อัมฮารา...สุดปลายทางที่ความรัก (สนพ.ที่รัก)
เพราะคู่หมั้นหายตัวลึกลับในระหว่างปฏิบัติหน้าที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ธารวารีจึงต้องออกตามหา โดยไม่รู้ว่านายพีคนจรที่คอยตามติด คือน้องชายของคู่หมั้นที่จากกันไปนานกว่าสิบปี สองหนุ่มสาวกับการเดินทางในดินแดนอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก...อัมฮารา
Tags: ตามรักสุดแดนตะวัน อัมฮารา รักดราม่า ผจญภัย
ตอน: บทที่ 4/2 ช่างแอร์จำเป็น
ช่วงบ่ายคล้อยของวันธรรมดามีคนมาติดต่อสถานพยาบาลไม่มากนัก ธารวารีเดินแกมวิ่งเข้ามา ท่าทางลุกลี้ลุกลนของหล่อนเป็นที่สนใจของใครบางคนที่เดินสวนกันจนเหลียวหลัง
“เอ๊ะ! นั่นน้องคุณหมอนภัทรนี่นา คุณคะ คุณ”
เจ้าหน้าที่สาวเรียกเอาไว้แต่ธารวารีรีบร้อนจนไม่ทันได้ยิน หล่อนได้แต่มองตามจนหญิงสาวลับสายตาไปตรงมุมตึก ก่อนจะรีบเดินไปอีกทางหนึ่งเพราะต้องนำเอกสารอีกปึกหนึ่งไปให้ที่ประชุม
ธารวารียืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้อง หลังจากเข้ามาไม่เจอตัวคนที่อยากเจอและใครที่พอจะถามไถ่ได้สักคน แถมนภัทรก็ยังไม่รับโทรศัพท์
“ขอโทษนะคะ วันนี้คุณหมอนภัทรไม่มาหรือคะ”
หล่อนเยี่ยมหน้าออกมาถามพยาบาลสาวใหญ่ที่เดินผ่านหน้าห้องพอดี หน้าซีดเซียวผมเผ้าไม่จัดทรงเป็นระเบียบ ทำให้ถูกมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
“คุณเป็นใครคะ เข้าไปในห้องพักแพทย์ได้ยังไง”
“เอ่อ... คือฉันเป็นน้องสาวคุณหมอค่ะ เขาไม่อยู่หรือคะ”
ธารวารีหน้าเสียตอบตะกุกตะกัก ซึ่งไม่เป็นที่น่าไว้วางใจของพยาบาลสาวใหญ่ ดวงตาเรียวเล็กใต้แว่นกรอบหนาหรี่มองหล่อนอย่างจับผิด
“คือ... พอดีฉันรีบค่ะ เมื่อวานลืมเอกสารไว้ที่นี่ คุณพอจะทราบไหมคะว่ามีใครเก็บเอกสารซองสีน้ำตาล ที่มีสมุดรับรองไข้เหลืองที่ฉันมาฉีดวันก่อนบ้าง”
“ดิฉันไม่ทราบ ทางที่ถูกคือคุณคงต้องไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ แล้วกรุณาออกจากห้องพักคุณหมอด้วยค่ะ วันนี้คุณหมอไม่มามีรับเชิญไปบรรยายที่มหาวิทยาลัย”
ธารวารีถึงกับหน้ามุ่ยกับสีหน้าจริงจังและเสียงเข้มเหมือนคุณครูกำลังดุลูกศิษย์เอาแต่ใจ หล่อนได้แต่ขอโทษแล้วออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว นางพยาบาลสาวใหญ่ยังตามออกมาเรียกไว้
“อันที่จริงมาติดต่อสถานที่นี้ ถ้าคุณจะเรียบร้อยกว่านี้อีกนิดหน่อยก็ดีนะคะ”
“คือ... ฉันรีบค่ะ”
หล่อนเสียงอ่อย ก้มมองสภาพตัวเองถึงกับเครียด ยังไม่ทันจะคิดทำอย่างไรต่อ เสียงใสที่วันนี้ไม่ค่อยผ่องใสของใครบางคนก็ดังขึ้น
“วันนี้คุณมาทำไมคะ หรือว่าติดใจอยากฉีดวัคซีนตัวไหนเพิ่ม”
ธารวารีหันกลับไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงยิ้มออกมาได้
“คุณหมอทิวา”
“คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราเจอกันอีกแล้วนะคะ วันนี้มีอะไรรึเปล่าดูคุณรีบร้อน”
ทิวายิ้มแห้งแล้ง แววตาขบขันประหลาด ธารวารีหน้าเสียนึกรู้ว่าหล่อนคงถูกตำหนิเรื่องการแต่งกายอีกแล้ว แต่ช่างเถอะไม่ได้สำคัญเท่ากับเรื่องที่ร้อนใจสักนิด
“ฉันลืมเอกสารเอาไว้ที่นี่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหมอได้เก็บไว้หรือมีใครเอามาฝากไว้ให้บ้างไหมคะ”
“เอ๊ะ! คุณยังไม่ได้รับเอกสารอีกหรือคะเขาบอกว่าจะส่งให้ถึงมือคุณ”
“เขา... คือใครคะ”
“คุณหมออีกท่านหนึ่งค่ะ เขาเป็นคนเก็บเอกสารของคุณได้ ไม่ต้องห่วงว่าจะหายหรือเอาไปทำอะไรนะคะ ป่านนี้อาจจะส่งถึงบ้านคุณแล้วก็ได้”
“แต่... แต่ว่า ฉันกลัวจะช้า คืออยากจะขอเบอร์คุณหมอท่านนั้นได้ไหมคะ เผื่อจะได้ติดต่อขอไปรับเองกลัวคุณหมอจะไม่สะดวกค่ะ” หล่อนพูดน้ำเสียงเกรงใจ
ทิวาถอนใจก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงห้วน “ก็ได้ค่ะ แต่ว่าอย่าพยายามติดต่อเขาก่อนนะคะ เขาไม่ชอบให้ใครวุ่นวายนอกเสียจากว่าเขาจะติดต่อคุณมาก่อน”
“แหม ท่าทางคุณหมอจะโลกส่วนตัวสูงนะคะ”
“เขาเป็นคนขี้รำคาญค่ะ”
“แล้วถ้าเขาลืม ฉันจะทำยังไงล่ะคะ ติดต่อไปก่อนก็ไม่ได้แบบนี้”
“ก็ต้องรอค่ะ นี่ค่ะ”
ทิวาฉีกกระดาษโน้ตยื่นส่งให้ ธารวารีรับมาดูอย่างตื่นเต้นแล้วอ่านทวน
“ขอบคุณมากนะคะ ชื่อนายแพทย์ภูบดี พี.บอร์ด เอ๊ะ! คุณหมอเป็นลูกครึ่งหรือคะ”
หล่อนก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง แล้วก็ต้องขยาดเมื่อเห็นสายตาแปลกๆ จากทิวาจึงได้แต่ขอบคุณแล้วขอตัวกลับ
ทิวาโยนแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงานด้วยความหงุดหงิด พรูลมหายใจออกมาระบายความอัดอั้น สักพักจึงหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก เป้าหมายคือคนที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่นั่นเอง
“วันนี้ไปไหนมาบ้าง ภู”
“ยังไม่ถึงเวลานัดเลย” ปลายสายตอบกลับเสียงเรียบ
แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ ทำให้คนถามถึงกับกระแทกตัวลงนั่งอย่างแรงระบายอารมณ์ “เราแค่ถาม... ไม่ได้หรือไง”
รู้ทั้งรู้ว่าน้ำเสียงที่ถามนั้นเข้มกว่าปกติและคนฟังอาจจะไม่ชอบใจ แต่หล่อนไม่อาจยับยั้งอารมณ์ได้ในขณะนี้ แต่เสียงตอบรับกลับมานิ่งกว่าปกติ จนหญิงสาวถอนหายใจโล่งอก
“เอาเอกสารมาคืนเจ้าของเขา วามีอะไรบอกแล้วไงว่าเราจะไปรับสี่โมงเย็น” ภูบดีกรอกเสียงมาตามสาย
“แล้วคืนเรียบร้อยรึยัง เอกสารน่ะ”
“ฝากแม่เขาไว้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรเราจะวางแล้ว จะไปธุระอีกที่หนึ่งแล้วเจอกันสี่โมงเย็นนะ”
“จะไปไหนอีก” หล่อนถามกลับน้ำเสียงเข้ม
“เราต้องรายงานวาทุกระยะหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เราแค่ห่วง เมื่อไหร่ภูจะเริ่มงานใหม่ เราได้ข่าวมาว่าภูจะไม่ทำงานที่เดียวกับเรา ทำไมต้องให้รู้จากคนอื่น ไหนทีแรกบอกว่า”
จู่ ๆ หล่อนก็พูดไม่ออก ไม่อยากให้การคุยกันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด แต่ห้ามอะไรก็ห้ามได้ยกเว้นห้ามใจไม่ให้อยากรู้ความเป็นไปของชายหนุ่ม ยิ่งเขาตอบมาหล่อนก็ยิ่งเครียด
“เราเป็นหมอหัวใจนะวา จะดีกว่าถ้าเราได้ทำงานในโรงพยาบาลเฉพาะทาง แล้วอีกอย่างเราจะยังไม่เริ่มงานตอนนี้”
“ทำไมถึงยังไม่เริ่มงาน จะปล่อยเวลาผ่านไปวัน ๆ หรือยังไง”
ทิวาถามกลับงงกับความหมายที่ปลายสายบอก นอกจากจะไม่ทันตั้งตัวเรื่องที่ภูบดีตัดสินใจแล้ว หล่อนยังต้องงงงวยไปอีกเมื่อเขาเปลี่ยนแผนกระทันหัน
“เราจะไปต่างประเทศสักพัก”
“ไปไหน ก็เพิ่งกลับมาเอง เราขอไปด้วยได้ไหม”
หล่อนต่อรองแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ปลายสายก็ตัดไป หญิงสาวชักสีหน้าหงุดหงิดวางกระแทกโทรศัพท์กับโต๊ะ ก่อนจะหลับตาพิงพนักเก้าอี้นับหนึ่งถึงสิบอย่างว้าวุ่นใจ
ถ้าหากทิวาจะมีตาทิพย์ คงจะได้เห็นว่าคนที่หล่อนคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกกำลังทำในสิ่งที่หล่อนสังหรณ์ใจมาตั้งแต่ต้น
ภูบดีหยิบหมายเลขโทรศัพท์บริษัททัวร์ที่จดมาจากในสตูดิโอของธารวารีขึ้นมาดูแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ไม่รอช้าโทรหาเป้าหมายทันทีเมื่อได้รับคำตอบเป็นที่พอใจ ชายหนุ่มจึงเบนเข็มไปอีกทางโดยไม่ใช่เส้นทางตรงไปที่ทำงานของทิวาแต่อย่างใด
ธารวารีนั่งจิบกาแฟร้อนในคอฟฟี่ช็อปภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากปากทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อรอเวลานัดหมายกับชยานุชที่โทรมาหาแบบได้จังหวะเหมาะพอดี
หล่อนกำลังต้องการที่ปรึกษาหลังจากขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้หวังดีที่รับอาสาจะเอาเอกสารปึกสำคัญมาคืนแต่ติดต่อไม่ได้หลายครั้ง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกอยู่อย่างต่อเนื่องกลับมีเพียงสัญญาณรอสายเป็นเพลงสากลเพลงหนึ่งที่ไพเราะโรแมนติกไม่เบา
“เพลงเพราะซะด้วย แต่จะดีกว่านี้มาก ถ้าคุณหมอจะรับโทรศัพท์ฉันนะคะ”
ธารวารีบ่นพึมพำกับโทรศัพท์มือถือเครื่องบางเฉียบ หน้าจอตัดสัญญาณสายไปแล้วเรียบร้อยเหลือเพียงภาพดอกการเวก ดอกไม้โปรดที่ใช้เป็นภาพพักหน้าจอแทน นาฬิกาข้อมือเรือนเล็กสีเงินถูกยกขึ้นมาจับจ้องดูเวลาอย่างคิดหนัก
“ยายนุช... ฉันรอจนรากจะงอกอยู่แล้ว ตาย ๆ จะสี่โมงแล้วด้วยรถก็ติดน่าเบื่อจริง ๆ สงสัยเสร็จต้องรีบกลับแล้ว ฉันยังมีงานค้างเพียบเลยนะ ยายบ้า”
ธารวารีบ่นอุบ ไม่ทันจะได้บ่นหาเป็นคำรบสอง คนโดนบ่นก็กระหืดกระหอบเข้ามา พร้อมอะไรบางอย่างที่หย่อนลงบนหัวไม่ทันได้รู้ตัว
“โอ๊ะ! อะไรน่ะ”
ธารวารีสะดุ้งสุดตัว ปัดป้องตามสัญชาติญาณ แล้วก็ต้องหน้าง้ำเมื่อชยานุชลงนั่งฝั่งตรงกันข้ามยิ้มแต้
“แหม! ทำเป็นตื่นเต้นไปได้ นี่ให้แกโดยเฉพาะเลยนะ”
“หมวก... เอามาให้ทำไม”
“อ้าว! ก็เห็นตัดผมสั้น ฉันก็กลัวแกจะคอดำเป็นเหนี่ยง ดูจากในรูปสิแดดเอธิโอเปียแรงทะลุองศาเดือดขนาดนั้น”
แอร์โฮสเตสสาวยิ้มกว้างหลังจากพูดสัพยอกให้คนฟังค้อนขวับ ร่างสูงเพรียวนั่งลงตรงข้ามก่อนจะเชยคางเพื่อนรักจับหันซ้ายขวา
“มองอยู่ได้ หน้าฉันมีอะไรผิดปกติรึไง”
“เพื่อนฉันทำผมทรงนี้น่ารักจัง กระชากวัยได้เป็นกอง ใครบอกว่าอายุยี่สิบก็เชื่อนะแบบนี้”
“บ้า! ไม่ต้องมาแกล้งชม ฉันรู้จักหนังหน้าตัวเองดี”
“ฉันไม่ได้แกล้งชม” ชยานุชทำเสียงขึ้นจมูก “น่ารักจริงๆ นะเพื่อนฉัน”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องตอนนี้ชำระความก่อน ความผิดมาสายต้องจ่ายเป็นค่าอาหารมื้อนี้ด้วย”
ธารวารีหน้ามุ่ยค้อนวงใหญ่หันไปส่องเงาภาพตัวเองในกระจกผนังอีกฟาก สองมือกรีดกรายขยับหมวกปีกประดับลูกไม้สวยงามซ้ายทีขวาทีแล้วก็ทำหน้าเบ้ มันดูขัดกับบุคลิกช่างภาพขาลุยอย่างหล่อนเสียจริง ยิ่งเสียงหัวเราะคิกคักของคนให้ก็ช่างบาดลึกจนไม่รู้ว่าที่ชมนั้นจริงหรือหลอก
“ฉันรับตัวเองลุคนี้ไม่ได้”
“เหอะน่า ฉันบอกสวยก็ต้องสวยสิ เอาไปหลบแดดที่อัมอะไรของแกนั่นแหละ”
“ไม่เอา! ฉัน ไม่ได้ไปเล่นเอ็มวี นี่มันสวยเกินไปไม่เหมาะกับฉันหรอก”
หล่อนโวยก่อนจะถอดหมวกมาวางตั้งไว้บนเก้าอี้ข้างตัว แต่เพื่อนรักกลับหัวเราะชอบใจ
“ใส่ ๆ ไปเถอะน่า รับรองไปที่โน่นแกได้เป็นเซเลบหนุ่มๆ ตามเกรียวแน่”
คำตอบปนเสียงหัวเราะขัน ทำคนฟังถึงกับหน้ามุ่ยกำลังจะบ่นต่อ แต่แอร์โฮสเตสสาวโบกมือ ห้ามปรามพร้อมหันไปให้ความสนใจบริกรหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล กวักมือเรียกทันที
“เดี๋ยวค่อยพูดเหอะ... ฉันหิวจะตายอยู่แล้วขอสั่งอะไรมาประดับท้องก่อน”
“เชิญเถอะย่ะ” ธารวารีประชด
ชยานุชเปิดเมนูแต่ละหน้าอย่างช้าๆ ทั้งที่ท้องหิวแต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักที จนธารวารีสุดเซ็งกระแทกหลังพิงเบาะด้วยความเบื่อหน่าย จะปรึกษาปัญหาก็ไม่ได้สักที
“หนุ่มน้อย ที่นี่อะไรอร่อยคะ”
แอร์โฮสเตสคนสวยฉีกยิ้มหวานจ๋อยเอ่ยถามบริกรหนุ่มเสียงหวาน น่าหมั่นไส้ในสายตาธารวารีนักแต่หล่อนก็อดทนรออย่างใจเย็น
“อร่อยทุกอย่างครับ หรือจะลองเมนูแนะนำล่าสุดของเราก็มี สโมคแซลมอนฟัวกราส์ ซีฟู๊ดเครป เมนูเครื่องดื่มแสนอร่อยใหม่ล่าสุดก็มีโมจิโต้รสชาติเฉพาะของร้าน หากลองชิมสักแก้วแล้วคุณจะติดใจ”
“โอ้โห! ขนาดนั้นเชียวแต่ฉันว่าฉันจะติดใจเสียงหล่อ ๆ ของคุณก่อนสิคะ”
“ขอบคุณครับ ไม่ทราบตกลงจะรับอะไรดี”
บริกรหนุ่มถึงกับประหม่าเมื่อได้รับคำชมซึ่งหน้าจากสาวสวย ธารวารีหมั่นไส้เพื่อนรักมากขึ้นอีกคำรบที่หว่านเสน่ห์ไม่เลือกที่ ชยานุชยิ้มกริ่มลีลามากตัดสินใจไม่ได้สักที จนคนรอปรึกษารำคาญใจกับท่ามากของเพื่อน
“เอามานี่มา ขอสลัดอะโวคาโด กับไอซ์คาปูชิโน่ก็แล้วกัน โอเคนะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยว”
ชยานุชยื้อไม่ทัน ธารวารีสั่งแทนไม่พอยังแย่งเมนูคืนบริกรหนุ่มเสร็จสรรพ สาวสวยได้แต่อ้าปากค้างแล้วแหวใส่
“ไม่เอาสลัดนะ เบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“สั่งไปแล้ว กินๆ ไปเถอะ อร่อยแคลลอรี่ต่ำ พึงสังวรไว้ว่าหน้าท้องแกมันจะย้วยแล้ว เป็นแอร์โอสเตสยังไงกินแต่ของอ้วนๆ นี่ถ้าฉันไม่เบรกมีหวังแกเลือกฟัวกราส์ใช่ไหมละ ไม่สงสารลูกห่านที่เขาเอามาทำบ้าง ถ้าโดนปลดระวางก่อนเวลาอันควรจะหาว่าเพื่อนไม่เตือนไม่ได้นะ”
“โอ๊ย! พอแล้ว หมดความอดทน ฉันไม่กินก็ได้ ถ้าหากต้องกินไปแผ่เมตตาไป คนสวยอย่างฉันจะไม่ทน”
“ก็ดีแล้วที่คิดได้” ธารวารีค้อน “แค่เรื่องกินอะไรนักหนา แกค่อยไปกินไกลๆ ไม่ต้องให้ฉันเห็นจะได้ไม่ต้องสนใจหรือเป็นห่วง”
“รู้แล้วน่า แหม นานๆ เจอร้านน่ารัก บริการถูกใจซะหน่อยจะกินให้อร่อยก็ไม่ได้สิ”
“ฉันนึกว่าอิ่มอาหารตามากกว่า”
“เบื่อพวกรู้ทัน” ชยานุชตอบทำหน้าเหม็นเบื่อ “ไม่ขัดใจฉันสักวันสงสัยอกแตกตาย”
แอร์โฮสเตสสาวกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางเหมือนเด็กถูกขัดใจจนธารวารีอดขำไม่ได้ ทำทีไม่ใส่ใจแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกหลายต่อหลายครั้ง
“นี่อะไรฉันสวยจัดเต็มมาขนาดนี้ แต่แกออกบ้านมาได้ยังไงหน้าซีดเป็นไก่ต้ม แล้วโทรหาใครเห็นวุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์นานแล้ว อย่าบอกนะว่ามีกิ๊ก”
“บ้า กิ๊กเกิ๊กบ้านแกสิ ฉันมีปัญหาเคยคิดจะถามกันบ้างรึเปล่า แล้วที่หน้าซีดอยู่นี่ก็เพราะปัญหาของฉันที่รอจะปรึกษานี่ละ”
ธารวารีค้อนขวับเพื่อนรักวงใหญ่โทษฐานสันนิษฐานมั่วได้ใจ ชยานุชหัวเราะลั่นลืมฟอร์ม
“แล้วมีปัญหาอะไร ก็บอกมาสิ แต่ฉันว่านะอย่างแกน่ะคงไม่พ้น นุช ขนมร้านไหนอร่อยฉันจะซื้อไปฝากคุณแม่พี่รุจ หรือไม่ก็ นุช... ฉันจะซื้ออะไรเป็นของขวัญวันเกิดคุณแม่พี่รุจดี แกช่วยฉันคิดหน่อย นะ... นะ... น้า”
เสียงยานคางของคนรู้ทันทำให้คนโดนล้อได้แต่หัวเราะแก้เก้อ
“ฉันทำพาสปอร์ต สมุดวัคซีน ใบจองทัวร์กับใบเสร็จที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วหาย อีกสิบวันจะเดินทางแล้วด้วย แล้วทีนี้นะมีคุณหมอใจดีเก็บไว้ได้ เห็นว่าจะส่งคืนให้เอง”
“เอ๊า! ก็ดีแล้วนี่” ชยานุชขึ้นเสียงสูง “แล้วมีปัญหาตรงไหน”
“ก็ตอนนี้ฉันติดต่อเขาไม่ได้ โทรหาเขาก็ไม่รับสาย ทำไงดีละแก”
ธารวารีจับมือเพื่อนรักที่กำลังยกไอซ์คาปูชิโน่ขึ้นดูดอย่างสบายอารมณ์จนคนโดนเขย่าแทบสำลัก
“โอ๊ย! จะเขย่าทำไม เสียของ ยายรีเอ๊ย! ยังไม่ทันได้ไปไหนก็ทำของสำคัญหายซะแล้ว เฟอะฟะอะไรอย่างนี้ บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ไปฝรั่งเศสด้วยกัน อย่างนี้เกิดอีกหน่อยแกไปคนเดียวฉันไม่ยิ่งห่วงแย่เหรอ ยายรี”
ชยานุชส่ายหน้าระอา คนโดนว่าถึงกับหน้าชา ผิดคำพูดของเพื่อนเสียที่ไหน แต่ตอนนี้ที่หล่อนต้องการคือคำปรึกษาไม่ใช่คำซ้ำเติม
“แล้วแกจะเอายังไงต่อไป ชื่ออะไร ทำงานที่ไหนรู้ไหมจะได้ไปตามตัวถูกเกิดติดต่อไม่ได้หรือเขาเพิกเฉยไม่คืนของให้ แกจะได้ไปหาพี่รุจไหม”
“ก็ถึงร้อนใจอยู่นี่ไง ได้ข้อมูลเขามาแค่นี้มีคนให้ฉันมา สงสัยประชดประวัติยาวเป็นกิโลเลย ฉันอ่านให้ฟังนะ”
“ว่ามา” ชยานุชฟังพลางจิ้มสลัดเข้าปากละเลียดไปพลาง
“ชื่อนายแพทย์ภูบดี พี. บอร์ด” ธารวารีอ่านแล้วกระซิบ “ท่าทางจะเป็นลูกครึ่งด้วยนะแก”
“อืม... ฉันกำลังคิด เล่าต่อเลยอย่าช้า”
“ปริญญาตรีจากออสเตรเลีย เฉพาะทางด้านหัตถการปฏิบัติสายสวนโรคหัวใจและหลอดเลือดจากโรงพยาบาลกรีนแลนด์นิวซีแลนด์ เพิ่งกลับมาเมืองไทยยังไม่ได้สังกัดโรงพยาบาลไหน แกว่าคุณหมอวาเพื่อนพี่ท็อปจะให้ฉันมาทำไมเต็มยศขนาดนี้นะ มีนัยยะอะไรแอบแฝงรึเปล่า ฉันรู้สึกถึงรังสีอำมหิตแฝงมากับน้ำหมึกนะนุช”
“ก็พูดเกินไป แต่แม่เจ้า! กรีนแลนด์นี่เจ๋งมากเลยนะ คุณหมอคนนี้ต้องสี่สิบขึ้น หรือไม่ก็สามสิบปลาย เป็นหนุ่มแว่นหนาเตอะลักษณะเหมือนพวกคงแก่เรียนหรือไม่ก็พวกโอตากุประวัติไม่ธรรมดาขนาดนี้ฉันว่าคุณหมอคนนั้นให้ประชดแกชัวร์”
ชยานุชให้ความเห็น นั่นยิ่งทำให้คนรอฟังคิดหนักไม่เข้าใจ
“จะประชดฉันทำไม ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย”
“แกไปงี่เง่าใส่คุณหมอคนนั้นก่อนแน่ ๆ”
ธารวารีส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
“ฉันก็แค่ถามว่าเชื่อใจได้แค่ไหนว่าจะได้ของคืน แล้วก็ขอที่อยู่เขา แค่นี้เองคุณหมอแว่น เอ๊ยไม่ใช่คุณหมอทิวาก็จดยิกๆ ยื่นไอ้แผ่นนี้ให้ฉันเฉยเลย”
“นั่นไง นึกแล้วไอ้ที่แกพูดว่าเชื่อใจได้แค่ไหน หมายความว่าแกไม่เชื่อคำพูดของคุณหมอจอมอีโก้คนนั้นเลย เธอก็เลยประชดไงว่าคุณหมอที่เก็บของได้น่ะไม่ได้ไก่กานะ เขาจะเอาของแกไปทำไมประมาณนี้แหละฉันว่า”
“โอ๊ย! คิดมากไปรึเปล่า ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น คนจริงใจใสซื่อน่ารักอย่างฉันนี่นะ พอ เลิกพูด กินก่อนดีกว่า”
“ก็ได้ รีบกินรีบไป ฉันจะไปเสริมสวยต่อ” ชยานุชก้มหน้าก้มตากับอาหารตรงหน้าแต่ไม่วาย “ฉันชักจะสนใจคุณหมอโปรไฟล์ยาวอย่างกับแม่น้ำฮวงโหคนนั้นซะแล้วสิ”
“บ้า! อย่าบอกนะว่าจะจีบอีก”
“ก็ไม่แน่... ถ้าคนสวยอย่างฉันคิดจะเดินหน้า อายุเท่าไหร่ก็ไม่เป็นอุปสรรคหรอกขอบอก”
ชยานุชพูดสนุกปากแต่คนฟังค้อนขวับรับไม่ได้ถึงกับส่ายหน้าระอา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าภูบดีลอบยิ้มขบขันอยู่โต๊ะถัดไปหลังพนักพิงตัวใหญ่ที่เขาและธารวารีนั่งหันหลังให้กัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ^__^
“เอ๊ะ! นั่นน้องคุณหมอนภัทรนี่นา คุณคะ คุณ”
เจ้าหน้าที่สาวเรียกเอาไว้แต่ธารวารีรีบร้อนจนไม่ทันได้ยิน หล่อนได้แต่มองตามจนหญิงสาวลับสายตาไปตรงมุมตึก ก่อนจะรีบเดินไปอีกทางหนึ่งเพราะต้องนำเอกสารอีกปึกหนึ่งไปให้ที่ประชุม
ธารวารียืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้อง หลังจากเข้ามาไม่เจอตัวคนที่อยากเจอและใครที่พอจะถามไถ่ได้สักคน แถมนภัทรก็ยังไม่รับโทรศัพท์
“ขอโทษนะคะ วันนี้คุณหมอนภัทรไม่มาหรือคะ”
หล่อนเยี่ยมหน้าออกมาถามพยาบาลสาวใหญ่ที่เดินผ่านหน้าห้องพอดี หน้าซีดเซียวผมเผ้าไม่จัดทรงเป็นระเบียบ ทำให้ถูกมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
“คุณเป็นใครคะ เข้าไปในห้องพักแพทย์ได้ยังไง”
“เอ่อ... คือฉันเป็นน้องสาวคุณหมอค่ะ เขาไม่อยู่หรือคะ”
ธารวารีหน้าเสียตอบตะกุกตะกัก ซึ่งไม่เป็นที่น่าไว้วางใจของพยาบาลสาวใหญ่ ดวงตาเรียวเล็กใต้แว่นกรอบหนาหรี่มองหล่อนอย่างจับผิด
“คือ... พอดีฉันรีบค่ะ เมื่อวานลืมเอกสารไว้ที่นี่ คุณพอจะทราบไหมคะว่ามีใครเก็บเอกสารซองสีน้ำตาล ที่มีสมุดรับรองไข้เหลืองที่ฉันมาฉีดวันก่อนบ้าง”
“ดิฉันไม่ทราบ ทางที่ถูกคือคุณคงต้องไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ แล้วกรุณาออกจากห้องพักคุณหมอด้วยค่ะ วันนี้คุณหมอไม่มามีรับเชิญไปบรรยายที่มหาวิทยาลัย”
ธารวารีถึงกับหน้ามุ่ยกับสีหน้าจริงจังและเสียงเข้มเหมือนคุณครูกำลังดุลูกศิษย์เอาแต่ใจ หล่อนได้แต่ขอโทษแล้วออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว นางพยาบาลสาวใหญ่ยังตามออกมาเรียกไว้
“อันที่จริงมาติดต่อสถานที่นี้ ถ้าคุณจะเรียบร้อยกว่านี้อีกนิดหน่อยก็ดีนะคะ”
“คือ... ฉันรีบค่ะ”
หล่อนเสียงอ่อย ก้มมองสภาพตัวเองถึงกับเครียด ยังไม่ทันจะคิดทำอย่างไรต่อ เสียงใสที่วันนี้ไม่ค่อยผ่องใสของใครบางคนก็ดังขึ้น
“วันนี้คุณมาทำไมคะ หรือว่าติดใจอยากฉีดวัคซีนตัวไหนเพิ่ม”
ธารวารีหันกลับไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงยิ้มออกมาได้
“คุณหมอทิวา”
“คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราเจอกันอีกแล้วนะคะ วันนี้มีอะไรรึเปล่าดูคุณรีบร้อน”
ทิวายิ้มแห้งแล้ง แววตาขบขันประหลาด ธารวารีหน้าเสียนึกรู้ว่าหล่อนคงถูกตำหนิเรื่องการแต่งกายอีกแล้ว แต่ช่างเถอะไม่ได้สำคัญเท่ากับเรื่องที่ร้อนใจสักนิด
“ฉันลืมเอกสารเอาไว้ที่นี่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหมอได้เก็บไว้หรือมีใครเอามาฝากไว้ให้บ้างไหมคะ”
“เอ๊ะ! คุณยังไม่ได้รับเอกสารอีกหรือคะเขาบอกว่าจะส่งให้ถึงมือคุณ”
“เขา... คือใครคะ”
“คุณหมออีกท่านหนึ่งค่ะ เขาเป็นคนเก็บเอกสารของคุณได้ ไม่ต้องห่วงว่าจะหายหรือเอาไปทำอะไรนะคะ ป่านนี้อาจจะส่งถึงบ้านคุณแล้วก็ได้”
“แต่... แต่ว่า ฉันกลัวจะช้า คืออยากจะขอเบอร์คุณหมอท่านนั้นได้ไหมคะ เผื่อจะได้ติดต่อขอไปรับเองกลัวคุณหมอจะไม่สะดวกค่ะ” หล่อนพูดน้ำเสียงเกรงใจ
ทิวาถอนใจก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงห้วน “ก็ได้ค่ะ แต่ว่าอย่าพยายามติดต่อเขาก่อนนะคะ เขาไม่ชอบให้ใครวุ่นวายนอกเสียจากว่าเขาจะติดต่อคุณมาก่อน”
“แหม ท่าทางคุณหมอจะโลกส่วนตัวสูงนะคะ”
“เขาเป็นคนขี้รำคาญค่ะ”
“แล้วถ้าเขาลืม ฉันจะทำยังไงล่ะคะ ติดต่อไปก่อนก็ไม่ได้แบบนี้”
“ก็ต้องรอค่ะ นี่ค่ะ”
ทิวาฉีกกระดาษโน้ตยื่นส่งให้ ธารวารีรับมาดูอย่างตื่นเต้นแล้วอ่านทวน
“ขอบคุณมากนะคะ ชื่อนายแพทย์ภูบดี พี.บอร์ด เอ๊ะ! คุณหมอเป็นลูกครึ่งหรือคะ”
หล่อนก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง แล้วก็ต้องขยาดเมื่อเห็นสายตาแปลกๆ จากทิวาจึงได้แต่ขอบคุณแล้วขอตัวกลับ
ทิวาโยนแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงานด้วยความหงุดหงิด พรูลมหายใจออกมาระบายความอัดอั้น สักพักจึงหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก เป้าหมายคือคนที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่นั่นเอง
“วันนี้ไปไหนมาบ้าง ภู”
“ยังไม่ถึงเวลานัดเลย” ปลายสายตอบกลับเสียงเรียบ
แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ ทำให้คนถามถึงกับกระแทกตัวลงนั่งอย่างแรงระบายอารมณ์ “เราแค่ถาม... ไม่ได้หรือไง”
รู้ทั้งรู้ว่าน้ำเสียงที่ถามนั้นเข้มกว่าปกติและคนฟังอาจจะไม่ชอบใจ แต่หล่อนไม่อาจยับยั้งอารมณ์ได้ในขณะนี้ แต่เสียงตอบรับกลับมานิ่งกว่าปกติ จนหญิงสาวถอนหายใจโล่งอก
“เอาเอกสารมาคืนเจ้าของเขา วามีอะไรบอกแล้วไงว่าเราจะไปรับสี่โมงเย็น” ภูบดีกรอกเสียงมาตามสาย
“แล้วคืนเรียบร้อยรึยัง เอกสารน่ะ”
“ฝากแม่เขาไว้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรเราจะวางแล้ว จะไปธุระอีกที่หนึ่งแล้วเจอกันสี่โมงเย็นนะ”
“จะไปไหนอีก” หล่อนถามกลับน้ำเสียงเข้ม
“เราต้องรายงานวาทุกระยะหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เราแค่ห่วง เมื่อไหร่ภูจะเริ่มงานใหม่ เราได้ข่าวมาว่าภูจะไม่ทำงานที่เดียวกับเรา ทำไมต้องให้รู้จากคนอื่น ไหนทีแรกบอกว่า”
จู่ ๆ หล่อนก็พูดไม่ออก ไม่อยากให้การคุยกันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด แต่ห้ามอะไรก็ห้ามได้ยกเว้นห้ามใจไม่ให้อยากรู้ความเป็นไปของชายหนุ่ม ยิ่งเขาตอบมาหล่อนก็ยิ่งเครียด
“เราเป็นหมอหัวใจนะวา จะดีกว่าถ้าเราได้ทำงานในโรงพยาบาลเฉพาะทาง แล้วอีกอย่างเราจะยังไม่เริ่มงานตอนนี้”
“ทำไมถึงยังไม่เริ่มงาน จะปล่อยเวลาผ่านไปวัน ๆ หรือยังไง”
ทิวาถามกลับงงกับความหมายที่ปลายสายบอก นอกจากจะไม่ทันตั้งตัวเรื่องที่ภูบดีตัดสินใจแล้ว หล่อนยังต้องงงงวยไปอีกเมื่อเขาเปลี่ยนแผนกระทันหัน
“เราจะไปต่างประเทศสักพัก”
“ไปไหน ก็เพิ่งกลับมาเอง เราขอไปด้วยได้ไหม”
หล่อนต่อรองแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ปลายสายก็ตัดไป หญิงสาวชักสีหน้าหงุดหงิดวางกระแทกโทรศัพท์กับโต๊ะ ก่อนจะหลับตาพิงพนักเก้าอี้นับหนึ่งถึงสิบอย่างว้าวุ่นใจ
ถ้าหากทิวาจะมีตาทิพย์ คงจะได้เห็นว่าคนที่หล่อนคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกกำลังทำในสิ่งที่หล่อนสังหรณ์ใจมาตั้งแต่ต้น
ภูบดีหยิบหมายเลขโทรศัพท์บริษัททัวร์ที่จดมาจากในสตูดิโอของธารวารีขึ้นมาดูแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ไม่รอช้าโทรหาเป้าหมายทันทีเมื่อได้รับคำตอบเป็นที่พอใจ ชายหนุ่มจึงเบนเข็มไปอีกทางโดยไม่ใช่เส้นทางตรงไปที่ทำงานของทิวาแต่อย่างใด
ธารวารีนั่งจิบกาแฟร้อนในคอฟฟี่ช็อปภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากปากทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อรอเวลานัดหมายกับชยานุชที่โทรมาหาแบบได้จังหวะเหมาะพอดี
หล่อนกำลังต้องการที่ปรึกษาหลังจากขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้หวังดีที่รับอาสาจะเอาเอกสารปึกสำคัญมาคืนแต่ติดต่อไม่ได้หลายครั้ง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกอยู่อย่างต่อเนื่องกลับมีเพียงสัญญาณรอสายเป็นเพลงสากลเพลงหนึ่งที่ไพเราะโรแมนติกไม่เบา
“เพลงเพราะซะด้วย แต่จะดีกว่านี้มาก ถ้าคุณหมอจะรับโทรศัพท์ฉันนะคะ”
ธารวารีบ่นพึมพำกับโทรศัพท์มือถือเครื่องบางเฉียบ หน้าจอตัดสัญญาณสายไปแล้วเรียบร้อยเหลือเพียงภาพดอกการเวก ดอกไม้โปรดที่ใช้เป็นภาพพักหน้าจอแทน นาฬิกาข้อมือเรือนเล็กสีเงินถูกยกขึ้นมาจับจ้องดูเวลาอย่างคิดหนัก
“ยายนุช... ฉันรอจนรากจะงอกอยู่แล้ว ตาย ๆ จะสี่โมงแล้วด้วยรถก็ติดน่าเบื่อจริง ๆ สงสัยเสร็จต้องรีบกลับแล้ว ฉันยังมีงานค้างเพียบเลยนะ ยายบ้า”
ธารวารีบ่นอุบ ไม่ทันจะได้บ่นหาเป็นคำรบสอง คนโดนบ่นก็กระหืดกระหอบเข้ามา พร้อมอะไรบางอย่างที่หย่อนลงบนหัวไม่ทันได้รู้ตัว
“โอ๊ะ! อะไรน่ะ”
ธารวารีสะดุ้งสุดตัว ปัดป้องตามสัญชาติญาณ แล้วก็ต้องหน้าง้ำเมื่อชยานุชลงนั่งฝั่งตรงกันข้ามยิ้มแต้
“แหม! ทำเป็นตื่นเต้นไปได้ นี่ให้แกโดยเฉพาะเลยนะ”
“หมวก... เอามาให้ทำไม”
“อ้าว! ก็เห็นตัดผมสั้น ฉันก็กลัวแกจะคอดำเป็นเหนี่ยง ดูจากในรูปสิแดดเอธิโอเปียแรงทะลุองศาเดือดขนาดนั้น”
แอร์โฮสเตสสาวยิ้มกว้างหลังจากพูดสัพยอกให้คนฟังค้อนขวับ ร่างสูงเพรียวนั่งลงตรงข้ามก่อนจะเชยคางเพื่อนรักจับหันซ้ายขวา
“มองอยู่ได้ หน้าฉันมีอะไรผิดปกติรึไง”
“เพื่อนฉันทำผมทรงนี้น่ารักจัง กระชากวัยได้เป็นกอง ใครบอกว่าอายุยี่สิบก็เชื่อนะแบบนี้”
“บ้า! ไม่ต้องมาแกล้งชม ฉันรู้จักหนังหน้าตัวเองดี”
“ฉันไม่ได้แกล้งชม” ชยานุชทำเสียงขึ้นจมูก “น่ารักจริงๆ นะเพื่อนฉัน”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องตอนนี้ชำระความก่อน ความผิดมาสายต้องจ่ายเป็นค่าอาหารมื้อนี้ด้วย”
ธารวารีหน้ามุ่ยค้อนวงใหญ่หันไปส่องเงาภาพตัวเองในกระจกผนังอีกฟาก สองมือกรีดกรายขยับหมวกปีกประดับลูกไม้สวยงามซ้ายทีขวาทีแล้วก็ทำหน้าเบ้ มันดูขัดกับบุคลิกช่างภาพขาลุยอย่างหล่อนเสียจริง ยิ่งเสียงหัวเราะคิกคักของคนให้ก็ช่างบาดลึกจนไม่รู้ว่าที่ชมนั้นจริงหรือหลอก
“ฉันรับตัวเองลุคนี้ไม่ได้”
“เหอะน่า ฉันบอกสวยก็ต้องสวยสิ เอาไปหลบแดดที่อัมอะไรของแกนั่นแหละ”
“ไม่เอา! ฉัน ไม่ได้ไปเล่นเอ็มวี นี่มันสวยเกินไปไม่เหมาะกับฉันหรอก”
หล่อนโวยก่อนจะถอดหมวกมาวางตั้งไว้บนเก้าอี้ข้างตัว แต่เพื่อนรักกลับหัวเราะชอบใจ
“ใส่ ๆ ไปเถอะน่า รับรองไปที่โน่นแกได้เป็นเซเลบหนุ่มๆ ตามเกรียวแน่”
คำตอบปนเสียงหัวเราะขัน ทำคนฟังถึงกับหน้ามุ่ยกำลังจะบ่นต่อ แต่แอร์โฮสเตสสาวโบกมือ ห้ามปรามพร้อมหันไปให้ความสนใจบริกรหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล กวักมือเรียกทันที
“เดี๋ยวค่อยพูดเหอะ... ฉันหิวจะตายอยู่แล้วขอสั่งอะไรมาประดับท้องก่อน”
“เชิญเถอะย่ะ” ธารวารีประชด
ชยานุชเปิดเมนูแต่ละหน้าอย่างช้าๆ ทั้งที่ท้องหิวแต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักที จนธารวารีสุดเซ็งกระแทกหลังพิงเบาะด้วยความเบื่อหน่าย จะปรึกษาปัญหาก็ไม่ได้สักที
“หนุ่มน้อย ที่นี่อะไรอร่อยคะ”
แอร์โฮสเตสคนสวยฉีกยิ้มหวานจ๋อยเอ่ยถามบริกรหนุ่มเสียงหวาน น่าหมั่นไส้ในสายตาธารวารีนักแต่หล่อนก็อดทนรออย่างใจเย็น
“อร่อยทุกอย่างครับ หรือจะลองเมนูแนะนำล่าสุดของเราก็มี สโมคแซลมอนฟัวกราส์ ซีฟู๊ดเครป เมนูเครื่องดื่มแสนอร่อยใหม่ล่าสุดก็มีโมจิโต้รสชาติเฉพาะของร้าน หากลองชิมสักแก้วแล้วคุณจะติดใจ”
“โอ้โห! ขนาดนั้นเชียวแต่ฉันว่าฉันจะติดใจเสียงหล่อ ๆ ของคุณก่อนสิคะ”
“ขอบคุณครับ ไม่ทราบตกลงจะรับอะไรดี”
บริกรหนุ่มถึงกับประหม่าเมื่อได้รับคำชมซึ่งหน้าจากสาวสวย ธารวารีหมั่นไส้เพื่อนรักมากขึ้นอีกคำรบที่หว่านเสน่ห์ไม่เลือกที่ ชยานุชยิ้มกริ่มลีลามากตัดสินใจไม่ได้สักที จนคนรอปรึกษารำคาญใจกับท่ามากของเพื่อน
“เอามานี่มา ขอสลัดอะโวคาโด กับไอซ์คาปูชิโน่ก็แล้วกัน โอเคนะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยว”
ชยานุชยื้อไม่ทัน ธารวารีสั่งแทนไม่พอยังแย่งเมนูคืนบริกรหนุ่มเสร็จสรรพ สาวสวยได้แต่อ้าปากค้างแล้วแหวใส่
“ไม่เอาสลัดนะ เบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“สั่งไปแล้ว กินๆ ไปเถอะ อร่อยแคลลอรี่ต่ำ พึงสังวรไว้ว่าหน้าท้องแกมันจะย้วยแล้ว เป็นแอร์โอสเตสยังไงกินแต่ของอ้วนๆ นี่ถ้าฉันไม่เบรกมีหวังแกเลือกฟัวกราส์ใช่ไหมละ ไม่สงสารลูกห่านที่เขาเอามาทำบ้าง ถ้าโดนปลดระวางก่อนเวลาอันควรจะหาว่าเพื่อนไม่เตือนไม่ได้นะ”
“โอ๊ย! พอแล้ว หมดความอดทน ฉันไม่กินก็ได้ ถ้าหากต้องกินไปแผ่เมตตาไป คนสวยอย่างฉันจะไม่ทน”
“ก็ดีแล้วที่คิดได้” ธารวารีค้อน “แค่เรื่องกินอะไรนักหนา แกค่อยไปกินไกลๆ ไม่ต้องให้ฉันเห็นจะได้ไม่ต้องสนใจหรือเป็นห่วง”
“รู้แล้วน่า แหม นานๆ เจอร้านน่ารัก บริการถูกใจซะหน่อยจะกินให้อร่อยก็ไม่ได้สิ”
“ฉันนึกว่าอิ่มอาหารตามากกว่า”
“เบื่อพวกรู้ทัน” ชยานุชตอบทำหน้าเหม็นเบื่อ “ไม่ขัดใจฉันสักวันสงสัยอกแตกตาย”
แอร์โฮสเตสสาวกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางเหมือนเด็กถูกขัดใจจนธารวารีอดขำไม่ได้ ทำทีไม่ใส่ใจแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกหลายต่อหลายครั้ง
“นี่อะไรฉันสวยจัดเต็มมาขนาดนี้ แต่แกออกบ้านมาได้ยังไงหน้าซีดเป็นไก่ต้ม แล้วโทรหาใครเห็นวุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์นานแล้ว อย่าบอกนะว่ามีกิ๊ก”
“บ้า กิ๊กเกิ๊กบ้านแกสิ ฉันมีปัญหาเคยคิดจะถามกันบ้างรึเปล่า แล้วที่หน้าซีดอยู่นี่ก็เพราะปัญหาของฉันที่รอจะปรึกษานี่ละ”
ธารวารีค้อนขวับเพื่อนรักวงใหญ่โทษฐานสันนิษฐานมั่วได้ใจ ชยานุชหัวเราะลั่นลืมฟอร์ม
“แล้วมีปัญหาอะไร ก็บอกมาสิ แต่ฉันว่านะอย่างแกน่ะคงไม่พ้น นุช ขนมร้านไหนอร่อยฉันจะซื้อไปฝากคุณแม่พี่รุจ หรือไม่ก็ นุช... ฉันจะซื้ออะไรเป็นของขวัญวันเกิดคุณแม่พี่รุจดี แกช่วยฉันคิดหน่อย นะ... นะ... น้า”
เสียงยานคางของคนรู้ทันทำให้คนโดนล้อได้แต่หัวเราะแก้เก้อ
“ฉันทำพาสปอร์ต สมุดวัคซีน ใบจองทัวร์กับใบเสร็จที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วหาย อีกสิบวันจะเดินทางแล้วด้วย แล้วทีนี้นะมีคุณหมอใจดีเก็บไว้ได้ เห็นว่าจะส่งคืนให้เอง”
“เอ๊า! ก็ดีแล้วนี่” ชยานุชขึ้นเสียงสูง “แล้วมีปัญหาตรงไหน”
“ก็ตอนนี้ฉันติดต่อเขาไม่ได้ โทรหาเขาก็ไม่รับสาย ทำไงดีละแก”
ธารวารีจับมือเพื่อนรักที่กำลังยกไอซ์คาปูชิโน่ขึ้นดูดอย่างสบายอารมณ์จนคนโดนเขย่าแทบสำลัก
“โอ๊ย! จะเขย่าทำไม เสียของ ยายรีเอ๊ย! ยังไม่ทันได้ไปไหนก็ทำของสำคัญหายซะแล้ว เฟอะฟะอะไรอย่างนี้ บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ไปฝรั่งเศสด้วยกัน อย่างนี้เกิดอีกหน่อยแกไปคนเดียวฉันไม่ยิ่งห่วงแย่เหรอ ยายรี”
ชยานุชส่ายหน้าระอา คนโดนว่าถึงกับหน้าชา ผิดคำพูดของเพื่อนเสียที่ไหน แต่ตอนนี้ที่หล่อนต้องการคือคำปรึกษาไม่ใช่คำซ้ำเติม
“แล้วแกจะเอายังไงต่อไป ชื่ออะไร ทำงานที่ไหนรู้ไหมจะได้ไปตามตัวถูกเกิดติดต่อไม่ได้หรือเขาเพิกเฉยไม่คืนของให้ แกจะได้ไปหาพี่รุจไหม”
“ก็ถึงร้อนใจอยู่นี่ไง ได้ข้อมูลเขามาแค่นี้มีคนให้ฉันมา สงสัยประชดประวัติยาวเป็นกิโลเลย ฉันอ่านให้ฟังนะ”
“ว่ามา” ชยานุชฟังพลางจิ้มสลัดเข้าปากละเลียดไปพลาง
“ชื่อนายแพทย์ภูบดี พี. บอร์ด” ธารวารีอ่านแล้วกระซิบ “ท่าทางจะเป็นลูกครึ่งด้วยนะแก”
“อืม... ฉันกำลังคิด เล่าต่อเลยอย่าช้า”
“ปริญญาตรีจากออสเตรเลีย เฉพาะทางด้านหัตถการปฏิบัติสายสวนโรคหัวใจและหลอดเลือดจากโรงพยาบาลกรีนแลนด์นิวซีแลนด์ เพิ่งกลับมาเมืองไทยยังไม่ได้สังกัดโรงพยาบาลไหน แกว่าคุณหมอวาเพื่อนพี่ท็อปจะให้ฉันมาทำไมเต็มยศขนาดนี้นะ มีนัยยะอะไรแอบแฝงรึเปล่า ฉันรู้สึกถึงรังสีอำมหิตแฝงมากับน้ำหมึกนะนุช”
“ก็พูดเกินไป แต่แม่เจ้า! กรีนแลนด์นี่เจ๋งมากเลยนะ คุณหมอคนนี้ต้องสี่สิบขึ้น หรือไม่ก็สามสิบปลาย เป็นหนุ่มแว่นหนาเตอะลักษณะเหมือนพวกคงแก่เรียนหรือไม่ก็พวกโอตากุประวัติไม่ธรรมดาขนาดนี้ฉันว่าคุณหมอคนนั้นให้ประชดแกชัวร์”
ชยานุชให้ความเห็น นั่นยิ่งทำให้คนรอฟังคิดหนักไม่เข้าใจ
“จะประชดฉันทำไม ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย”
“แกไปงี่เง่าใส่คุณหมอคนนั้นก่อนแน่ ๆ”
ธารวารีส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
“ฉันก็แค่ถามว่าเชื่อใจได้แค่ไหนว่าจะได้ของคืน แล้วก็ขอที่อยู่เขา แค่นี้เองคุณหมอแว่น เอ๊ยไม่ใช่คุณหมอทิวาก็จดยิกๆ ยื่นไอ้แผ่นนี้ให้ฉันเฉยเลย”
“นั่นไง นึกแล้วไอ้ที่แกพูดว่าเชื่อใจได้แค่ไหน หมายความว่าแกไม่เชื่อคำพูดของคุณหมอจอมอีโก้คนนั้นเลย เธอก็เลยประชดไงว่าคุณหมอที่เก็บของได้น่ะไม่ได้ไก่กานะ เขาจะเอาของแกไปทำไมประมาณนี้แหละฉันว่า”
“โอ๊ย! คิดมากไปรึเปล่า ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น คนจริงใจใสซื่อน่ารักอย่างฉันนี่นะ พอ เลิกพูด กินก่อนดีกว่า”
“ก็ได้ รีบกินรีบไป ฉันจะไปเสริมสวยต่อ” ชยานุชก้มหน้าก้มตากับอาหารตรงหน้าแต่ไม่วาย “ฉันชักจะสนใจคุณหมอโปรไฟล์ยาวอย่างกับแม่น้ำฮวงโหคนนั้นซะแล้วสิ”
“บ้า! อย่าบอกนะว่าจะจีบอีก”
“ก็ไม่แน่... ถ้าคนสวยอย่างฉันคิดจะเดินหน้า อายุเท่าไหร่ก็ไม่เป็นอุปสรรคหรอกขอบอก”
ชยานุชพูดสนุกปากแต่คนฟังค้อนขวับรับไม่ได้ถึงกับส่ายหน้าระอา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าภูบดีลอบยิ้มขบขันอยู่โต๊ะถัดไปหลังพนักพิงตัวใหญ่ที่เขาและธารวารีนั่งหันหลังให้กัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ^__^
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ย. 2559, 01:03:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2559, 01:03:36 น.
จำนวนการเข้าชม : 1216
<< บทที่ 4/1 ช่างแอร์จำเป็น | บทที่ 5 ยายดอกการะเวก >> |
อังค์จิก 9 พ.ย. 2559, 21:11:38 น.
แหมๆๆๆ ยิ้มเชียวนะนายภู
แหมๆๆๆ ยิ้มเชียวนะนายภู
lovereason2 10 พ.ย. 2559, 13:57:32 น.
คุณอังค์จิก -- นายภูแอบฟังสาวๆ เมาท์เผาขนค่ะ อิอิ
คุณอังค์จิก -- นายภูแอบฟังสาวๆ เมาท์เผาขนค่ะ อิอิ