จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 10

--- แวะคุยกันก่อน ---

สวัสดีคะนักอ่านทุกท่าน ช่วงนี้ฝนตกเหมือนเคยอีกแล้วรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
ช่วงนี้นักเขียนมาอัพนิยายวันเว้นวันแทนแล้วนะคะ แถมมาดึกอีกต่างหาก
บทนี้ไม่ค่อยหนักมาก นางเอกกับพระเอกหวานใส่กันด้วยนะ(มันหวานแล้วเหรอ555)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นนะคะ ไว้เจอกันบท 11 นะคะ

ปล.คราวนี้ไม่มีเพลงมาฝากนะคะ
------------------------

บทที่ ๑๐

อาการบาดเจ็บของศศิวิมลกลายเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับบ้านวิสุทธิ์สุนทร...ทันทีที่เปิดประตูหมายจะออกจากรถ ผู้รับหน้าที่เป็นทั้งสามีและสารถีก็ดุให้นั่งอยู่กับที่ หลังจากเขารวบถุงหลายใบจากท้ายรถได้ก็กลับมาอุ้มคนตัวเล็กเข้าบ้านโดยให้เหตุผลว่า หากเดินเองแล้วข้อเท้าอักเสบจะเป็นปัญหาหนักกว่าเก่า เหล่าคนรับใช้สูงวัยมีหรือจะนิ่งดูดาย หยูกยาแผนโบราณขนานไหนที่ว่าดีก็ขนมาให้เสียหลายกระปุก ยิ่งกับยายช้อยด้วยแล้วนางถึงกับขันอาสารับผิดชอบนวดเท้าและล้างแผนให้สองเวลาเช้าเย็นวุ่นวายกันไปหมด

ภาควัฒน์เลยตัดสินใจปฏิเสธความหวังดีของทุกคนแล้วเป็นฝ่ายดูแลภรรยาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งล้างแผลและนวดเท้าให้อยู่หลายวันจนหญิงสาวรู้สึกเกรงใจ ยามอยู่กันลำพังจึงต้องเป็นฝ่ายบอกว่าจะดูแลตัวเองแทนแต่เขาก็ไม่ยอมหนำซ้ำยังสั่งให้เงียบอีกต่างหาก

ความที่ข้อเท้ายังเจ็บทำให้ไม่สะดวกกับการเดินเหินไปไหนมาไหน อรพิณจึงฝากให้ยายช้อยมาบอกให้คนตัวเล็กพักผ่อนอยู่ในห้องตามอัธยาศัยจนกว่าจะหายดีแล้วค่อยกลับมาดูแล ลงท้ายศศิวิมลเลยต้องทนไม่มีอะไรทำนั่งๆนอนๆอยู่บนเตียงเหมือนคนป่วยหนัก อาหารแต่ละมื้อก็ต้องลำบากข้างล่างยกมาแล้วยังต้องขึ้นมาเก็บไปอีก

...ระยะนี้พี่ภาคเองก็ดูแปลก ถึงภายนอกจะเย็นชาอย่างไร แต่ในยามที่เขาบรรจงนวดข้อเท้าให้นั้นหล่อนกลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนเอาใจใส่มากเสียจนอดสับสนไม่ได้ว่าการกระทำของเขาเกิดจากใจหรือหล่อนเพียงอุปทานไปคนเดียว

เมื่อประตูห้องเปิดออก ความคิดฟุ้งซ่านกระจัดกระจายจึงมีอันยุติ หญิงสาวเฝ้ามองชายหนุ่มที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังมาวางไว้ตรงปลายเตียง ตราสัญลักษณ์หน้าถุงกระดาษและพลาสติกเหล่านั้นบ่งบอกให้รู้ว่าภายในนั้นมีต้องมีสินค้าราคาแพง นอกจากนี้แล้วยังมีกองหนังสือเล่มหนาวางไว้ใกล้กัน

“ กลับมาแล้วเหรอคะ ” คนกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงทักทายผู้เป็นสามีที่เดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัว จดๆจ้องๆกับข้าวของมากมายที่กองอยู่ปลายเท้าอย่างสนใจใคร่รู้หากก็มีมารยาทพอจะไม่จุ้นจ้านถือวิสาสะหยิบสิ่งที่ไม่ใช่ของตนมาดู

คนตัวใหญ่ถอดสูทกับเสื้อเชิ้ตเหวี่ยงลงไปในตะกร้าเสื้อผ้า ฉวยเอาเสื้อคลุมกับผ้าเช็ดผมสะอาดในตู้ได้ก็เดินหายเข้าห้องน้ำเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำในเวลานี้ ระหว่างรอเขาอาบน้ำคนตัวเล็กก็เขยิบเข้าไปใกล้ของบนเตียงทีละน้อยอย่างสนใจใคร่รู้ กระนั้นก็มีมารยาทพอจะไม่จุ้นจ้านถือวิสาสะหยิบสิ่งที่ไม่ใช่ของตนมาดู

ได้แต่เฝ้ารอให้เจ้าของห้องออกจากห้องน้ำมาไขข้อสงสัย พอเห็นเขาสวมเสื้อคลุมสีดำเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำจึงได้ทีเอ่ยถามถึงข้าวของทั้งหมด

“ พี่ภาคซื้ออะไรมาเยอะแยะเหรอคะ ”

ชายหนุ่มที่ยืนเช็ดผมห่างออกไปหยุดมือชั่วขณะ เหลือบมองดวงตากับใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความฉงนสงสัย

“ ของเธอ ” เขาบอกเรียบเท่านั้นก็จัดการกับผมของตัวเองต่อ แต่คนฟังไม่เข้าใจคำตอบสั้นห้วนเหลือเกินของเขาเลยไม่กล้าขยับกลับนั่งเฉยเช่นเดิม ต้องรอให้เขาเลิกยุ่งกับการทำตัวเองให้แห้งเงยมาเห็นแล้วเดินเข้ามาคว้าถุงทั้งหมดวางไปบนหน้าตักแล้วกำชับอีกรอบว่าข้าวของทั้งหมดเป็นของใคร หล่อนถึงกล้าหยิบถุงสวยใบหนึ่งมาดูว่าอีกฝ่ายซื้ออะไรมามากมายนัก

กล่องรองเท้ายี่ห้อหรูสองใบถูกนำมาวางไว้บนตัก...เมื่อเปิดดูทีกล่องจึงเห็นรองเท้าแฟลตหนังนิ่มสีฟ้าอมเขียวประดับมุกขาวโดยรอบ อีกคู่นั้นเป็นรองเท้าส้นสูงไม่ถึงสองนิ้วสีชมพูเหลือบมุกดูเรียบร้อยอ่อนหวาน เหลือบลงก้นถุงจึงเห็นรองเท้าใส่ในบ้านอีกคู่

“ รองเท้าสวยจังคะ พี่ภาคเลือกสีรองเท้าเป็นสีที่เล็กชอบทั้งนั้นเลย แล้วพี่ภาครู้ได้ยังไงคะว่าเล็กใส่รองเท้าเบอร์อะไร ” เพ่งมองรองเท้าสวยไว้

“ ฉันโทรมาถามยายช้อย ยายเขาก็เลยบอกให้เสร็จแม้แต่สีที่เธอชอบ ฉันก็เลยบอกคนขายให้เลือกให้ก็เท่านั้น ” ตอบตรงไม่เหลือความหวังให้คนตัวเล็กดีใจต่ออีกเลย

ข้าวของถัดมาในถุงหลายใบนั้นมีทั้งกางเกงยีนส์ขาสั้นและขายาว เสื้อยืดเนื้อดีลายสวยสองสามตัว และกิ๊บติดคริสตัลรูปดอกไม้ใส่อยู่ในกล่องกำมะหยี่อย่างดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ศศิวิมลยิ้มแก้มแทบปริ ถึงเขาจะพูดจามะนาวไม่มีน้ำแต่ทุกอย่างที่ซื้อมาฝากก็บ่งบอกความเอาใจใส่ต่อกันเป็นอย่างดี

“ ขอบคุณค่ะ ” หล่อนเอ่ยเงยหน้ามองทันเห็นชายหนุ่มดึงกางเกงขายาวขึ้นสวมใต้เสื้อคลุมก็รีบก้มหน้าก้มตา ลากเอาถุงใบสุดท้ายที่ถูกกองหนังสือทับไว้ออกมาเปิดดู

แวบแรกที่เห็นริมฝีปากอิ่มที่เหยียดกว้างมีอันหุบลงรวดเร็ว นิ้วเกี่ยวเอาสายเดี่ยวของชุดนอนผ้าคอตตอนชั้นดีสีขาว ประดับชายกระโปรงและขอบตัวเสื้อด้านริบบิ้นสีดำผูกเป็นโบว์เล็กๆติดโดยรอบ เท่านั้นยังไม่พอ ชุดนอนอีกสองสามตัวที่หยิบตามออกมาแม้จะเป็นสีหวานและยาวกรอมเท้า ทว่าความที่เป็นผ้าแพรลื่นมือ สายชุดยาวนั้นผู้สวมต้องเป็นคนกะความสั้นยาวแล้วผูกเพื่อเกี่ยวกับร่างกายเอาเอง

มือนุ่มเหวี่ยงชุดนอนเปิดเผยเนื้อหนังเหล่านั้นไปไกลตัวดังกับถูกของร้อน ดวงตาหวานอมโศกเบิกกว้าง

“ พี่ภาคซื้อชุดนอนพวกนี้มาทำไมคะ ” เจ้าหล่อนร้องถามคล้ายตำหนิ พวงแก้มเซียวเสมอแดงเรื่อคล้ายกับใครใช้สีป้าย

ภาควัฒน์ผละจากเสาเตียงทรุดลงนั่งบนเตียง น้ำจากปลายผมหยาดลงมาตามลำคอสู่แผงอกคร้ามแดดใต้เสื้อคลุมที่เผยอออก กล้ามเนื้อหนั่นแน่นกำยำทุกสัดส่วนของเขาก็เย้ายวนสตรีทั้งหลายให้ยอมสยบอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมีหยดน้ำเกาะพราวทั่วร่างเสน่ห์ที่มากล้นของเขาก็เหมือนจะทวีคูณเข้าไปอีก

“ ฉันซื้อมาให้เธอใส่...ใส่มันซะคืนนี้เลย ตอนเช้าก่อนไปใส่บาตรก็ลงไปให้คนข้างล่างเขาเห็นกันสักหน่อยแล้วค่อยขึ้นมาเปลี่ยน ”

“ ไม่เอาหรอกคะ...ชุดนอนโป๊ขนาดนี้เล็กใส่ไม่ลงหรอก แถมชุดนอนเล็กในตู้ก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นจะต้องใส่ชุดแบบนี้นอนเลย ใส่ไปก็ไม่สบาย เผลอๆจะคันอีกต่างหาก ” พูดพลางสั่นไหล่คล้ายแขยง มองคนตัวใหญ่ที่ก้มลงฉวยเอาชุดนอนเกลื่อนพื้นกลับมายัดใส่มือคนตัวเล็กกว่าอีกหน

“ ยังไงเธอก็ต้องใส่ ” แววน้ำเสียงทุ้มแฝงความกระด้างแข็ง แม้ศศิวิมลจะเกรงเขาแต่เมื่อไม่พบเหตุผลในการสวมใส่เสื้อผ้าเหล่านั้นก็พร้อมยืนกรานความคิดของตัวเองเต็มกำลัง

“ เล็กใส่ชุดนอนของตัวเองก็ดีอยู่แล้ว พี่ภาคไม่น่าซื้อมาให้เปลืองเงินเลย ” มุ่งมั่นจะทำตามความประสงค์เดิมของตนเอง อีกฝ่ายแทนที่จะเข้าใจกลับยื่นหน้าคมคายของเขาเข้ามาเสียใกล้จนหล่อนต้องเอนตัวหนี

“ คิดว่าฉันซื้อของทั้งหมดมาให้เพราะพิศวาสเธอหรือยังไง ” พูดพลางสูดลมหายใจ แล้วกระซิบต่อ “ ที่ฉันต้องซื้อของมาเยอะขนาดนี้ เพราะแม่ฉันอยากให้เธอมีรองเท้าสวยๆใส่ แล้วพวกกางเกงกับเสื้อยืดนี้แม่ก็คิดว่าเธอมีแต่ชุดกระโปรงคงอยากใส่อะไรสบายๆบ้าง ส่วนไอ้พวกชุดนอนทำไมฉันต้องซื้อรู้ไหม ”

หญิงสาวมองดวงตาคมแข็งของเขาแล้วหลบวูบ เบือนหน้าหันไปอีกทางก่อนจะตอบเขาเสียงอ่อนว่าไม่รู้

“ ก็เพราะเธอนั้นแหละมัวแต่สุดนอนเด็กน้อยให้คนในบ้านเห็น แถมยังชอบทำตัวไร้เดียงสาตาใสทุกวัน จนแม่ฉันถามว่าเราสองคนมีอะไรกันหรือยัง เธอไม่รู้หรอกว่าความไม่ประสีประสาเหมือนเด็กของเธอมันทำให้ฉันลำบากต้องหาข้อแก้ตัวเรื่องนี้มากขนาดไหน แล้วรู้ไว้ซะว่าการซื้อข้าวของ รวมถึงไอ้ชุดนอนพวกนั้นให้เธอมันเหนื่อยมาก เธอเองก็โตเป็นสาว เรียนจบมหาวิทยาลัยก็แล้ว แต่งงานก็แล้วหัดใส่อะไรที่มันโตตามอายุหรือทำตัวให้เหมือนผู้หญิงที่มีสามีแล้วบ้างเถอะ

ถ้อยความยาวกล่าวติเตียนกันเป็นชุดของเขาทำเอาหญิงสาวหน้าเสีย...การเรียนจบมหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นเครื่องหมายว่าจะเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ยิ่งในกรณีของศศิวิมลที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ เพื่อนที่คบหากันน้อยนิดก็เป็นประเภทไม่สนใจเรื่องรักใคร่ แล้วยังมีพี่ชายมาคอยรับคอยส่งตลอดเวลาจนผู้ชายไม่กล้าเข้าหา เลยอยู่รอดจากปากเหยี่ยวปากกาไม่รู้เดียงสาเช่นนี้

“ ก็เล็กไม่รู้จริงๆนี้คะ ว่าคนมีสามีแล้วเขาเป็นยังไงกัน ”

“ อย่าแกล้งไร้เดียงสากับฉัน คนอายุขนาดเธอเขารู้เรื่องเซ็กส์กันทั้งนั้นแหละ ”

“ เล็กไม่ได้แกล้งนะคะ...ถึงเรื่องพวกนั้นเล็กจะเคยเรียนมาในวิชาเพศศึกษา แต่ก็ศึกษาแค่อวัยวะเพศนั้นเป็นอย่างไร การปฏิสนธิเกิดจากอะไร มีวิธีป้องกันการเกิดโรคกับไม่ให้ตั้งครรภ์ ไม่เห็นมีใครเขาสอนเลยว่า ถ้ามีสามีหรือมีอะไรพวกนั้นขึ้นมาแล้วต้องทำตัวยังไง ต้องรู้สึกยังไง ”คำสารภาพหมดเปลือกเต็มไปด้วยความเขินอาย แสดงออกชัดเจนว่าทุกคำที่หลุดจากปากเป็นจริงทุกประการ

ภาควัฒน์ถอนหายใจ ส่ายหน้าเอือมระอาก่อนจะทรุดลงนั่งบนเตียงเหมือนคนทดท้อทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำความผิดร้ายแรงต่อเขาเข้า

“ เล็กขอโทษนะคะที่ไม่ศึกษาเรื่องพวกนี้ดี เลยทำให้พี่ภาคต้องลำบาก เอาเป็นว่า เล็กจะทำตามที่พี่ภาคบอก คุณป้าจะได้เชื่อว่าเราแต่งงานและรักกันจริงๆแล้วกันค่ะ ” ว่าพลางเลือกชุดนอนตัวที่เรียบร้อยที่สุดออกมา แล้วยัดตัวที่เหลือกลับเข้าถุง ตัดสินใจว่าจะยอมทำตามแผนการของเขา

ถึงกระนั้นก็ยังเห็นแผ่นหลังกว้างของเขาไหวขึ้นลงเหมือนกำลังถอนหายใจอีกรอบ จากนั้นจึงเหลียวมาหา

“ เธอกินข้าวแล้วใช่ไหม ”

“ กินแล้วค่ะ ยายช้อยเพิ่งยกลงไปให้ก่อนพี่ภาคกลับมานิดเดียวเอง ” ตอบเท่านั้นเขาก็ลุกพรวดจากเตียงหายเข้าไปในห้องแต่งตัว กลับมาที่เตียงอีกรอบก็อุ้มร่างบางลอยจากเตียงตรงไปที่ห้องน้ำแล้ววางลงในอ่างน้ำ โยนผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน เสื้อคลุมอาบน้ำ แชมพูและอีกสารพัดในการชำระล้างร่างกายตามลงไป

“ อาบน้ำซะ เสร็จเมื่อไหร่ก็เรียก ” เขาว่า พอส่งถึงที่ก็ผละตัวเองออกมาด้านนอก ปล่อยให้คนตัวเล็กอาบน้ำด้วยตัวเองเหมือนที่ทำทุกวันตั้งแต่หล่อนโดนรถเกือบชน

ผ่านไปเกือบชั่วโมงจึงได้ยินเสียงตะโกนแว่วเข้าหู ภาควัฒน์ที่นอนอ่านหนังสือเรื่องสมุนไพรไทยอยู่ก็วางหนังสือ ผุดลุกขึ้นไปเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องน้ำก็เห็นภรรยาตัวเองนั่งคุกเข่าสวมเสื้อคลุมอาบน้ำทับชุดนอน ปลายผมยาวเปียกน้ำจนลีบลู่ นัยน์ตางามที่เหลือบจ้องมาฉายแววเกรงใจเขา

ชายหนุ่มไม่พูดอะไรแค่อุ้มร่างนั้นกลับไปที่เก่า จากนั้นก็หันไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับล้างแผลและยานวดเท้า...คนเจ็บพอถึงเตียงได้ก็สอดตัวเข้าไปในผ้านวมอุ่นล้มตัวลงปิดตานอนโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังสวมเสื้อคลุมชื้นน้ำไว้ รอให้มีมือใหญ่มาล้างแผลและนวดเท้าให้

สัมผัสอุ่นจากปลายนิ้วบรรจงเช็ดแผลเหนือคิ้วอย่างอ่อนโยน เช่นเดียวกับข้อเท้าที่ถูกนวดเฟ้นให้อาการบวมเบาบาง…ความสบายที่ได้รับทำเอาศศิวิมลเคลิ้มจวนเจียนเฝ้าพระอินทร์เต็มทีแต่ถูกสะกิดไว้มิให้หลับจึงจำใจต้องถ่างตาตื่น

“ ถ้าจะนอนก็ถอดเสื้อคลุมออก ” บอกเสียงเข้มด้วยกลัวเตียงจะชื้นจนขึ้นราแล้วจะลำบากกันไปใหญ่

เพียงได้ยินเขาบอกให้ถอดเสื้อคลุมออก ศศิวิมลถึงกับตาสว่างกุมเสื้อที่สวมทับชุดนอนไว้แน่นไม่ยอมท่าเดียว ยื้อกันไปมาอยู่นานสุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็อาศัยกำลังกระชากพร้อมดึงจนเสื้อคลุมหลุดติดมือออกมา

เมื่อปราศจากเสื้อคลุมนวลเนื้อเนียนละเอียดที่โผล่พ้นชุดนอนก็ปรากฏสู่สายตา อากาศหนาวจากเครื่องปรับอากาศปะทะผิวเปล่าทำเอาหญิงสาวห่อไหล่รีบดึงผ้าห่มมาปิดถึงต้นคอจนท้ายทอยกระแทกหัวเตียงเต็มแรงส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวดออกมา

ภาควัฒน์ปราดเข้ามาดูอาการคนเจ็บซ้ำซาก วางเข่าลงไปบนหมอนใช้มืออุ่นคลึงไปตามท้ายทอยบรรเทาความเจ็บอยู่สักพักก็ไถลกายใหญ่ลงไปนั่งเบื้องหลังจับจ้องแผ่นหลังบอบบางนวลเนียนกับเรือนร่างใต้ชุดนอนสีขาวบริสุทธิ์นั้นนิ่ง พร้อมสูดกลิ่นหอมดอกมะลิของครีมอาบน้ำจากเรือนกายนั้น

ความปรารถนาพุ่งพล่านขึ้นในกระแสเลือด เกือบจะเอื้อมมือไปโอบกอดไว้อย่างเสน่หา โชดยังดีที่เขาผ่านการฝึกจิตให้แข็งพอจะมีสติยับยั้งชั่งใจในยามคับขันพอจะหยุดทุกอย่างที่ใกล้จะดำเนินไป ขยับถอยห่างจากเตียงไปตั้งหลักไกลถึงห้องแต่งตัว เดินพล่านไปมาเหมือนเสือติดจั่นพอแน่แก่ใจว่าอารมณ์ของบุรุษเพศสงบลงแน่แท้จริงกลับไป

ศศิวิมลเฝ้ามองพฤติกรรมประหลาดของเขา คิดเดาเอาเองว่า คงเผลอไปทำให้เขาไม่พอใจอีก ไม่รู้เลยสักนิดว่า ความจริงแล้วคนตัวใหญ่ที่ก้มเก็บเสื้อคลุมแล้วก้าวขึ้นเตียงมานั้นอึดอัดกดดันเพราะอะไร

“ ฉันจะนอนแล้วนะ ” บอกให้ฟัง พอสิ้นคำหญิงสาวก็เขยิบตัวเข้าไปในผ้าห่ม พลันแสงสว่างก็ดับลง

ความที่นอนอยู่บนเตียงมาตลอดหลายวัน ทำให้วันนี้หล่อนมีปัญหากับการนอนในตอนค่ำ หลังจากพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาอยู่เป็นนานก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟข้างเตียง เหลือบแลหลังกว้างแข็งแรงที่นอนหันหลังให้ ก่อนจะให้ความสนใจกับหนังสือกองใหญ่ที่วางไว้อยู่บนโต๊ะฝั่งเขาเลยคิดจะเอามาอ่านฆ่าเวลาสักเล่ม

ตั้งท่าเตรียมย่องอ้อมเตียงก็ฉุกคิดได้ว่า ข้อเท้าตัวเองเจ็บ ระหว่างที่ลังเลก็ไม่เห็นคนร่วมเตียงขยับเคลื่อนไหวก็คิดว่าเขาคงหลับสนิทแน่ เลยเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งคุกเข่าคลานเข้าไปพยายามไม่ให้ใกล้ตัวเขามากเกินไปพร้อมกับเอื้อมมือออกไปหมายจะหยิบเอาหนังสือมา แสงสลัวกับเงาดำที่พาดผ่านหน้าคล้ายเป็นสัญญาณปลุกสัญชาตญาณความระแวดระวังตัวตลอดเวลาของภาควัฒน์ให้ลืมตาโพล่ง คว้าสิ่งแรกที่อยู่ตรงหน้าไว้มั่นแล้วกระชากเข้าหาตัวเอง

แทนที่จะเป็นศัตรูภาพแรกที่เห็นในระยะประชิดกลับเป็นศศิวิมล...เจ้าหล่อนเงยหน้าจากการกระแทกแผงอกแข็ง เผยอปากอยู่ระหว่างจะกรีดร้องจากอารามตระหนก พอเห็นเขาถลึงตาใส่ก็เม้มริมฝีปากทันที

“ จะทำอะไร ” เขาหลุดประโยคนั้นจากริมฝีปาก

“ เล็ก...เล็กแค่...นอน...นอนไม่หลับ...เลย...จะ...ยืม...หนังสือมาอ่าน ” เกิดอาการติดอ่างกะทันหัน

ภาควัฒน์เหล่ตาไปทางอื่นอย่างเบื่อหน่าย ยังไม่ยอมปล่อยให้คนกวนเวลานอนเป็นอิสระโดยง่าย คว้าหนังสือเล่มบนสุดมาได้ก็ยื่นส่งให้

“ นอนไม่หลับใช่ไหม ” เขาหยุดถามแต่ไม่ต้องการคำตอบก็ต่อ “ ไหนๆเธอก็ทำฉันลำบากและนอนไม่หลับแล้ว ก็เอาหนังสือนี้ไปแล้วอ่านออกเสียงหน้าที่ฉันคั่นไว้ให้ฉันฟังซะ ”

ความเรียบเฉยที่ฉาบไว้บนใบหน้าตลอดมาถูกกะเทาะออก ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟังออกคำสั่งเพราะสุดจะทน...ฝ่ายถูกสั่งกลัวจนตัวสั่นรับหนังสือมาเปิดหน้าที่เขาอ่านค้างไว้โดยไว แทนที่เขาจะยอมปล่อยให้หล่อนกลับมานอนอ่านในที่ของตัวเองกลับกลายเป็นเขาใช้แขนโอบกระชับร่างบางให้นอนหนุนกันเช่นนั้นต่อไป

“ อ่าน ” สั่งเสียงเย็นเยือก เร่งให้คนผิดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ศศิวิมลหน้าแดงโกรธตัวเองที่นอนไม่หลับจนไปกวนคนหลับและอับอายที่กายสาวหอมละมุนของตนกำลังเบียดเสียดกับร่างกายกำยำทุกอณูของสามีกำมะลอ...เคยแต่ถูกสอนให้สงวนเนื้อตัวจากผู้ชาย มาถึงคราวถูกสัมผัสใกล้เลยทำใจลำบาก เปิดหน้าหนังสือมือไม้สั่น อ่านออกเสียงตะกุกตะกัก

และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หญิงสาวเผลอหลับแล้วปล่อยให้เขานอนกอดตัวเองเช่นนั้นตลอดคืน

****************************************

ภายในห้องพักของโรงแรมม่านรูดกลางใจเมืองแห่งหนึ่ง บนเตียงนุ่มมีร่างเปลือยเปล่าของเด็กสาวคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าหอบหายใจจากกิจกรรมอันเร่าร้อนที่เริ่มต้นและสิ้นสุดไปหลายครั้ง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักแดงเรื่อ ทั่วกายกระทั่งเรือนผมยาวสยายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ชายหนุ่มรูปงามลุกจากเตียงคว้าเสื้อผ้าที่หล่นกองเรี่ยราดของตนเองขึ้นมาสวม ลากเก้าอี้ออกมาทรุดตัวลงนั่งเฝ้ามองคนบนเตียงที่พามาจากสถานบันเทิงทั้งหลายนิ่งนานก่อนจะซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองไม่อาจสะกดอารมณ์เจ็บปวดที่แล่นทั่วร่างทุกคราที่เสร็จสิ้นความสุขทางกาย

การพาผู้หญิงสักคนซึ่งเต็มใจจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งมาจากสถานบันเทิงเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรสำหรับผู้ชาย แต่สิ่งที่ทำให้ศิระละอายคือการเลือกเฟ้นผู้หญิงเหล่านั้นโดยอาศัยความละม้ายคล้ายคลึงของผู้เป็นน้องมาใช้ในการตัดสินใจ

ทั้งที่รู้ดีว่าเรื่องที่กำลังคิดทำผิดบาปเกินกว่าจะให้อภัย แต่ความทรมานจึงเป็นต้องได้รับการปลดปล่อย เมื่อหัวใจโบยบินไปหาไม่ได้ ขอเพียงกายได้กระทำต่อใครสักคนที่คล้ายคลึงกันก็เพียงพอ หากสุดท้ายการกระทำทั้งหมดก็สูญเปล่าเมื่อความทุกข์ทนยังคงหนักหนาดังเดิม

ศิระหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าสตางค์วางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเปิดประตูออกจากห้อง เดินโซซัดโซเซหมดอาลัยตายยาก ส่งเงินเป็นทิปให้พนักงานจากนั้นก็กลับขึ้นรถทุบถ่องพวงมาลัยระบายอารมณ์ชั่วครู่ก็สตาร์ทรถขับออกมาจากโรงแรมม่านรูด

ท้องถนนในเวลาตีสองทั้งเงียบเหงาเกือบจะว่างเปล่า...แววตาคมกล้าจ้องตรงไปข้างหน้าขับรถไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมายปลายทาง จนกระทั่งแสงไฟหน้ารถสาดกระทบรั้วอัลลอยด์สีเขียวมรกตที่ดัดโค้งเป็นรูปพญาสิงห์สองตัวหันหน้าเข้าหากันก็ประจักษ์ได้ว่า อำนาจความรักและคิดถึงแห่งหัวใจนำทางเขาให้กลับมายืนอยู่ในจุดเริ่มต้นอีกครั้ง

...อีกสองวันจะหมั้นอยู่แล้ว...สองวันเท่านั้น แต่เขากลับห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะหนีไปไกลต่อให้ห่างไปสุดขอบฟ้าก็เชื่อเถิดว่า เขาต้องหวนกลับมาอยู่ใกล้สตรีผู้เป็นยิ่งกว่าหัวใจอีกอยู่ดี

ใบหน้าของเขาแหงนสูงยังตัวคฤหาสน์ที่มีเพียงแสงไฟสลัวบางดวงส่องให้เห็นความงาม เขม่นมองเหมือนกับจะส่องทะลุแนวกำแพงค้นหาบุคคลอันเป็นที่รัก ก่อนน้ำตาจะไหลพรากอาบทั้งหน้า

ความรักบางคราก็เหมือนดอกไม้งามตาทว่าบางคราก็เหมือนมีดกรีดกลางใจ...ศิระไม่อาจตอบตัวเองว่า เพราะความใกล้ชิดสนิทสนมและคิดเพียงอยากปกป้อง หรือเพราะอยากอยู่เคียงข้างกันตลอดชีวิต ไม่อยากให้ใครมาพรากทั้งสองจากกัน หรือเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้หลงรักน้องสาวสายเลือดเดียวกันได้

ศิระซบหน้าร้องไห้หนักกับพวงมาลัยรถ ทอดอาลัยชีวิตอันระทมหม่นหมอง

...หากไม่เคยตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คงยากจะรู้ซึ้งถึงความร้าวรานนี้

...หากไม่เคยตกบ่วงแห่งรักของใครสักคนที่รู้แน่ใจดีว่าไม่มีวันเอื้อมถึง ก็คงยากที่ใครจะเข้าใจความทรมานเหลือคณาที่ศิระกำลังประสบพบพานเพียงคนเดียวนี้แน่นอน...

**************************************

เข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนใหญ่เคลื่อนคล้อยจวนเจียนจะถึงเลขแปด ยายช้อยก็ลงมือตักโจ๊กหมูร้อนๆฝีมือตัวเองลงในชามตรงหน้าหญิงสาวตัวเล็กก่อนแล้วจึงค่อยตักลงในชามของทายาทตระกูลวิสุทธิ์สุนทร คนรับใช้อีกคนรินน้ำเย็นเฉียบลงในแก้วทรงสูงให้ทั้งคู่เรียบร้อยก็ถอยหลังออกไปยืนร่วมกับคนรับใช้อื่นในห้องอาหาร

ศศิวิมลถือช้อนค้าง ตายังปรือเหมือนคนนอนหลับไม่เต็มที่บางทีก็มีหาววอด ความง่วงทำให้ลืมว่าตนเองสวมชุดนอนโดยไม่มีอะไรคลุมร่างกาย...ใจจริงไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลยหากไม่ถูกผู้เป็นสามีจับอุ้มลงมาข้างล่างเพื่อร่วมทานมื้อเช้าด้วยกัน

หลังจากถูกบังคับให้อ่านหนังสือให้ฟังทั้งคืนหล่อนก็ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน มาสะดุ้งตื่นก็ตอนได้กลิ่นโคโลจญ์กับน้ำยาโกนหนวดของผู้เป็นสามีนั้นแหละถึงได้เปิดเปลือกตาแต่ไม่คลายความงัวเงีย

อาการง่วงงาวหาวนอนนั้นกำลังกลายเป็นประเด็นให้คนที่เหลือในห้องครัวพูดคุยกัน บ้างก็หลุดหัวเราะคิกคักเพราะคิดว่าคู่สามีภรรยาคงจะประกอบกิจกรรมสานสายใยรักกันทั้งคืน

ทุกความเคลื่อนไหวของคนรับใช้อยู่ในความสนใจของภาควัฒน์ตลอดเวลา ถึงแม้เขาจะก้มหน้ากินข้าวเงียบแต่ก็เงี่ยหูฟังการกระซิบกระซาบสนทนากันอยู่ตลอดเวลา และเมื่อรู้หัวข้อที่พูดคุยกันก็หันไปมองหญิงสาวที่ยังหาววอดไม่เลิกพลางยิ้มอ่อน....อาการอ่อนเพลียมีผลให้คนตีความกันเองว่าเขากับยัยตัวเล็กมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแน่แล้ว

...ทีนี้ผู้เป็นแม่คงจะหมดความสงสัยไปเสียที...

ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานทานอาหารเช้าของตัวเองจนเกลี้ยงชาม ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่นั่งสัปหงกทั้งที่ยังถือช้อนคาอยู่ในมือตัวเอง

“ เดี๋ยวพี่จะไปทำงานแล้วนะคะ ถ้าเล็กยังไม่อิ่ม เดี๋ยวพี่จะให้คนยกขึ้นไปให้นะ ” เขาบอกกับร่างแทบไร้สติ ส่งสัญญาณให้หญิงสูงวัยช่วยยกอาหารเช้าตามขึ้นไปบนห้อง แล้วจึงอุ้มคนตัวเล็กออกจากห้องอาหารขึ้นบันได้กลับสู่อาณาเขตส่วนตัว หยิบเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดแผลออกมาเช็ดและนวดข้อเท้าในตอนเช้าอีกหน

ยายช้อยเคาะประตูนำถาดใส่อาหารเช้าเข้ามาในห้องนอนของคนทั้งสอง เฝ้ามองความห่วงใยของคุณหนูที่มีต่อภรรยาของตนเองแล้วก็ชื่นใจ

“ พี่จะไปทำงานแล้วนะคะ ไว้เจอกันตอนเย็นนะคะ ”

ศศิวิมลพยักหน้าทั้งที่ยังหลับตา..พอหัวถึงหมอนก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากไปกว่าอยากจะนอน ปล่อยให้เขาหอมแก้มฟอดใหญ่และจูบหน้าผากแสดงความรักต่อหน้าแม่นมของเขาตามอัธยาศัยแล้วก็หลับไป

“ ผมไปก่อนนะครับ ฝากยายช้อยดูแลเล็กด้วย ” เดินมาฝากฝังภรรยากับสตรีที่เขานับถือมากกว่าแค่คนรับใช้

“ วันหลังคุณภาคก็ออมแรงหน่อยนะคะ คุณเล็กเธอตัวนิดเดียว ไม่ได้นอนทั้งคืนเธอก็แย่ ” นางบอกอย่างมีความหมายเชิงลึกในน้ำเสียง อีกฝ่ายก็เพียงตอบรับสั้น หมุนตัวก้าวเท้าออกจากห้อง

รถยนต์สีดำสมบัติตกทอดของพ่อที่ผู้เป็นลูกนำมาใช้เคลื่อนตัวออกจากโรงจอดรถไปตามทางแล้วมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วรอให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์กดปุ่มเปิดประตู ก่อนจะสังเกตเห็นรถยนต์อีกคันจอดขวางทาง

บีบแตรส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายถอยหนี...คนบนรถที่นอนซบพวงมาลัยก็สะดุ้งตื่น ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน คนหนึ่งหูตาแดงถ่ายทอดความชิงชังเหลือประมาณ อีกคนรับเอาความโกรธแค้นนั้นไว้อย่างเย็นชาไร้อารมณ์ สักครู่คนที่ขวางทางอยู่ก็หักเลี้ยวไปทางบ้านหลังที่อยู่ติดกันแทน

ศิระจ้องมองรถของภาควัฒน์ที่ขับออกไปจากบ้านผ่านกระจกมองหลัง...นัยน์ตาคมดุจพญาเหยี่ยววาววับราวกับค้นพบวิธีให้ได้มาซึ่งอาหารอันโอชะ
.
..บางทีอาจถึงเวลาที่ความตายควรมาเยือนคนที่พรากของรักไปจากเขา...

...ความตายของมันเท่านั้น ถึงจะสาสมกับความชอกช้ำระกำทรวงที่เขาได้รับ...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2554, 03:56:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2554, 03:56:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 2240





<< บทที่ 9   บทที่ 11 >>
nako 10 ส.ค. 2554, 12:18:18 น.
รอตอนต่อไปจ้า


ling 10 ส.ค. 2554, 13:20:31 น.
วันนี้หวานได้ใจค่ะ


anOO 10 ส.ค. 2554, 17:01:31 น.
พี่ใหญ่หมายถึงใครเนี้ย ใครจะต้องตาย


violette 10 ส.ค. 2554, 19:54:24 น.
พี่ใหญ่เข้าดาร์คไซด์แล้วจริงๆด้วย โอ้วว ยิ่งอ่านยิ่งอินค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account