A castle wall *กำแพงรัก*
ถ้าความรักคือเรื่องของคนสองคน ต้องมนต์ คงไม่นับรวมอยู่ในนั้นเป็นแน่ เพราะการแอบรักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่าง ปัถย์ มันก็เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วแหงนคอมองคนบนหอคอย อย่างไรอย่างนั้น...แต่ก็ไม่รู้ทำไม เสียงข้างในจิตใจก็ร่ำร้องถึงเค้าอยู่ร่ำไปสิน่า..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1 : ชายหนุ่มชุดสูทสีดำ

บทที่ 1 : ชายหนุ่มชุดสูทสีดำ


ในที่สุดวันสุดสัปดาห์ก็มาถึง...ทุกคนมักรอคอยวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ (ส่วนตัวฉันรอตั้งแต่เปิดวันจันทร์เลยล่ะ)เมื่อก่อนฉันเคยอ่านหนังสือการ์ตูนเล่มนึง พูดถึงเรื่องราวของอาการ เบื่อวันจันทร์ มีประโยคติดตลกพูดไว้ว่า ....ไม่อยากให้ถึงวันจันทร์เลย ต้องไปทำงาน เราจะยกพวกไปตีวันจันทร์!!!!...สำหรับฉันแล้ว ตีวันจันทร์อย่างเดียวไม่พอ....ตีมันทั้งอาทิตย์เลย!!!!!!

อาการเบื่อหน่ายการทำงานเริ่มต้นมาจาก หลังจากที่ฉันเรียนจบในระดับมหาลัย และเฝ้าเพียรพยายามหางานเป็นเวลา เกือบสี่เดือน จนในที่สุดก็มีบริษัทที่เล็งเห็นศักยภาพที่มีอยู่เปี่ยมล้นในตัวฉัน ต้อนรับฉันเข้าไปในฐานะพนักงานคนใหม่ในองค์กร นั่นทำให้ชีวิตการทำงานที่ฉันวาดหวังไว้ ล้มครืนไม่เป็นท่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าลักษณะการทำงานมันไม่ได้เกี่ยวกับตัว หรือ ความสามารถที่บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์พึงจะมอบให้แก่บริษัทได้ ทุกคนมักตั้งข้อสงสัยว่า ฉันเข้ามาทำงานได้อย่างไรล่ะ ฉันก็ขอตอบด้วยความสัตย์จริงเลยว่า ในเวลานั้นอาการอยากทำงานของฉันมันพุ่งไประดับสิบ เมื่อบริษัทนี้ยื่นข้อเสนอมาให้ ฉันเลยตกปากรับคำอย่างทันทีอย่างไม่รีรอขอปรึกษาใครทั้งนั้น...แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะ ฉันก็ต้องนั่งหน้าเหี่ยว รอคอยวันศุกร์หรรษาเหมือนกับทุกทุกคนไม่มีผิด.

“แป๋ม...คุณมณีเรียกเข้าพบจ่ะ”

พี่ติ๊กหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อของบริษัทเรียกชื่อฉันทันทีที่ก้าวออกมาจากห้อง ประชุมหลังจากการประชุมประจำสัปดาห์ ของหัวหน้าในแต่ล่ะฝ่ายของบริษัทจบลง

“หืม...เรื่องอะไรเหรอค่ะ พี่ติ๊ก”

ฉันเลิกคิ้วสูงถามพี่ติ๊กอย่างเต็มไปด้วยข้อสงสัย นี่มันใกล้เวลา ห้าโมงเย็นแล้ว ทำไมคุณมณี ยังเรียกฉันเข้าพบอีกล่ะ ในเมื่อฉันและคุณมณีเพิ่งประชุม(ลูกน้องของหัวหน้าฝ่าย)ไปเมื่อตอนเช้าของวันนี้เอง

“ไม่ทราบจ่ะ”

พี่ติ๊กเดินมาที่หน้าโต๊ะทำงานของฉัน พร้อมส่งยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยคำสั้นสั้น แล้วสะบัดผมเดินไปทางที่นั่งประจำของหล่อนทันที ฉันได้แต่แบะปากเท่านั้น...โชคดีจริงจริงที่หัวหน้าที่ดูแลฉันโดยตรงไม่ใช่พี่ติ๊ก ไม่งั้นฉันคงลาออกไปตั้งแต่สี่เดือนที่แล้ว.

หลังจากที่หาสมุดจดรายละเอียดการประชุมเรียบร้อย ฉันก็เดินตรงไปเคาะประตูที่ห้องของบุคคลที่เพิ่งวานพี่ติ๊กมาเรียกฉันเข้าพบทันที บรรยากาศในห้องนี้ไม่ค่อยน่าภิรมย์สักเท่าไร เข้ามาในห้องทีไรฉันรู้สึกเวียนหัว ทั้งยังมีรังสีอำมหิต(จากคุณมณี)ส่งมาทักทายเป็นระลอก....คุณมณีนี่ขยันผลิตพลังงานกดดันให้ปกคลุมอย่างไม่ละลดจริงจริง

“เชิญนั่ง” ประโยคต้อนรับจากเจ้านายใหญ่หลังจากที่เงยหน้าจากเอกสารตรงหน้ามามองว่า ใครเป็นผู้ที่เข้ามาย่างกรายพื้นที่ส่วนตัวของหล่อน

“ขอบคุณค่ะ.....................”

แล้วเวลาเคารพชาติตอนเย็นก็มาถึง พร้อมกับอาการของฉันดังเหมือนธงชาติที่ถูกลดลงจากเสาในเวลาหกโมงเย็นอย่างไรอย่างนั้น ประโยคทักทายทั่วไปเอ่ยขึ้นหลังจากฉันนั่งลงบนเก้าอี้เบาะหนังฝั่งตรงข้ามกับคุณมณี การสนทนาของฉันและเจ้านายใหญ่วกไปมาเป็นเวลาเกือบ สิบนาที แล้วสุดท้าย เจ้านายใหญ่ก็เปิดประเด็นเด็ดของการเรียกฉันเข้ามาพบในวันนี้ทันที


“แป๋ม...หลังจากที่พี่ดูผลการประเมินงานของน้องแล้ว พี่บอกได้เลยว่ามัน ไม่ผ่านเกณฑ์ นั่นหมายถึง แป๋มไม่ผ่านโปร* พี่อยากแจ้งให้แป๋มทราบและเตรียมตัวหาทางออกให้กับตัวเองด้วยนะ แต่ถึงยังไงพี่ก็ดีใจที่ได้ร่วมงานกับแป๋มนะ”


นี่คือประโยคที่ฉันจับใจความได้จากคุณมณี หล่อนบอกว่าอะไรนะ!!!!! หล่อนบอกว่า ฉันกำลังจะไม่ผ่านโปรใช่ไหม???นั่นหมายความว่า ฉันกำลังจะแปรสภาพเป็น คนว่างงาน(อีกครั้ง) ฉันเดินแบบไร้วิญญาณมานั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งของฉันอีกครั้ง แต่เต็มไปด้วยความหดหู่ แตกต่างจากอาการก่อนเข้าไปในดินแดนประหารอย่างสิ้นเชิง ฉันถามถึงเหตุผลที่ฉันไม่ผ่านการประเมิน คุณเจ้านายบอกฉันเพียงว่า ความสามารถในวิชาการของฉันไม่เหมาะกับความสามารถที่เค้ากำลังมองหา!!!!!!!
ฉันจบรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศก็จริง แต่ฉันก็สามารถทำงานขายได้นะ ซ้ำยังรู้สึกสนุกกับมันเสียด้วย ยกเว้นตอนที่ต้องเจอเพื่อนร่วมงานเท่านั้นแหละ แล้วทำไมถึงมองว่าฉันทำไม่ได้ล่ะ ทุกครั้งที่ฉันติดต่อลูกค้าจากต่างประเทศ ทุกคนก็มองว่า ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถที่สนทนากับชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี แต่แค่ยอดขายของสินค้าที่ฉันติดต่อด้วยนั้น มันแค่ลดลงเท่านั้นเอง!!!! ลืมไปว่าเรื่องที่ฉันกับลูกค้าคุยกันมักจะนอกเรื่องจากการเสนอขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ทำอยู่โดยสิ้นเชิง หลังจากที่ฉันรับฟังข่าวอันน่าหดหู่สะเทือนหัวใจอย่างยิ่งยวด ฉันก็จัดการเก็บกระเป๋าและข้าวของเล็กน้อยบนโต๊ะทำงานตัวแรกในชีวิต บรรยากาศยามค่ำคืนยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยน้อย ห่อเหี่ยวเพิ่มขึ้นอีก โลกใจร้ายกับฉันเกินไปแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ฉันกำลังจะเดินไปยังลานจอดรถของบริษัทพอดี

“แป๋ม....ไปกินข้าวเย็นกัน”

ปลายสายส่งเสียงเริงรื่นต่างจากฉันอย่างสิ้นเชิง

“ที่ไหน.......”

ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบอย่างเต็มที่ ฉันนึกขอโทษเพื่อนสาวในใจ ฉันยังไม่สามารถปรับเข้าโหมดเริงร่าได้นี่น่า

“เสียงแกเป็นไรว่ะ”

ไม่มีเรื่องอะไรที่ วิชุดา หรือ ขิง ไม่มีวันรู้ มันสมกับเป็นเพื่อนสุดรักของฉันจริงจริง

“เดี๋ยวเจอกันแล้วจะเล่าให้ฟัง”

ฉันทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ขิงก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร ในขณะที่ฉันต้องนำพาร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงไปพบเจอเพื่อนสาวในยามเย็น ถึงแม้หัวใจของฉันจะเป็นสีเทาเพียงใด แต่ฉันก็ยังอยากหาใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างอยู่ดี และขิง ก็เป็นหนึ่งในนั้นรองจาก พ่อและแม่ ของฉันเสียด้วย

สถานที่ที่ฉันและเพื่อนสาวนัดพบนั้น เป็นแหล่งร้านอาหารหลากหลายสไตล์ และ รสชาติ บนถนนที่ขึ้นชื่อเรื่อง รสนิยมและราคาที่แพงหู่ฉี่ของคนในย่านนี้ การจราจรติดขัดย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อาจเป็นเพราะ วันศุกร์สิ้นเดือน ทุกคนที่เลิกงานก็ต่างพากันหาสถานที่บันเทิงเริงใจ ปลดปล่อยอารมณ์ตึงเครียดจากการทำงานทั้งสิ้น เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นบุพการีของฉันเอง ฉันพูดคุยเพียงไม่กี่นาทีก็วางสายไป บอกท่านว่าฉันไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นอย่างเช่นเคย ครอบครัวของฉันประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และ ฉัน.......ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว “เกียรติจินดา” พ่อและแม่ของฉันเป็นข้าราชการทั้งคู่ พ่อของฉันทำงานในกระทรวงแห่งหนึ่ง ส่วนแม่ก็เป็นอาจารย์ของโรงเรียนระดับมัธยมตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของฉันนั่นเอง ฉันเคยฝันไว้เสมอว่าอยากรับราชการในกระทรวงเดียวกับที่พ่อทำงาน แต่ฉันก็ดันไม่ผ่านการทดสอบเสียนี่ ฉันเลยต้องมาทำงานในบริษัทที่เพิ่งบอกผลการประเมินไปนี่แหละ ฉันรู้สึกถึงอาการไร้ประสิทธิภาพในการดำรงชีวิตอีกครั้ง เมื่อระลึกได้ว่าตัวเองจะต้องเป็นบุคคลว่างงาน นั่งกิน นอนกิน หายใจทิ้งอยู่ในบ้านน้อยแสนสุขอีกครั้ง พ่อและแม่ไม่เคยพูดอะไรให้ฉันกระทบกระเทือนแม้แต่น้อย แต่ฉันก็รู้สึกได้เองว่า ถ้าท่านรับรู้ข่าวคราวการว่างงานอีกครั้งของฉัน ฉันคงต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้แน่ ฉันเชื่อว่าท่านก็คงเหมือนพ่อแม่ทั่วไป ที่ไม่ได้หวังอะไรขอเพียงเห็นลูกน้อย สามารถดำรงชีวิต มีหน้าที่การงานอย่างมั่นคง และเลี้ยงตัวเองให้รอดปลอดภัย ก็เท่านั้นเอง

รถญี่ปุ่นคันน้อยถอยหลังเข้าจอดในที่ที่ร้านอาหารที่ฉันกับขิงได้นัดแนะกันไว้ ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปภายในร้าน ฉันก็พบกับความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่ออยู่ดีดีก็มีรถยนต์อัลพาร์ด คันดำเลี้ยวตรงถนนเล็กเล็กที่ฉันกำลังจะก้าวเข้าไปในร้าน แล้วเทียบจอดตรงจุดรับส่งผู้โดยสารด้านหน้าของร้านอาหาร พนักงานในร้านที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ต่างพากันเดินลงมาต้อนรับบุคลที่อยู่บนรถคันนี้ คุณพี่ รปภ. ก็เอื้อมมือไปเปิดประตูบานเลื่อนของรถยนต์คันดังกล่าว เพื่อเชื้อเชิญให้บุคคลที่นั่งในรถลงทันที เหตุการณ์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จวบจนกระทั่งรถยนต์คันดังกล่าวออกตัวไป คงเหลือไว้เพียงแค่ ชายหนุ่มชุดสูทที่หันหลังให้กับฉัน โดยมีพนักงานต้อนรับของร้านอาหาร ยิ้มแย้มทักทายชายหนุ่มร่างสูง พร้อมทั้งเชื้อเชิญให้เดินเข้าไปภายในตัวร้าน

ฉันได้แต่ยืนอึ้งตะลึงงันกับเหตุการณ์ฉับไวที่เพิ่งผ่านพ้นไป ได้แค่มองตามร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำจนกระทั่งร่างใหญ่ลับไป นี่ขนาดมองข้างหลังยังดูดีได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย....และเหมือนอะไรดลใจให้ชายหนุ่มที่ฉันเพิ่งส่งสายตาฝันละเมอหันหลังกลับมาพูดคุยกับพนักงานต้อนรับ ที่เปลี่ยนตำแหน่งมาเดินตามหลังแทน ฉันเห็นสายตาคมปลาบมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยอย่างมาก แต่ที่น่าอายที่สุดคือ ฉันกลับจ้องกลับโดยไม่มีท่าทีว่าจะหลบตาเลยน่ะสิ...เคยมีใครบอกเค้าไหมนะ ว่าดวงตาคู่นั้นน่าดึงดูดขนาดไหน......

“แกช้าไปสามสิบนาที”

ฉันเดินยิ้มเล็กยิ้มน้อยเข้ามาภายในร้าน ให้หลังชายหนุ่มชุดสูทที่ฉันเผลอส่งสายตาเป็นประกายไปให้เค้า ไม่ได้นำพาเสียงหงุดหงิด พาลพาโลของเพื่อนสาวที่คงเกิดอาหารโมโหหิวแต่อย่างใด

“ก็รถมันติดนี่น่า”

ฉันตอบกลับเพื่อนสาวด้วยมุมปากยิ้มเล็กยิ้มน้อย พร้อมกับส่งเสียงสดใส เรียกบริกรหนุ่มที่อยู่ไม่ไกล

“แกเป็นอะไรมากป้ะ...ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยังกะคนบ้า”

ขิงค้นพบว่าตอนนี้ใบหน้าของฉันมันมีเลือดฝาด เนื่องจากอาการจ้องตากับชายหนุ่มชุดสูทผู้นั้น

“ก็...ไม่มีอะไรหรอก สั่งอะไรกินกัน แกมารอนานแล้วนี่”

ฉันยังคงไม่นำพาสีหน้าเพื่อนสาวตรงกันข้าม ตรงกันข้ามกับเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างหน้าตาเฉย แต่คนอย่างขิงเหรอ จะปล่อยให้ฉันลอยนวลไม่มีทาง

“ไม่สั่ง...บอกมามีอะไร หน้าแกถึงได้เหมือนเด็กที่เพิ่งได้ขนมแบบนี้ ทั้งที่เมื่อกี้ตอนคุยโทรศัพท์ เสียงแกยังกับคนเพิ่งพลาดรางวัลเลขท้ายสองตัว”

นั่นไง ฉันบอกแล้ว ขิงไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่นอน

“ฉันเจอคนหล่อ”

ฉันบอกด้วยเสียงเบาเบา พร้อมกับยิ้มเล็กยิ้มน้อย

“คนหล่อ...แค่เนี้ย...ไอแป๋มบ้า ไร้สาระ”
เพื่อนสาวเอื้อมมือมาตีหัวฉันเบาเบากับความแก่แดดแก่ลมของฉัน ฉันเริ่มรู้สึกว่า ขิงเหมือนแม่ฉันเข้าไปทุกที่ ทุกที

ตลอดมื้ออาหารเรื่องชายหนุ่มชุดสูทคนนั้นไม่ได้ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นสนทนาของฉันกับขิงเลยแต่อย่างใด ฉันเล่าเรื่องที่เพิ่งถูกปฏิเสธการเป็นพนักงานประจำของบริษัท พร้อมทั้งเอ่ยพูดเรื่องความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ ที่ทำร้ายเด็กตัวเล็กเล็กอย่างฉันให้ต้องมีอันตกงานทั้งที่เพิ่งจบการศึกษามาเพียงไม่นาน ขิงทำหน้าที่เพื่อนที่ฉันต้องการได้อย่างเต็มที่ มันวิจารณ์บ้าง เงียบบ้าง แต่สรุปรวมรวมแล้ว ขิงก็เข้าข้างฉันอยู่ดี ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจว่าอย่างน้อย ฉันก็ยังมีคนที่พูดคุยในภาษาเดียวกัน

ขณะที่อาหารมื้อเย็นกำลังจะสิ้นสุดลงพร้อมกับบทสนาที่ออกรสของฉันกับขิงก็หมดลงเช่นกัน ในช่วงความเงียบเข้าครอบงำเราทั้งสอง เสียงการพูดคุยของหญิงสาวกลุ่มนึงที่นั่งถัดไปไม่ไกลจากโต๊ะของฉันกับขิง ก็เอ่ยขึ้น

“แกเมื่อกี้ฉันเจอคนหล่อตอนเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่ตรงระเบียงของร้านน่ะ หล่อมากเลยแก มาดเท่ ดูนักธุรกิจมาก โอ๊ย.........จะละลาย”

หญิงสาวคนนึงกล่าวขึ้นหลังจากหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งเดียวกับฉัน

“คนไหนล่ะแก”

หญิงสาวที่นั่งถัดไปจากหล่อนเอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกาย

“เค้ายืนดูดบุหรี่อยู่ตรงระเบียงที่เชื่อมกับโซนไพรเวทอ่ะแก....ดูดีมีเงินด้วย โอ๊ยแพ้!!!!”

หญิงสาวคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงของหล่อนเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมมากกว่าประโยคที่แล้วอีกนะนั่น

“ถามน้องบริกรสิว่าเป็นใคร”

หญิงสาวที่นั่งฝั่งเดียวกับขิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสนอกสนใจ พร้อมทั้งกวักมือเรียกเด็กหนุ่มอายุไม่เกิน 20 ปี แล้วกระซิบถามในระยะใกล้ ถึงแม้ฉันจะพยายามเอียงหูพยายามให้เข้าใกล้บทสนาสักเพียงใดก็ไม่ช่วย

“รู้ล่ะ...ว่าใคร”

หลังจากที่หญิงสาวคนดังกล่าวเอ่ยถาม เด็กหนุ่มบริกรคนนั้นประมาณ 5 นาที หล่อนก็ส่งสายตามายังเพื่อนสาวสองคนตรงข้าม ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยชัยชนะที่ได้ทราบเป็นคนแรกว่า เค้าเป็นใคร

“ใคร/ใคร”

สองสาวพร้อมใจส่งเสียง หันหน้าจ้องมองเพื่อนสาวผู้กุมความลับด้วยสีหน้าใครอยากรู้เต็มที

“คุณ ปัถย์ ปิลันธบุตร ลูกชายอดีตเอกอัครราชทูตจ้า และที่สำคัญ เป็นเจ้าของธุรกิจก่อสร้างอันดับสามของเอเชียเลยนะย่ะ หล่อ รวย ครบสูตร”

สามสาวส่งเสียงกรีดร้องเบาเบา พร้อมทั้งส่งสายตาเป็นประกายมองไปยังบุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาที่ยังคงยืนดูดบุหรี่ปล่อยอารมณ์ตรงระเบียง


* * * * * * * * *



คุณิณพัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2554, 13:31:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2554, 17:51:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 2341





<< บทนำ   บทที่ 2 : ปราชญ์ ปิลันธบุตร >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account