนหลังนี้ได้นานแค่ไหนกัน แต่...อยู่กับผีที่นี่ ก็ยังดีกว่าต้องเสียเงินจ่ายค่าเช่า ถ้าคนกับผีตกลงกันได้ อยู่ใครอยู่มันอย่างสันติ เงินเดือนของเธอก็จะเหลือส่งกลับบ้านในจำนวนเท่าที่คำนวณเอาไว้แต่ต้น ดีไม่ดีอาจมากกว่าเดิม เพราะเจ้านายอาจใจดีให้เธอติดรถไปทำงาน ประหยัดได้อีกมากโข คิดแล้วก็ให้รู้สึกกระหยิ่มในใจ
แดดยามสายสาดส่องผ่านม่านใบไม้มากระทบใบหน้าให้เขมขวัญต้องขยับเลื่อนหลบ แล้วก็ต้องลุกขึ้นยืนเมื่อมองเห็นบุคคลกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงมา หนึ่งในนั้นเธอจำได้ว่าเป็นพี่สาวที่มาช่วยขนของ แต่อีกสองคนแม้ยังไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็พอจะเดาได้ว่าหญิงชราผู้มีเด็กสาวอีกคนเดินประครองอยู่จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคุณยายละเอียดคนที่ทำหน้าที่เก็บกุญแจประจำประตูทุกบานในบ้าน
“สวัสดีค่ะ” ความนอบน้อมคือสิ่งที่เขมขวัญคิดว่าเป็นการผูกมิตรที่ดีที่สุดในการลดภาวะศัตรูที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอจึงยกมือไหว้ทันทีที่ผู้สูงวัยเดินมาถึง
“หล่อนคือ คนที่คุณหนูพามานอนค้างที่บ้านเมื่อคืนใช่ไหม”
คำถามแรกก็เล่นเอาเขมขวัญแทบสะอึก...คุณยายคนนี้ดูท่าจะดุเอาเรื่องแฮะ...
“ค่ะ...เอ่อ...เขมไม่สบายค่ะ เจ้านายท่านเลยเมตตาพามาพักชั่วคราว” เขมขวัญเอ่ย พยายามระงับความรู้สึกประหม่าที่เกิดขึ้นเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าสายตาดุ ๆ คู่นี้
“ชั่วคราวเมื่อคืน แต่ถาวรในวันนี้...” หญิงวัยชราเมินหน้าไปมองรอบๆบริเวณ ก่อนจะหันไปสั่งเด็กรับใช้ที่มาด้วย “ไขกุญแจ...เธอ ช่วยแม่นี่จัดของ ดูดี ๆ อย่าให้ไปยุ่มย่ามห้องทำงานของคุณผู้หญิง แล้วก็แบ่งกุญแจให้หล่อนเก็บไว้ด้วย...รักษาดี ๆ ล่ะ” คำกำชับสุดท้ายมาพร้อมหางตาที่ตวัดมอง ก่อนคุณยายละเอียด จะขยับตัวเดินกลับไปโดยไม่รอ ให้เด็กที่มาด้วยเข้าพยุง
โห...ดูท่าจะเจอศึกหนักแล้วสิเรา...คิดแล้วก็เย็นวาบไปทั้งไขสันหลัง
“เข้ามาเถอะคุณ บ้านหลังนี้มีห้องอยู่แค่สองห้อง คือห้องทำงานของคุณผู้หญิง กับห้องพักผ่อน ถ้าคุณจะพักอยู่ที่นี่จริงๆ ก็คงต้องจัดห้องพักผ่อนให้เป็นห้องนอน” คนรับใช้ที่ถูกมอบหมายให้อยู่ช่วยอธิบายพอไม่ให้บรรยากาศเกิดความเงียบเชียบจนเกินไป
เขมขวัญหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปวางในส่วนที่พี่คนรับใช้บอกว่าเป็นห้องพักผ่อน ภายในห้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู ปูพรมไว้ทั้งพื้นห้องสัมผัสถึงความนุ่มเมื่อก้าวเข้ามาเหยียบ ชิดเพดานมีเครื่องปรับอุณหภูมิห้องที่ถูกปกปิดด้วยการบิวท์อินผนังที่ฝ้าเพดานเป็นลายไม้ สัก เขมขวัญคิดว่าเธอคงไม่จำเป็นต้องใช้มัน เพราะเมื่อเดินไปเปิดหน้าต่างออกกว้าง ๆ สายลมเย็น ๆ ก็โชยพัดความหอมของกลิ่นดอกไว้เข้ามาให้ชื่นใจแล้ว และที่สำคัญ หน้าต่างทุกบ้านติดมุงลวดเอาไว้เรียบร้อย เรื่องยุงหรือแมลงรบกวนซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล
“ห้องตรงข้ามเป็นห้องทำงานของคุณผู้หญิงนะ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเข้าไป...” หญิงรับใช้เอ่ยเตือน
“ทำไมคะ”
“ไม่รู้สิ...ตั้งแต่คุณผู้หญิงท่านเสีย มักมีคนเห็นอะไรแปลก ๆ ที่ห้องนี้เสมอ” บอกพลางทำท่าขนพลองสยองเกล้า
“แปลกยังไง” แม้พอจะรู้อยู่บ้างว่า พี่สาวคนนี้หมายถึงอะไร แต่เขมขวัญก็ยังอยากได้คำยืนยันว่า สิ่งที่เธอเห็นและได้สัมผัสมาแต่ต้น ไม่ใช่เพราะจิตของเธอหลอนตัวเธอเอง
“บางคืนก็มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องทำงาน ในคืนเดือนหงายบางทีก็เห็นเหมือนมีเงาคนเดินผ่านหน้าต่างไปมาภายในห้อง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ บรื๋อ...คิดแล้วก็ขนลุก คุณจะอยู่ได้หรือเปล่าล่ะทีนี้” เล่าไปแล้วก็นึกห่วงความรู้สึกของหญิงสาวที่ยืนฟังเธอเล่าตาปริบ ๆ
“อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่ไปก่อนจ้ะพี่...พี่ก็เห็น ฉันไม่มีที่จะไปแล้ว ถูกไล่ออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว จะไปหาที่พักที่ไหนได้ทัน” ว่าแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกกับโชคชะตาของตัวเอง
“คุณกริชท่านถึงจะชอบทำหน้าดุ แต่ก็ใจดีมาก ๆ ถ้าคุณกลัว ก็ลองขอท่านขึ้นไปอยู่บนตึกใหญ่สิ”
คำแนะนำของหญิงรับใช้ที่เขมขวัญยังไม่ทราบชื่อก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่เพราะปากที่พูดออกไปแบบบังคับไม่ได้ ป่านนี้เธอก็คงจะมีที่ซุกหัวนอนบนตึกนั้นไปแล้ว...แต่เมื่อนึกเห็นคุณยายละเอียด เขมขวัญกลับรู้สึกว่า ได้พักที่นี่น่าจะดีกว่า
“ไม่ล่ะ ขวัญว่าพักที่นี่ดีที่สุดแล้ว อย่างนี้ก็ไม่เป็นที่ขวางหูขวางตาคุณยาย”
“อ้อ...คุณยายละเอียด...แกก็ทำดุไปอย่างนั้นแหล่ะ ตามประสาคนแก่เจ้าระเบียบ”
“คุณยายละเอียดนี่เป็นคุณยายจริงๆของคุณกริชหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอก แกเป็นคนเก่าแก่ที่นี่อยู่มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของคุณผู้หญิง เป็นพี่เลี้ยงให้คุณผู้หญิงกับคุณพ่อคุณกริชและยังเป็นแม่นมของคุณกริช เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่คุณกริชประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคุณผู้หญิงรับมาอุปการะแล้วส่งไปเรียนเมืองนอก ทั้งคุณกริชและคุณผู้หญิงรักและให้เกียรติ ยกย่องเสมือนญาติ พอสิ้นบุญคุณผู้หญิงแกเลยกลายเป็นคนสำคัญที่สุดในบ้านหลังนี้รองจากคุณกริช”
“มิน่า...ถึงได้ทำท่าหวงเจ้านายเหลือเกิน”
“ไม่หวงได้ไงคะ ก็คุณกริชทั้งเท่ห์ หล่อ สมาร์ท แถมยังเป็นทายาทรับมรดกร้อยล้านพันล้าน ใครได้เป็นคุณนายบ้านนี้ ล่ะสบายไปทั้งชาติ คุณยายแกก็กลัวจะมีผู้หญิงไม่ดีมาปอกลอก...ห่างๆคุณกริชไว้หน่อยก็แล้วกัน ถ้าอยากอยู่ที่นี่แบบสบายใจ”
คนทำงานด้วยกัน จะอยู่ให้ห่างกันได้ยังไง ยิ่งทำงานเลขานุการด้วยแล้ว ยิ่งต้องติดตามกันเป็นเงาตามตัว “เฮ้อ...” ไม่รู้ว่าคนหรือผีกันแน่ที่น่ากลัวกว่ากัน ถ้าจะให้คะแนนความน่ากลัว คุณยายละเอียดดูท่าจะชนะขาดซะแล้วตอนนี้
***********************
จากตอนที่แล้้ว แวะมาทักทายกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง...
ดีใจนะคะที่ชอบนิยายผี เรื่องนี้ ^_^
คุณป้าก็เพิ่งจะหัดเป็นผี ประเอกก็เพิ่งจะหัดบริหาร นางเอกก็เพิ่งหัดเป็นเลขาฯ แม้แแต่คนเเขียนก็เพิ่งจะหัดเขียนนิยายผีเหมือนกันค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
จริงๆ มีเหตุผลหนึ่งที่ไม่อาจเขียนนิยายผีให้น่ากลัว...เหหตุผลนั้นก็คือ...แฟนคลับทองหลางส่วนใหญ่กลัวผีซะงั้น
แต่คนเขียนอย่างเขียนแนวผีดู ก็เลยเลยออกมาเป็นผีน่ารักแทนผีน่ากลัว..
หวังว่าจะติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ นะคะ
เสียงเอะอะดังแว่วมาให้ได้ยินก่อนเขมขวัญจะทันได้เห็นบุคคลแปลกหน้าจำนวนหนึ่งที่กำลังสาละวนในการขนข้าวของลงจากรถปิกอัพกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดสนิทอยู่หน้าบ้านพัก ทำให้เธอต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปหาด้วยความสงสัย โดยมีร่างสูงของเจ้านายเดินตามไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อน
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ พวกคุณมาทำอะไรที่บ้านนี้คะ”
“คุณเป็นใคร”
ชายวัยประมาณสี่สิบปลายๆ เอ่ยถาม ทั้งมองสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ไม่มีแววตาแห่งความเป็นมิตร นอกจากความระแวงสงสัย
“ฉันพักอยู่ที่นี่ค่ะ”
“อ้อ...คงเป็นคนดูแลบ้านอย่างที่เจ้าของเดิมเขาบอก มาก็ดีแล้ว...รีบๆมาเปิดประตู แล้วขนข้าวของของเธอออกไปซะ พวกฉันจะได้ย้ายของเข้าไปเก็บซะที”
“ฮะ!..หมายความว่ายังไงกัน” เขมขวัญถึงกับงงในคำสั่งของชายแปลกหน้าคนนั้น
“มีอะไรเหรอคุณ” กริชนะเอ่ยถามเมื่อเดินเข้ามาสมทบ
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ฉันยังงงอยู่เลยเนี่ย” เขมขวัญเอ่ยกับเจ้านายหนุ่มก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคู่กรณี
“พ่อครับเมื่อไหร่เราจะได้เข้าบ้านซะที ผมล่ะทั้งเหนื่อยทั้งร้อนเลยตอนนี้” เสียงเด็กชายวัยน่าจะยังไม่ถึงสิบห้าตะโกนถามมาจากประตูบ้านที่ยังปิดอยู่
“เดี๋ยวลูก คนดูแลบ้านเขามาแล้ว เดี๋ยวเขาจะไปเปิดประตูให้เราเข้าบ้าน” ชายคนนั้นตะโกนบอกก่อนจะหันมาเอ่ยกับหญิงสาวที่ทำให้เขาเสียเวลารออยู่นาน “เร็วสิ รีบเปิดประตูซะ ถ้ายังช้าอยู่เราจะพังกุญแจเข้าไป”
“คุณช่วยอธิบายให้ฉันฟังชัดๆ ก่อนได้ไหม...คุณเป็นใคร มาที่นี่เพื่ออะไร แล้วทำไมฉันต้องเปิดประตูบ้านของฉันให้พวกคุณด้วย” สีหน้าสดใส เริ่มเครียด คิ้วเรียวสวยก็เริ่มขมวดเข้าหากัน
“ขอโทษ...บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของคุณ แต่เป็นของเราโปรดเข้าใจใหม่ เราทำเรื่องซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ฉันกับครอบครัวกำลังจะย้ายเข้า เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องย้ายออก”
“ซื้อขายแล้ว!” เขมขวัญถึงกับเย็นวาบไปทั้งตัว “คุณซื้อบ้านหลังนี้กับใคร”
“กับนายขุน เจ้าของบ้านเดิม เธอคงจะรู้จักดีนะ เขาบอกเราว่าสามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้เลย เราถึงได้ย้ายมาที่นี่วันนี้” สีหน้าแววตาของผู้อ้างไม่ได้ส่อแววว่าโกหกเลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ...เดี๋ยวก่อนนะคะ” เขมขวัญควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ามือไม้สั่น
“คุณ...ไหวหรือเปล่า”
น้ำเสียงทุ้มๆ ถามเบาๆ นั่นคงเพราะเขาเห็นความผิดปกติทางสีหน้ารวมไปถึงอาการสั่นน้อยๆของร่างกายและน้ำเสียง...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าน้าชายผู้เป็นพี่น้องคลานตามกันออกมากับแม่ จะทำอะไรแบบนี้ได้
“ขายแล้วจริงๆเหรอคะน้าขุน...ทำไมน้าขุนไม่บอกล่วงหน้าขวัญ...แล้วอย่างนี้ขวัญจะทำยังไง จะไปอยู่ที่ไหน” หญิงสาวตัดพ้อไปตามสัญญาณโทรศัพท์ น้ำตาเอ่อขึ้นท่วมขอบตา
“น้าขอโทษจริงๆ น้าว่าจะบอกแต่น้าลืม อีกอย่าง น้าไม่คิดว่าเขาจะย้ายเข้าไปอยู่เร็วขนาดนั้น...เอาเถอะ...ยังไงเจ้าของใหม่เขาก็ไปถึงแล้ว ขวัญย้ายออกมาเถอะ ไปขออยู่กับเพื่อน หรือไม่ก็หาเช่าหอพักแถวนั้นอยู่ชั่วคราวก่อน เดี๋ยวเดือนแรกนี้น้าจะจ่ายค่าที่พักให้ แต่อย่าบอกแม่นะ...น้าไม่อยากมีเรื่องทะเลาะ”
คำแนะนำนั้นฟังดูง่ายดาย แต่ความจริงแล้ว การหาหอพักสักแห่งมันต้องใช้เวลา แล้วข้าวของของเธออีกล่ะ จะหอบจะขนไปยังไง ถึงมีไม่มาก แต่มันก็ไม่ใช่น้อยกับการต้องย้ายอย่างกะทันหัน
ไม่ต้องให้เขมขวัญอธิบายในสิ่งที่เธอกำลังเจรจา กริชนะก็สามารถเข้าใจเรื่องราวได้...ในเรื่องนี้เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ด้วย จึงทำได้แค่เพียงสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ เท่านั้น
“ว่าไง...จะเปิดประตูบ้านให้ได้หรือยัง” เจ้าของบ้านคนใหม่ท้วงขึ้นเมื่อเห็นว่าการสนทนาผ่านโทรศัพท์เสร็จสิ้นลง
“เอ่อ...ค่ะ...”
มือสั่นๆ ความหากุญแจในกระเป๋าเป็นอันดับต่อไป เธอหามันพบ แต่ก็ทำมันร่วงลงพื้น เพราะสภาพจิตใจในเวลานี้ มันทำให้ทั้งร่างกายอ่อนล้าโรยแรงไปเสียหมด เธอกำลังจะก้มลงหยิบ แต่ถูกอีกคนยึดไว้ และเขาคนนั้นก็เป็นคนก้มลงไปหยิบเอง ทั้งส่งให้คนที่กำลังรออยู่...พอฝ่ายนั้นได้กุญแจ เขาก็ปลีกตัวจากไปโดยไม่สนใจอะไรอื่นอีก
“ดูท่าคุณจะยังไม่หายดีนะ ขยับมานั่งตรงนี้ก่อน” กริชนะฉุดร่างบางที่พร้อมจะร่วงลงพื้นให้ขยับไปนั่งพักยังม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใบหนา
“ตะ...แต่...ข้าวของของฉัน ฉันต้องเข้าไปเก็บของ” ว่าพรางทำท่าจะลุก ทว่าถูกอีกฝ่ายกดเอาไว้
“เฉยเถอะน่า” เตือนแล้วก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองของมากดหมายเลขโทรออก “ลุง...ช่วยเรียกเด็กมาสักสองสามคนมาที่บ้านเขมขวัญเดี๋ยวนี้”
“เอ๊ะ!” ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองใบหน้าคมคาย...ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้
“เดี๋ยวผมให้คนบ้านโน้นมาช่วยขนข้าวของของคุณไปไว้ที่บ้านผมก่อน ไว้ขยับขยายหาที่อยู่กันอีกที...ว่าแต่ในบ้านมีของมีค่าอะไรบ้างไหม”
เขมขวัญส่ายศีรษะแทนคำตอบ ความรู้สึกไม่ชอบที่มีอยู่แต่เดิม แปรเปลี่ยนเป็นซาบซึ้ง เมื่อรู้ถึงความมีน้ำใจของอีกฝ่ายที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ลังเล
“ถ้าไม่มีก็ไปกับผม ส่วนที่นี่ปล่อยให้คนของผมจัดการ” บอกแกมสั่ง แถมยังฉุดต้นแขนของคนที่ภายในสมองว่างเปล่า
“ไปไหนคะ” สีหน้าตื่น ๆ บวกอาการมึนงงเข้าไปอีกอย่าง
“บ้านผม”
เป็นคำตอบสั้น ๆ ทั้งฉุดดึงให้เดินตามโดยไม่คิดลังเล... เขมขวัญเหลือบตาลงมองมือใหญ่ที่อบอุ่น...ใช่...เธอรู้ว่ามันอุ่นแค่ไหนเมื่อกุมกระชับฝ่ามือของเธอเอาไว้เต็มๆ เวลานี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อต้านขัดขืน บอกตรงๆ ว่าเธอไม่มีเรี่ยวแรงพอ มันอ่อนล้าไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ...
ขณะเดินผ่านบ้านไม้หลังเล็กที่โอบล้อมไปด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับงดงาม จู่ๆเท้าทั้งสองข้างที่กำลังก้าวตามเจ้านายหนุ่มก็มีอันหยุดชะงัก บังคับให้ขยับเช่นไรก็ไม่เป็นผล
“มีอะไรเหรอ” กริชนะหันมาถามหญิงสาวที่กำลังเหมอมองไปยังเรือนเล็กอันเป็นสถานที่ทำงานของป้าผู้วายชนม์
“ชอบที่นี่จัง...ขอฉันพักที่นี่ได้ไหม” อะไรกัน ฉันไม่ได้อยากจะพูดอย่างนี้สักหน่อย...
กริชนะกวาดตามองไปรอยังทิศทางที่หญิงสาวยังจ้องอยู่ไม่วางตา บ้านหลังน่ารักๆ สวนสวยๆ ที่มีกลิ่นหอมละมุนของไม้ดอก และความร่มรื่นของไม้ยืนต้นใบหนาหลายชนิด เป็นใครได้มาเห็นก็คงอยากจะพักอาศัย
“บ้านหลังนี้คุณป้าผมสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เขียนหนังสือ”
“นั่นแหล่ะ...ให้ฉันพักที่นี่ ฉันสัญญาว่าจะทำงานให้คุณอย่างเต็มกำลัง” ไม่นะ...อย่าให้ฉันอยู่บ้านหลังนี้... เขมขวัญได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ
“ก็เอาสิ...”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็คว้าข้อมือนุ่มจูงผ่านซุ้มประตูไม้เลื้อยเข้าไปในอาณาเขต น่าแปลก...ขาทั้งสองข้างที่แข็งดั่งหินสามารถขยับไปได้แถมยังเบาราวกับขนนก...ดูท่าเราจะถูกคุณป้าเล่นงานเข้าให้แล้ว...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งในเช้าวันนี้ แต่ไม่ใช่ของเขมขวัญอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าเป็นของชายหนุ่มที่อาจเรียกว่ามีภาวะจำใจช่วยเหลือคนในองค์กรของเขาตามหน้าที่ของเจ้านายที่ดี กริชนะแยกตัวไปรับโทรศัพท์ ไม่นานก็เดินกลับมาบอกขอตัวไปทำธุระสำคัญ
กริชนะเดินจากไปแล้ว ทิ้งหญิงสาวให้ยืนเคว้งคว้างที่หน้าเรือนไม้หลังงาม... ณ เวลานี้เขมขวัญไม่ได้คิดถึงปัญหาเรื่องที่พักแล้ว แต่เธอกำลังคิดถึงข้าวของของเธอที่ยังอยู่บ้านหลังเดิม คงไม่เหมาะหากจะยกเรื่องขนย้ายให้เป็นภาระของคนในบ้านเขา แค่กริชนะให้ที่พักอาศัยก็ถือว่าเป็นบุญคุณที่สุดแล้ว คิดแล้วเธอก็เดินตามร่างสูงไปยังซุ้มประตูไม้เรื้อย ทว่าแยกไปคนละทิศทางกับชายหนุ่ม มุ่งตรงไปยังบ้านเดิม ที่บัดนี้เธอไม่มีโอกาสได้พักอาศัยที่นั่นอีกต่อไปแล้ว
กริชนะก้าวผ่านประตูร้านคอฟฟี่ช็อปติดแอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำ อันเป็นสถานที่นัดหมายอย่างเร่งด่วนของธนัญชัย เพื่อนสนิทที่หากจะเรียกว่าเพียงหนึ่งเดียวในประเทศนี้ก็คงพอได้ สายตากวาดมองหาร่างอันคุ้นเคย ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังโต๊ะมุมร้านริมกระจกใส เมื่อเห็นมือที่โบกไหวๆเป็นสัญญาณ
“กริช...ทางนี้...”
“ไง...รอนานหรือเปล่า ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยหนทาง สถานที่” กริชนะถามเมื่อเดินมาถึง ทั้งทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ
“ไม่นานหรอก ฉันเองก็เผื่อเวลาไว้สำหรับการเดินทางของนายเหมือนกัน”
“ขับรถวนหาอยู่ตั้งหลายรอบ กว่าจะเจอ” น้ำเสียงบอกเล่ามากกว่าจะเป็นเรื่องบ่น
“นี่อุตส่าห์เลือกร้านนี้เพราะติดถนนสายหลัก มีสัญลักษณ์เด่นสะดุดตา ไม่คิดว่านายยังมีปัญหากับการหาร้านอยู่อีก” ธนัญชัยว่าพรางหัวเราะ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกพนักงานประจำร้านเพื่อสั่งเครื่องดื่มให้เพื่อน
“นายจะดื่มอะไรดี ที่นี่นอกจากกาแฟแล้วยังมีเบียร์เย็นเป็นวุ้นบริการด้วยนะ”
“ขอเอสเปรสโซ่ร้อน ๆ สักถ้วยก็แล้วกัน” กริชนะหันไปบอกบริกรแทน
“ยังเข้มจัดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนนะ” ธนัญชัยเอ่ย คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนก็ยังเป็นเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูจริงจังขึ้น
“ว่าแต่ที่เรียกฉันมาเกี่ยวกับเรื่องคุณป้า นายได้ความคืบหน้าว่ายังไง”
ธนัญชัยเอนหลังพิงพนักบุนวมในท่าสบาย ทั้งยกถ้วยกาแฟที่เขาสั่งมาก่อนหน้าเพื่อนจะมาถึงขึ้นจิบ ก่อนจะเริ่มเรื่อง “ฉันติดต่อไปทางท้องที่ที่เกิดเหตุแล้ว แจ้งความจำนงว่านายต้องการรื้อฟื้นคดี”
“ทางนั้นว่าไง”
“เขาก็บอกไม่มีปัญหา หากเจ้าทุกข์จะยืนยันว่านั่นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เขาอยากให้นายไปติดต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดคดีด้วยตนเอง นายพอมีเวลาปลีกตัวขึ้นเหนือไปได้สักสองสามวันหรือเปล่า”
“หากมันจะทำให้ความจริงกระจ่าง ให้ไปเป็นเดือนฉันก็ไปได้”
“โอเค...ถ้านายไปได้จริง ๆ นายติดต่อคนนี้เลยนะ สารวัตรก้องเกียรติเป็นเจ้าของคดี...โชคดีทีเดียวที่เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับเพื่อนฉันที่เป็นตำรวจประจำอยู่ที่นี่ แล้วนายจะได้รับความสะดวกทุกอย่าง” อธิบายสรรพคุณพร้อมยื่นนามบัตรไปให้
กริชนะรับนามบัตรแผ่นนั้นมาพิจารณา ก่อนจะหย่อนมันลงในกระเป๋าที่อกเสื้อ “คงต้องขอเคลียร์งานสักสามสี่วัน ไว้วันไหนพร้อมเดินทางฉันจะโทรหานาย...”
“ได้ ๆ...ถ้าจะดี นายโทรบอกฉันล่วงหน้าหลาย ๆ วันหน่อยนะ เผื่อว่างจะได้ตามไปด้วย อยากไปแอ่วสาวเหนือ ให้หัวใจกระชุ่มกระชวยสักหน่อย”
“ที่นั่นเหรอที่นายเรียกว่าเหนือ...ห่างกรุงเทพฯ ไม่กี่ร้อยกิโลเมตรนี่นะ”
“ก็เหนือกรุงเทพฯ ไงล่ะเพื่อน” ว่าแล้วก็หัวเราะ แต่อีกคนได้แต่ส่ายหน้าให้กับมุขเสี่ยว ๆ ที่ได้ยิน
“โอเค.เป็นอันว่าตกลงตามนั้น” กริชนะตอบ แล้วก็ยกถ้วยกาแฟรสเข้มสุด ๆ ขึ้นจิบด้วยความหวังเรืองรองที่จะเห็นเป็นของการจากไปอย่างกะทันหันของคุณป้าและเรียกร้องความเป็นธรรมให้คืนกลับมาอีกครั้ง
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่เขมขวัญนำติดตัวมาเพื่อใช้ชีวิตในเมืองกรุง ถูกวางกองอยู่ที่หน้าบ้าน ก่อนที่คนรับใช้ที่ถูกสั่งให้มาช่วยขนของจะแยกย้ายกันไป โดยไม่มีใครคิดจะช่วยเธอจัดข้าวของให้เข้าที่เลยสักคน...
“เอ่อ...เดี๋ยวจ้ะพี่สาว คือว่ากุญแจบ้านหลังนี้?” เขมขวัญเรียกและเอ่ยถาม เมื่อคนขนของคนสุดท้ายกำลังจะผละจากไป
หญิงรับใช้คนนั้นมองหน้าเธอ สลับกับมองตัวบ้านด้วยสีหน้าแปลก ๆ ที่พออ่านออกว่าเจือความกลัวเกรงอยู่ในที หรือพวกเขาจะเคยโดนเหมือนอย่างที่เธอกำลังประสบอยู่
“อยู่กับคุณยายเอียดค่ะ คุณรอสักเดี๋ยวนะ”
ว่าแล้วร่างค่อนข้างท้วมก็รีบแจ้นจากไป อย่างไม่คิดเหลียวหลัง ทิ้งหญิงสาวให้คว้างอยู่ที่หน้าบ้านไม้ปิดตายหลังนี้ตามลำพัง
“เอาไงดีล่ะทีนี้” ถามตัวเองแล้วก็มองหาที่นั่งรอ...เก้าอี้เหล็กดัดตัวยาวสีขาวที่วางอยู่ใต้ต้นลีลาวดีดูจะเป็นที่เหมาะสมที่สุด
เขมขวัญนั่งปล่อยจิตปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความสวยงามของสิ่งแวดล้อมรายรอบตัว และความคิดคำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไหลเลื้อยสู่อนาคต
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขมขวัญกำลังจะมีโอกาสได้เหยียบย่างเข้าสู่บ้านน้อยหลังงามในสภาวะของความเป็นจริง ไม่ใช่ในความฝัน นึกอยากรู้ว่าภายในจะเป็นเช่นไร และเธอจะสามารถทนอยู่ในบ้านสุดเฮี้ยนหลังนี้ได้นานแค่ไหนกัน แต่...อยู่กับผีที่นี่ ก็ยังดีกว่าต้องเสียเงินจ่ายค่าเช่า ถ้าคนกับผีตกลงกันได้ อยู่ใครอยู่มันอย่างสันติ เงินเดือนของเธอก็จะเหลือส่งกลับบ้านในจำนวนเท่าที่คำนวณเอาไว้แต่ต้น ดีไม่ดีอาจมากกว่าเดิม เพราะเจ้านายอาจใจดีให้เธอติดรถไปทำงาน ประหยัดได้อีกมากโข คิดแล้วก็ให้รู้สึกกระหยิ่มในใจ
แดดยามสายสาดส่องผ่านม่านใบไม้มากระทบใบหน้าให้เขมขวัญต้องขยับเลื่อนหลบ แล้วก็ต้องลุกขึ้นยืนเมื่อมองเห็นบุคคลกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงมา หนึ่งในนั้นเธอจำได้ว่าเป็นพี่สาวที่มาช่วยขนของ แต่อีกสองคนแม้ยังไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็พอจะเดาได้ว่าหญิงชราผู้มีเด็กสาวอีกคนเดินประครองอยู่จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคุณยายละเอียดคนที่ทำหน้าที่เก็บกุญแจประจำประตูทุกบานในบ้าน
“สวัสดีค่ะ” ความนอบน้อมคือสิ่งที่เขมขวัญคิดว่าเป็นการผูกมิตรที่ดีที่สุดในการลดภาวะศัตรูที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอจึงยกมือไหว้ทันทีที่ผู้สูงวัยเดินมาถึง
“หล่อนคือ คนที่คุณหนูพามานอนค้างที่บ้านเมื่อคืนใช่ไหม”
คำถามแรกก็เล่นเอาเขมขวัญแทบสะอึก...คุณยายคนนี้ดูท่าจะดุเอาเรื่องแฮะ...
“ค่ะ...เอ่อ...เขมไม่สบายค่ะ เจ้านายท่านเลยเมตตาพามาพักชั่วคราว” เขมขวัญเอ่ย พยายามระงับความรู้สึกประหม่าที่เกิดขึ้นเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าสายตาดุ ๆ คู่นี้
“ชั่วคราวเมื่อคืน แต่ถาวรในวันนี้...” หญิงวัยชราเมินหน้าไปมองรอบๆบริเวณ ก่อนจะหันไปสั่งเด็กรับใช้ที่มาด้วย “ไขกุญแจ...เธอ ช่วยแม่นี่จัดของ ดูดี ๆ อย่าให้ไปยุ่มย่ามห้องทำงานของคุณผู้หญิง แล้วก็แบ่งกุญแจให้หล่อนเก็บไว้ด้วย...รักษาดี ๆ ล่ะ” คำกำชับสุดท้ายมาพร้อมหางตาที่ตวัดมอง ก่อนคุณยายละเอียด จะขยับตัวเดินกลับไปโดยไม่รอ ให้เด็กที่มาด้วยเข้าพยุง
โห...ดูท่าจะเจอศึกหนักแล้วสิเรา...คิดแล้วก็เย็นวาบไปทั้งไขสันหลัง
“เข้ามาเถอะคุณ บ้านหลังนี้มีห้องอยู่แค่สองห้อง คือห้องทำงานของคุณผู้หญิง กับห้องพักผ่อน ถ้าคุณจะพักอยู่ที่นี่จริงๆ ก็คงต้องจัดห้องพักผ่อนให้เป็นห้องนอน” คนรับใช้ที่ถูกมอบหมายให้อยู่ช่วยอธิบายพอไม่ให้บรรยากาศเกิดความเงียบเชียบจนเกินไป
เขมขวัญหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปวางในส่วนที่พี่คนรับใช้บอกว่าเป็นห้องพักผ่อน ภายในห้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู ปูพรมไว้ทั้งพื้นห้องสัมผัสถึงความนุ่มเมื่อก้าวเข้ามาเหยียบ ชิดเพดานมีเครื่องปรับอุณหภูมิห้องที่ถูกปกปิดด้วยการบิวท์อินผนังที่ฝ้าเพดานเป็นลายไม้ สัก เขมขวัญคิดว่าเธอคงไม่จำเป็นต้องใช้มัน เพราะเมื่อเดินไปเปิดหน้าต่างออกกว้าง ๆ สายลมเย็น ๆ ก็โชยพัดความหอมของกลิ่นดอกไว้เข้ามาให้ชื่นใจแล้ว และที่สำคัญ หน้าต่างทุกบ้านติดมุงลวดเอาไว้เรียบร้อย เรื่องยุงหรือแมลงรบกวนซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล
“ห้องตรงข้ามเป็นห้องทำงานของคุณผู้หญิงนะ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเข้าไป...” หญิงรับใช้เอ่ยเตือน
“ทำไมคะ”
“ไม่รู้สิ...ตั้งแต่คุณผู้หญิงท่านเสีย มักมีคนเห็นอะไรแปลก ๆ ที่ห้องนี้เสมอ” บอกพลางทำท่าขนพลองสยองเกล้า
“แปลกยังไง” แม้พอจะรู้อยู่บ้างว่า พี่สาวคนนี้หมายถึงอะไร แต่เขมขวัญก็ยังอยากได้คำยืนยันว่า สิ่งที่เธอเห็นและได้สัมผัสมาแต่ต้น ไม่ใช่เพราะจิตของเธอหลอนตัวเธอเอง
“บางคืนก็มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องทำงาน ในคืนเดือนหงายบางทีก็เห็นเหมือนมีเงาคนเดินผ่านหน้าต่างไปมาภายในห้อง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ บรื๋อ...คิดแล้วก็ขนลุก คุณจะอยู่ได้หรือเปล่าล่ะทีนี้” เล่าไปแล้วก็นึกห่วงความรู้สึกของหญิงสาวที่ยืนฟังเธอเล่าตาปริบ ๆ
“อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่ไปก่อนจ้ะพี่...พี่ก็เห็น ฉันไม่มีที่จะไปแล้ว ถูกไล่ออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว จะไปหาที่พักที่ไหนได้ทัน” ว่าแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกกับโชคชะตาของตัวเอง
“คุณกริชท่านถึงจะชอบทำหน้าดุ แต่ก็ใจดีมาก ๆ ถ้าคุณกลัว ก็ลองขอท่านขึ้นไปอยู่บนตึกใหญ่สิ”
คำแนะนำของหญิงรับใช้ที่เขมขวัญยังไม่ทราบชื่อก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่เพราะปากที่พูดออกไปแบบบังคับไม่ได้ ป่านนี้เธอก็คงจะมีที่ซุกหัวนอนบนตึกนั้นไปแล้ว...แต่เมื่อนึกเห็นคุณยายละเอียด เขมขวัญกลับรู้สึกว่า ได้พักที่นี่น่าจะดีกว่า
“ไม่ล่ะ ขวัญว่าพักที่นี่ดีที่สุดแล้ว อย่างนี้ก็ไม่เป็นที่ขวางหูขวางตาคุณยาย”
“อ้อ...คุณยายละเอียด...แกก็ทำดุไปอย่างนั้นแหล่ะ ตามประสาคนแก่เจ้าระเบียบ”
“คุณยายละเอียดนี่เป็นคุณยายจริงๆของคุณกริชหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอก แกเป็นคนเก่าแก่ที่นี่อยู่มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของคุณผู้หญิง เป็นพี่เลี้ยงให้คุณผู้หญิงกับคุณพ่อคุณกริชและยังเป็นแม่นมของคุณกริช เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่คุณกริชประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคุณผู้หญิงรับมาอุปการะแล้วส่งไปเรียนเมืองนอก ทั้งคุณกริชและคุณผู้หญิงรักและให้เกียรติ ยกย่องเสมือนญาติ พอสิ้นบุญคุณผู้หญิงแกเลยกลายเป็นคนสำคัญที่สุดในบ้านหลังนี้รองจากคุณกริช”
“มิน่า...ถึงได้ทำท่าหวงเจ้านายเหลือเกิน”
“ไม่หวงได้ไงคะ ก็คุณกริชทั้งเท่ห์ หล่อ สมาร์ท แถมยังเป็นทายาทรับมรดกร้อยล้านพันล้าน ใครได้เป็นคุณนายบ้านนี้ ล่ะสบายไปทั้งชาติ คุณยายแกก็กลัวจะมีผู้หญิงไม่ดีมาปอกลอก...ห่างๆคุณกริชไว้หน่อยก็แล้วกัน ถ้าอยากอยู่ที่นี่แบบสบายใจ”
คนทำงานด้วยกัน จะอยู่ให้ห่างกันได้ยังไง ยิ่งทำงานเลขานุการด้วยแล้ว ยิ่งต้องติดตามกันเป็นเงาตามตัว “เฮ้อ...” ไม่รู้ว่าคนหรือผีกันแน่ที่น่ากลัวกว่ากัน ถ้าจะให้คะแนนความน่ากลัว คุณยายละเอียดดูท่าจะชนะขาดซะแล้วตอนนี้
***********************
จากตอนที่แล้้ว แวะมาทักทายกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง...
ดีใจนะคะที่ชอบนิยายผี เรื่องนี้ ^_^
คุณป้าก็เพิ่งจะหัดเป็นผี ประเอกก็เพิ่งจะหัดบริหาร นางเอกก็เพิ่งหัดเป็นเลขาฯ แม้แแต่คนเเขียนก็เพิ่งจะหัดเขียนนิยายผีเหมือนกันค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
จริงๆ มีเหตุผลหนึ่งที่ไม่อาจเขียนนิยายผีให้น่ากลัว...เหหตุผลนั้นก็คือ...แฟนคลับทองหลางส่วนใหญ่กลัวผีซะงั้น
แต่คนเขียนอย่างเขียนแนวผีดู ก็เลยเลยออกมาเป็นผีน่ารักแทนผีน่ากลัว..
หวังว่าจะติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ นะคะ
ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ย. 2559, 15:12:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ย. 2559, 15:12:29 น.
จำนวนการเข้าชม : 1168
<< ตอนที่ 8 ความจริงที่ได้รับรู้ | ตอนที่ 11 คุณป้าชักเฮี้ยน >> |
Kim 7 พ.ย. 2559, 17:09:11 น.
ยัยขวัญถูกคุณป้ามัดมือชกตลอด ตอนนี้มีคุณยายละเอียดเข้ามาอีก ยัยขวัญเอ๊ยจะได้เป็นตัวของตัวเองบ้างไหมเนี่ย
ยัยขวัญถูกคุณป้ามัดมือชกตลอด ตอนนี้มีคุณยายละเอียดเข้ามาอีก ยัยขวัญเอ๊ยจะได้เป็นตัวของตัวเองบ้างไหมเนี่ย
แว่นใส 7 พ.ย. 2559, 19:07:04 น.
มีเรื่องให้ต้องได้ใกล้ชิดกันอีกละ
มีเรื่องให้ต้องได้ใกล้ชิดกันอีกละ
นกขมิ้น 7 พ.ย. 2559, 21:54:19 น.
สงสัยคราวนี้หนูขวัญของเราจะได้เจอเอกสารแล้วหละ
สงสัยคราวนี้หนูขวัญของเราจะได้เจอเอกสารแล้วหละ
wane 8 พ.ย. 2559, 08:55:15 น.
อุปสรรคที่เกิดขึ้น เข้าทางคุณป้าเลย
อุปสรรคที่เกิดขึ้น เข้าทางคุณป้าเลย
Zephyr 20 พ.ย. 2559, 00:41:07 น.
เหม่ ป้าทำให้บ้านขายได้เร็วรึป่าวน้าาาา
เหม่ ป้าทำให้บ้านขายได้เร็วรึป่าวน้าาาา