กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี

ตอน: ตอนที่ 12 บ้านพักหลังใหม่

12

ก๊อก ก๊อก ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังอยู่หลายครั้ง ทว่าภายในก็ยังเงียบฉี่ ไร้การตอบสนองใด ๆ สายตาคมกล้ากวาดมองรอบบริเวณ ไม่เว้นแม้แต่ท้องฟ้าที่สว่างไสว ถึงแม้จะยังไร้อาทิตย์ดวงโตที่ซึ่งอีกไม่นานคงโผล่พ้นยอดไม้ทางตะวันออก

“เขมขวัญ...”

เรียกแล้ว ยังทิ้งโอกาสให้เกิดการตอบสนองจากบุคคลที่อาศัยอยู่ภายใน ก็ยังเงียบอยู่เช่นเดิม “ไปไหนนะ...เช้าขนาดนี้”
เช้านี้เป็นอีกเช่นหลาย ๆ วันที่กริชนะตื่นมาวิ่งออกกำลังกาย แต่เมื่อเหลือบมองไปยังทิศทางหนึ่งของบ้านทำให้เขาเปลี่ยนความคิด หันเหความสนใจไปยังบางสิ่งที่ตั้งอยู่ในทิศทางนั้น บางทีการไปเยือนสมาชิกใหม่ของบ้านในยามที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวก็อาจจะเจออะไรดี ๆ ในการประเมินบางอย่างก็เป็นได้...

ความคิดที่โลดแล่นถึงสาเหตุของไร้ซึ่งการตอบสนองเกิดขึ้นอยู่หลายข้อ...เธอยังไม่ตื่น อาจจะอยู่ในห้องน้ำ แต่ไม่น่าใช่ว่าเธอจะออกไปไหน เพราะนี้ยังเช้าอยู่ ถึงจะไม่ใช่เช้ามืดก็เถอะ

ไม่รู้มีอะไรดลใจให้มือเอื้อมออกไปจับลูกบิดประตู และหมุน...คิ้วเข้มขมวดหมุนเข้าหากันในบัดดล สีหน้าบ่งออกถึงความไม่ชอบใจกับผลที่เกิด

“บ้าจริง...ยายนี่...เลินเล่อได้ขนาดนี้เชียวหรือ” เสียงสบถพ้นออกมาจากริมฝีปากหยักลึกได้รูป เมื่อพบว่ามันเปิดออกมาได้อย่างง่ายดาย

และนี่ก็คือสิ่งหนึ่งที่เขาประเมินออกมาว่า แม่เลขา ฯ ตัวดีของเขาช่างเป็นคนที่ประมาทเลินเล่อไร้การระแวดระวังภัย ถึงบ้านหลังนี้จะอยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์หลังใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีความปลอดภัยเต็มร้อย อย่างน้อยคนรับใช้ในบ้านบางส่วนก็เป็นเพศชายและมีอยู่ไม่น้อย

อาจจะดูเป็นคนไม่มีมารยาท...การเปิดประตูเข้าไปในบ้านพักของหญิงสาวโดยไม่มีการส่งสัญญาณให้รู้ล่วงหน้าก็ถือว่าไร้มารยาทอย่างว่า แต่เขาส่งสัญญาณแล้ว ทั้งเคาะประตูทั้งเรียกขาน แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน ยังไงเสียสถานที่ทุกที่ในบ้านหลังนี้เขาเป็นเจ้าของ มีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะเข้าออกที่ใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใครก่อน และที่สำคัญเขาจำเป็นต้องระวังหากเกิดกรณียกเค้าหายสาบสูญ

ขายาว ๆ ลงน้ำหนักเท้าเบา ๆ ก้าวผ่านประตูเข้าไปอย่างเชื่องช้า หยุดยืนอยู่กลางห้อง ระหว่างประตูห้องด้านซ้ายคือห้องทำงานที่ล่าสุดเขาได้เข้าไปเยือนเมื่อค่ำวาน และห้องด้านขวาเป็นห้องนั่งเล่น...เขาจึงเดินต่อไปหยุดลงตรงหน้าห้องแห่งนี้
นับตั้งแต่ที่อนุญาตให้เลขานุการใช้เป็นห้องพักเขายังไม่มีโอกาสเข้าไปสำรวจตรวจสอบผู้อาศัยเป็นอยู่หลับนอนหรือขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่...พอจำได้บ้างว่าภายในมีเตียงบุนวมที่คุณป้าใช้เอนหลัง มีตู้เย็นบรรจุเครื่องดื่มไว้ต้อนรับเพื่อนสนิทที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียน คาดว่าเธอคงใช้มันเป็นที่นอน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก...

“เขมขวัญ...คุณอยู่ข้างในหรือเปล่า” เรียกแล้วก็เงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวภายใน ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเงียบ
หรือเธอจะไม่อยู่...คิ้วเข้มขมวดหมุนด้วยความสงสัย

เช่นเดิม...คือการถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วหมุน... สีหน้าแสดงอาการไม่พอใจอีกครั้งที่พบว่ามันเปิดออกได้อย่างง่ายได้ไม่ต่างจากประตูชั้นนอกเลยแม้แต่น้อย...

“อย่าบอกนะว่าเธอกำลังคิดจะอ่อยเหยื่อฮึ...แม่ตัวดี...คิดว่าฉันจะหลงกลหรือไง”

ถึงจะบอกตัวเองไปอย่างนั้น แต่ขายาว ๆ ก็ยังก้าวผ่านประตูเข้าไปมองสำรวจภายในห้องที่ดูคล้ายจะแปลกตาไปบ้าง เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งชิ้นไหนเคยอยู่อย่างไรก็ยังคงอยู่เช่นนั้น จะแตกต่างไปก็ตรงที่มีสัมภาระ ข้าวของเครื่องใช้ที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และใกล้ ๆ กันนั้นเขาก็พบร่างบางของคนที่เรียกหาแต่ไม่ยอมขานรับนอนสงบนิ่งหลับสนิทอยู่บนฟูที่วางอยู่กับพื้นพรม...ผิดจากที่คาดไว้โดยสิ้นเชิง

“เขมขวัญ...เขมขวัญ” เมื่อร้องเรียกซ้ำด้วยเสียงที่เพิ่มระดับความดังขึ้นมาแล้ว คนตรงหน้าก็ยังนอนนิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทราเช่นเดิม

“เขมขวัญ” ยังเงียบไม่ไหวติง... “คนอะไรจะนอนขี้เซาได้ขนาดนี้” แล้วถ้า...นี่ไม่ใช่การนอนขี้เซาธรรมดาล่ะ...แต่เป็นอาการเจ็บป่วย...

กริชนะสืบเท้าเข้าไปใกล้ เขาทรุดตัวนั่งลงบนขอบฟูก ดวงตาคมกล้ากวาดมองใบหน้าไร้สีสันแต่งแต้ม มองหาความผิดปกติที่อาจปรากฏให้เห็นบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั่น ความร้อนรนในหัวใจบังเกิดขึ้นตามความคิดที่ก่อตัว...กรอบผมสีดำเงางามกระจายอยู่บนหมอนสีขาวสะอาดล้อมดวงหน้ารูปไข่ที่ไร้การแต่งแต้มสีสันให้ดูเด่น ดวงตาคู่นั้นปิดสนิทมองเห็นเฉพาะขนตายาวเป็นแพเรียงตัวเป็นระเบียบไม่ต่างจากขนตาปลอม แต่เขาก็พอดูออกว่านั่นของจริงล้วน ๆ จมูกโด่งเป็นสันเล็ก ๆ รับกับริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ดูแล้วเธอก็มีความน่ารักน่าใคร่อยู่ไม่น้อย หัวใจกระตุกวาบดั่งกำลังดิ่งบันจี้จัมป์กับความคิดที่ผุดขึ้นมาเมื่อครู่

ช่วงอกภายใต้เสื้อนอนลายตุ๊กตาหมีที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มกระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอดึงสายตาของเขาให้หยุดอยู่ตรงนั้นนานร่วมนาที ก่อนจะตัดใจลากผ่านมันไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายจนทั่วก็ไม่เห็นความผิดปกติใด ๆ

เจ้าหญิงนิทรา...กริชนะเผลอยิ้มให้กับคำนิยามที่แวบเข้ามาในสมอง เผลอวาดลำแขนแข็งแกร่งคร่อมร่างบางที่กำลังเผยอริมฝีปากเชิญชวนอย่างหลงสติ...แก้มสาวขาวใสจนมองเห็นเส้นเลือดสีจาง ๆ ดูนุ่มจนน่าสัมผัส ริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่อที่ขยับเบา ๆ ดั่งคนละเมอ ทุกสิ่งทุกอย่างบนดวงหน้าดวงนี้ เป็นดั่งแม่เหล็กต่างขั้วที่กำลังดึงดูดเขาให้เข้าใกล้...ใกล้เข้าไปทุกที
ไม่ได้ ๆ สมภารไม่ควรกินไก่วัด...นี่เขากำลังคิดจะทำอะไร...บ้าจริง...

กริชนะรู้สึกร้อนวูบไปทั้งใบหน้า จับความคิดความต้องการโดยธรรมชาติของตนเองได้อย่างละอาย...แค่ถือวิสาสะเข้ามาภายในห้องนอนของผู้หญิงโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ผิดมากมาย...แล้วยังจะมีความคิดเลยเถิดไปไกลอย่างผู้ชายเจ้าชู้เห็นแก่ได้...ไม่สมกับเป็นกริชนะเอาเลยจริงๆ คิดแล้วร่างสูงก็จำต้องตัดใจลุกขึ้น

“เฮ้อ!...”

ชายหนุ่มเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจที่จู่ ๆ ลำคอของเขาก็ถูกโอบคล้องไว้ด้วยลำแขนกลมกลึงของคนที่เมื่อครู่ยังนอนนิ่ง ทั้งดึงกะทันหันจนเขาถึงกับเสียหลักเซลงมาแทบจะทับบนร่างอุ่น โชคดียังดีที่เขายันตัวเอาไว้ได้ทัน

“คุณกันต์...”

“หือ...”

เสียงพึมพำที่ดังลอดผ่านริมฝีปากอิ่มทำเอากริชนะถึงกับเบิกตากว้างด้วยความสงสัย ปนความไม่พอใจ คืนนั้นละเมอถึงแม่ยังพอรับได้ แต่เช้านี้เธอละเมอถึงใคร...ถึงกับโอบรอบลำคอเขาแต่กลับเรียกหาผู้ชายอื่น

...เอ๊ะ! หรือจะเป็นชื่อผู้หญิง...

ใบหน้าคมคายส่ายปฏิเสธความคิดนั้น...กิริยาที่เป็นอยู่มันเหมือนคนกำลังฝันหวานถึงชายคนรักล่ะมากกว่า

“คุณกันต์...คุณต้องการแบบนี้จริง ๆ เหรอ...” เสียงพึมพำดังพ้นริมฝีปากนั้นออกมาอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนกว่าเดิมนัก “ได้...เพื่อยืนยันว่าฉันพร้อมจะทำตามสัญญา”

หน้าขาวคมแดงเถือกลงมาถึงลำคอ เมื่อจู่ ๆ คนที่อยู่ใต้ร่างยกตัวขึ้นแตะริมฝีปากเข้ากับเรียวปากของเขา แค่จุมพิตที่บางเบายิ่งกว่าขนนกก็ยังทำให้หัวใจคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถึงกับสั่นสะท้าน...

สมภารไม่ควรกินไก่วัด...สมภารไม่ควรกิน...

แม้จะเตือนตัวเองอยู่ในใจ แต่เมื่อขนมหวานดันกระเด็นเข้าปาก มีเหรอว่าคนอย่างเขาจะโง่คายทิ้ง ริมฝีปากที่เพียงแค่ถูกแตะค้างไว้ มีอันเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ กริชนะกดริมฝีปากแนบแน่น บดคลึงดูดดื่ม ลอบชิมรสชาติของคนให้ท่าในอ้อมแขน เมื่อเธอคิดจะวางแผนยั่วยวน เขาก็จะสนองตอบตามเกม ทว่าเกมที่พูดถึงนั้นคือเกมที่มีเขาควบคุม ไม่ใช่เธอที่คิดจะปั่นหัวเขาเล่นง่าย ๆ อย่าหวังเลยว่าจะจับผู้ชายรวย ๆ อย่างเขาด้วยวิธีนี้...

“คุณกันต์...”

แม้อยู่ในอ้อนแขนเขา เธอกลับเรียกหาใครอื่น...ความอ่อนโยนนุ่มนวลที่ควรจะเป็นกลับมีไม่ถึงครึ่ง ความบุ่มบ่ามรุนแรงปานหินบดดูเหมือนจะมากมาย ริมฝีปากนุ่มบางมีอันบวมเป่งแดงระเรื่อดุจเชอรี่สุก กริชนะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าริมฝีปากนี้ไร้ซึ้งความหวานตราตรึง หรือเพราะเขาห่างหายจากเรื่องพรรค์นั้นมานาน ร่างอุ่นนุ่มในอ้อมแขนนี้ถึงได้ดึงดูดให้ติดหนึบจนยากที่จะผละห่าง

ลำแขนกลมกลึงเหนี่ยวยึดลำคอแข็งทั้งเอนอิงพิงอกกว้างเพื่อใช้เป็นหลักยึดเหนี่ยวไม่ให้แข้งขาที่สั่นเทาอ่อนเปลี้ยต้องเสียหลัก เพียงเพราะต้องการยืนยันในสัญญาว่าจะไม่เบี้ยวเขมขวัญในอีกนามหนึ่งจำต้องทำในสิ่งที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต

“จูบผม...เดี๋ยวนี้ณัฐชา”

เขาเรียกเธอว่า ณัฐชาอีกแล้ว...ทว่าคำสั่งนั้นดั่งบอกให้เธอกระโดดลงสู่เหวลึก...แต่เพื่อความบริสุทธิ์ของพ่อบังเกิดเกล้า หญิงสาวจำต้องตัดความอับอายนั้นทิ้งไป

ช่างเถอะ...ก็แค่ความฝัน...

ริมฝีปากอิ่มยื่นเข้าครอบคลุมริมฝีปากล่างของอีกฝ่าย แผ่วเบา แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะยืนยันว่าเธอจะทำตามสัญญา ทว่าริมฝีปากที่นิ่งอยู่เมื่อครู่ก็เริ่มขยับ กดเม้มริมฝีปากของเธออย่างหิวกระหาย ทั้งยังใช้ชั้นเชิงชำนาญแยกปราการนุ่มสอดปลายลิ้นเข้าเกี่ยวกวัดลิ้นอุ่นชื้นดูดดื่มหยอกล้อ จนหัวใจแทบจะละลายไปกับไอร้อนที่ฉีดไปทั่วร่าง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอไม่ชอบความวาบหวามที่เกิดขึ้นจากรสจุมพิตนั้น เธอกำลังหลงใหล ทั้งเฝ้ารอรับความหวานอย่างใจจดจ่อ

แต่แล้วน้ำผึ้งเพียงนิดที่หยดรวมกันจนกลายเป็นมหาสมุทรแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นมธุรสที่โถมซัดเข้าสู่ฝั่ง รุนแรง หวานแหลมจนแทบสำลัก ยากจะรับมือ...ริมฝีปากนุ่มบวมเป่ง เจ็บจนชา ทั้งแดงระเรื่อ ดูเหมือนความบุ่มบ่ามดั่งครกบดหินกำลังจะทำให้เธอทนไม่ได้...

ฝันอะไรทำไมถึงได้เหมือนจริงแบบนี้ หวานจริง เจ็บจริง...

ดวงตาที่ปิดสนิทมาแต่ต้นมีอันเบิกกว้างขึ้นทันควัน...ใบหน้าที่แนบชิด ริมฝีปากที่ยังคลึงเคล้าอยู่กับเรียวปากของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สองมือร้อน ๆ สัมผัสลูบไล้ มันให้ความรู้สึกที่ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล...นี่มันอะไรกัน...สิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ ณ เวลานี้มันไม่ใช่ความฝันหรอกหรือ...

“กรี๊ด !...”

พร้อมกับเสียงร้องนั้น ณ อีกห้องหนึ่งภายใต้หลังคาเดียวกัน แป้นพิมพ์ดีดที่กำลังเคลื่อนไหวขึ้นลงโดยอิสระ มีอันหยุดลง และเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่าปกติ...หากผู้มีญาณวิเศษ มีโอกาสได้เดินผ่านเข้าไปให้ห้องทำงานแห่งนั้น ก็คงจะมองเห็นกลุ่มพลังงานโปร่งใสกำลังเคลื่อนลอยออกจากโต๊ะทำงาน แล้วสูญสลายไปดั่งหมอกควันต้องกระแสลม


ณ ห้องอาหารประจำบ้านทรัพย์บริบูรณ์...

บนโต๊ะไม้สักทองแกะลวดลายฝังมุกงดงามถูกวางด้วยอาหารจานอาหารหลายชนิด ทว่าคนที่นั่งรอความพร้อมในการรับประทานกลับมาแค่หนึ่งเดียว แถมเบื้องหน้าของเขายังมีหนังสือพิมพ์แผ่นใหญ่กางอยู่จนไม่อาจสังเกตเห็นสีหน้า

“คุณหนูจะรับประทานเลยไหมคะ เอียดจะได้ตักข้าว” หญิงชราผู้ทำหน้าที่ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านเงยหน้าขึ้นถาม เมื่อเดินเข้ามาสำรวจความเรียบร้อย

“รอก่อนครับ วันนี้มีอีกคนที่จะมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันในเช้านี้” คุณหนูที่นั่งอยู่หลังหนังสือพิมพ์แผ่นใหญ่

“ใครกันคะ”

ยังไม่ทันที่จะมีเสียงตอบ ร่างผอมสูงของพนังงานขับรถประจำตัวกริชนะก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องด้วยอาการหอบเหนื่อย

“คุณกริชครับ...คือ...คุณขวัญไม่มาครับ...แต่ว่า...” นายชูรายงานไปพรางหอบหายใจด้วยอาการทั้งเหนื่อยและตื่นเต้น

“แต่อะไร”

“คุณขวัญกำลังขนข้าวของของเธอออกมากองไว้ที่หน้าเรือนเล็กครับ เธอบอกว่าเธอจะย้ายออกไปจากที่นี่”

คำตอบที่ได้รับ ทำให้ชายหนุ่มเผลอลดหนังสือพิมพ์ที่กางกั้นใบหน้าไว้เมื่อครู่ต่ำลง “ว่าไงนะ ! จะย้ายออกไปจากที่นี่เหรอ” คิ้วเข้าขมวดเข้าหากันแสดงออกให้เห็นถึงความรู้สึกที่เรียกว่า ไม่สบอารมณ์

แต่มันคงไม่ทำให้ยุ่งยากมากขึ้นหากหญิงชราผู้ทำหน้าที่ดูแลชายหนุ่มตั้งแต่เล็กจนโตจะมองไม่เห็นร่องรอยบางอย่างที่เกิดขึ้นบนใบหน้าขาวคมนั่น ผื่นแดงเป็นรอยประหลาด คลับคล้ายนิ้วมือมีให้เห็นถึงห้าเส้น ทว่ากลับชี้ไปคนละทิศทาง

“คุณหนู...หน้าไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้แดงเถือกเป็นแถบ ๆ อย่างนั้น”

“เอ่อ...ไม่มีอะไรครับเอียด อุบัติเหตุนิดหน่อย” ใครจะไปกล้าบอกล่ะว่า เพิ่งถูกตบจนหน้าหันมาหมาด ๆ บอกพลางยิ้มแหยๆ ทั้งตะปบมือปิดซีกหน้าที่ยังหลงเหลืออาการร้าวระบมให้พ้นสายตาจับผิด ก่อนจะหันไปสนใจนายชูคนขับรถประจำตระกูล...

“ไปบอกเขมขวัญนะว่า ให้เขามาพบฉันที่นี่เดี๋ยวนี้ ถ้าเขาไม่มา ก็บอกให้เขียนใบลาออกส่งฉันภายในห้านาที และเตรียมตัวตกงานถาวร เพราะฉันจะร่อนประวัติและรูปถ่ายของเขาไปทุก ๆ บริษัทว่า เขาคือตัวอันตราย”

“หา!...” นายชูถึงกับตกใจในข้อกล่าวหานั้น มันจะรุนแรงเกินไปหรือเปล่า หากกริชนะทำอย่างที่พูดจริง ๆ นั่นก็ไม่ต่างจากการดับอนาคตของเขมขวัญเลยแม้แต่น้อย

“มัวหาอะไรอยู่อีก รีบไปสิ” กริชนะบอกซ้ำ

“ครับ ๆ ผมจะไปบอกคุณขวัญเดี๋ยวนี้ครับ” นายชูรับคำสั่งแล้วก็ลนลานออกไปอย่างเร่งด่วน

“ทำไมต้องสนใจคะคุณหนู เมื่อผู้หญิงคนนั้นอยากไปก็ปล่อยให้เขาไปเถอะ ญาติ เชื้อ ก็ไม่ใช่” คุณยายละเอียดเอ่ยทั้งมองเจ้านายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกผมว่ากริช เอียดนี่ยังไงนะ” กริชนะแกล้งเบนเรื่อง

“ก็มันชินปากแล้วนี่คะ...ก็เคยเรียกกันอย่างนี้มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ละไว้ให้เอียดเรียกสักคนเถอะ” หญิงชราเอ่ย

“ไม่ได้นะเอียด ผมโตแล้ว จะมาเรียกคุณหนูให้ใครได้ยิน คงได้หัวเราะกันท้องแข็ง” ชายหนุ่มละมือจากหนังสือพิมพ์ แล้วเอื้อมมาคว้า มือเรียว ผอมแห้ง ของแม่นมมาบีบเบาๆ “เอาไว้ตอนผมมีลูกเอียดค่อยเก็บไว้เรียกลูก ๆ ของผมก็แล้วกัน”

“จะอีกเมื่อไหร่ล่ะคะ”

ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่ม เมื่อความสนใจของเขาถูกดึงไปที่ผู้มาใหม่เสียแล้ว...

สีหน้านั้นไม่ต้องพูดถึง มันเคร่งเครียดแดงก่ำไม่ต่างกับเทพเจ้ากวนอู ส่วนแววตาที่มองมายังเขาก็วาววับเฉียบคมจนแทบจะเฉือนเนื้อหนังเขาออกเป็นชิ้นๆ

“นั่งสิ...เรามีเรื่องที่ต้องพูดกันให้รู้เรื่องอยู่หลายเรื่อง” กริชนะสั่ง

“ฉันมีที่จะพูดกับคุณแค่เรื่องเดียว...ฉัน-ขอ-ย้าย-ออก” ประโยคสุดท้ายนั้นถูกเน้นเป็นพิเศษ

“ยังไงก็นั่งลงก่อน..ผมไม่ชอบให้ใครมายืนค้ำหัว”

เขมขวัญมองหน้าผู้ชายบ้ากามที่บุกรุกเข้าไปลวนลามเธอถึงห้องพักด้วยความโมโห และวาดระแวง ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ว่าเขาจะทำแบบนี้ได้ ทั้ง ๆ ที่บุคลิกโดยรวมของเขานั้นแสนจะเย่อหยิ่งเย็นชา

“นั่ง!”

คำสั่งห้วน ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้เขมขวัญจำต้องลากเก้าอี้ออกมากระแทกก้นลงไปอย่างไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่...

“กินข้าวก่อน ค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกที” บอกแล้วก็หันไปทางชราที่กำลังถือโถข้าวรอ “เอียดตักข้าวได้แล้ว ตักเผื่อคุณขวัญด้วย”

อาหารตรงหน้าสีสันสวยงามน่ารับประทาน แต่สำหรับเธอ ต่อให้อร่อยแค่ไหนเธอก็ไม่มีอารมณ์จะเสพรสชาติของมัน จึงทำเพียงแค่นั่งมองดูเขาที่เริ่มลงมือรับประทานไปแล้วหลายคำ

“กินซะสิ...กินเสร็จจะได้พูดกันให้เข้าใจ ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อยากไปไหนก็เชิญ แต่ผมจะทำตามที่ผมประกาศไปอย่างแน่นอน”

ด้วยคำขู่ เขมขวัญจำต้องคว้าช้อนมาถือไว้ในมือ จัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างขอไปที แต่ทว่าพออาหารคำแรกเข้าปาก เธอถึงได้รู้ว่าท้องนั้นหิวแสนหิว...เพราะมัวแต่วุ่นวายเรื่องการโยกย้ายจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง ตั้งแต่บ่ายวานนับตั้งแต่เดินเข้าไปในห้องทำงานนั้นกระทั่งคุณป้าแผลงฤทธิ์ ยังไม่มีข้าวตกถึงกระเพาะเลยสักเม็ด

กริชนะมองหญิงสาวที่ยังคงทำหน้ามุ่ย บอกบุญไม่รับ พรางตักข้าวเข้าปากแบบถี่ ๆ ก็รู้สึกขำจนเผลออมยิ้ม แล้วก็ต้องหุบลงฉับพลันเมื่อมองเห็นสายตาค้นคว้าจับผิดของหญิงชราที่ยืนสงบนิ่งบริเวณนั้น


ภายใต้สถานการณ์มึนตึง... หลังรับประทานอาหารแล้วเสร็จ ห้องทำงานก็กลายเป็นสถานที่เจรจาที่สามารถปิดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของคนภายนอกได้เป็นอย่างดี

“ถามจริง ๆ เถอะที่บอกว่าจะลาออกเนี่ย คิดดีแล้วเหรอ” กริชนะเปิดประเด็น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายที่ยังยืนกอดอก อยู่ในอาการสงบนิ่งพร้อมรับการเจรจาแล้ว

“ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะลาออก” เขมขวัญเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ทว่าห้วนจัดตามอารมณ์ที่ยังครุกรุ่นด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและอาย

“อ้าว...”

“ฉันบอกว่าฉันจะย้ายออก” เธอบอกถึงความจำนงที่ชัดเจนของตน

“ทำไม...”

ยังมีหน้ามาถามอีกนะยะ...

“เพราะเหตุการณ์เมื่อเช้านี้น่ะเหรอ”

ผิวแก้มระเรื่อขึ้นมาอีกเมื่อสิ่งที่คนตรงหน้าเอ่ย มันทำให้เธอนึกถึงรอยจูบบุ่มบ่ามร้อนแรงนั่น แม้เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงยังให้ความรู้สึกว่าริมฝีปากของเขาประทับแนบชิดติดอยู่ที่ริมฝีปากของเธอไม่ยอมจางหายไปซักที

“ฉันไม่วางใจที่จะอาศัยอยู่ที่นี่อีกแล้วล่ะ ความปลอดภัยมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์”

“ไม่มีความปลอดภัยก็เพราะตัวคุณเองที่ไม่ระมัดระวังตัวเอง” กริชนะเอ่ยอย่างสงบ

“นี่คุณคิดจะโทษฉันเหรอ ฉันเป็นผู้เสียหายนะ ถ้าเป็นแถวบ้านตอนนี้คุณถูกจับเสียผีแล้ว” เขมขวัญขึ้นเสียงด้วยความโมโห

“ประตูบ้านก็ไม่ปิดลงกลอนประตูห้องก็ยังละเลย นอนขี้เซา ปลุกแล้วดันละเมอแบบหื่น ๆ จะเกิดอะไรขึ้นก็ผิดที่ความประมาทของคุณ...แต่เอ...หรือว่านี่เป็นแผนการอ่อยเหยื่อ...เก่งนี่ สามารถหลอกล่อซะผมเกือบจะตกหลุมพรางนั้นไปทั้งตัว”

“บ้า...อ่อยเหยื่อบ้าอะไร...แล้วคุณล่ะ จู่ ๆ ก็ไปที่บ้านหลังนั้นแต่เช้า เข้าไปในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต ถึงแม้ว่าบ้านหลังนั้นจะเป็นของคุณ แต่ในเมื่อคุณให้ฉันพักอาศัย บ้านหลังนั้นก็กลายเป็นสิทธิ์ของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปโดยพละการ

“สายโด่งขนาดนั้น คุณยังบอกว่าเช้าอีกเหรอ กะว่าจะไปดูความเรียบร้อยซะหน่อยในฐานะเจ้าของบ้านที่ดี เรียกก็แล้ว เคาะประตูก็แล้ว ไม่มีเสียงสัญญาณตอบรับ แถมประตูยังไม่ลงกลอนอีก ก็นึกว่ามีเหตุด่วน จำเป็นต้องเข้าไป ใครจะรู้ว่าแม่เลขาฯคนเก่งของผมจะเป็นพวกหื่น จู่ ๆ ก็คว้าคอดึงเข้าไปจูบซะงั้น...พอได้หนำใจ ยังมีตบแถมให้อีกฉาด เล่นเอาหน้าชาไม่หาย”
“บ้า ๆๆๆ พอแล้วไม่ต้องพูด คุณโกหก” เขมขวัญยกมือขึ้นปิดหู

“ที่บ้านหลังนั้นผมติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ คุณจะดูไหมล่ะ”

หลักฐานที่กริชนะอ้างถึงทำเอาเขมขวัญหุบปากเงียบกริบ นึกถึงความฝันของตนเองช่วงนั้น ฝันอันแสนวาบหวาม ก็อาจเป็นไปได้กับสิ่งที่เขาเอ่ยอ้าง คิดแล้วก็นึกอยากเคาะกะโหลกตัวเองให้ยุบนัก

“เอาล่ะ ผมจูบคุณ คุณตบผม ก็ถือว่าเจ๊ากัน ไม่ต้องคิดที่จะย้ายไปไหน ผมยังมีงานที่ต้องให้คุณทำอีกมาก กลับบ้านไปเก็บของเข้าไว้ที่เดิมซะ” กริชนะตัดบท

“ก็ได้ ถ้าเหตุการณ์อย่างเมื่อเช้าจะไม่เกิดขึ้นอีก”

“อันนี้ก็ต้องบอกตัวคุณแล้วล่ะ เพราะที่มันเกิดเป็นเพราะคุณล้วน ๆ”

ชิ...ยังมีหน้ามาโทษผู้หญิงอีก...ฉันเสียหายนะยะ... ใบหน้าสวย ๆ ค้อนขวับ ก่อนจะหมุนตัวทำท่าทำเดินออกไป

“เดี๋ยว...”

หญิงสาวหันกลับมาสบตาคนเรียกด้วยแววตาแห่งคำถาม...มีอะไรว่ามา...ตอนนี้ฉันอยากจะออกไปให้พ้นหน้านายจะแย่แล้ว...

“ที่นี่รับประทานอาหารเช้าตอนเจ็ดโมง อาหารกลางวันตอนเที่ยงตรงแล้วก็อาหารเย็นตอนหนึ่งทุ่ม ยกเว้นช่วงเวลาทำงาน เราต้องไปทานข้างนอก แต่วันหยุดแบบนี้หวังว่าคุณจะไม่สายนะ”

“ใครบอกว่าฉันจะมาทานข้าวกับคุณ”

“คุณต้องมา...นี่เป็นคำสั่ง...”

น้ำเสียงที่ห้วนจัด บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายเอาจริง เขมขวัญทำได้เพียงแค่เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง...ทนไว้...ทนไว้...เพื่อพ่อ เพื่อแม่ เพื่อผืนดินบรรพบุรุษ...ทนมันจนทนไม่ไหวกันไปข้าง...

“เดี๋ยว...” กริชนะเรียกเอาไว้อีกรอบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหมุนตัวอีกครั้ง

“อะไรอีกคะเจ้านาย”

กริชนะไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเพียงแค่เดินไปยังโต๊ะทำงาน หอบแฟ้มหนาหลายแฟ้มเดินตรงมาหยุดตรงหน้าหญิงสาว สบตาเธอนิ่งอยู่ครู่ก่อนจะยื่นให้อีกฝ่ายรับ

“งานคุณ...ไปทำต่อให้เสร็จ” พูดจบก็เดินอ้อมโต๊ะทำงานไปนั่งสบายบนเก้าอี้

เขมขวัญมองงานในมือแล้วก็ถอนหายใจ เท้าจึงเริ่มก้าวออกไป ทว่ายังไม่ทันพ้นประตู...

“อย่าลืมว่าค่ำนี้มีงานเลี้ยงที่บริษัท...แต่งตัวสวย ๆ ให้สมกับเป็นเลขา ฯ ของประธานกรรมการ ผมให้ความสำคัญเรื่องของภาพลักษณ์เสมอสิ่งสำคัญอย่างอื่น จำไว้”

เขมขวัญเงยหน้าหลับตา พยายามระงับอารมณ์ที่พลุกพล่าน...คงไม่มีอะไรอีกแล้วนะ...ถ้ามีคำสั่งอะไรเพิ่มมาอีก คราวนี้คงได้มีการขว้างระเบิดกันล่ะ...

เขมขวัญหยุดยืนมองบ้านน้อยหลังงามตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายจนไม่อาจแยกแยะออกได้ว่าส่วนไหนมีมากกว่ากว่ากัน

“หนูไม่รู้หรอกนะคะว่านี่เป็นฝีมือของคุณป้าหรือเปล่า แต่ความสงสัยของหนูมันพุ่งประเด็นไปที่คุณป้ามากที่สุด...ขอร้องล่ะค่ะ หากนี่เป็นฝีมือคุณป้าจริงๆ ได้โปรดอย่าทำแบบนี้อีก” เขมขวัญเอ่ยกับบ้านหลังงาม ราวกับว่ามันมีชีวิต สามารถรับฟังในสิ่งที่เธอพูด

เสียงลมเอื่อย ๆ พัดใบไม้ไหวดังซู่ เกิดเสียงแผ่วกระซิบดั่งกำลังตอบในสิ่งที่เธอร้องขอ ทว่ามันไม่ได้ชัดเจนพอที่จะจับใจความอะไรได้...หูแว่ว เป็นข้ออ้างที่น่าจะฟังขึ้น แต่เขมขวัญไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น...เธอรู้สึกสับสนในสติที่เริ่มจะเข้าข่ายโรคจิตเข้าไปเสียทุกที...หรือเธอกำลังจะกลายเป็นคนบ้าแล้วจริงๆ





ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ย. 2559, 04:44:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ย. 2559, 09:04:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1073





<< ตอนที่ 11 คุณป้าชักเฮี้ยน   ตอนที่ 13 งานเลี้ยง >>
แว่นใส 18 พ.ย. 2559, 08:16:38 น.
แหม ได้บรรยากาศจริง ๆ


Kim 18 พ.ย. 2559, 14:09:55 น.
คุณป้าจะให้สองคนนี้เล่นบทตบจูบเหรอคะ


kaelek 18 พ.ย. 2559, 17:03:43 น.
สงสัยเจ้านายจะติดใจ


นกขมิ้น 18 พ.ย. 2559, 19:55:49 น.
น่ารักอ่ะ


wane 19 พ.ย. 2559, 03:32:27 น.
คุณป้ากำลังจะทำอะไรเนี่ย


Zephyr 20 พ.ย. 2559, 16:40:09 น.
หุหุ ละเมอบ่อยๆน้า
กร้ากกกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account