กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี
ตอน: ตอนที่ 11 คุณป้าชักเฮี้ยน
11
ยามพลบค่ำ เมื่อตะวันลับขอบฟ้า หลังจากที่วันนี้ทั้งวันเธอยุ่งอยู่กับการจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง เขมขวัญจึงค่อยมีเวลามาหยุดยืนจ้องประตูไม้แกะสลักที่อยู่ฝั่งตรงข้างห้องพักด้วยอาการลังเล
ภายในห้องห้องนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่รอการพิสูจน์ข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เธอประสบ ความฝันประหลาด เสียงที่มักได้ยินเสมอ และภาพซึ่งเธอเองไม่แน่ใจว่านั่นคืออาการตาฝาด ประสาทหลอน หรือเกิดจากพลังอำนาจบางอย่างบันดาลให้เห็นกันแน่
น่าแปลก...วันนี้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ นอกจากเหตุการณ์ที่ปากเธอเอ่ยในสิ่งที่ไม่ต้องการเอ่ยนั้นแล้ว ก็ไม่มีวี่แววจะมีสิ่งผิดปกติมาให้หลอนอีก ดูเงียบเชียบเรียบร้อยเรียบร้อยพิกล จนชักไม่วางใจว่าสิ่งที่ใครๆต่างเรียกเป็นชื่อเดียวกันว่า ‘ผี’ จะมาไม้ไหนกันแน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งเติมความอยากที่จะพิสูจน์ให้รู้เห็นถึงความเป็นจริงมากขึ้นเป็นสองเท่า
“ถ้ามัวแต่ยืนอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีทางรู้ในสิ่งที่อยากรู้...เอาวะ...ตายเป็นตาย” เขมขวัญบอกตัวเองก่อนตัดสินใจเอื้อมมาไปจับลูกบิดประตู แล้วค่อยๆหมุนมันอย่างช้าๆ ด้วยหัวใจระทึก
หวนคิดไปถึงความฝันครั้งสุดท้าย...ซองคล้ายซองเอกสารใบใหญ่ที่เธอรับมันมาไว้ในมือ ซองที่คนในฝันสั่งให้เธอนำไปส่งใครคนหนึ่ง งานนี้จะดีหรือบ้า จนต้องพิจารณาตัวเองให้เข้ารับการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ มันคงขึ้นอยู่กับบางสิ่งที่อยู่ภายในห้องนั้น
เขมขวัญเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ดั่งว่าเธอเคยเห็นเคยมาเยือนห้องทำงานห้องนี้แล้วหลายครั้ง ทั้งๆที่ความจริง นี่คือครั้งแรกกับการได้ก้าวย่างล่วงล้ำผ่านประตูเข้ามาด้วยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ยิ่งแสงสว่างจากโคมระย้ากลางเพดานห้องให้ความสว่างไสวเมื่อมือเล็กๆคลำไปจบพบสวิตช์เปิด ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ภายในห้องทำงานที่ได้รับการตกแต่งคนละแบบให้อารมณ์แตกต่างจากห้องที่เธอใช้เป็นห้องพัก ตู้หนังสือ โต๊ะทำงาน รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น เน้นงานไม้ สีโอ๊ค ตัดกับผ้าม่านลูกไม้สีขาว บางเบา เสริมให้เกิดความสงบ อันเป็นบ่อเกิดแห่งสมาธิ
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ดึงดูดสายตาของเธอได้ดีเท่าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่วางอยู่ด้านหน้าตู้หนังสือติดผนัง โต๊ะทำงานตัวนั้น มีเครื่องพิมพ์ดีดที่ปัจจุบันแทบจะหาสำนักงานแห่งที่ยังใช้อยู่ยากเต็มที ในเครื่องยังมีกระดาษเสียบคาไว้เหมือนเจ้าของยังทำงานค้างเอาไว้ และข้างๆกัน...หากมองไม่ผิดเขมขวัญคิดว่ามันคือซองเอกสารสีน้ำตาลแต่จะใช่ซองเดียวกันกับที่เธอฝันถึงหรือไม่ อันนี้ก็ต้องรอพิสูจน์ในอีกไม่กี่นาที
เท้าสาวไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ แต่เป็นเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลงด้วยแรงดึงบางอย่างที่ยึดลำแขนของเธอเอาไว้
“กรี๊ด !...อุ๊บ...” เสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้นด้วยความตกใจ แล้วก็หยุดลงเหลือแค่เสียงอู้อี้ในลำคอ เมื่อมีบางสิ่งตะปบเข้าเต็มปากปิดกั้นเอาไว้
“คุณ...จะแหกปากร้องทำไมล่ะเนี่ย” คนที่ยืนซ้อนหลัง ทั้งใช้มือตะปบปากคนในอ้อมแขนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความรำคาญ
“อู้ๆๆๆ” เสียงของคนขี้ตกใจยังคงดังอู้อี้ อีกทั้งการดิ้นที่เพิ่มเรี่ยวแรงขึ้นเต็มกำลัง
“คุณขวัญ นี่ผมเอง...”
“อู้ ๆ ...” รู้แล้ว แค่เสียงก็จำได้ แต่ ช่วยปล่อยมือออกจากปากกับจมูกฉันได้มั๊ย จะขาดใจตายอยู่แล้ว มือนุ่มพยายามงัดมือใหญ่ที่ตะปบอยู่เต็มทั้งปากและจมูก
“หยุดดิ้น หยุดร้อง ลืมตา แล้วก็มองหน้าผม”
“อู้” โธ่โว้ย...ปล่อยซะทีสิวะ
ดูเหมือนอีกฝ่ายคงไม่สามารถเข้าใจโดยการสื่อสารทางโทรจิต และ เสียงอู้อี้ราวกับคนใบ้ได้ เห็นทีต้องใช้มาตรการในการช่วยชีวิตตัวเองขั้นเด็ดขาดซะแล้ว... เร็วเท่าความคิด หรือ หรือก่อนที่เธอจะขาดใจตายไปซะก่อน เท้าเล็กๆก็กระทืบลงบนหลังเท้าผู้คุกคามเต็มแรง...
“โอ๊ย ! ...” กริชร้องลั่น
พันธนาการทุกอย่างที่มีต่อคนในอ้อมแขนเมื่อครู่มีอันคลายลง เขมขวัญใช้จังหวะนั้นถอยฉากออกห่างทันควัน ทั้งสูดหายใจเข้าปอดแรง ๆ ลึก ๆ ชดเชยออกซิเจนที่ขาดหายไป
“เป็นบ้าอะไร กระทืบลงมาได้ เท้าคนนะ ไม่ใช่แมลงสาบ” กริชนะสะบัดเท้าขับไล่ความเจ็บปวด ทั้งจ้องมองคนที่ประทุษร้ายเขาแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยแววตาเอาเรื่อง
“ก็คุณกำลังจะฆ่าฉัน” เขมขวัญเถียง
“ฆ่าเธอ? ... เมายากันยุงมาหรือไง” เผลอค้อนให้คนกล่าวหาไปซะงั้น
“ก็เล่นปิดปากปิดจมูกซะเต็มไม้เต็มมือแบบนั้น ไม่เกินสามสิบวินาที ฉันคงได้เป็นศพ” หญิงสาวค้อนกลับ ทั้งทำเสียงค็อกแค็ก เหมือนคนกำลังจะขาดใจตายไปจริง ๆ
กริชนะมองนิ่งยังอากัปกิริยาอาการหายใจเร็ว สีหน้าแดงก่ำ มือเล็ก ๆ ลูบอกปอย ๆ ที่เขาแค่ต้องการปิดเสียงร้องที่ดังจนแสบแก้วหูนั้น ดูท่าจะเผลอปิดจมูกเธอเข้าไปด้วย
“ขอโทษ...ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ขาดใจแบบนี้”
แหม ๆ ได้ยินอย่างนี้มันทำให้นึกถึงประโยคเร้าอารมณ์ในนิยายของป้ายังไงไม่รู้...อิอิ...ไม่ตั้งใจทำให้ขาดใจแบบนี้ แต่ถ้าจะทำคงทำให้ขาดใจแบบอื่น...ว้าว... กลุ่มก้อนพลังงานที่ค่อย ๆ รวบรวมก่อตัวเป็นหนึ่ง ล่องลอยวนเวียนรอบล้อม สองกายเนื้อ ที่ยืนห่างกันคนละมุม
“ความไม่ตั้งใจของคุณเกือบทำให้ฉันตาย” หญิงสาวยังบ่นอุบ
“ก็ขอโทษแล้วไง”
“ฉันยังหายใจไม่คล่องเลย” เธอยังบ่น กลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่นั่นมันกลับทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกหมั่นไส้คนขี้โวยวายเกินเหตุ ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ทั้งที่ไม่ใช่เรื่อง
“สงสัยมือฉันจะกดจมูกเธอบุบจนบี้แล้วมั๊ง ไหนดูซิ...มันเด้งกลับมาหรือยัง”
ขายาว ๆ ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว แม่เลขาฯ เรื่องมาก มือแข็งดั่งคีมเหล็กจับกระชับที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ยึดไว้ไม่ให้ขยับ ทั้งออกคำสั่ง ทั้งหมุนตัวคนในอ้อมแขนให้หันมาเผชิญหน้า “หันหน้ามาสิ”
ไม่มีเสียงที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก มีแต่ความเงียบสนิท ด้วยความตกใจที่ถูกจู่โจมอีกครั้งซึ่ง ๆ หน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เปลือกตาที่ประดับด้วยแพขนตายาวงอนชนิดไม่ต้องพึ่งขนตาปลอม ก็ค่อยกระพริบถี่ ๆ เปิดขึ้นช้าๆ เผชิญหน้ากับชายหนุ่มรูปงามผู้อยู่ห่างไม่ถึงฟุต
“หายใจสะดวกหรือยัง...” เสียงทุ้ม ๆ ถามขึ้น
หัวใจที่กำลังเต้นโครมครามอยู่ ณ เวลานี้ ดังสะท้อนในอก จนน่ากลัวว่าคนที่ยืนอยู่แทบชิดจะได้ยินไหม...แววตาคมกล้าที่สบนิ่งมองลึกเข้ามาในดวงตาของเธอกำลังค้นหาอะไร หรือกำลังค้นหาความลับในหัวใจ ความลับที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจรู้ น่าแปลก...ลมหายใจที่กำลังจะคล่องก็เริ่มติดขัดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ทางเดินหายใจเปิดโล่ง
“ถ้ายัง...ฉันจะยอมเป็นเครื่องช่วยหายใจให้...สนใจไหมล่ะ...”
ว๊าย ๆ คำพูดคำจาหลานชายฉัน...มันเข้าข่ายโรมานซ์ เลยนะเนี่ย...
คำถามจากริมฝีปากหยักได้รูปนั้นปลุกความรู้ตัวให้เกิดขึ้น ฝ่ามือนุ่มจึงผลักอกกว้าง แข็ง อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อให้ห่างออกไปในทันที
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว...” เขมขวัญพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น ทั้งพยายามก้าวถอยไปให้ห่างเครื่องผลิตประจุไฟฟ้าที่แค่อยู่ใกล้ก็ทำท่าจะช๊อตให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรง
“เข้ามาทำอะไรในห้องนี้ ทำตัวมีพิรุธนะเรา”
“ก็แค่เข้ามาสำรวจบ้านที่ฉันกำลังอาศัยอยู่ แล้วคุณล่ะ ค่ำมืด...มาที่นี่ทำไม”
“มาตามหน้าที่ของเจ้าบ้าน ดูแลความเป็นอยู่ของผู้อาศัย...” ลำแขนแข็งแกร่งยกขึ้นกอดอก ทั้งเหลือบตามองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“อ้อ...”
เขมขวัญพยักหน้าเข้าใจ ทั้งทำทีเดินเลี่ยงชายหนุ่มมาทางโต๊ะทำงาน แต่ยังไม่กล้าพอที่จะเข้าไปยืนประชิด ได้แต่ส่งสายตาเหลือบมองหาบางสิ่งในฝันสลับกับใบหน้าคมคายอันเป็นสิ่งที่น่ามองที่สุดในห้องทำงานแห่งนี้ก็ว่าได้
“ว่าแต่...ต้องการอะไรเพิ่มเป็นพิเศษหรือเปล่า” ถามพลางมองไปรอบๆห้องทำงานที่เคยเป็นสถานที่ที่กริชนะมีโอกาสได้พบป้าบ่อยที่สุด แต่นับจากนี้จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันจะขอใช้ห้องนี้เป็นที่ทำงานตรวจสอบงบดุล การเงินที่คุณสั่ง”
กริชนะนิ่งเงียบ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง...สายตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ห้องกว้างนั้นอีกครั้ง
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร...” เขมขวัญเผลอผ่อนลมหายใจออกจากอก ทั้งขยับออกห่างโต๊ะทำงานตัวนั้น ทำสีหน้าคล้ายเข้าอกเข้าใจอีกฝ่ายซะเต็มประดา “ก็อย่างว่าล่ะ ห้องนี้คงเป็นห้องแห่งความทรงจำ คุณคงไม่อยากให้ใครเข้ามาทำลายความทรงจำสำคัญของคุณ ฉันเข้าใจค่ะ”
ป้าอนุญาต...ให้แม่หนูเข้ามาใช้ได้ตามสบายเลย แลกเปลี่ยนกับผลงานชิ้นสุดท้ายของป้า... พลังงานโปร่งแสงลอยวนอยู่รอบ ๆ ชายหนุ่ม พลางกระซิบ ดั่งหวังว่าเขาจะได้ยิน
“จำได้ว่าผมเคยบอกคุณว่าแฟ้มงานนั้นต้องทำที่ห้องทำงานผมเท่านั้น” กริชนะมองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ก่อนจะมาหยุดสายตาที่ใบหน้าเนียนใส “เอาเถอะ อย่างน้อยที่นี่ก็ยังอยู่ในอาณาเขตของทรัพย์บริบูรณ์...ดีกว่าปล่อยให้มันรกร้างไร้ประโยชน์ ผมอนุญาต... แต่ห้ามแตะต้องเคลื่อนย้ายสิ่งของในห้องนี้ก็แล้วกัน”
“แล้วหนังสือบนชั้นนั่นล่ะ ฉันสามารถอ่านมันได้หรือเปล่า” เขมขวัญชี้มือไปยังนิยายที่อัดแน่นเต็มตู้
“ตามสบาย...อ่านแล้วก็อย่าใจแตกละกัน”
น้ำเสียงเตือนราบเรียบ ทว่ากลับทำให้คนฟังสงสัย “แค่อ่านหนังสือ ทำไมฉันต้องใจแตก”
“ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ... พอคุณได้อ่านสักเรื่องเดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง” พูดแล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวเหมือนกำลังจะเดินจากไป แต่แล้วเขาก็หันกลับมาอีกครั้ง
“มีอะไรคะ”
“พรุ่งนี้เช้าผมจะให้คนเอาแฟ้มงานมาให้ คุณมีเวลาทำงานถึงแค่เที่ยงวัน คงไม่ต้องให้ผมเตือนอีกรอบนะว่าตอนค่ำมีงานเลี้ยงที่บริษัท แต่งตัวสวยๆ ให้สมกับเป็นเลขานุการประธานกรรมการ อย่าทำให้ผมขายหน้าล่ะ”
“ค่ะ เจ้านาย” ว่าพลางเผลอค้อนให้
เขมขวัญเมินหลบสายตาคมที่จ้องนิ่งมาที่เธอ ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดที่ไม่กล้าเผชิญสายตาคมกล้านั้นได้นาน...ดูเหมือนว่าสายตาของกริชนะจะมีผลต่อการเต้นของหัวใจเธออย่างประหลาด รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นบานประตูห้องทำงานปิดลงไปพร้อมกับการได้อยู่โดยลำพัง
ทันทีที่ประตูปิดสองเท้าก็ก้าวตรงไปยังโต๊ะทำงานตรงหน้า เป้าหมายยังอยู่ที่ซองสีน้ำตาลใกล้ ๆ เครื่องพิมพ์ดีด หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาพินิจ ก็พบว่าที่ซองถูกจ่าหน้าที่อยู่ผู้รับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“ส่งทางไปรษณีย์ก็น่าจะไม่มีปัญหานะ”
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
“ฮะ! อะไรกันเนี่ย เงียบมาแล้วทั้งวัน ทำไมจู่ ๆ ถึงมาส่งความหลอนเอาตอนนี้เนี่ย”
“หนูต้องเอาไปส่งด้วยตัวเอง” เสียงเย็นยะเยือกดังแผ่ว ทว่าชัดเจนราวกำลังกระซิบอยู่ที่ข้างหู
“แต่...”
“อย่าได้ขัดใจฉัน ! ”
จู่ ๆ เฟอร์นิเจอร์อันสงบนิ่งก็เกิดอาการสั่น ถ้าวัดระดับความรุนแรงตามมาตราริกเตอร์ ก็น่าจะอยู่ในระดับราว ๆ สามถึงสี่แมกนิจูด
“ผะ ๆ แผ่นดินไหว !..”
ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเกิดแผ่นดินไหวจริงตามธรรมชาติ หรือจะเกิดจากอำนาจพลังงานบางอย่างที่อยู่เหนือการพิสูจน์ ความสั่นสะเทือนระดับนี้ เขมขวัญคงไม่ใจเย็นยืนรอให้มันหยุดลงไปเองอย่างแน่นอน ฝีเท้าที่เร่งความเร็วเพื่อให้พ้นอันตราย พาตัวเองผ่านห้องโถงที่เจ้าของบ้านน่าจะใช้เป็นห้องรับแขก ทะลุออกไปสู่ประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้า...
เมื่อประตูบานใหญ่เปิดออกกว้างปลดปล่อยลำแสงสว่างที่สะท้อนเข้ามาสู่สายตา เจิดจ้าจนหญิงสาวต้องใช้ลำแขนบังเอาไว้กระทั่งคุ้นชิน
“อะไรกันเนี่ย...”
สิ่งที่ทำให้หญิงสาวถึงกับตะลึงงัน หาใช่เพียงแสงสว่างที่เจิดจ้าทั้ง ๆ ที่ เวลานี้เป็นเวลาที่เธอควรจะเห็นหมู่ดาวบนท้องฟ้า หรือ แสงจันทร์กระจ่างตา...ภาพบรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป... สถานที่ที่เขมขวัญยืนอยู่แทนที่จะเป็นสวนสวยๆ หน้าเรือนตุ๊กตา ทว่าที่นี่กลายเป็นฟุตบาทท่ามกลางเมืองใหญ่ที่จอแจไปด้วยยวดยานและผู้คน
“มาแล้วเหรอ...ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ที่คุณจะปล่อยให้ผมรอนานขนาดนี้”
เสียงทุ้ม ๆ ฟังคุ้น ๆ หู ดังเข้ามาให้ได้ยิน เขมขวัญรับรู้ได้ว่านั่นเป็นเพียงเสียงเดียวที่เด่นชัด กลบความจอแจบนท้องถนนซะสิ้น
“คุณ...” นามกริชนะถูกกลืนหาลงไปในลำคอ ดั่งไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเอนสะโพกพิงประตูเบนซ์คันหรูจะมีชื่อนั่น
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว รีบไปกันเถอะก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ”
ชายหนุ่มขยับตัวหันไปเปิดประตู ทั้งผายมือเชื้อเชิญให้เธอก้าวขึ้นไปนั่งบนรถด้วยท่วงท่าแห่งสภาพบุรุษ...
“เร็วสิ...”
ทั้งสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไป ดูไม่คุ้น แม้ใบหน้านั่นจะเป็นใบหน้าของกริชนะผู้เงียบขรึม
“ค่ะ...” เขมขวัญก้าวขึ้นไปนั่งบนรถอย่างง่ายดาย...อะไรกันเขมขวัญ...เธอจะไปกับเขาง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ... ได้แต่ร้องถามตัวเองในใจ
ชายหนุ่มปิดประตูรถทางด้านหญิงสาวผู้กำลังจะมีข้อตกลงร่วมกัน ก่อนจะเดินแกมวิ่งอ้อมไปทางด้านคนขับ ขึ้นนั่งประจำที่แล้วพารถคันหรูแล่นเบนเข้าสู่เส้นทางแล่นออกไปอย่างที่หญิงสาวไม่อาจรู้จุดหมาย
“มีที่ไหนเหมาะ ๆ ที่เราจะพอคุยกันได้บ้าง”
“คุย?...เรื่องอะไร?” เขมขวัญหันไปมองชายหนุ่มที่ดูเหมือนมีความตั้งใจจดจ่อในการขับรถ
“ก็เรื่องที่คุณยื่นข้อเสนอให้ผมพิจารณาไง”
เอาล่ะสิ ยิ่งงงเข้าไปใหญ่... “เอ่อ...ก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ ฉันคงหมดสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ” ปากเอ่ยออกไปโดยอัตโนมัติ
“ผมจะบอกอะไรให้นะณัฐชา ตอนนี้คุณยังมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นเต็มที่ ตราบใดที่เรายังไม่ได้ลงนามในพันธะสัญญา”
“ณัฐชา?”
ใบหน้าคมคายละความสนใจที่ถนนเบื้องหน้ามามองใบหน้าหวานซึ้งของหญิงสาวที่กำลังมีพฤติกรรมแปลกประหลาด แตกต่างจากเมื่อครั้งพบเจอกันคราวแรก
“โอเค...เอาเป็นว่า ที่พักคุณน่าจะเหมาะกว่า” เขาเอ่ยแล้วเร่งความเร็วของเครื่องยนต์ขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ไม่อยากจะเชื่อว่าชายคนนี้จะรู้จักที่พักของเธอ ทั้ง ๆ ที่แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน...สถานที่ที่เปลี่ยนไปนี่อีก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลุดเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ยังไง...ณัฐชาคือใคร คือเธอน่ะหรือ...ฝัน...ใช่แน่แน่ตอนนี้เธอกำลังฝัน...มันเป็นฝันที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยฝันมา
ห้องพักที่ชายหนุ่มพาเธอมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง ทั้งยังบอกให้ไขกุญแจเข้าไปภายในดูสภาพซอมซ่อพิกล ไม่น่าเชื่อว่าจะกุญแจหนึ่งดอกนอนอยู่ในกระเป๋ากระโปรงให้เธอล้วงหยิบ
ภายในห้องพักมีสภาพซอมซ่อไม่ต่างกัน ดูเหมือนจะแย่ซะยิ่งกว่าบ้านทุกหลังที่เธอเคยอาศัย แต่น่าแปลกที่ดูเหมือนร่างกายของเธอจะแสดงความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ราวกับว่าเธอได้พักอาศัยมาได้สักระยะหนึ่ง
“คุณจะไม่นั่งก่อนหรือ”
ขอบอกกันชัด ๆ ตรงนี้เลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดออกไปนั้นไม่ได้ออกมาจากความคิดในสมองของเธอ ณ เวลานี้เธอก็ไม่ต่างอะไรจากหุ่นกระบอกที่มีเส้นด้ายให้คนชักใยอยู่เบื้องหลัง
“ไม่ล่ะ...ณัฐชา”
เขาเรียกเธอด้วยชื่อนี้อีกแล้ว หรือเธอจะชื่อ ณัฐชาจริงๆ...ณัฐชาแหงนหน้ามองร่างสูงตระหง่านที่ทำให้ห้องทั้งห้องเล็กไปถนัดตา ทั้งสูง ทั้งตัวโต มากเกินไปสำหรับห้องเล็ก ๆ แคบๆ ห้องนี้
“เอาล่ะ...เข้าเรื่องก็แล้วกัน...ผมต้องการกำหนดวันนัดให้คุณไปคุยกับทนายของผม เงื่อนไขต่าง ๆ ผมจะเป็นฝ่ายกำหนดเอง และจะเขียนลงในสัญญา ให้คุณพิจารณา หากคุณรับข้อเงื่อนไขเหล่านั้นได้ ผมก็ยินดีทำในสิ่งที่คุณต้องการ”
“ได้ค่ะ...เอาเป็นว่า พรุ่งนี้บ่ายสี่โมง ฉันจะไปพบทนายคุณที่บริษัท”
“โอเค.ตามนั้น” ชายหนุ่มล้วงหยิบนามบัตรจากซองธนบัตร เซ็นชื่อสลักหลังให้เรียบร้อย แล้วยื่นมาให้
“ขอบคุณค่ะ...มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะ”
“ตอนนี้ยัง...”
“ถ้าเช่นนั้นคุณคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
ณัฐชาเดินไปเปิดประตูกว้าง รอให้เขาผ่านออกไป จากสีหน้า เธอเห็นมุมปากเขากระตุกระหว่างค้อมตัวผ่าน เขากำลังขบขัน...เธอมีอะไรให้เขาขบขัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าความอยากรู้ในเรื่องอื่น ชายคนนี้เขาคือใคร ใช่กริชนะหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็น่าแปลกที่เขามีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน แล้วข้อตกลง เงื่อนไข พันธะสัญญาที่เขาพูดถึงนั่นอีก มันเรื่องอะไรกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งงง..งุนงงจนต้องยกนามบัตรที่เขาให้ไว้ขึ้นมาดู กันต์ คณาธิป ประธานกรรมการบริษัทรับเหมาก่อสร้างคณาธิป
“ไม่ใช่...เขาไม่ใช่กริชนะ เขาชื่อ กันต์” หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ
ไม่น่าเชื่อว่าในโลกใบนี้จะมีคนที่คล้ายกันมากมายขนาดนี้ ไม่อยากเชื่อว่า เธอ ผู้มีนามว่าเขมขวัญมาทั้งชีวิต จะไม่ใช่เขมขวัญ แต่ เป็น ณัฐชา ในโลกใบนี้...สรุปแล้ว...ตอนนี้เธอกำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่ มันช่างเป็นฝันที่เหมือนจริงจนแยกไม่ออก...อันไหนเล่าคือฝัน อันไหนเล่าคือจริง
ในขณะที่ภายในห้องพักอันแสนอุ่นสบาย หลายคนบนโลกแห่งความเป็นจริงกำลังหลับใหลไปกับความฝันอันยาวนาน ทว่าภายในห้องทำงานกลับมีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้น เมื่อแป้นพิมพ์ดีดเคลื่อนไหวขึ้นลงรัวสนั่นราวกับว่ามีคนกำลังใช้งานมันอยู่อย่างขะมักเขม้น ตัวอักษรประทับลงบนแผ่นกระดาษอย่างต่อเนื่องบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า
ไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟที่ฝังอยู่ในฝ้าเพดาน นอกจากแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านช่องกระจกหน้าต่างสีชา สายลมพัดผ่านโยกกิ่งไม้ไหวเอนจนเกิดเงาทาบทับลงบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ เสมือนปรากฏร่างบุคคลกำลังขะมักเขม้นทำงานแข่งกับเวลาที่จะสิ้นสุดลงเพียงเมื่อฟ้าสาง...
สำหรับอีกหนึ่งห้องในบ้านน้อยหลังงาม ในห้องที่ได้เปลี่ยนสถานะจากเดิมเป็นห้องนั่งเล่น กลายเป็นที่เอนกายพักผ่อนยามค่ำคืนของหญิงสาวผู้น่าสงสาร...กลุ่มก้อนพลังงานเรืองรองด้วยรังสีที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังล่องลอยวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ ผู้กำลังหลับใหลผู้หนึ่ง เธอผู้นั้นผ่อนลมหายใจออกจากอกจนหมดปอด เมื่อพลิกตัวเข้าสู่ท่านอนที่สบายที่สุด ก่อนจะเริ่มหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
“ขอโทษนะหนู...ฉันคิดว่าวิธีนี้น่าจะดีที่สุดที่จะให้หนูช่วย วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่เป็นอันตรายกับหนูน้อยที่สุด คิดว่างั้นนะ...” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจปะปน “แต่...เรื่องเอกสารซองนั้นยังไงหนูก็ต้องนำไปให้เขาด้วยตัวหนูเอง ห้ามส่งไปทางอื่นเด็ดขาด”
เสียงไก่ขันดังแว่วเข้ามา...ทว่ากิจกรรมทุกสิ่งอันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันจะหยุดลงเมื่อใดนั้นคงขึ้นอยู่กับอีกหนึ่งร่างที่ยังหลับใหล หากเธอยังคงหลงเพลินในความฝัน กิจกรรมนี้ก็คงยังดำเนินต่อไป และต่อไปได้เองอย่างน่าอัศจรรย์
****************************
และแล้ว ก็มาถึงตอนที่ 11 ไหน...มีใครกำลังรออยู่ ช่วยส่งเสียงหน่อย...
ถ้าชอบก็กดไลน์ แต่ที่อยากได้มากกว่าไลน์คือคอมเม้นท์ เพราะบางทีคนเขียน ก็อยากรู้ความคิดเห็นขอองคนอ่านเพื่อนนำมาปรับปรุงแก้ไขผลงาน...หรือหากว่ามันสนุกถูกใจอยู่แล้ว ช่วยดูคำผิดให้บ้าง...จะยิ่งเป็นกำลังใจให้คนเขียน อัพเร็วขึ้้นค่ะ...
ของคุณที่ไม่ทิ้งกัน...
ปล. มีผลงานของทองหลางหลายเรื่องที่นำมาทำ e-book ติดตามได้ใน https://www.mebmarket.com/ พิมพ์ค้นหาได้ โดยใช้คำว่่า "นามทองหลาง"
ขอบคุณค่ะ
ยามพลบค่ำ เมื่อตะวันลับขอบฟ้า หลังจากที่วันนี้ทั้งวันเธอยุ่งอยู่กับการจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง เขมขวัญจึงค่อยมีเวลามาหยุดยืนจ้องประตูไม้แกะสลักที่อยู่ฝั่งตรงข้างห้องพักด้วยอาการลังเล
ภายในห้องห้องนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่รอการพิสูจน์ข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เธอประสบ ความฝันประหลาด เสียงที่มักได้ยินเสมอ และภาพซึ่งเธอเองไม่แน่ใจว่านั่นคืออาการตาฝาด ประสาทหลอน หรือเกิดจากพลังอำนาจบางอย่างบันดาลให้เห็นกันแน่
น่าแปลก...วันนี้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ นอกจากเหตุการณ์ที่ปากเธอเอ่ยในสิ่งที่ไม่ต้องการเอ่ยนั้นแล้ว ก็ไม่มีวี่แววจะมีสิ่งผิดปกติมาให้หลอนอีก ดูเงียบเชียบเรียบร้อยเรียบร้อยพิกล จนชักไม่วางใจว่าสิ่งที่ใครๆต่างเรียกเป็นชื่อเดียวกันว่า ‘ผี’ จะมาไม้ไหนกันแน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งเติมความอยากที่จะพิสูจน์ให้รู้เห็นถึงความเป็นจริงมากขึ้นเป็นสองเท่า
“ถ้ามัวแต่ยืนอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีทางรู้ในสิ่งที่อยากรู้...เอาวะ...ตายเป็นตาย” เขมขวัญบอกตัวเองก่อนตัดสินใจเอื้อมมาไปจับลูกบิดประตู แล้วค่อยๆหมุนมันอย่างช้าๆ ด้วยหัวใจระทึก
หวนคิดไปถึงความฝันครั้งสุดท้าย...ซองคล้ายซองเอกสารใบใหญ่ที่เธอรับมันมาไว้ในมือ ซองที่คนในฝันสั่งให้เธอนำไปส่งใครคนหนึ่ง งานนี้จะดีหรือบ้า จนต้องพิจารณาตัวเองให้เข้ารับการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ มันคงขึ้นอยู่กับบางสิ่งที่อยู่ภายในห้องนั้น
เขมขวัญเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ดั่งว่าเธอเคยเห็นเคยมาเยือนห้องทำงานห้องนี้แล้วหลายครั้ง ทั้งๆที่ความจริง นี่คือครั้งแรกกับการได้ก้าวย่างล่วงล้ำผ่านประตูเข้ามาด้วยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ยิ่งแสงสว่างจากโคมระย้ากลางเพดานห้องให้ความสว่างไสวเมื่อมือเล็กๆคลำไปจบพบสวิตช์เปิด ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ภายในห้องทำงานที่ได้รับการตกแต่งคนละแบบให้อารมณ์แตกต่างจากห้องที่เธอใช้เป็นห้องพัก ตู้หนังสือ โต๊ะทำงาน รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น เน้นงานไม้ สีโอ๊ค ตัดกับผ้าม่านลูกไม้สีขาว บางเบา เสริมให้เกิดความสงบ อันเป็นบ่อเกิดแห่งสมาธิ
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ดึงดูดสายตาของเธอได้ดีเท่าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่วางอยู่ด้านหน้าตู้หนังสือติดผนัง โต๊ะทำงานตัวนั้น มีเครื่องพิมพ์ดีดที่ปัจจุบันแทบจะหาสำนักงานแห่งที่ยังใช้อยู่ยากเต็มที ในเครื่องยังมีกระดาษเสียบคาไว้เหมือนเจ้าของยังทำงานค้างเอาไว้ และข้างๆกัน...หากมองไม่ผิดเขมขวัญคิดว่ามันคือซองเอกสารสีน้ำตาลแต่จะใช่ซองเดียวกันกับที่เธอฝันถึงหรือไม่ อันนี้ก็ต้องรอพิสูจน์ในอีกไม่กี่นาที
เท้าสาวไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ แต่เป็นเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลงด้วยแรงดึงบางอย่างที่ยึดลำแขนของเธอเอาไว้
“กรี๊ด !...อุ๊บ...” เสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้นด้วยความตกใจ แล้วก็หยุดลงเหลือแค่เสียงอู้อี้ในลำคอ เมื่อมีบางสิ่งตะปบเข้าเต็มปากปิดกั้นเอาไว้
“คุณ...จะแหกปากร้องทำไมล่ะเนี่ย” คนที่ยืนซ้อนหลัง ทั้งใช้มือตะปบปากคนในอ้อมแขนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความรำคาญ
“อู้ๆๆๆ” เสียงของคนขี้ตกใจยังคงดังอู้อี้ อีกทั้งการดิ้นที่เพิ่มเรี่ยวแรงขึ้นเต็มกำลัง
“คุณขวัญ นี่ผมเอง...”
“อู้ ๆ ...” รู้แล้ว แค่เสียงก็จำได้ แต่ ช่วยปล่อยมือออกจากปากกับจมูกฉันได้มั๊ย จะขาดใจตายอยู่แล้ว มือนุ่มพยายามงัดมือใหญ่ที่ตะปบอยู่เต็มทั้งปากและจมูก
“หยุดดิ้น หยุดร้อง ลืมตา แล้วก็มองหน้าผม”
“อู้” โธ่โว้ย...ปล่อยซะทีสิวะ
ดูเหมือนอีกฝ่ายคงไม่สามารถเข้าใจโดยการสื่อสารทางโทรจิต และ เสียงอู้อี้ราวกับคนใบ้ได้ เห็นทีต้องใช้มาตรการในการช่วยชีวิตตัวเองขั้นเด็ดขาดซะแล้ว... เร็วเท่าความคิด หรือ หรือก่อนที่เธอจะขาดใจตายไปซะก่อน เท้าเล็กๆก็กระทืบลงบนหลังเท้าผู้คุกคามเต็มแรง...
“โอ๊ย ! ...” กริชร้องลั่น
พันธนาการทุกอย่างที่มีต่อคนในอ้อมแขนเมื่อครู่มีอันคลายลง เขมขวัญใช้จังหวะนั้นถอยฉากออกห่างทันควัน ทั้งสูดหายใจเข้าปอดแรง ๆ ลึก ๆ ชดเชยออกซิเจนที่ขาดหายไป
“เป็นบ้าอะไร กระทืบลงมาได้ เท้าคนนะ ไม่ใช่แมลงสาบ” กริชนะสะบัดเท้าขับไล่ความเจ็บปวด ทั้งจ้องมองคนที่ประทุษร้ายเขาแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยแววตาเอาเรื่อง
“ก็คุณกำลังจะฆ่าฉัน” เขมขวัญเถียง
“ฆ่าเธอ? ... เมายากันยุงมาหรือไง” เผลอค้อนให้คนกล่าวหาไปซะงั้น
“ก็เล่นปิดปากปิดจมูกซะเต็มไม้เต็มมือแบบนั้น ไม่เกินสามสิบวินาที ฉันคงได้เป็นศพ” หญิงสาวค้อนกลับ ทั้งทำเสียงค็อกแค็ก เหมือนคนกำลังจะขาดใจตายไปจริง ๆ
กริชนะมองนิ่งยังอากัปกิริยาอาการหายใจเร็ว สีหน้าแดงก่ำ มือเล็ก ๆ ลูบอกปอย ๆ ที่เขาแค่ต้องการปิดเสียงร้องที่ดังจนแสบแก้วหูนั้น ดูท่าจะเผลอปิดจมูกเธอเข้าไปด้วย
“ขอโทษ...ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ขาดใจแบบนี้”
แหม ๆ ได้ยินอย่างนี้มันทำให้นึกถึงประโยคเร้าอารมณ์ในนิยายของป้ายังไงไม่รู้...อิอิ...ไม่ตั้งใจทำให้ขาดใจแบบนี้ แต่ถ้าจะทำคงทำให้ขาดใจแบบอื่น...ว้าว... กลุ่มก้อนพลังงานที่ค่อย ๆ รวบรวมก่อตัวเป็นหนึ่ง ล่องลอยวนเวียนรอบล้อม สองกายเนื้อ ที่ยืนห่างกันคนละมุม
“ความไม่ตั้งใจของคุณเกือบทำให้ฉันตาย” หญิงสาวยังบ่นอุบ
“ก็ขอโทษแล้วไง”
“ฉันยังหายใจไม่คล่องเลย” เธอยังบ่น กลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่นั่นมันกลับทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกหมั่นไส้คนขี้โวยวายเกินเหตุ ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ทั้งที่ไม่ใช่เรื่อง
“สงสัยมือฉันจะกดจมูกเธอบุบจนบี้แล้วมั๊ง ไหนดูซิ...มันเด้งกลับมาหรือยัง”
ขายาว ๆ ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว แม่เลขาฯ เรื่องมาก มือแข็งดั่งคีมเหล็กจับกระชับที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ยึดไว้ไม่ให้ขยับ ทั้งออกคำสั่ง ทั้งหมุนตัวคนในอ้อมแขนให้หันมาเผชิญหน้า “หันหน้ามาสิ”
ไม่มีเสียงที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก มีแต่ความเงียบสนิท ด้วยความตกใจที่ถูกจู่โจมอีกครั้งซึ่ง ๆ หน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เปลือกตาที่ประดับด้วยแพขนตายาวงอนชนิดไม่ต้องพึ่งขนตาปลอม ก็ค่อยกระพริบถี่ ๆ เปิดขึ้นช้าๆ เผชิญหน้ากับชายหนุ่มรูปงามผู้อยู่ห่างไม่ถึงฟุต
“หายใจสะดวกหรือยัง...” เสียงทุ้ม ๆ ถามขึ้น
หัวใจที่กำลังเต้นโครมครามอยู่ ณ เวลานี้ ดังสะท้อนในอก จนน่ากลัวว่าคนที่ยืนอยู่แทบชิดจะได้ยินไหม...แววตาคมกล้าที่สบนิ่งมองลึกเข้ามาในดวงตาของเธอกำลังค้นหาอะไร หรือกำลังค้นหาความลับในหัวใจ ความลับที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจรู้ น่าแปลก...ลมหายใจที่กำลังจะคล่องก็เริ่มติดขัดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ทางเดินหายใจเปิดโล่ง
“ถ้ายัง...ฉันจะยอมเป็นเครื่องช่วยหายใจให้...สนใจไหมล่ะ...”
ว๊าย ๆ คำพูดคำจาหลานชายฉัน...มันเข้าข่ายโรมานซ์ เลยนะเนี่ย...
คำถามจากริมฝีปากหยักได้รูปนั้นปลุกความรู้ตัวให้เกิดขึ้น ฝ่ามือนุ่มจึงผลักอกกว้าง แข็ง อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อให้ห่างออกไปในทันที
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว...” เขมขวัญพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น ทั้งพยายามก้าวถอยไปให้ห่างเครื่องผลิตประจุไฟฟ้าที่แค่อยู่ใกล้ก็ทำท่าจะช๊อตให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรง
“เข้ามาทำอะไรในห้องนี้ ทำตัวมีพิรุธนะเรา”
“ก็แค่เข้ามาสำรวจบ้านที่ฉันกำลังอาศัยอยู่ แล้วคุณล่ะ ค่ำมืด...มาที่นี่ทำไม”
“มาตามหน้าที่ของเจ้าบ้าน ดูแลความเป็นอยู่ของผู้อาศัย...” ลำแขนแข็งแกร่งยกขึ้นกอดอก ทั้งเหลือบตามองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“อ้อ...”
เขมขวัญพยักหน้าเข้าใจ ทั้งทำทีเดินเลี่ยงชายหนุ่มมาทางโต๊ะทำงาน แต่ยังไม่กล้าพอที่จะเข้าไปยืนประชิด ได้แต่ส่งสายตาเหลือบมองหาบางสิ่งในฝันสลับกับใบหน้าคมคายอันเป็นสิ่งที่น่ามองที่สุดในห้องทำงานแห่งนี้ก็ว่าได้
“ว่าแต่...ต้องการอะไรเพิ่มเป็นพิเศษหรือเปล่า” ถามพลางมองไปรอบๆห้องทำงานที่เคยเป็นสถานที่ที่กริชนะมีโอกาสได้พบป้าบ่อยที่สุด แต่นับจากนี้จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันจะขอใช้ห้องนี้เป็นที่ทำงานตรวจสอบงบดุล การเงินที่คุณสั่ง”
กริชนะนิ่งเงียบ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง...สายตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ห้องกว้างนั้นอีกครั้ง
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร...” เขมขวัญเผลอผ่อนลมหายใจออกจากอก ทั้งขยับออกห่างโต๊ะทำงานตัวนั้น ทำสีหน้าคล้ายเข้าอกเข้าใจอีกฝ่ายซะเต็มประดา “ก็อย่างว่าล่ะ ห้องนี้คงเป็นห้องแห่งความทรงจำ คุณคงไม่อยากให้ใครเข้ามาทำลายความทรงจำสำคัญของคุณ ฉันเข้าใจค่ะ”
ป้าอนุญาต...ให้แม่หนูเข้ามาใช้ได้ตามสบายเลย แลกเปลี่ยนกับผลงานชิ้นสุดท้ายของป้า... พลังงานโปร่งแสงลอยวนอยู่รอบ ๆ ชายหนุ่ม พลางกระซิบ ดั่งหวังว่าเขาจะได้ยิน
“จำได้ว่าผมเคยบอกคุณว่าแฟ้มงานนั้นต้องทำที่ห้องทำงานผมเท่านั้น” กริชนะมองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ก่อนจะมาหยุดสายตาที่ใบหน้าเนียนใส “เอาเถอะ อย่างน้อยที่นี่ก็ยังอยู่ในอาณาเขตของทรัพย์บริบูรณ์...ดีกว่าปล่อยให้มันรกร้างไร้ประโยชน์ ผมอนุญาต... แต่ห้ามแตะต้องเคลื่อนย้ายสิ่งของในห้องนี้ก็แล้วกัน”
“แล้วหนังสือบนชั้นนั่นล่ะ ฉันสามารถอ่านมันได้หรือเปล่า” เขมขวัญชี้มือไปยังนิยายที่อัดแน่นเต็มตู้
“ตามสบาย...อ่านแล้วก็อย่าใจแตกละกัน”
น้ำเสียงเตือนราบเรียบ ทว่ากลับทำให้คนฟังสงสัย “แค่อ่านหนังสือ ทำไมฉันต้องใจแตก”
“ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ... พอคุณได้อ่านสักเรื่องเดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง” พูดแล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวเหมือนกำลังจะเดินจากไป แต่แล้วเขาก็หันกลับมาอีกครั้ง
“มีอะไรคะ”
“พรุ่งนี้เช้าผมจะให้คนเอาแฟ้มงานมาให้ คุณมีเวลาทำงานถึงแค่เที่ยงวัน คงไม่ต้องให้ผมเตือนอีกรอบนะว่าตอนค่ำมีงานเลี้ยงที่บริษัท แต่งตัวสวยๆ ให้สมกับเป็นเลขานุการประธานกรรมการ อย่าทำให้ผมขายหน้าล่ะ”
“ค่ะ เจ้านาย” ว่าพลางเผลอค้อนให้
เขมขวัญเมินหลบสายตาคมที่จ้องนิ่งมาที่เธอ ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดที่ไม่กล้าเผชิญสายตาคมกล้านั้นได้นาน...ดูเหมือนว่าสายตาของกริชนะจะมีผลต่อการเต้นของหัวใจเธออย่างประหลาด รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นบานประตูห้องทำงานปิดลงไปพร้อมกับการได้อยู่โดยลำพัง
ทันทีที่ประตูปิดสองเท้าก็ก้าวตรงไปยังโต๊ะทำงานตรงหน้า เป้าหมายยังอยู่ที่ซองสีน้ำตาลใกล้ ๆ เครื่องพิมพ์ดีด หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาพินิจ ก็พบว่าที่ซองถูกจ่าหน้าที่อยู่ผู้รับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“ส่งทางไปรษณีย์ก็น่าจะไม่มีปัญหานะ”
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
“ฮะ! อะไรกันเนี่ย เงียบมาแล้วทั้งวัน ทำไมจู่ ๆ ถึงมาส่งความหลอนเอาตอนนี้เนี่ย”
“หนูต้องเอาไปส่งด้วยตัวเอง” เสียงเย็นยะเยือกดังแผ่ว ทว่าชัดเจนราวกำลังกระซิบอยู่ที่ข้างหู
“แต่...”
“อย่าได้ขัดใจฉัน ! ”
จู่ ๆ เฟอร์นิเจอร์อันสงบนิ่งก็เกิดอาการสั่น ถ้าวัดระดับความรุนแรงตามมาตราริกเตอร์ ก็น่าจะอยู่ในระดับราว ๆ สามถึงสี่แมกนิจูด
“ผะ ๆ แผ่นดินไหว !..”
ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเกิดแผ่นดินไหวจริงตามธรรมชาติ หรือจะเกิดจากอำนาจพลังงานบางอย่างที่อยู่เหนือการพิสูจน์ ความสั่นสะเทือนระดับนี้ เขมขวัญคงไม่ใจเย็นยืนรอให้มันหยุดลงไปเองอย่างแน่นอน ฝีเท้าที่เร่งความเร็วเพื่อให้พ้นอันตราย พาตัวเองผ่านห้องโถงที่เจ้าของบ้านน่าจะใช้เป็นห้องรับแขก ทะลุออกไปสู่ประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้า...
เมื่อประตูบานใหญ่เปิดออกกว้างปลดปล่อยลำแสงสว่างที่สะท้อนเข้ามาสู่สายตา เจิดจ้าจนหญิงสาวต้องใช้ลำแขนบังเอาไว้กระทั่งคุ้นชิน
“อะไรกันเนี่ย...”
สิ่งที่ทำให้หญิงสาวถึงกับตะลึงงัน หาใช่เพียงแสงสว่างที่เจิดจ้าทั้ง ๆ ที่ เวลานี้เป็นเวลาที่เธอควรจะเห็นหมู่ดาวบนท้องฟ้า หรือ แสงจันทร์กระจ่างตา...ภาพบรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป... สถานที่ที่เขมขวัญยืนอยู่แทนที่จะเป็นสวนสวยๆ หน้าเรือนตุ๊กตา ทว่าที่นี่กลายเป็นฟุตบาทท่ามกลางเมืองใหญ่ที่จอแจไปด้วยยวดยานและผู้คน
“มาแล้วเหรอ...ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ที่คุณจะปล่อยให้ผมรอนานขนาดนี้”
เสียงทุ้ม ๆ ฟังคุ้น ๆ หู ดังเข้ามาให้ได้ยิน เขมขวัญรับรู้ได้ว่านั่นเป็นเพียงเสียงเดียวที่เด่นชัด กลบความจอแจบนท้องถนนซะสิ้น
“คุณ...” นามกริชนะถูกกลืนหาลงไปในลำคอ ดั่งไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเอนสะโพกพิงประตูเบนซ์คันหรูจะมีชื่อนั่น
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว รีบไปกันเถอะก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ”
ชายหนุ่มขยับตัวหันไปเปิดประตู ทั้งผายมือเชื้อเชิญให้เธอก้าวขึ้นไปนั่งบนรถด้วยท่วงท่าแห่งสภาพบุรุษ...
“เร็วสิ...”
ทั้งสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไป ดูไม่คุ้น แม้ใบหน้านั่นจะเป็นใบหน้าของกริชนะผู้เงียบขรึม
“ค่ะ...” เขมขวัญก้าวขึ้นไปนั่งบนรถอย่างง่ายดาย...อะไรกันเขมขวัญ...เธอจะไปกับเขาง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ... ได้แต่ร้องถามตัวเองในใจ
ชายหนุ่มปิดประตูรถทางด้านหญิงสาวผู้กำลังจะมีข้อตกลงร่วมกัน ก่อนจะเดินแกมวิ่งอ้อมไปทางด้านคนขับ ขึ้นนั่งประจำที่แล้วพารถคันหรูแล่นเบนเข้าสู่เส้นทางแล่นออกไปอย่างที่หญิงสาวไม่อาจรู้จุดหมาย
“มีที่ไหนเหมาะ ๆ ที่เราจะพอคุยกันได้บ้าง”
“คุย?...เรื่องอะไร?” เขมขวัญหันไปมองชายหนุ่มที่ดูเหมือนมีความตั้งใจจดจ่อในการขับรถ
“ก็เรื่องที่คุณยื่นข้อเสนอให้ผมพิจารณาไง”
เอาล่ะสิ ยิ่งงงเข้าไปใหญ่... “เอ่อ...ก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ ฉันคงหมดสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ” ปากเอ่ยออกไปโดยอัตโนมัติ
“ผมจะบอกอะไรให้นะณัฐชา ตอนนี้คุณยังมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นเต็มที่ ตราบใดที่เรายังไม่ได้ลงนามในพันธะสัญญา”
“ณัฐชา?”
ใบหน้าคมคายละความสนใจที่ถนนเบื้องหน้ามามองใบหน้าหวานซึ้งของหญิงสาวที่กำลังมีพฤติกรรมแปลกประหลาด แตกต่างจากเมื่อครั้งพบเจอกันคราวแรก
“โอเค...เอาเป็นว่า ที่พักคุณน่าจะเหมาะกว่า” เขาเอ่ยแล้วเร่งความเร็วของเครื่องยนต์ขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ไม่อยากจะเชื่อว่าชายคนนี้จะรู้จักที่พักของเธอ ทั้ง ๆ ที่แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน...สถานที่ที่เปลี่ยนไปนี่อีก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลุดเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ยังไง...ณัฐชาคือใคร คือเธอน่ะหรือ...ฝัน...ใช่แน่แน่ตอนนี้เธอกำลังฝัน...มันเป็นฝันที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยฝันมา
ห้องพักที่ชายหนุ่มพาเธอมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง ทั้งยังบอกให้ไขกุญแจเข้าไปภายในดูสภาพซอมซ่อพิกล ไม่น่าเชื่อว่าจะกุญแจหนึ่งดอกนอนอยู่ในกระเป๋ากระโปรงให้เธอล้วงหยิบ
ภายในห้องพักมีสภาพซอมซ่อไม่ต่างกัน ดูเหมือนจะแย่ซะยิ่งกว่าบ้านทุกหลังที่เธอเคยอาศัย แต่น่าแปลกที่ดูเหมือนร่างกายของเธอจะแสดงความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ราวกับว่าเธอได้พักอาศัยมาได้สักระยะหนึ่ง
“คุณจะไม่นั่งก่อนหรือ”
ขอบอกกันชัด ๆ ตรงนี้เลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดออกไปนั้นไม่ได้ออกมาจากความคิดในสมองของเธอ ณ เวลานี้เธอก็ไม่ต่างอะไรจากหุ่นกระบอกที่มีเส้นด้ายให้คนชักใยอยู่เบื้องหลัง
“ไม่ล่ะ...ณัฐชา”
เขาเรียกเธอด้วยชื่อนี้อีกแล้ว หรือเธอจะชื่อ ณัฐชาจริงๆ...ณัฐชาแหงนหน้ามองร่างสูงตระหง่านที่ทำให้ห้องทั้งห้องเล็กไปถนัดตา ทั้งสูง ทั้งตัวโต มากเกินไปสำหรับห้องเล็ก ๆ แคบๆ ห้องนี้
“เอาล่ะ...เข้าเรื่องก็แล้วกัน...ผมต้องการกำหนดวันนัดให้คุณไปคุยกับทนายของผม เงื่อนไขต่าง ๆ ผมจะเป็นฝ่ายกำหนดเอง และจะเขียนลงในสัญญา ให้คุณพิจารณา หากคุณรับข้อเงื่อนไขเหล่านั้นได้ ผมก็ยินดีทำในสิ่งที่คุณต้องการ”
“ได้ค่ะ...เอาเป็นว่า พรุ่งนี้บ่ายสี่โมง ฉันจะไปพบทนายคุณที่บริษัท”
“โอเค.ตามนั้น” ชายหนุ่มล้วงหยิบนามบัตรจากซองธนบัตร เซ็นชื่อสลักหลังให้เรียบร้อย แล้วยื่นมาให้
“ขอบคุณค่ะ...มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะ”
“ตอนนี้ยัง...”
“ถ้าเช่นนั้นคุณคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
ณัฐชาเดินไปเปิดประตูกว้าง รอให้เขาผ่านออกไป จากสีหน้า เธอเห็นมุมปากเขากระตุกระหว่างค้อมตัวผ่าน เขากำลังขบขัน...เธอมีอะไรให้เขาขบขัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าความอยากรู้ในเรื่องอื่น ชายคนนี้เขาคือใคร ใช่กริชนะหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็น่าแปลกที่เขามีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน แล้วข้อตกลง เงื่อนไข พันธะสัญญาที่เขาพูดถึงนั่นอีก มันเรื่องอะไรกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งงง..งุนงงจนต้องยกนามบัตรที่เขาให้ไว้ขึ้นมาดู กันต์ คณาธิป ประธานกรรมการบริษัทรับเหมาก่อสร้างคณาธิป
“ไม่ใช่...เขาไม่ใช่กริชนะ เขาชื่อ กันต์” หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ
ไม่น่าเชื่อว่าในโลกใบนี้จะมีคนที่คล้ายกันมากมายขนาดนี้ ไม่อยากเชื่อว่า เธอ ผู้มีนามว่าเขมขวัญมาทั้งชีวิต จะไม่ใช่เขมขวัญ แต่ เป็น ณัฐชา ในโลกใบนี้...สรุปแล้ว...ตอนนี้เธอกำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่ มันช่างเป็นฝันที่เหมือนจริงจนแยกไม่ออก...อันไหนเล่าคือฝัน อันไหนเล่าคือจริง
ในขณะที่ภายในห้องพักอันแสนอุ่นสบาย หลายคนบนโลกแห่งความเป็นจริงกำลังหลับใหลไปกับความฝันอันยาวนาน ทว่าภายในห้องทำงานกลับมีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้น เมื่อแป้นพิมพ์ดีดเคลื่อนไหวขึ้นลงรัวสนั่นราวกับว่ามีคนกำลังใช้งานมันอยู่อย่างขะมักเขม้น ตัวอักษรประทับลงบนแผ่นกระดาษอย่างต่อเนื่องบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า
ไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟที่ฝังอยู่ในฝ้าเพดาน นอกจากแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านช่องกระจกหน้าต่างสีชา สายลมพัดผ่านโยกกิ่งไม้ไหวเอนจนเกิดเงาทาบทับลงบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ เสมือนปรากฏร่างบุคคลกำลังขะมักเขม้นทำงานแข่งกับเวลาที่จะสิ้นสุดลงเพียงเมื่อฟ้าสาง...
สำหรับอีกหนึ่งห้องในบ้านน้อยหลังงาม ในห้องที่ได้เปลี่ยนสถานะจากเดิมเป็นห้องนั่งเล่น กลายเป็นที่เอนกายพักผ่อนยามค่ำคืนของหญิงสาวผู้น่าสงสาร...กลุ่มก้อนพลังงานเรืองรองด้วยรังสีที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังล่องลอยวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ ผู้กำลังหลับใหลผู้หนึ่ง เธอผู้นั้นผ่อนลมหายใจออกจากอกจนหมดปอด เมื่อพลิกตัวเข้าสู่ท่านอนที่สบายที่สุด ก่อนจะเริ่มหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
“ขอโทษนะหนู...ฉันคิดว่าวิธีนี้น่าจะดีที่สุดที่จะให้หนูช่วย วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่เป็นอันตรายกับหนูน้อยที่สุด คิดว่างั้นนะ...” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจปะปน “แต่...เรื่องเอกสารซองนั้นยังไงหนูก็ต้องนำไปให้เขาด้วยตัวหนูเอง ห้ามส่งไปทางอื่นเด็ดขาด”
เสียงไก่ขันดังแว่วเข้ามา...ทว่ากิจกรรมทุกสิ่งอันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันจะหยุดลงเมื่อใดนั้นคงขึ้นอยู่กับอีกหนึ่งร่างที่ยังหลับใหล หากเธอยังคงหลงเพลินในความฝัน กิจกรรมนี้ก็คงยังดำเนินต่อไป และต่อไปได้เองอย่างน่าอัศจรรย์
****************************
และแล้ว ก็มาถึงตอนที่ 11 ไหน...มีใครกำลังรออยู่ ช่วยส่งเสียงหน่อย...
ถ้าชอบก็กดไลน์ แต่ที่อยากได้มากกว่าไลน์คือคอมเม้นท์ เพราะบางทีคนเขียน ก็อยากรู้ความคิดเห็นขอองคนอ่านเพื่อนนำมาปรับปรุงแก้ไขผลงาน...หรือหากว่ามันสนุกถูกใจอยู่แล้ว ช่วยดูคำผิดให้บ้าง...จะยิ่งเป็นกำลังใจให้คนเขียน อัพเร็วขึ้้นค่ะ...
ของคุณที่ไม่ทิ้งกัน...
ปล. มีผลงานของทองหลางหลายเรื่องที่นำมาทำ e-book ติดตามได้ใน https://www.mebmarket.com/ พิมพ์ค้นหาได้ โดยใช้คำว่่า "นามทองหลาง"
ขอบคุณค่ะ
ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ย. 2559, 10:31:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ย. 2559, 10:31:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1089
<< ตอนที่10 จู่ๆ ก็ได้ย้ายบ้านซะงั้น | ตอนที่ 12 บ้านพักหลังใหม่ >> |
แว่นใส 11 พ.ย. 2559, 20:14:10 น.
ให้พิมพ์นิยายที่อยู่ในฝันเหรอ
ให้พิมพ์นิยายที่อยู่ในฝันเหรอ
นกขมิ้น 12 พ.ย. 2559, 19:45:51 น.
น่าติดตาม
น่าติดตาม
wane 15 พ.ย. 2559, 07:32:49 น.
มึนอ่ะ คุณป้า ช่วยใบ้หน่อยได้มั๊ยอ่ะ
มึนอ่ะ คุณป้า ช่วยใบ้หน่อยได้มั๊ยอ่ะ
Zephyr 20 พ.ย. 2559, 01:35:44 น.
สรุปคือเอาเขมขวัญไปดำเนินเรื่องนิยายในรูปความฝัน
นางเป็นนางเอก นางเดินเรื่องยังไง นิยายคุณป้าจะออกมาในรูปนั้นสินะ
สรุปคือเอาเขมขวัญไปดำเนินเรื่องนิยายในรูปความฝัน
นางเป็นนางเอก นางเดินเรื่องยังไง นิยายคุณป้าจะออกมาในรูปนั้นสินะ