อัมฮารา...สุดปลายทางที่ความรัก (สนพ.ที่รัก)
เพราะคู่หมั้นหายตัวลึกลับในระหว่างปฏิบัติหน้าที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ธารวารีจึงต้องออกตามหา โดยไม่รู้ว่านายพีคนจรที่คอยตามติด คือน้องชายของคู่หมั้นที่จากกันไปนานกว่าสิบปี สองหนุ่มสาวกับการเดินทางในดินแดนอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก...อัมฮารา
Tags: ตามรักสุดแดนตะวัน อัมฮารา รักดราม่า ผจญภัย

ตอน: บทที่ 4/1 ช่างแอร์จำเป็น


ชายหนุ่มก้าวลงมายืนข้างตัวรถมองไปรอบบริเวณบ้านอย่างพิจารณา ลีลาวดีสีขาวต้นใหญ่ส่งกลิ่นหอมยวนใจ อีกทั้งสวนกุหลาบขนาดย่อมตลอดแนวทางเดินไปตัวบ้านสวยงามสดใส สองเท้าก้าวเดินไปตามทางโดยอัตโนมัติราวกับคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี

สายตาเหลือบมองข้ามไปยังอีกฝั่งแม่น้ำด้วยความรู้สึกโหยหา กว่าจะละสายตาเมื่อมีเสียงใครบางคนดังมาจากทางด้านหลัง

“ทางนั้นไปเรือนไทย ส่วนสตูดิโอต้องไปอีกทางอยู่ติดศาลาริมน้ำค่ะ”

ภูบดีชะงักฝีเท้าทันที ดวงตาคมเข้มมีแววตื่นเต้นฉายชัด เขาจำน้ำเสียงอ่อนโยนได้ว่าเป็นธารา เพื่อนสนิทของแม่ ที่รู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เขายังเด็ก

“คุณป้า”

“คะ คุณว่าอะไรนะคะ” ธาราถามย้ำ

ภูบดีอึดอัดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นธาราจับจ้องไม่วางตาท่าทางลังเลครุ่นคิดเหมือนจะจำได้ แต่ก็โล่งใจเพราะธาราดูปกติดีไม่มีทีท่าจำได้

“ผมบอกว่าที่นี่ดอกไม้สวยดีครับ”

“หรือคะ เมื่อกี้ป้าได้ยินคุณเรียก ช่างเถอะค่ะ ว่าแต่รู้สึกคุ้นหน้าคุณจัง เราเคยเจอที่ไหนมาก่อนรึเปล่าคะ” ธารายิ้มอ่อนโยนก่อนจะชวนคุยต่อ

ภูบดีอึกอัก เสหลบตาแล้วมองไปยังสตูดิโอที่อยู่ติดกับศาลาริมน้ำแทน “ผมเคยมาที่นี่สองสามครั้งครับ”

“สงสัยคุณมาตอนป้าไม่อยู่สินะคะ ยายรีชอบเผอเรอ ไอ้นั่นเสียไอ้นี่เสียเรื่อยต้องใช้บริการช่างซ่อมตลอด”

“ครับ... คืออันที่จริงแล้ว ผมแค่จะมา...”

ยังไม่ทันที่ภูบดีจะพูดจบ นาก็มาพร้อมกับน้ำมะตูมลอยน้ำแข็งแก้วใหญ่ยื่นให้ทั้งสอง แถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองเขาไม่วางตาก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับเจ้าบ้าน

“คุณป้า ช่างแอร์ของน้องรีคนนี้หล๊อหล่อนะคะ ไปหามาจากไหนน้อ หล่อน่าอุปการะมาก”

นาพูดไปอมยิ้มบิดตัวไปมาท่าทางขวยเขิน หญิงสูงวัยหนึ่งเดียวส่ายหน้าระอา ส่วนช่างแอร์จำเป็นมองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วถึงกับอึ้งสนิท

เข้าใจผิดกันไปใหญ่โต! ไม่ฟังคำอธิบายได้แต่คิดเองเออเองแบบนี้น่าเป็นห่วงความปลอดภัย

“คือ... ผมไม่ใช่”

“อย่าไปถือสายายคนนี้เลยนะคะ อะไรที่พอดี ๆ คงไม่ใช่แม่นาหรอก แต่เค้าเก่งค่ะ ฉลาดเสียแต่ล้นไปนิด ป้าว่าเราไปที่สตูดิโอกันเลยดีกว่าค่ะ ชวนคุยนานเดี๋ยวจะเสียเวลาทำงานของคุณ”

“ไม่เป็นไรครับ สนุกดี แบบนี้เวลาลูกสาวไม่อยู่หรือไปทำงานไกลหูไกลตา คุณป้าคงไม่เหงาแน่เลยนะครับ มีคนรู้ใจอยู่ด้วยแบบนี้”

ภูบดีหัวเราะร่วน ธาราพยักหน้ารับคำแล้วนึกได้

“ใช่ค่ะ จริงของคุณ แต่เอ๊ะ! รู้ได้ยังไงคะว่า ลูกสาวป้าชอบไปทำงานไกลๆ”

“คือ... ผม” ชายหนุ่มถึงกับอึกอัก “ก็เธอเป็นช่างภาพนี่ครับ”

ภูบดีแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ เพราะเมื่อครู่ที่ชวนคุยเขาลืมไปเสียสนิทว่าธาราจะสงสัยเอาได้ ดีที่แม่บ้านสาวจอมโม้ช่วยไว้ได้พอดิบพอดี

“โธ่ คุณป้าขา คุณช่างแอร์สุดหล่อ กลัวบารมีคุณป้าจนตอบผิดตอบถูกแล้ว ไปค่ะเดี๋ยวพี่พาคุณไปนะคะ สตูดิโออยู่ด้านโน้นค่ะ”

“ครับ แต่ว่า ผม”

ไม่ทันที่ภูบดีจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธเพราะพูดแทรกไม่ทันสองสาวต่างวัย โดยเฉพาะคนเจ้ากี้เจ้าการเดินนำเขาไปไม่พอ ยังทั้งจับจูงลากไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“สุดหล่อ เดินผ่านศาลาไปนิดหนึ่งก็ถึงแล้วค่ะ คุณเข้าไปได้เลยนะคะ พี่ขอไปทำธุระสักประเดี๋ยวแล้วจะตามไป”

ภูบดีพยักหน้าเมื่อเห็นท่าทีแปลก ๆ ของแม่บ้านสาว ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดเพราะดูท่าทีแล้วหล่อนจะมีปัญหาบางอย่าง ไม่ทันได้อะไร นาก็โพล่งขึ้น

“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องลับ ๆ ของผู้หญิงน่ะค่ะ”

นาหน้าไม่สบายผละไปโดยเร็ว ร่างสูงใหญ่มองตามก่อนจะส่ายหน้าระอาแล้วเดินต่อไปทางที่บอกไว้


ทางเดินจากตัวบ้านไปยังสตูดิโอ มีสะพานไม้พาดผ่านธารน้ำตกขนาดเล็กไหลลงสู่ลำคลอง ตลอดแนวสะพานเต็มไปด้วยไม้ดัดในกระถางเรียงแถวสลับกับไม้ดอกหลากสีส่งกลิ่นหอมอบอวล ทั้งไม้ยืนต้นหลายชนิดที่ปลูกริมธารให้ร่มเงา สวยเหมือนอยู่ในป่าอันอุดมสมบูรณ์

ภูบดีหยุดยืนมองซุ้มศาลารูปทรงแปดเหลี่ยมด้านซ้ายมือด้วยความชื่นชม ที่นี่ดูแปลกตาไปจากเดิมมาก คงเพราะม่านบาหลีแสนสวยที่ปกคลุมเต็มพื้นที่หลังคา เถาใบสีเขียวเข้มรูปหัวใจห้อยระโยงรยางค์สั้นๆ ยาวๆ คลุมรากอากาศสีน้ำตาลเป็นสายยาวคล้ายมู่ลี่ ไล่โทนสีลงไปจากน้ำตาลเป็นชมพูเข้มที่ปลายรากยาวระเรื่อยชุ่มผิวน้ำ เข้ากันกับเก้าอี้หวายแบบเอนนอนสีชมพูอ่อนสองตัวที่หันหน้าเข้าหาลำคลอง

ชายหนุ่มเพ่งมองผ่านไปยังอีกฟากฝั่งคลอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านตึกสีขาวสองชั้นนีโอคลาสสิคที่เห็นไกลลิบแล้วทอดถอนใจ

“ที่นี่เปลี่ยนไปมาก จนมองแทบไม่เห็นบ้านเราแล้วนะ แม่”

เขารำพึงไม่ทันมองว่าใครมาหยุดยืนเคียงข้าง สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทักของเจ้าบ้านทั้งที่เพิ่งแยกกันเมื่อครู่

“คุณชอบศาลานี้หรือคะ มุมโปรดของลูกสาวป้าเลยค่ะ แกชอบมานั่งเขียนหนังสือที่นี่ประจำ บางทีดึก ๆ ดื่น ๆ ก็ยังไม่ยอมกลับห้อง”

“ต้นไม้สวย สดชื่นดีครับ ผมชอบ”

“ชอบต้นไม้เหมือนลูกสาวป้าเลย แบบนี้น่าจะคุยกันถูกคอนะคะ”

“ผมกลัวแต่จะทะเลาะกันเสียมากกว่า” ภูบดีตอบลืมตัว

“ก็ไม่แน่เหมือนกันนะคะ เห็นโก๊ะแบบนั้นหัวดื้อไม่เบา อะไรที่ไม่ผิดเป็นเถียงหัวชนฝาทีเดียว จนบางทีป้าก็กลัวนะว่ายายรีจะห้าวเกินหญิง”

น้ำเสียงคุณป้าใจดียังคงอบอุ่นเหมือนเดิมจนภูบดีสัมผัสได้ เขาจึงผ่อนคลายและกล้าคุยมากขึ้น ส่วนธารวารีน่าจะซึมซับจากแม่มาได้เพราะดูจากที่ธาราเล่าเกี่ยวกับหล่อน

“แต่เธอก็ยังมีคู่หมั้น แสดงว่ายังไงก็ไม่ชอบไม้ป่าเดียวกันแน่นอนครับ”

ภูบดีถึงกับตาโตเมื่อพูดจบ เขาเผลออีกจนได้ ดีที่ธาราไม่ทันได้สนใจฟัง

“ตอนเด็กๆ ลูกสาวป้าน่ารักนะ ไม่คิดว่าโตมาจะทำงานลุยๆ แบบนี้”

“ผู้หญิงสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้แล้วนี่ครับ เราอยู่ในยุคที่เท่าเทียมกันทั้งหญิงชาย อะไรที่ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ทำได้เช่นกัน”

เขาตอบ ประกายตาวิบวับเมื่อนึกถึงเพื่อนเล่นในวัยเด็ก แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอคำถามตอบยากอีก

“คุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้จักชื่อเลย พ่อหนุ่มชื่ออะไรหรือจ้ะ”

“เรียกผมว่าภู ก็ได้ครับ คุณป้า”

“ภู... ที่แปลว่าภูเขานะหรือจ้ะ ชื่อสมตัว”

“ขอบคุณครับ... ว่าแต่ต้นนี้ชื่ออะไรหรือครับ สวยมาก”

ภูบดีเลี่ยงที่จะตอบเรื่องชื่อปล่อยให้ธาราเข้าใจไปเอง แล้วเสเปลี่ยนเรื่องแทน

“ม่านบาหลีจ้ะ พืชเลี้ยงง่ายให้ร่มอยู่ริมน้ำกำลังงามเชียว แต่ก่อนมีแค่ศาลาโล่ง ๆ เอาไว้นั่งเล่น แดดส่องทั้งวัน ยายรีเลยซื้อต้นม่านบาหลีมา ใช้เวลาดูแลอยู่นานนะคะ กว่าจะสวยได้ขนาดนี้”

“ถึงว่าสิ ผมไม่เคยเห็น”

ภูบดีหยุดคำพูดแทบไม่ทัน ดีที่ธาราไม่ทันได้ยิน

“ถึงแล้วค่ะ เดี๋ยวป้าเข้าไปส่งคุณที่ห้องมืด แล้วขอตัวไปเตรียมอาหารเย็นก่อนนะคะ”

“คุณป้าเชิญตามสบายเถอะครับ ผมเข้าไปเองได้ไม่ต้องห่วง”

รีบปฏิเสธไม่อยากคุยนานกลัวเผลอหลุดคำพูดให้สงสัยอีก เขาผลักประตูเข้าไปเองโดยไม่รอคำตอบ


บ้านชั้นเดียวกรุกระจกสีชา ถูกดัดแปลงเป็นสามส่วน ด้านหน้าเป็นห้องทำงาน ส่วนด้านหลังเป็นสตูดิโอถ่ายภาพมีประตูทึบทะลุไปห้องมืดที่อยู่ลึกสุดของตัวบ้าน ผนังตัวบ้านเป็นปูนเปลือยขัดมันสีเทาตามสมัยนิยม ไม่รู้สึกถึงความร้อนอบอ้าว อาจเป็นเพราะไทรด่างต้นใหญ่ด้านนอกที่ปลูกขนานทั้งสองฝั่งให้ร่มเงา ตัวบ้านหันไปทางที่แสงส่องไม่ถึงทั้งเช้าและบ่าย กระจกใสแทบจะยาวสุดผนังด้านหน้า ทำให้แสงเล็ดลอดเข้ามาได้ระดับพอดี ไม่มากเกินไปจนทำให้ร้อน และไม่น้อยเกินไปจนต้องเปิดไฟช่วย

ด้านขวาเป็นโถงกว้าง มีฉากถ่ายภาพม้วนเก็บขึ้นไว้ด้านบน ล้อมรอบด้วยชุดไฟสตูดิโอหลายชนิดที่เห็นบ่อยในโทรทัศน์ บางชิ้นน่าจะเป็นอุปกรณ์ดัดแปลงพิเศษเพราะมีกระดาษแก้วสีคลุมไว้ อาจจะเป็นเทคนิคการถ่ายภาพอะไรสักอย่าง ใกล้กันเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เต็มไปด้วยหนังสือกองพะเนินไม่เป็นระเบียบวางอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะทั้งหนังสือท่องเที่ยว หนังสือเกี่ยวกับการถ่ายภาพ แต่ที่สะดุดตาเขาคือหนังสือเล่มที่อยู่บนสุด

“รสนิยมสวนกับหน้าตาขนาดนี้ ไม่ยักรู้ว่าโตมาเธอจะเป็นสาวอินดี้”

ภูบดีอมยิ้มทั้งรำพึงเมื่อเพ่งมองภาพบนหนังสือ รูปชนเผ่าผิวดำบนหน้าปก แต่งแต้มใบหน้าหลากสีราวกับกำลังทำพิธีกรรมบางอย่าง ชายหนุ่มเปิดพลิกแต่ละหน้าไปมาอย่างสังหรณ์ใจ หากเพียงแค่สถานที่ในรูปนั้นจะไม่ได้มีความหมายพิเศษอื่นใดนอกไปเสียจากเป็นประเทศห่างไกลความเจริญประเทศหนึ่ง และเป็นสถานที่ที่พี่ชายของเขาอยู่

“นี่เธอเอาจริงเพราะคิดถึงหมอนั่นมากขนาดนี้จริงหรือนี่”

สายตาชำเลืองมองกรอบรูปขนาดใหญ่ที่แขวนบนผนังด้านหลังโต๊ะทำงานอย่างครุ่นคิด ภาพชายหญิงในชุดไทยเรือนต้นยืนซ้อนกัน ฝ่ายชายโอบกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน สีหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกความสุข ตอกย้ำสัมพันธ์ชัดเจนด้วยแหวนเพชรเม็ดโตประดับนิ้วนางข้างซ้ายของหล่อน

รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึก หากเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาไม่ไปจากเมืองไทย จะเป็นไปได้ไหมที่คนในรูปที่ยืนโอบกอดหล่อนจะเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนี้แทนที่พี่ชายของเขา

แต่คงเป็นไปไม่ได้!

หล่อนไม่มีวันจะหันมามอง เพราะตลอดมาเห็นเขาเป็นเพียงน้องชาย ภูบดีได้แต่นึกค่อนในใจที่เกิดช้าตามหล่อนไม่ทัน จนมารู้ตัวอีกทีเมื่อนาส่งเสียงมาแต่ไกลโดยที่ยังไม่ทันหันกลับไปมอง หล่อนก็มายืนอยู่ใกล้ๆ เสียแล้ว

“ป้าให้มาบอกว่า ถ้าคุณทำงานเสร็จเมื่อไหร่ให้ไปรับค่าจ้างที่บ้านเลยนะคะ เผื่อน้องรีกลับมาช้า จะได้ไม่ต้องรอค่ะ”

ภูบดีแค่นยิ้ม นึกในใจว่าควรจะรับสมอ้างต่อไปดีหรือว่าชิงบอกหล่อนเสียก่อนดี แต่พอเห็นสีหน้านาแล้วเขาก็อึกอักพูดไม่ออก ดูท่าทางเจ้าหล่อนจะปลื้มกับความหล่อของช่างแอร์จำเป็นอย่างเขาเป็นพิเศษ

“ผมขอดูก่อนก็แล้วกันว่าเสียตรงไหนยังไง ถ้าเสร็จแล้วผมจะเดินไปหาคุณป้าเอง ไม่ต้องรอผมหรอก”

“แต่คุณนี่เก่งจังนะคะ มาซ่อมแอร์แต่ไม่เห็นมีอุปกรณ์อะไรมาเลยนะคะ แปลกจัง”

ภูบดีเหลือบมองนาที่มองมาอย่างกังขาเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มละลายให้สาวใหญ่ฝันค้าง กับแค่เรื่องงานซ่อมไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง เขาพอจะมีความรู้เรื่องช่างอยู่บ้างตามประสาคนที่ทำอะไรคนเดียว เติบโตในต่างแดนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องพึ่งพาตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่ งานเล็กน้อยในบ้านจึงไม่ใช่งานหนักหนา

“ตามสบายเถอะครับ”

ภูบดีส่งยิ้มกว้าง ท่าทางนาจะอึ้งไปเลยจนพูดตะกุกตะกัก

“วุ้ย! ยิ้มหล่อจริง ๆ เลย งั้นพี่ขอตัวไปทำกับข้าวกลางวันให้คุณป้าก่อนนะ วันนี้น้องรีไม่อยู่น่าจะทำอาหารง่าย ๆ เดี๋ยวพี่จะทำเผื่อคุณด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้อง”

ภูบดีรีบปฏิเสธ ไม่อยากอยู่นานแต่พอถูกคะยั้นคะยอมากเข้าจึงได้แต่พยักหน้าตอบตกลง พอนาลับสายตาไปจึงเปิดประตูบานเลื่อนกระจกสีดำของห้องสตูดิโอเข้าไป

แสงรำไรลอดผ่านแนวปกคลุมของไม้เลื้อยพันธ์ไทรนอกหน้าต่าง หลังคาที่มีกระเบื้องโปร่งบางจุดทำให้ภายในห้องไม่มืดทึบจนเกินไป ภูบดีกวาดสายตามองหาสวิตซ์ไฟพอสว่างก็ถึงกับตกตะลึง

“นี่มันสตูดิโอหรือป่าแอมะซอนกัน”

ชายหนุ่มรำพึงทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาภายใน ผนังสีเขียวอ่อนตกแต่งด้วยภาพถ่ายขนาดใหญ่ของต้นไม้ ป่าใหญ่ และลำธารทอดยาวสุดลูกหูลูกตา หลากหลายภาพต่อกันเป็นแนวยาวเหมือนภาพพานอรามา เพียงต่างสถานที่แต่ปะติดปะต่อกันได้พอเหมาะ

ผนังด้านในสุดเต็มไปด้วยภาพถ่ายขนาดใหญ่กรอบสีน้ำตาลสวยโทนขรึม เป็นภาพทิวทัศน์ทั้งป่า ต้นไม้ พรรณไม้ยืนต้น ไม้ดอก น้ำตก ภูเขา ในระยะสายตาเห็น

“อาณาจักรของเธอ นี่มันป่าดี ๆ นี่เอง มิน่าถึงไม่กลัวที่จะไปตามหาพี่ ทำไมถึงชอบอะไรแบบนี้ได้ ไม่เหมือนธารวารีคนเดิมที่บ้าการ์ตูนเงือกน้อยผจญภัยสักนิด”

เขายักไหล่แล้วก็ได้แต่ครุ่นคิด จะแปลกอะไรเมื่อเวลาผ่านเนิ่นนานขนาดนี้ แม้แต่ตัวเขายังเปลี่ยนแล้วหล่อนจะยังเหมือนเดิมได้อย่างไร

ภูบดีกวาดตามองไปทั่วอีกครั้งราวจะจดจำช่วงชีวิตของธารวารีไว้ในความทรงจำ งานของหล่อนดูน่าสนใจทั้งฉากหลัง อุปกรณ์ครบครันที่สตูดิโอถ่ายภาพขนาดใหญ่ควรมี มุมหนึ่งของโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยหนังสือท่องเที่ยวสารพัดชนิดรอบโลก คู่มือถ่ายภาพอย่างมืออาชีพปึกหนาหลายเล่ม บ่งบอกถึงว่าเจ้าของน่าจะเป็นคนใฝ่รู้พอควร และบางสิ่งบางอย่างน่าสนใจวางอยู่กลางโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างสนใจ

“โบรชัวร์ เอธิโอเปียนเลิฟไลค์ทัวร์ นี่สินะ ที่เธอจะไป”

กวาดตาอ่านเสร็จแล้วจึงหากระดาษกับปากกาที่บนโต๊ะเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมาจดอะไรบางอย่างแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต ก่อนจะวางกระดาษโน้ตปึกเล็กและปากกาไว้บนโต๊ะไม่ได้เก็บเข้าที่เดิม

ในห้องมืดสนิทเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาโชยมากระทบจมูกเป็นระยะ จนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก อากาศในห้องร้อนอบอ้าวพอควรเพราะแอร์เสีย ฝ่ามือหนาควานสะเปะสะปะเรื่อยไปริมขอบประตูจนเจอสวิตช์ แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นมาบางจุด ทำให้เห็นภายในห้องลาง ๆ ภาพถ่ายจำนวนมากถูกแขวนด้วยไม้หนีบเรียงเป็นแถวยาวเต็มไปหมด

ภูบดีกวาดตามองไปทั่วทุกภาพ ก่อนจะหยิบใบหนึ่งขึ้นมาดูด้วยความสนใจ เป็นภาพความผูกพันของคนสองคนที่กอดกันแนบแน่นสายใยสัมพันธ์แน่นแฟ้น

“แม่... พี่ ท่าทางมีความสุขกันดีจังนะ แน่ละสิ... คงเพราะไม่มีผมใช่ไหม”

ภูบดีมองด้วยดวงตาหม่นหมองมือไม้อ่อนปล่อยภาพนั้นหลุดร่วงลงพื้นไป แล้วดึงอีกภาพหนึ่งที่อยู่ใกล้กันเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตของตนแทน

“ขอรูปนี้ให้ผมเถอะนะ”

ภูบดีพึมพำ หน้าสลดลงแต่พยายามสลัดความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหาที่มาของปัญหาแอร์ที่ตัวเขาพอจะมีความรู้อยู่บ้าง

วิชาช่างเป็นอีกอย่างที่ภูบดีสนใจ ช่วงเวลาที่อยู่ออสเตรเลีย เขาทั้งเรียนหนักและรับจ็อบสารพัดในช่วงว่างเพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายให้ตัวเอง โดยไม่พึ่งพาอาศัยครอบครัวใหม่ของพ่อมากนัก

การต้องอยู่ตัวคนเดียวในสถานที่ไม่ใช่บ้านเกิด ทำให้เด็กเกเรคนหนึ่งแกร่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็แค่เด็ก ถ้าไม่มีลุงซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อคอยเป็นห่วงเป็นใย และพ่อแม่บุญธรรมชาวออสเตรเลียเจ้าของร้านอาหารไทยที่นั่น เขาก็อาจจะไม่ได้เรียนสูงถึงขนาดนี้


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า ^___^




lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ย. 2559, 11:45:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ย. 2559, 11:45:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1191





<< บทที่ 3/2 ความคิดถึงที่มาไม่ถึง   บทที่ 4/2 ช่างแอร์จำเป็น >>
ปริยาธร 6 พ.ย. 2559, 07:48:21 น.
ภูน้อยใจแม่นี่เอง


อังค์จิก 6 พ.ย. 2559, 08:49:23 น.
ความน้อยใจนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ นะ


lovereason2 6 พ.ย. 2559, 19:55:12 น.
พี่นุ้ย - ภูเป็นเด็กมีปม ขี้น้อยใจด้วยค่ะ แงงง
คุณอังค์จิก - ใช่แล้วๆ ถ้าไม่ปรับเข้าหากัน ก็ยากแ้ก้ไขเนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account