A castle wall *กำแพงรัก*
ถ้าความรักคือเรื่องของคนสองคน ต้องมนต์ คงไม่นับรวมอยู่ในนั้นเป็นแน่ เพราะการแอบรักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่าง ปัถย์ มันก็เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วแหงนคอมองคนบนหอคอย อย่างไรอย่างนั้น...แต่ก็ไม่รู้ทำไม เสียงข้างในจิตใจก็ร่ำร้องถึงเค้าอยู่ร่ำไปสิน่า..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2 : ปราชญ์ ปิลันธบุตร

บทที่ 2 : ปราชญ์ ปิลันธบุตร

ฉันยังคงจดจำชื่อของชายหนุ่มรูปงามคนนั้นอย่างขึ้นใจ แม้ว่าโอกาสที่เราจะได้พบกันเป็นรอบที่สองมันจะมีอยู่น้อยนิดเต็มที่ก็ตาม ฉันวางแผนไว้แล้วว่า จะต้องสืบหาประวัติของหนุ่มหล่อคนนี้มาให้จงได้...ยิ่งคิดก็ยิ่งเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองลดวัยไปสู่ยุควัยรุ่นตอนต้นที่พยายามหาประวัติ ดารานักร้อง ที่ชื่นชอบมาท่องประหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทเรียน เวลาเปิดไปเจอรูปในนิตยสารก็มักจะแอบตัดรูปมาติดไว้บนหัวนอน เพ้อฝันกันไปว่ามีนักร้อง ดารามานอนข้างกาย...นั่นแหละชีวิตวัยรุ่น
ฉันถึงบ้านในเวลาห้าทุ่มกับเศษนาทีนิดหน่อย ไฟในบ้านยังคงสว่างไสว แสดงว่าบุพการีทั้งสองต้องมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉันเป็นแน่ และก็เป็นจริงดังคาด แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ได้กดดันอะไรมากมาย แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า เรื่องอะไรที่ทำให้พ่อและแม่ไม่รีบเข้านอนแต่หัววัน

“อ้าว...ทำไมพ่อกับยังไม่นอนกันอีก”

“รอแป๋มแหละลูก”

หลังจากคำทักทายของฉันสิ้นสุด แม่ก็เอ่ยพูดทันที ฉันได้แต่เลิกคิ้วสูง พร้อมทั้งชี้นิ้วเข้าตัวเอง

“รอแป๋ม? รอทำไมค่ะ”

“วันนี้พ่อกับแม่มานั่งคิดกันแล้วว่า เราอยากจะเกษียณก่อนกำหนด และพ่อกับแม่ก็เล็งเห็นแล้วว่า แป๋มมีหน้าที่การงานเรียบร้อย แล้วอีกอย่างเงินในส่วนที่จะได้ พ่อเค้าก็กะว่าจะนำมาลงทุนร้านขายของชำเล็กๆในหมู่บ้านของเรา บวกกับช่วยงาน คอยช่วยเหลืองานเล็กๆน้อยกับเจ้านายเก่าของเขา แป๋มว่าไงลูก”

รู้สึกว่าโลกของฉันกำลังหมุนอีกครั้ง เอ๊ะ...เมื่อกี้แม่พูดว่าอะไรนะ แม่บอกว่าฉันกำลังจะมีหน้าที่การงานมั่นคง ไม่จริงนะแม่....หนูเพิ่งโดนบอกเลิกสัญญานะแม่ ฉันได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้พ่อกับแม่ก่อนจะเอ่ย อ้อมแอ้มในลำคอด้วยเสียงที่แผ่วเบา

“เอ่อ...แป๋มถูกให้ออกจากงาน”


ทันทีที่จบประโยคพ่อกับแม่ก็มองหน้ากันเหลอหลา ท่านทั้งสองส่งสายตาละห้อยมาให้ยังฉัน ฉันจึงก้มหน้าลงมองพื้นหินอ่อนที่สาวของบ้าน รู้สึกว่าตัวเองเล็กลีบลงไปทันตาเห็น พ่อกับแม่ถามเหตุผลที่มาที่ไปของการถูกปลดกลางอากาศเช่นนี้กับฉัน ฉันจึงอธิบายว่ามันไม่ใช่การปลดงานแบบสายฟ้าแลบอะไรหรอก มันเป็นสัญญาว่าจ้างงานที่บริษัททั่วไปมักจะกำหนดไว้แล้ว หากว่าพนักงานใหม่ที่อยู่ในช่วงทดลองไม่ผ่านการประเมิน บริษัทก็มีโอกาสไม่เซ็นสัญญาว่าจ้างในฐานะพนักงานประจำได้ ฉันแอบใส่อารมณ์หงุดหงิดลงไปเล็กน้อยที่ตัวเองถูกประเมินอย่างต่ำต้อนด้อยค่าแบบนั้น แต่ก็อย่างว่าแหละ พ่อและแม่ของฉันท่านก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร ได้แต่ดึงฉันเข้าไปกอดแล้วพูดกับฉันว่า...มันคงไม่ใช่ทางของฉัน เราแยกย้ายกันเข้านอนโดยปราศจากข้อสรุปเรื่อง การเกษียณก่อนกำหนดของพ่อ ฉันได้แต่ภาวนาว่า พ่อจะเปลี่ยนใจ นี่ฉันเป็นลูกอกตัญญูใช่ไหม...พ่อกับแม่ทำงานเหนื่อยมาหลายสิบปี แต่กลับไม่ยอมให้ท่านได้สุขสบายก่อนกำหนด และฉันก็หลับลงท่ามกลางปัญหาว้าวุ่นใจ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด


วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดวันจันทร์ก็มาถึง แต่กลายเป็นว่าวันนี้ฉันต้องเดินออกมาส่งพ่อกับแม่ไปทำงาน พร้อมทั้งปิดประตูรั้วหน้าบ้านเฉกเช่นวิถีชีวิตยามเช้าของเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ขณะที่ฉันกำลังนอนอ่านนิยายในยามบ่ายของวันจันทร์ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงเรียกเข้าเสียงนี้ เป็นเสียงของพ่อกับแม่ฉันเท่านั้น แล้วทำไมพ่อหรือแม่ถึงโทรมาหาฉันในเวลาเช่นนี้

“ค่ะพ่อ...”

“แป๋ม...มาทำงานให้เจ้านายเก่าพ่อไหมลูก”

พ่อเอ่ยทันทีหลังจากที่ฉันกดรับ


“งาน...งานอะไรล่ะพ่อ แล้วเจ้านายพ่อ เจ้านายคนไหน” ฉันไม่ลังเลที่จะถามถึงที่มาไปของงาน และ (อนาคต)เจ้านาย (ออกจะฝันไกลไปหน่อย กับแค่พ่อลองถามไม่กี่ประโยค ช่างจินตนาการชะมัดเลยต้องมนต์)


“ก็ดูแลเอกสารแล้วก็แปลงานนิดหน่อยแหละ”


“แปลงานอะไรล่ะค่ะ”

คิ้วฉันขมวดอีกครั้ง งานแปลเอกสาร....ถึงแม้ฉันค่อนข้างจะมีพื้นฐานเรื่องภาษาต่างประเทศไม่น้อยหน้าใคร แต่งานแปลนี่มันดูไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับวิชาความรู้ที่ฉันมีติดตัวซะเลย


“คืออย่างนี้....”


พ่อตั้งต้นเฉลยตอบคำถามที่ฉันต้องการในเวลาถัดมา จากรายละเอียดที่พ่อให้ฉันไว้ งานของฉันจะต้องดูแลเกี่ยวเอกสารให้กับ อดีตผู้บังคับบังชาของพ่อ คุณ ปราชญ์ ปิลันธบุตร อดีตเอกอัครราชทูตที่ปลดประจำการ แล้วได้ย้ายตัวเองกลับมาจากต่างแดน โดยที่ท่านยังคงจะช่วยเหลืองานในกระทรวงเล็กเล็กน้อย ตามประสาคนเคยทำงานมาเกือบทั้งชีวิต คุณปราชญ์เปรยกับพ่อของฉันว่า ท่านอยากได้คนคอยมาช่วยงานเอกสารที่ท่านรับมาจากกระทรวง พร้อมทั้งคอยตรวจทานบทความประจำเดือนที่ท่านรับเขียนให้กับหนังสือแนวการเมืองการปกครอง พ่อเล็งเห็นว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตหน้าที่การงานของฉัน พ่อจึงเสนอชื่อฉันเข้าชิง(พูดเหมือนฉันกำลังจะได้รับรางวัลบนเวทีอันทรงเกียรติ) พ่อบอกว่าหากฉันได้ทำงานกับท่านปราชญ์และแสดงฝีมือของตัวเองอย่างเต็มที่ ฉันอาจจะมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในกระทรวง หรือ อีกอย่างฉันอาจจะได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตผ่านทางท่าน และมันอาจจะช่วยเหลือเกื้อกูลในหน้าที่การงานของฉันในอนาคต หัวใจของฉันชุ่มชื้นเพราะนั่นเท่ากับว่า ความรู้ของฉันกำลังจะได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ ฉันตกปากรับคำอย่างไม่รีรอกับพ่อ พ่อบอกว่าถ้าฉันตกลง วันพรุ่งนี้พ่อจะพาฉันไปพบที่บ้านของท่าน


หลังจากวางสายจากพ่อ ฉันก็กระโดดโลดเต้นยินดีปรีดากับอาชีพผู้ช่วยเอกอัครราชทูตอย่างออกหน้าออกตา ฉันลืมไปเลยว่า นามสกุลของคุณปราชญ์นี่มันเหมือนกับนามสกุลของชายหนุ่มชุดสูทสีดำคนนั้น เย็นวันนั้นบ้านเรามีการฉลองกันนิดหน่อย ฉันจึงได้รายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อและคุณปราชญ์ว่า พ่อเคยเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาในสมัยแรกแรกที่คุณปราชญ์เข้ามารับตำแหน่งในกระทรวง พ่อบอกว่าคุณปราชญ์เป็นเจ้านายคนแรกของพ่อและท่านก็นึกเอ็นดูพ่อของฉันหลังจากที่ได้ทำงานร่วมกัน พ่อยังบอกอีกว่า ฉันยังเคยไปร่วมงานพิธีฉลองตำแหน่งของท่าน เมื่อท่านได้รับการแต่งตั้งให้ไปประจำการยังต่างประเทศ แต่นั่นคงเป็นช่วงเวลาราวราวชั้นประถมศึกษาของฉันเป็นแน่ คุณปราชญ์แต่งงานกับคุณหญิงพจนีย์ สมัยที่ท่านไปประจำการยังสถานทูตในต่างแดน บ่อยครั้งที่ท่านเดินทางกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเกิดเมืองนอน ท่านก็มักจะแวะมาหาพ่อที่บ้านเสมอ แต่ก็มักคลาดกับฉันอยู่ตลอด จนเมื่อท่านได้ปลดประจำการและย้ายถิ่นพำนักกลับสู่ประเทศไทย ท่านจึงเรียกพ่อของฉันเข้าไปพูดคุยทักทายตามประสาคนไม่เคยพบหน้ามาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี วันนี้เป็นวันที่ความรู้สึกของฉันแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง การล้มตัวลงนอนบนเตียงสีชมพูของฉันไม่มีเรื่องกวนใจใดใดแล้ว มีแต่งความหวังของวันพรุ่งนี้...ฉันขอเปลี่ยนคำพูดที่ว่าโลกไม่ยุติธรรม เพราะตอนนี้ความยุติธรรมหมุนมาที่ฉันแล้วน่ะสิ


ทันทีที่รถยนต์ของพ่อโดยมีฉันร่วมโดยสารมาด้านหน้า เลี้ยวเข้าสู่ตัวบ้าน(ฉันขอเรียกว่า คฤหาสน์ น่าจะเหมาะกว่า) พื้นที่ที่สามารถประเมินด้วยตาเปล่า น่าจะราวๆ 2 ไร่ ด้านหน้าของบ้านยังคงสไตล์บ้านคนรวยไว้อยู่ นั่นคือ น้ำพุวนบ่อใหญ่ ตั้งตระหง่าน โดยด้านขวามือจะเป็นที่จอดรถยนต์มากมาย (ฉันแอบคิดว่าบ้านหลังนี้คงอยู่สักประมาณ 10 คน เป็นอย่างต่ำ) ด้านซ้ายมือส่วนใหญ่จะเรียงรายไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และมีศาลาขนาดกลางตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลประตูเข้าตัวบ้าน มีเจ้าหน้าที่รปภ.เดินมาเปิดประตูต้อนรับให้ฉัน(รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงขึ้นมาทันที) ฉันจึงเอ่ยขอบคุณพร้อมส่งยิ้มเล็กๆให้ ภายในตัวบ้านไม่ได้ต่างจากที่ฉันจิตนาการไว้สักเท่าไร แหม...บ้านอดีตเอกอัครราชทูต จะให้เล็กจ้อยร่อย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ พื้นที่ฉันและพ่อนั่งรอน่าจะเป็นส่วนรับรองแขกของบ้าน มีแม่บ้านใส่ชุดฟอร์มสีเขียวเข้มนำขนมและเครื่องดื่มมาให้เราหลังจากที่นั่งลงบนโซฟาได้ไม่นาน


“อ้าว....มาแล้วเหรอ พ่อยุทธนา”

เสียงชายสูงวัยเอ่ยทักหลังจากที่เรานั่งไม่กี่นาที ฉันที่นั่งหันหลังให้กับต้นเสียง ได้ยืนขึ้นพนมมือไหว้พร้อมกับพ่อทันทีที่ท่านเดินอ้อมมานั่งที่โซฟาตัวกลาง


“สวัสดีครับท่าน...ผมพาผู้ช่วยมาแนะนำตัวน่ะครับ”

พ่อประสานมือไว้ด้านหน้าในขณะที่พูดคุยกับคุณปราชญ์

“อ่ะ อ่ะ แม่หนูคนนี้น่ะเหรอ”

ชายหนุ่มสูงวัยหันมายิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดีให้กับฉัน

“ครับท่าน...ลูกสาวผมเอง”

“อ่าวเหรอ...ลูกเธอเองเหรอ ยุทธนา คนกันเองด้วย ดีดี ฉันจะได้ไว้ใจได้อย่างสบาย แล้วเรียนจบอะไรมาล่ะ”

“หนูจบรัฐศาสตร์ค่ะ”


ฉันเอ่ยตอบทันทีหลังจากที่คำถามของท่านจบลง ท่านหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีหลังจากที่ได้รู้ว่าฉันเรียนจบตรงกับสายงานที่ฉันจะได้ช่วยเหลือท่าน หลังจากนั้นท่านก็บอกเกี่ยวกับงานที่ท่านจะให้ช่วยเหลือ ส่วนใหญ่มักจะเป็นงานแปล และมีเรื่องตรวจทานกฎหมายระหว่างประเทศบ้างประปราย แต่ท่านก็กำชับฉันไว้ว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องระเบียบข้อบัญญัติทั้งหลายในตำรา หากมีเรื่องใดที่ฉันไม่รู้ ท่านยินดีที่จะอธิบายให้ฉันฟังอย่างเต็มใจ


“แล้วคุณหญิงพจนีย์ ท่านไปไหนล่ะครับ”

พ่อเอ่ยถามหลังจากที่บทสนทนาเกี่ยวกับการทำงานของฉันจบลง

“ออกไปสมาคมตั้งแต่เช้า เห็นว่าวันนี้วันเกิดของ คุณหญิงบรรจง”

“แล้วท่านอยู่บ้านคนเดียวหรือครับ”

“อ่อ..ไม่ไม่ มีลูกชายอยู่ข้างบนน่ะ รายนั้นเพิ่งตื่น คงกำลังจะแต่งตัวไปทำงานแหละ” คุณปราชญ์เอ่ยถึงบุคคลที่สี่ ที่พ่อฉันเพิ่งถามถึง

“แล้วไม่มีหลานๆวิ่งเล่นในบ้านเหรอครับ”

“หลานเหลินอะไรล่ะพ่อยุทธ เจ้านี่มันยังไม่ลงเอยกับใครง่ายๆหรอก อายุอานามก็จะ 35 ล่ะ ยังมัวแต่ทำธุรกิจอยู่นั่นแหละ พอถามทีไรก็อ้างว่าไม่มีเวลาตลอด ฉันล่ะอ่อนใจกับเจ้าตัวดีนี่จริงจริง พูดแล้วก็นึกหวั่น จะได้เห็นหน้าหลานก่อนตายรึเปล่าก็ไม่รู้”

“นินทาอะไรผมครับคุณพ่อ”


เสียงชายหนุ่มบุคคลที่สี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่ลอยเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที ฉันยังคงเกร็งตัวไม่ได้หันไปมองบุคคลที่สี่ที่ส่งเสียงทักทายคุณปราชญ์ บทสนทนาจบลงหลังจากที่คุณปราชญ์เอ่ยนินทาลูกชายของท่านไปไม่นาน ฉันได้บินเสียงลากรองเท้าเดินในบ้านใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา จนร่างสูงมาหยุดตรงโซฟาตัวที่ฉันนั่ง ก่อนร่างสูงจะเดินเข้าไปนั่งเคียงข้างบิดาของเขา

“มาก็ดีเลย มารู้จัก ยุทธนาลูกน้องเก่าของพ่อ แล้วนี่ก็ลูกสาวเค้า ชื่อว่าอะไรนะหนู”

“เอ่อ...ต้องมนต์ค่ะ”

ฉันเงยหน้าขึ้นมองไปทางโซฟาตัวกลาง ทันทีทันใดเมื่อสบตากับชายหนุ่มผู้เพิ่งมาใหม่ หัวใจฉันก็เกิดอาการเต้นผิดจังหวะทันที รู้สึกได้เลยว่า แก้มฉันกำลังออกสีชมพูระเรื่อเข้าให้แล้ว ไม่น่าเชื่อ!! นี่มันชายหนุ่มชุดสูทสีดำที่ฉันเพิ่งเจอเมื่อวานนี่...เค้าคือลูกชายประมุขของบ้านนี้เองน่ะเหรอ โลกกลมชะมัด ในขณะนั้นเอง ฉันก็นึกได้ว่า ตัวเองพลาดอะไรสำคัญไป ก้เมื่อวานนี้พ่อเพิ่งเอ่ยถึงนามสกุลของเขาไปนี่น่า...ฉันยังคงนั่งบีบมือพร้อมกับส่งยิ้มประหม่าให้ลูกชายของท่าน แล้วตอนนี้เค้าก็จ้องฉันกลับด้วยน่ะสิ...อย่ามองนานเค้าเขินนะ!


“หนูต้องมนต์เค้าจะมาเป็นผู้ช่วยพ่อ ยังไงก็รู้จักกันไว้แล้วกัน นี่พ่อ ปัถย์ ลูกชายคนเดียวของฉันเอง”


ฉันอยากจะตบแก้มตัวเองไปมาสักทีสองทีให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป...คุณปัถย์ตัวเป็นเป็นมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว หัวใจดวงน้อยเจ้าเอย ก็ระรัวไม่เกรงใจเจ้าของเลยสักนิด หลังจากที่เห็นในระยะห่างสามเมตรของถนนก็ว่าหล่อแล้ว นี่นั่งห่างกันไม่ถึง สองไม้บรรทัด ได้กลิ่นน้ำหอมเย้ายวนจากเรือนกายของชายหนุ่ม เหมือนฝันจริงจริงเลย ตั้งแต่เกิดมาจนอายุย่างเข้าสู่วัย 23 ปี มีครั้งนี้แหละที่พบคนต่างเพศแล้วหัวใจเต้นแรงขนาดนี้...ในคราแรกฉันนึกหวั่นใจที่ต้องมาทำงานที่บ้านของท่าน แต่ตอนนี้อยากจะถามออกไปว่า...มีห้องว่างบ้างไหมค่ะ ฉันเต็มใจจะนอนค้างเลยนะ

* * * * * * * * * * * * * * * * * *
ในที่สุดบทที่สองก็จบลง....เย้เย้
ติ-ชมกันได้นะค่ะ และก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วย ค่ะ



คุณิณพัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2554, 21:08:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2554, 17:39:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 2365





<< บทที่ 1 : ชายหนุ่มชุดสูทสีดำ   บทที่ 3 : จูบพิฆาตใจ >>
ptyks 8 ส.ค. 2554, 21:28:43 น.
น่าติดตามมากค่ะ


ayacinth 16 ก.ย. 2555, 22:10:43 น.
เข้ามาอ่านหลายรอบแล้วค่ะ ชอบเรื่องนี้ที่สุดเลย อ่านแล้วใจเต้นแรง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account