กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี
ตอน: ตอนที่ 13 งานเลี้ยง
13
อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประธานกรรมการจะควงสาวสวยมีหน้ามีตาในสังคมเข้ามาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการ และไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะเดินทางไปร่วมงานโดยไร้ผู้ติดตาม ทว่างานนี้ดูแปลกอยู่สักหน่อยที่คนติดตามท่านประธานเป็นหญิงสาวแปลกหน้าที่ไม่มีใครเคยพบเห็นหรือรู้จักหน้าค่าตาในวงสังคมมาก่อน เป็นเหตุให้ทันทีที่กริชนะก้าวเข้าสู่บริเวณห้องจัดเลี้ยง เขาได้รับการทักทายทำความเคารพแทบจะทุกฝีก้าว ทว่าทุกครั้งที่สายตาชื่นชมของบุคคลเหล่านั้นที่จ้องมองเขา สุดท้ายจะหันเหไปยังหญิงสาวในชุดราตรีสีน้ำทะเลผู้เดินตามหลังทุกครั้ง
ประวัติชีวิตของกริชนะเป็นที่สนใจในวงสังคมว่าเขาคือชายหนุ่มผู้โชคดีได้รับมรดกพันล้าน และขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่วัยเพิ่งจะย่างสามสิบ ที่สำคัญยังโสดสนิท งานนี้จึงเป็นงานที่จัดขึ้นด้วยมติที่ประชุมกรรมการผู้ถือหุ้นในการเลี้ยงต้อนรับและฉลองการเข้ารับตำแหน่งใหม่อย่างเป็นทางการโดยมีนัยสำคัญแฝงอยู่ แขกเหรื่อคนสำคัญหลายรายจึงควงคู่บุตรสาวมาร่วมงานประชันขันแข่งกันทำทุกอย่างเพื่อให้ตนสวยและโดดเด่นที่สุดในงาน
“ยังกะงานเลี้ยงเต้นรำหาคู่ให้เจ้าชายเลยแฮะ” เขมขวัญอดพึมพำออกมาไม่ได้ เมื่อเธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณอย่างตะลึงตะลาน
“พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง...ตามมาเงียบ ๆ ”
เสียงคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเธอเอ็ดเบา ๆ ทำให้ต้องหุบปากฉับด้วยไม่คิดว่าเขาจะให้ความสนใจเธอมากถึงขนาดได้ยินคำปรารภเบา ๆ นั้น
หญิงสาวเดินตามหลังเจ้านายไปตามคำสั่ง ทว่าสายตาก็ยังคงมองไปรอบ ๆ ห้องจัดเลี้ยงด้วยความตื่นเต้น นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เธอมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่โต หรูหรา ฟู่ฟ่า ขนาดนี้ ทุกคนที่มาร่วมงานล้วนแต่งตัวสวย สง่า ภูมิฐานสมฐานะ และนั่นมันทำให้เธออดก้มลงมองชุดราตรีที่กำลังสวมอยู่ไม่ได้...
งานนี้ต้องขอบคุณเจ้านายที่รอบคอบ ซื้อชุดราตรียาวสุดสวยชุดนี้มาพร้อมกับชุดทำงานชุดใหม่ให้ในครานั้น ทำให้เธอสามารถรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทเอาไว้ได้ตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นนาย ถึงชุดจะสวย ใบหน้าจะถูกแต่งแต้มสีสันให้เข้มขึ้นกว่าปกติ เกล้าผมเป็นมวยเล็ก ๆ ทิ้งลูกผมที่เธอม้วนให้เป็นเกลียวเต้นหยอย ๆ ข้างหู แต่การแต่งตัวของเธอก็ยังถือว่าเป็นไปอย่างเรียบง่ายและธรรมดามาก ๆ เมื่อเทียบกับบุคคลอื่น ๆ ที่มาร่วมงาน
จำสายตาคมกล้าของเจ้านายได้เป็นอย่างดีในครั้งแรกที่เธอเดินมาสมทบที่รถ เพื่อร่วมเดินทางมาสถานที่จัดเลี้ยง ดวงตาเขามองนิ่ง นาน และดูวับวาวชอบกล เธอไม่เข้าใจความหมายของการมองแบบนั้น แต่ก็รู้สึกโล่งอกที่ไม่ถูกเขาติติงเรื่องการแต่งตัว นั่นอาจเป็นเพราะเธอสวมชุดที่เขาซื้อให้ ไม่ใช่ชุดที่มักถูกค่อนขอดว่าเชยเป็นมนุษย์ป้า แต่ เมื่อเทียบกับหญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงคนนั้น เขมขวัญบอกตัวเองได้ในวินาทีนี้เลยว่า ตัวเธอยังห่างชั้นกับสาวสังคมชั้นสูงจนแทบจะไม่ติดฝุ่น
มัวแต่มองสาวสวยเพลิดเพลินด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กๆ โดยไม่ทันสังเกตเจ้านายที่หยุดเดินกะทันหันเมื่อมีแขกคนสำคัญเข้ามาทักทาย...ร่างบางเผลอชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำหน้าอย่างจัง แม้ไม่แรง แต่ก็ทำให้เธอเซ เพราะไม่คุ้นชินกับรองเท้าส้นแหลมคู่สวยที่สวมอยู่ อาการตกใจอย่างห้ามไม่ได้
แต่สิ่งที่เขมขวัญรับรู้ว่าตกใจมากกว่าอื่นใดน่าจะเป็นฝ่ามืออุ่นที่คว้ากระชับต้นแขนของเธอพยุงเอาไว้ทั้งยังดึงให้เธอก้าวขึ้นมายืนเคียงข้าง แถมยังเลื่อนมือมาแตะเอวคอดเล็กในลักษณะโอบนี่ต่างหากล่ะ เธอเหลือบมองมือที่เอว สลับกับมองหน้าคนโอบ ดูเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยสักนิด นี่คงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติโดยปกติของเขากระมัง
“เขมขวัญ นี่คือคุณอาวีรยุทธ ท่านเป็นกรรมการผู้ถือหุ้นคนสำคัญของบริษัท เป็นรองประธานกรรมการที่ท่านประธานคนก่อนให้ความไว้วางใจอย่างมาก เพราะท่านช่วยให้บริษัทในเครือทรัพย์บริบูรณ์เจริญรุดหน้าจนกลายเป็นบริษัทส่งออกชั้นแนวหน้าของประเทศ”
“สวัสดีค่ะ” เขมขวัญยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
“ส่วนนี่ เขมขวัญ เลขาฯ คนใหม่ของผม” กริชนะแนะนำไม่มีเคอะเขิน หรือถือความเป็นนาย
“โอ้...สวัสดีครับคุณเขมขวัญยินดีที่ได้รู้จัก”
ชายผู้เป็นได้รับเชิญมาเป็นเกียรติเอ่ยขึ้น มือใหญ่ยื่นมาข้างหน้าเพื่อสัมผัสทักทายตามธรรมเนียมฝรั่ง ดวงตาที่จ้องมองเลขาฯ สาวของประธานกรรมใหญ่ดูแวววับ เมื่อมองรวมกับรอยยิ้มกว้างนั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” เขมขวัญยื่นมือออกไปรับสัมผัสตามธรรมเนียม ไม่ค่อยชอบใจนักที่ชายตรงหน้าทำอ้อยอิ่งคล้ายไม่อยากปล่อยมือจนเธอต้องเป็นฝ่ายดึงมือออกมาจากอุ้งมือหนานั่นแทน
“ขอบคุณมากนะครับที่คุณอาสละเวลามาร่วมงานในวันนี้ ผมเกรงใจจริง ๆ” กริชนะพูดอย่างเกรงใจ
“อะไรกัน...หลานชาย วันนี้เป็นวันสำคัญของบริษัท จัดขึ้นเพื่อเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของหลาน และยังฉลองให้กับการรับตำแหน่งประธานกรรมการคนใหม่ อาไม่มาได้หรือ อย่าว่าแต่อาที่มาร่วมงานเลย ขนาดยัยพริ้มยังอ้อนวอนขอมาร่วมงานด้วย กริชคงจำยัยพริ้มลูกสาวอาได้นะ ตอนเด็กๆ สักสิบกว่าขวบชอบติดรถอาไปที่บ้านทรัพย์บริบูรณ์บ่อย ๆ” วีรยุทธเอ่ย ทั้งหันไปเรียกบุตรสาวที่เตร่อยู่ไม่ไกลให้เข้ามาสมทบ
ที่แท้ก็คือสาวสวยในชุดสีเพลิงคนนั้นนั่นเอง...ดูสิท่าเดินเยื้องย่างยังกะนางพญา ยิ่งเห็นระยะใกล้แบบนี้ก็ยิ่งสวย...
“ยัยพริ้ม มาสวัสดีพี่กริชหน่อยสิ” วีรยุทธบอกบุตรสาว
“สวัสดีค่ะพี่กริช...จำพริ้มได้ไหมคะ” หญิงสาวผู้มาใหม่เอ่ยทักทายอย่างสนิทสนม
“ครับจำได้...หน้าตาคุณพริ้มไม่ค่อยเปลี่ยนเลยนะครับ จะเปลี่ยนก็ตรงที่ดูเป็นผู้ใหญ่และสวยมาก” กริชนะเอ่ยตามความคิด
“คุยกับพี่กริชไปก่อนนะลูก เดี๋ยวพ่อไปแวะไปทักทายเพื่อนตรงโน้นก่อน...ขอตัวก่อนนะครับคุณกริช” วีรยุทธถือโอกาสปลีกตัว
“ครับ”
วีรยุทธปลีกตัวไปแล้ว บริเวณนั้นคงเหลือเฉพาะชายหนุ่มกับหญิงสาวอีกสอง ซึ่งหนึ่งในนั้นกำลังรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน
“พริ้มว่าพี่กริชดูเปลี่ยนไปเยอะนะคะ” หญิงสาวเอ่ยทั้งเอียงคอมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีที่น่ารักน่าเอ็นดู
“ยังไงครับ”
“พี่กริชแต่ก่อนผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ตอนนี้ผิวขาวจนสาว ๆ ประเทศนี้เห็นคงได้อิจฉา...แต่ที่แน่ ๆ พี่กริชหล่อซะจนพริ้มจำแทบไม่ได้”
“แสดงว่าเมื่อก่อนไม่หล่อ”
“หล่อซิคะแหม...แต่ตอนนี้หล่อว่าเยอะ ทั้งขาวทั้งหล่อเป็นหนุ่มเกาหลีเชียว” ว่าพลางหัวเราะ
“เป็นธรรมดาครับ ผมอยู่ในประเทศที่มีอากาศหนาว ไม่ค่อยได้เจอแดดแรง ๆ คาดว่าไม่นานสีผิวคงได้กลับมาเป็นหนุ่มไทยดั่งเดิม”
สุดจะทนเป็นส่วนเกินให้รู้สึกทั้งเบื่อและหิว เขมขวัญจึงค่อย ๆ ปลีกตัวจากคนทั้งคู่มาเงียบ ๆ บนเวทีมีการบรรเลงเพลงคาสสิกที่แสนจะไพเราะ ฝั่งด้านหนึ่งของเวที เป็นที่จัดวางอาหารนานาชนิด สีสันแปลกตาน่ารับประทาน
“รับเครื่องดื่มไหมครับ” บริการมาพร้อมถาดสีเงินบรรจุแก้วทรงสูงหลายใบ ปนกับแก้ววิสกี้บางส่วน ภายในแก้วมีน้ำสีสวยหลากสีสัน เขมขวัญเลือกหยิบมาหนึ่งแก้วก่อนที่บริกรจะเดินจากไป
“มันคืออะไรเหรอ” เธอถามด้วยความอยากรู้
“ค็อกเทลครับ ดื่มก่อนรับประทานอาหาร จะทำให้รู้สึกดี”
“อืม”
เขมขวัญหยิบมาหนึ่งแก้วอย่างไม่ขัดศรัทธา เธอค่อย ๆ จิบ รสชาติแปลกใหม่ที่เคยได้ยินชื่อ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง
“อร่อยดีแฮะ” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากอย่างถูกใจ “เห็นทีต้องขอเพิ่มซะแล้ว...แต่...”
เขมขวัญลูบท้องปอย ๆ ตอนนี้เธอรู้สึกหิวจริง ๆ คงเพราะน้ำหวานที่ดื่มไปเมื่อครู่เรียกน้ำย่อยให้ทำงานเร็วขึ้น ความคิดที่จะดื่มจึงถูกเปลี่ยนไปเป็นรับประทาน เมื่อเหลือบไปมองเจ้านาย เห็นเขายังคงสนทนากับสาวชุดเพลิงคนเดิม
“ช่างเถอะ ถ้าเจ้านายหิวก็คงมีปัญญาหาอะไรใส่ท้องเองหรอก” เธอยักไหล่ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร เลือกที่ดูกินง่ายน่าอร่อยมาเกือบเต็มจาน ไม่ลืมที่จะคว้าแก้วบรรจุน้ำสีสวยที่เพิ่งติดใจเมื่อได้ลิ้มลองมาด้วย เมื่อเห็นมันวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็มองหาโต๊ะว่าง มุมสงบนั่งจัดการมันอย่างเอร็ดอร่อย
“ขอโทษครับ ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”
เสียงทุ้ม ๆ ดังอยู่เบื้องหน้า ขัดความสุขในช่วงเวลาที่กำลังละเลียดรสชาติความแปลกใหม่ เขมขวัญเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบรอยยิ้มมิตรภาพที่ส่งมาทักทายบนใบหน้าคมสัน ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ
“พอดีว่าโต๊ะตัวอื่นถูกจองเต็มหมดแล้ว ผมเลยไม่มีที่จะนั่งจัดการอาหารจานนี้”
เขมขวัญมองจานในมือชายหนุ่มแล้วก็พยักหน้า “เชิญตามสบายค่ะ ฉันกำลังจะอิ่มพอดี” ว่าพลางคว้าจานมาถือ
“เดี๋ยวสิครับ นั่งด้วยกันเถอะ ถ้าคุณไปแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกผิดว่ามาแย่งที่นั่ง...ผม...ธนัญชัย ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
...รู้จักบ้าบออะไร ฉันยังไม่ทันได้แนะนำตัวซักนิด...
“รับเครื่องดื่มเพิ่มอีกไหมคะ” พนักงานถือถาดเครื่องดื่มเดินเข้ามาถามไถ่
เขมขวัญหยิบมาเพิ่มอีกแก้ว...ใจจริงอยากดื่มแก้วใหญ่กว่าไอ้แก้วรูปสามเหลี่ยมนี้ด้วยซ้ำ นึกสงสัยอยู่ว่าน้ำหวานรสชาตินี้คงจะแพงไม่น้อย เขาถึงให้ดื่มได้แค่ครั้งละอม
“คุณทำงานที่บริษัทนี้เหรอคะ”
“เปล่าครับ...แต่อย่าเอ็ดไป ผมไม่ได้รับเชิญมาหรอก แต่เห็นว่างานนี้มีอาหารอร่อย ๆ ทั้งนั้น ก็เลยขอหน้าด้านมาร่วมงานซะหน่อย” ชายหนุ่มถือวิสาสะทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่ว่าง ทั้งป้องปากโน้มเข้าไปใกล้หญิงสาวในท่ากระซิบ
“อ้าว...”
ในขณะเดียวกัน...เสียงเพลงที่กำลังบรรเลงเพราะพริ้งบนเวทีก็ได้หยุดเสียงลง เมื่อพิธีกรของงานได้ขึ้นเชิญท่านประธานของงานกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ
เขมขวัญมองร่างสูงสง่าผู้กำลังก้าวขึ้นสู่เวทีด้วยความชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ท่วงท่าที่งามสง่าดั่งพญาราชสีห์ ฐานะ หน้าที่การงานที่มั่นคง กริชนะช่างเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้านเสียจริง ๆ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ฟังคำกล่าวของเขาจนครบถ้วนกระบวนความ เมื่อสายตาพลันไปพบหญิงสาวในชุดสีเพลิงที่ก้าวขึ้นไปมอบดอกไม้ช่อใหญ่ให้ด้วยรอยยิ้มหวานหยด ทั้งจับมือ ทั้งโอบกอดตามธรรมเนียมฝรั่ง...ที่นี่เมืองไทยนะยะ...มันใช่หรือเปล่าที่ทำแบบนั้น...
“ชิ...” เธอเผลอค้อนให้กับภาพบนเวที ใบหน้าร้อน ๆ ชา ๆ แปลก ๆ เมื่อน้ำหวานแก้วที่สามผ่านลงคอไปจนหมด
“อย่าว่าผมเลยครับ ให้ผมกินอย่างอิ่มหนำเถอะดีกว่าเสียของ คุณก็ดูสิ มีใครแตะอาหารที่โต๊ะบ้างมั๊ย...ก็มีบ้าง...แบบแค่แมวดม ยังไงก็เหลือทิ้งบาน” เขายังชี้ไปยังกลุ่มสาววงสังคม “ยิ่งพวกผู้หญิงด้วยแล้ว กลัวเสียรูปเสียทรงกันซะส่วนใหญ่”
ดูเหมือนธนัญชัยจะไม่ได้ให้ความสนใจคนหรือกิจกรรมบนเวทีเลยแม้แต่น้อย...เออแฮะ...ผู้ชายคนนี้ มาถึงก็เจื้อยแจ้ว ยังกะรู้จักมักจี่กันมานาน... เท่าที่ดูหน้าตาท่าทางและการแต่งตัว ...เขมขวัญกวาดตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยดวงตาปรือๆ อย่าเห็นเธอเป็นเด็กอมมือ...ไม่เชื่อหรอก ว่าเขาจะเป็นเพียงคนที่แอบเข้ามารับประทานอาหารเพราะความหิวเพียงเท่านั้น แต่เธอก็ไม่ได้ทักท้วงหรือจับผิดอะไร...จะว่าไปแล้ว การที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีมานั่งคุยด้วยท่ามกลางฝูงชนคนแปลกหน้า ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“ว่าแต่...ผมจะเรียกคุณว่าไงดีครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” แล้วชายหนุ่มก็วกกลับมาในเรื่องที่เขาอยากรู้ที่สุด ตั้งแต่ยังยืนเตร่อยู่ในกลุ่มคน
“เขมขวัญค่ะ” ไม่จำเป็นต้องปิดบัง
“ชื่อแปลกดีนะครับ...มีความหมายหรือเปล่า”
“มีความหมายว่า เธอเป็นเลขาฯ ของฉัน”
คำตอบที่ตอบกลับมาหาใช่จากริมฝีปากอิ่มหยักได้รูปกระจับนั้น แต่มันดังขึ้นข้างหลัง บวกฝ่ามือหนัก ๆ ที่วางทับลงบนไหล่ให้เขาได้หันกลับไปมอง...สบตาอันบ่งบอกความหมายที่รู้กันแค่สองคน
...ชะหน็อยแน่...ประกาศตัวเป็นเจ้าของทั้งสายตาและคำพูดเชียวนะ... “อ้าว...ลงจากเวทีตั้งแต่เมื่อไหร่เพื่อน...แหม...นายนี่คงเป็นเจ้าของงานคนแรกและคนเดียวที่มีคำกล่าวทักทายแขกเหรื่อได้สั้นกระชับขนาดนี้” ธนัญชัยยิ้มกว้าง
“ไหมล่ะ...ว่าแล้วเชียว...ที่แท้นายธนัญชัยก็เป็นเพื่อนกับเจ้านาย” หญิงสาวคิดด้วยสมองที่เริ่มหมุนติ้ว
“ก็ต้องรีบลงมาให้ทันก่อนที่นายจะมอมเหล้าเลขาฯ ของฉันให้เมาปลิ้น” ว่าพลางเหลือบไปมองแก้วค็อกเทลเปล่า ๆ สองใบที่วางอยู่ แถมเจ้าตัวยังหันไปกวักมือเรียกพนักงาน เพื่อขอเพิ่มอีก
“พอแล้วน่า” กริชนะปฏิเสธแทน ทว่าอีกฝ่ายกลับคว้ามาไว้ในมือ แถมยังทำท่าหวงเมื่อเขาจะแย่งคืน
“แหม...ก็แค่แอลกอฮอล์อย่างอ่อน ๆ เด็กกินยังไม่เมาเลย...” นึกหมั่นไส้เจ้านายใหญ่ที่ทำเป็นห่วงลูกน้อง
“นายไม่รู้อะไร...อย่าว่าแต่ค็อกเทลสองสามแก้วนี่เลย แค่ไวน์แก้วเดียวก็ทำเอาเดี้ยงมาแล้ว...” ว่าพลางหันไปมองหญิงสาวซึ่งบัดนี้จัดการเครื่องดื่มของโปรดไปเรียบร้อยโดยเขายังไม่ทันได้ห้าม แถมยังหันมายิ้มหวานเยิ้ม...เอาแล้วไหมล่ะ...
“โห...จริงดิ...” ธนัญชัยถามด้วยศัพท์แสงวัยรุ่น ที่ติดมาจากเด็กสาว ๆ ที่เขาตามจีบ
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นแวะเข้าไปทักทายกันบ้าง” กริชนะไม่ยืนยันคำตอบ แต่เขายกเก้าอี้มาวางแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่ก่อนแทน
“ก็ไม่นานเท่าไหร่...เรื่องทักทายเจ้าภาพมันเรื่องเล็กเมื่อเทียบกับความหิว...ฉันเลยต้องหาอะไรรองท้องก่อน”
“แล้วอิ่มหรือยัง”
“ก็กินได้เรื่อย ๆ” ว่าพลางจิ้มเนื้อปั้นก้อนเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
“เรื่องคดีของคุณป้า ฉันกำหนดวันที่จะไปแล้วนะ แกช่วยแจ้งนัดหมายทางโน้นให้ด้วย” กริชนะเข้าเรื่อง
“ได้สิ...เมื่อไหร่ล่ะ”
“อีกสองวัน”
“โอ.เค....ว่าแต่...” ธนัญชัยหรี่ตามองเพื่อนอย่างต้องการจับพิรุธ ทั้งยังโน้มเข้ากระซิบกระซาบถาม “สาวชุดแดงคนนั้นน่าสนใจดีนะ ดูเหมือนเธอจะชอบนายซะด้วยสิ”
ถึงจะเป็นเพียงการกระซิบ แต่คนที่นั่งอยู่ใกล้อย่างเขมขวัญก็ยังสามารถได้ยินได้ชัด เพราะสติที่เริ่มจะควบคุมไม่อยู่ หญิงสาวจึงเอนตัวเข้าใกล้เจ้านายเพื่อฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนโลกจะหมุนเร็วเกินไปหน่อยทำให้เกิดอาการตาลาย ท้องไส้ปั่นป่วน สิ่งที่เพิ่มใส่ลงในกระเพาะบรรเทาอาการหิว จึงมีอันได้ขย่อนออกมากองใส่หน้าตักเจ้านายซะเป็นหอบ
“เหวอ...”
ธนัญชัยรีบลุกขึ้นยืนเพื่อหลบลูกหลง แต่กริชนะนั้นนิ่งกว่า เขาพยุงร่างบางที่เอนเข้ามาซบอกเอาไว้ คว้ากระดาษชำระเช็ดปาก และเศษอาหารที่ตักออก ก่อนจะรีบพยุงเลขาฯ ขี้เมาให้ลุกขึ้น
“นายจะไปไหน” ธนัญชัยถามขึ้น
“พายัยขี้เมากลับบ้าน”
“แล้วงานทางนี้ล่ะ นายเป็นเจ้าภาพไม่ใช่เหรอ”
“ก็ช่างสิ...ถ้าคนในงานไม่เห็นฉัน เดี๋ยวคงทยอยกลับกันไปเองแหล่ะ” กริชนะบอกอย่างไม่แคร์สิ่งใด เขาพยุงร่างบางที่เริ่มจะช่วยตัวเองไม่ได้เลี่ยงออกนอกงานทิ้งให้เพื่อนยืนมองตามหลังไปด้วยสีหน้างุนงง
ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวรัดด้วยกระดุมสีทองที่ข้อมือเก็บชายเสื้อลงในกระโปรงสีน้ำตาลเข้มเรียบร้อยก้าวยาว ๆ ไปตามไหล่ทางด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก ที่ไหล่ของเธอสะพายกระเป๋าผ้าขนาดกะทัดรัดพอจะบรรจุซองเอกสารซองใหญ่เอาไว้ได้ เวลานี้ยังเช้าอยู่มาก ประจวบกับอาการเหมือนจะเมาค้าง การเดินทางเป็นไปอย่างไม่รีบเร่ง
“ยัยขวัญเอ๊ยยัยขวัญ...เมาไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ” เธอบ่นให้ตัวเองอย่างหัวเสีย พยายามนึกถึงเหตุการณ์ช่วงที่เจ้านายหนุ่มเดินเข้ามาสมทบหลังลงจากเวที นึกยังไงก็นึกไม่ออก มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว แถมเสื้อผ้าที่ใส่ไปงานยังถูกเปลี่ยนออกเป็นชุดนอนตัวเก่งซะได้ นึกสงสัยจริง ๆ ว่าใครกันนะเปลี่ยนชุดให้เธอ นึกหวั่นว่าจะเป็น...แต่มาคิดดูอีกทีไม่น่าจะใช่...
แต่ถึงยังไงเธอก็คงไม่มีหน้าพบเจ้านายแน่ ๆ ในวันนี้ จึงตัดสินใจเดินทางไปบริษัท โดยไม่หวังพึ่งพาใคร ไว้หลาย ๆ วันให้ความรู้สึกอับอายซาลง ค่อยว่ากันอีกที และในโอกาสนี้หลังเลิกงานเขมขวัญก็ถือโอกาสนำเอกสารไปส่งให้ตามสัญญาที่ให้ไว้ซะเลย
มือเล็กๆ ลูบไปที่กระเป๋าผ้าเมื่อคิดไปถึงเอกสารซองเจ้าปัญหานั่น ภายในบรรจุอะไรอยู่เขมขวัญไม่กล้าจะเปิดออกดู ก็เจ้าของเฮี้ยนซะขนาดนั้น แต่ความอยากรู้ที่ก่อกวนจิตใจในเวลานี้ก็มีอยู่ไม่น้อย
“อยากรู้จัง...ขอดูหน่อยได้ไหมคะคุณป้า” เขมขวัญเอ่ยปากออกมาแล้วก็เงี่ยหูฟังสัญญาณที่มักจะดังแว่วมาให้ได้ยินเสมอ ทว่าเวลานี้กลับเงียบฉี่
หญิงสาวหยิบเอกสารฉบับนั้นออกมาถือไว้ในมือ...มองมันอย่างชั่งใจ แล้วก็ตัดสินใจโมเม “ไม่ตอบหนูจะถือว่าคุณป้าอนุญาตนะ”
เธอตัดสินใจแกะเชือกที่รัดดุมนั้นออก เป็นจังหวะเดียวกันกับรถยนต์คันหนึ่งที่แล่นผ่านแล้วเผอิญเหยียบหินก้อนเล็กๆ กระเด็นถูกศีรษะของเธอเข้าอย่างจัง แม้ไม่แรงมากจนจนเกิดบาดแผล ทว่านั่นก็ทำให้เธอถึงกับต้องนั่งลงกุมศีรษะเลยทีเดียว
“อุ๊ย...ไม่อนุญาต บอกกันดี ๆ ก็ได้...ทำไมต้องทำรุนแรงลงไม่ลงมือกันแบบนี้ด้วยเล่า” ว่าพลางลูบหัวปอย ๆ แล้วก็ยัดซองเอกสารเก็บเข้าที่เดิม ไม่ได้สนใจว่าจะมีรถกี่คันวิ่งผ่านหรือวิ่งเข้ามาเทียบทางเท้าที่เธอกำลังคิดบ่นให้กันสิ่งที่มองไม่เห็น
“เขมขวัญ”
ชื่อเขมขวัญน่าจะไม่ใช่ชื่อโหล แน่นอน ขนาดเพื่อนของเจ้านายยังบอกเลยว่าชื่อของเธอแปลก เสียงเรียก แม้ไม่ถึงกับตะโกน แต่ก็ดังฟังชัดเจนพอที่หญิงสาวเจ้าของชื่อผู้กำลังจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้หันกลับมามอง...คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนเรียก
“เอ่อ...” ภาพชายหนุ่มที่ชะโงกหน้าออกมามอง ทำให้เขมขวัญเกิดอาการลังเล
“คุณจะไปไหน ออกจากบ้านแต่เช้าขนาดนี้” กริชนะถาม สายตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหวานที่น่าจะลูบแค่แป้งฝุ่นบาง ๆ กับลิปสติกสีอ่อน ไร้การแต่งแต้มสีสันฉูดฉาด อย่างที่เคยเห็นในสาวสังคมชั้นสูงทั่วไป
“เอ่อ...ปะ...ไปทำงานค่ะ”
“ทำไมไม่รอไปด้วยกัน แล้วนี่อาการดีขึ้นแล้วเหรอ ฟื้นตัวได้ไวนี่”
ทำไมต้องมาย้ำไอ้เรื่องน่าอายแบบนั้นด้วยนะ...
“คะ...คือ...ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“งั้นก็ขึ้นรถ ยังไงเราก็ไปทำงานที่เดียวกันอยู่แล้ว” กริชนะว่าพลางเอื้อมมือไปเปิดประตูด้านที่เขานั่งทั้งขยับให้เลขานุการสาวเพื่อสะดวกที่เธอจะก้าวขึ้นมานั่งด้วยกัน
“ขึ้นมาเถอะหนู...”
เสียงเชิญชวนอีกเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในโสตประสาททำเอาเขมขวัญถึงกับขนลุกซู่ อะไรกันเนี่ย...คิดจะพูดก็พูด ทีเมื่อกี้ทำไมไม่พูด หญิงสาวหันซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เจ็บตัวเมื่อครู่
“ฉันไม่ได้ทำซักหน่อย” เสียงนั้นปฏิเสธ
“เร็วสิ...ผมมีธุระเหมือนกันนะ ไม่อยากไปสาย” เจ้าของรถเร่ง เมื่อเห็นหญิงสาวยังมีทีท่าลังเล
วันนี้ชายหนุ่มนั่งจิบกาแฟรอคนที่ถูกสั่งให้มาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันจนกระทั่งเกือบสายก็ไร้วี่แวว พอถามเด็กรับใช้ถึงได้ทราบว่าเธอเดินทางออกมาก่อนแล้ว ก็พอรู้อยู่บ้างว่าฝ่ายนั้นคงอับอายในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่จะว่าไปแล้วนอกจากการอาเจียนรดกางเกงเขาแล้วหลับไม่รู้เรื่อง อย่างอื่นก็ไม่ได้น่าอายเท่ากับพฤติกรรมที่ผ่านมาเลยสักนิด
“เร็ว...”
น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดรำคาญใจดังขึ้นอีกครั้ง
“ค่ะ ๆๆๆ” คราวนี้เขมขวัญรีบก้าวขึ้นนั่งข้างเจ้านายอย่างรวดเร็ว...ไม่อยากเสี่ยงให้เจ้านายหนุ่มเกิดอาการโกรธเกรี้ยว เพราะยากจะคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่ได้ เขาอาจหาเรื่องไล่เธอออกจากบ้านก่อนที่เธอจะทันได้หาที่อยู่ใหม่ได้ หรือที่ร้ายกว่านั้น เธออาจต้องตกงานเอาง่าย ๆ
อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประธานกรรมการจะควงสาวสวยมีหน้ามีตาในสังคมเข้ามาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการ และไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะเดินทางไปร่วมงานโดยไร้ผู้ติดตาม ทว่างานนี้ดูแปลกอยู่สักหน่อยที่คนติดตามท่านประธานเป็นหญิงสาวแปลกหน้าที่ไม่มีใครเคยพบเห็นหรือรู้จักหน้าค่าตาในวงสังคมมาก่อน เป็นเหตุให้ทันทีที่กริชนะก้าวเข้าสู่บริเวณห้องจัดเลี้ยง เขาได้รับการทักทายทำความเคารพแทบจะทุกฝีก้าว ทว่าทุกครั้งที่สายตาชื่นชมของบุคคลเหล่านั้นที่จ้องมองเขา สุดท้ายจะหันเหไปยังหญิงสาวในชุดราตรีสีน้ำทะเลผู้เดินตามหลังทุกครั้ง
ประวัติชีวิตของกริชนะเป็นที่สนใจในวงสังคมว่าเขาคือชายหนุ่มผู้โชคดีได้รับมรดกพันล้าน และขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่วัยเพิ่งจะย่างสามสิบ ที่สำคัญยังโสดสนิท งานนี้จึงเป็นงานที่จัดขึ้นด้วยมติที่ประชุมกรรมการผู้ถือหุ้นในการเลี้ยงต้อนรับและฉลองการเข้ารับตำแหน่งใหม่อย่างเป็นทางการโดยมีนัยสำคัญแฝงอยู่ แขกเหรื่อคนสำคัญหลายรายจึงควงคู่บุตรสาวมาร่วมงานประชันขันแข่งกันทำทุกอย่างเพื่อให้ตนสวยและโดดเด่นที่สุดในงาน
“ยังกะงานเลี้ยงเต้นรำหาคู่ให้เจ้าชายเลยแฮะ” เขมขวัญอดพึมพำออกมาไม่ได้ เมื่อเธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณอย่างตะลึงตะลาน
“พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง...ตามมาเงียบ ๆ ”
เสียงคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเธอเอ็ดเบา ๆ ทำให้ต้องหุบปากฉับด้วยไม่คิดว่าเขาจะให้ความสนใจเธอมากถึงขนาดได้ยินคำปรารภเบา ๆ นั้น
หญิงสาวเดินตามหลังเจ้านายไปตามคำสั่ง ทว่าสายตาก็ยังคงมองไปรอบ ๆ ห้องจัดเลี้ยงด้วยความตื่นเต้น นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เธอมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่โต หรูหรา ฟู่ฟ่า ขนาดนี้ ทุกคนที่มาร่วมงานล้วนแต่งตัวสวย สง่า ภูมิฐานสมฐานะ และนั่นมันทำให้เธออดก้มลงมองชุดราตรีที่กำลังสวมอยู่ไม่ได้...
งานนี้ต้องขอบคุณเจ้านายที่รอบคอบ ซื้อชุดราตรียาวสุดสวยชุดนี้มาพร้อมกับชุดทำงานชุดใหม่ให้ในครานั้น ทำให้เธอสามารถรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทเอาไว้ได้ตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นนาย ถึงชุดจะสวย ใบหน้าจะถูกแต่งแต้มสีสันให้เข้มขึ้นกว่าปกติ เกล้าผมเป็นมวยเล็ก ๆ ทิ้งลูกผมที่เธอม้วนให้เป็นเกลียวเต้นหยอย ๆ ข้างหู แต่การแต่งตัวของเธอก็ยังถือว่าเป็นไปอย่างเรียบง่ายและธรรมดามาก ๆ เมื่อเทียบกับบุคคลอื่น ๆ ที่มาร่วมงาน
จำสายตาคมกล้าของเจ้านายได้เป็นอย่างดีในครั้งแรกที่เธอเดินมาสมทบที่รถ เพื่อร่วมเดินทางมาสถานที่จัดเลี้ยง ดวงตาเขามองนิ่ง นาน และดูวับวาวชอบกล เธอไม่เข้าใจความหมายของการมองแบบนั้น แต่ก็รู้สึกโล่งอกที่ไม่ถูกเขาติติงเรื่องการแต่งตัว นั่นอาจเป็นเพราะเธอสวมชุดที่เขาซื้อให้ ไม่ใช่ชุดที่มักถูกค่อนขอดว่าเชยเป็นมนุษย์ป้า แต่ เมื่อเทียบกับหญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงคนนั้น เขมขวัญบอกตัวเองได้ในวินาทีนี้เลยว่า ตัวเธอยังห่างชั้นกับสาวสังคมชั้นสูงจนแทบจะไม่ติดฝุ่น
มัวแต่มองสาวสวยเพลิดเพลินด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กๆ โดยไม่ทันสังเกตเจ้านายที่หยุดเดินกะทันหันเมื่อมีแขกคนสำคัญเข้ามาทักทาย...ร่างบางเผลอชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำหน้าอย่างจัง แม้ไม่แรง แต่ก็ทำให้เธอเซ เพราะไม่คุ้นชินกับรองเท้าส้นแหลมคู่สวยที่สวมอยู่ อาการตกใจอย่างห้ามไม่ได้
แต่สิ่งที่เขมขวัญรับรู้ว่าตกใจมากกว่าอื่นใดน่าจะเป็นฝ่ามืออุ่นที่คว้ากระชับต้นแขนของเธอพยุงเอาไว้ทั้งยังดึงให้เธอก้าวขึ้นมายืนเคียงข้าง แถมยังเลื่อนมือมาแตะเอวคอดเล็กในลักษณะโอบนี่ต่างหากล่ะ เธอเหลือบมองมือที่เอว สลับกับมองหน้าคนโอบ ดูเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยสักนิด นี่คงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติโดยปกติของเขากระมัง
“เขมขวัญ นี่คือคุณอาวีรยุทธ ท่านเป็นกรรมการผู้ถือหุ้นคนสำคัญของบริษัท เป็นรองประธานกรรมการที่ท่านประธานคนก่อนให้ความไว้วางใจอย่างมาก เพราะท่านช่วยให้บริษัทในเครือทรัพย์บริบูรณ์เจริญรุดหน้าจนกลายเป็นบริษัทส่งออกชั้นแนวหน้าของประเทศ”
“สวัสดีค่ะ” เขมขวัญยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
“ส่วนนี่ เขมขวัญ เลขาฯ คนใหม่ของผม” กริชนะแนะนำไม่มีเคอะเขิน หรือถือความเป็นนาย
“โอ้...สวัสดีครับคุณเขมขวัญยินดีที่ได้รู้จัก”
ชายผู้เป็นได้รับเชิญมาเป็นเกียรติเอ่ยขึ้น มือใหญ่ยื่นมาข้างหน้าเพื่อสัมผัสทักทายตามธรรมเนียมฝรั่ง ดวงตาที่จ้องมองเลขาฯ สาวของประธานกรรมใหญ่ดูแวววับ เมื่อมองรวมกับรอยยิ้มกว้างนั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” เขมขวัญยื่นมือออกไปรับสัมผัสตามธรรมเนียม ไม่ค่อยชอบใจนักที่ชายตรงหน้าทำอ้อยอิ่งคล้ายไม่อยากปล่อยมือจนเธอต้องเป็นฝ่ายดึงมือออกมาจากอุ้งมือหนานั่นแทน
“ขอบคุณมากนะครับที่คุณอาสละเวลามาร่วมงานในวันนี้ ผมเกรงใจจริง ๆ” กริชนะพูดอย่างเกรงใจ
“อะไรกัน...หลานชาย วันนี้เป็นวันสำคัญของบริษัท จัดขึ้นเพื่อเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของหลาน และยังฉลองให้กับการรับตำแหน่งประธานกรรมการคนใหม่ อาไม่มาได้หรือ อย่าว่าแต่อาที่มาร่วมงานเลย ขนาดยัยพริ้มยังอ้อนวอนขอมาร่วมงานด้วย กริชคงจำยัยพริ้มลูกสาวอาได้นะ ตอนเด็กๆ สักสิบกว่าขวบชอบติดรถอาไปที่บ้านทรัพย์บริบูรณ์บ่อย ๆ” วีรยุทธเอ่ย ทั้งหันไปเรียกบุตรสาวที่เตร่อยู่ไม่ไกลให้เข้ามาสมทบ
ที่แท้ก็คือสาวสวยในชุดสีเพลิงคนนั้นนั่นเอง...ดูสิท่าเดินเยื้องย่างยังกะนางพญา ยิ่งเห็นระยะใกล้แบบนี้ก็ยิ่งสวย...
“ยัยพริ้ม มาสวัสดีพี่กริชหน่อยสิ” วีรยุทธบอกบุตรสาว
“สวัสดีค่ะพี่กริช...จำพริ้มได้ไหมคะ” หญิงสาวผู้มาใหม่เอ่ยทักทายอย่างสนิทสนม
“ครับจำได้...หน้าตาคุณพริ้มไม่ค่อยเปลี่ยนเลยนะครับ จะเปลี่ยนก็ตรงที่ดูเป็นผู้ใหญ่และสวยมาก” กริชนะเอ่ยตามความคิด
“คุยกับพี่กริชไปก่อนนะลูก เดี๋ยวพ่อไปแวะไปทักทายเพื่อนตรงโน้นก่อน...ขอตัวก่อนนะครับคุณกริช” วีรยุทธถือโอกาสปลีกตัว
“ครับ”
วีรยุทธปลีกตัวไปแล้ว บริเวณนั้นคงเหลือเฉพาะชายหนุ่มกับหญิงสาวอีกสอง ซึ่งหนึ่งในนั้นกำลังรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน
“พริ้มว่าพี่กริชดูเปลี่ยนไปเยอะนะคะ” หญิงสาวเอ่ยทั้งเอียงคอมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีที่น่ารักน่าเอ็นดู
“ยังไงครับ”
“พี่กริชแต่ก่อนผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ตอนนี้ผิวขาวจนสาว ๆ ประเทศนี้เห็นคงได้อิจฉา...แต่ที่แน่ ๆ พี่กริชหล่อซะจนพริ้มจำแทบไม่ได้”
“แสดงว่าเมื่อก่อนไม่หล่อ”
“หล่อซิคะแหม...แต่ตอนนี้หล่อว่าเยอะ ทั้งขาวทั้งหล่อเป็นหนุ่มเกาหลีเชียว” ว่าพลางหัวเราะ
“เป็นธรรมดาครับ ผมอยู่ในประเทศที่มีอากาศหนาว ไม่ค่อยได้เจอแดดแรง ๆ คาดว่าไม่นานสีผิวคงได้กลับมาเป็นหนุ่มไทยดั่งเดิม”
สุดจะทนเป็นส่วนเกินให้รู้สึกทั้งเบื่อและหิว เขมขวัญจึงค่อย ๆ ปลีกตัวจากคนทั้งคู่มาเงียบ ๆ บนเวทีมีการบรรเลงเพลงคาสสิกที่แสนจะไพเราะ ฝั่งด้านหนึ่งของเวที เป็นที่จัดวางอาหารนานาชนิด สีสันแปลกตาน่ารับประทาน
“รับเครื่องดื่มไหมครับ” บริการมาพร้อมถาดสีเงินบรรจุแก้วทรงสูงหลายใบ ปนกับแก้ววิสกี้บางส่วน ภายในแก้วมีน้ำสีสวยหลากสีสัน เขมขวัญเลือกหยิบมาหนึ่งแก้วก่อนที่บริกรจะเดินจากไป
“มันคืออะไรเหรอ” เธอถามด้วยความอยากรู้
“ค็อกเทลครับ ดื่มก่อนรับประทานอาหาร จะทำให้รู้สึกดี”
“อืม”
เขมขวัญหยิบมาหนึ่งแก้วอย่างไม่ขัดศรัทธา เธอค่อย ๆ จิบ รสชาติแปลกใหม่ที่เคยได้ยินชื่อ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง
“อร่อยดีแฮะ” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากอย่างถูกใจ “เห็นทีต้องขอเพิ่มซะแล้ว...แต่...”
เขมขวัญลูบท้องปอย ๆ ตอนนี้เธอรู้สึกหิวจริง ๆ คงเพราะน้ำหวานที่ดื่มไปเมื่อครู่เรียกน้ำย่อยให้ทำงานเร็วขึ้น ความคิดที่จะดื่มจึงถูกเปลี่ยนไปเป็นรับประทาน เมื่อเหลือบไปมองเจ้านาย เห็นเขายังคงสนทนากับสาวชุดเพลิงคนเดิม
“ช่างเถอะ ถ้าเจ้านายหิวก็คงมีปัญญาหาอะไรใส่ท้องเองหรอก” เธอยักไหล่ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร เลือกที่ดูกินง่ายน่าอร่อยมาเกือบเต็มจาน ไม่ลืมที่จะคว้าแก้วบรรจุน้ำสีสวยที่เพิ่งติดใจเมื่อได้ลิ้มลองมาด้วย เมื่อเห็นมันวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็มองหาโต๊ะว่าง มุมสงบนั่งจัดการมันอย่างเอร็ดอร่อย
“ขอโทษครับ ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”
เสียงทุ้ม ๆ ดังอยู่เบื้องหน้า ขัดความสุขในช่วงเวลาที่กำลังละเลียดรสชาติความแปลกใหม่ เขมขวัญเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบรอยยิ้มมิตรภาพที่ส่งมาทักทายบนใบหน้าคมสัน ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ
“พอดีว่าโต๊ะตัวอื่นถูกจองเต็มหมดแล้ว ผมเลยไม่มีที่จะนั่งจัดการอาหารจานนี้”
เขมขวัญมองจานในมือชายหนุ่มแล้วก็พยักหน้า “เชิญตามสบายค่ะ ฉันกำลังจะอิ่มพอดี” ว่าพลางคว้าจานมาถือ
“เดี๋ยวสิครับ นั่งด้วยกันเถอะ ถ้าคุณไปแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกผิดว่ามาแย่งที่นั่ง...ผม...ธนัญชัย ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
...รู้จักบ้าบออะไร ฉันยังไม่ทันได้แนะนำตัวซักนิด...
“รับเครื่องดื่มเพิ่มอีกไหมคะ” พนักงานถือถาดเครื่องดื่มเดินเข้ามาถามไถ่
เขมขวัญหยิบมาเพิ่มอีกแก้ว...ใจจริงอยากดื่มแก้วใหญ่กว่าไอ้แก้วรูปสามเหลี่ยมนี้ด้วยซ้ำ นึกสงสัยอยู่ว่าน้ำหวานรสชาตินี้คงจะแพงไม่น้อย เขาถึงให้ดื่มได้แค่ครั้งละอม
“คุณทำงานที่บริษัทนี้เหรอคะ”
“เปล่าครับ...แต่อย่าเอ็ดไป ผมไม่ได้รับเชิญมาหรอก แต่เห็นว่างานนี้มีอาหารอร่อย ๆ ทั้งนั้น ก็เลยขอหน้าด้านมาร่วมงานซะหน่อย” ชายหนุ่มถือวิสาสะทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่ว่าง ทั้งป้องปากโน้มเข้าไปใกล้หญิงสาวในท่ากระซิบ
“อ้าว...”
ในขณะเดียวกัน...เสียงเพลงที่กำลังบรรเลงเพราะพริ้งบนเวทีก็ได้หยุดเสียงลง เมื่อพิธีกรของงานได้ขึ้นเชิญท่านประธานของงานกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ
เขมขวัญมองร่างสูงสง่าผู้กำลังก้าวขึ้นสู่เวทีด้วยความชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ท่วงท่าที่งามสง่าดั่งพญาราชสีห์ ฐานะ หน้าที่การงานที่มั่นคง กริชนะช่างเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้านเสียจริง ๆ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ฟังคำกล่าวของเขาจนครบถ้วนกระบวนความ เมื่อสายตาพลันไปพบหญิงสาวในชุดสีเพลิงที่ก้าวขึ้นไปมอบดอกไม้ช่อใหญ่ให้ด้วยรอยยิ้มหวานหยด ทั้งจับมือ ทั้งโอบกอดตามธรรมเนียมฝรั่ง...ที่นี่เมืองไทยนะยะ...มันใช่หรือเปล่าที่ทำแบบนั้น...
“ชิ...” เธอเผลอค้อนให้กับภาพบนเวที ใบหน้าร้อน ๆ ชา ๆ แปลก ๆ เมื่อน้ำหวานแก้วที่สามผ่านลงคอไปจนหมด
“อย่าว่าผมเลยครับ ให้ผมกินอย่างอิ่มหนำเถอะดีกว่าเสียของ คุณก็ดูสิ มีใครแตะอาหารที่โต๊ะบ้างมั๊ย...ก็มีบ้าง...แบบแค่แมวดม ยังไงก็เหลือทิ้งบาน” เขายังชี้ไปยังกลุ่มสาววงสังคม “ยิ่งพวกผู้หญิงด้วยแล้ว กลัวเสียรูปเสียทรงกันซะส่วนใหญ่”
ดูเหมือนธนัญชัยจะไม่ได้ให้ความสนใจคนหรือกิจกรรมบนเวทีเลยแม้แต่น้อย...เออแฮะ...ผู้ชายคนนี้ มาถึงก็เจื้อยแจ้ว ยังกะรู้จักมักจี่กันมานาน... เท่าที่ดูหน้าตาท่าทางและการแต่งตัว ...เขมขวัญกวาดตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยดวงตาปรือๆ อย่าเห็นเธอเป็นเด็กอมมือ...ไม่เชื่อหรอก ว่าเขาจะเป็นเพียงคนที่แอบเข้ามารับประทานอาหารเพราะความหิวเพียงเท่านั้น แต่เธอก็ไม่ได้ทักท้วงหรือจับผิดอะไร...จะว่าไปแล้ว การที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีมานั่งคุยด้วยท่ามกลางฝูงชนคนแปลกหน้า ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“ว่าแต่...ผมจะเรียกคุณว่าไงดีครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” แล้วชายหนุ่มก็วกกลับมาในเรื่องที่เขาอยากรู้ที่สุด ตั้งแต่ยังยืนเตร่อยู่ในกลุ่มคน
“เขมขวัญค่ะ” ไม่จำเป็นต้องปิดบัง
“ชื่อแปลกดีนะครับ...มีความหมายหรือเปล่า”
“มีความหมายว่า เธอเป็นเลขาฯ ของฉัน”
คำตอบที่ตอบกลับมาหาใช่จากริมฝีปากอิ่มหยักได้รูปกระจับนั้น แต่มันดังขึ้นข้างหลัง บวกฝ่ามือหนัก ๆ ที่วางทับลงบนไหล่ให้เขาได้หันกลับไปมอง...สบตาอันบ่งบอกความหมายที่รู้กันแค่สองคน
...ชะหน็อยแน่...ประกาศตัวเป็นเจ้าของทั้งสายตาและคำพูดเชียวนะ... “อ้าว...ลงจากเวทีตั้งแต่เมื่อไหร่เพื่อน...แหม...นายนี่คงเป็นเจ้าของงานคนแรกและคนเดียวที่มีคำกล่าวทักทายแขกเหรื่อได้สั้นกระชับขนาดนี้” ธนัญชัยยิ้มกว้าง
“ไหมล่ะ...ว่าแล้วเชียว...ที่แท้นายธนัญชัยก็เป็นเพื่อนกับเจ้านาย” หญิงสาวคิดด้วยสมองที่เริ่มหมุนติ้ว
“ก็ต้องรีบลงมาให้ทันก่อนที่นายจะมอมเหล้าเลขาฯ ของฉันให้เมาปลิ้น” ว่าพลางเหลือบไปมองแก้วค็อกเทลเปล่า ๆ สองใบที่วางอยู่ แถมเจ้าตัวยังหันไปกวักมือเรียกพนักงาน เพื่อขอเพิ่มอีก
“พอแล้วน่า” กริชนะปฏิเสธแทน ทว่าอีกฝ่ายกลับคว้ามาไว้ในมือ แถมยังทำท่าหวงเมื่อเขาจะแย่งคืน
“แหม...ก็แค่แอลกอฮอล์อย่างอ่อน ๆ เด็กกินยังไม่เมาเลย...” นึกหมั่นไส้เจ้านายใหญ่ที่ทำเป็นห่วงลูกน้อง
“นายไม่รู้อะไร...อย่าว่าแต่ค็อกเทลสองสามแก้วนี่เลย แค่ไวน์แก้วเดียวก็ทำเอาเดี้ยงมาแล้ว...” ว่าพลางหันไปมองหญิงสาวซึ่งบัดนี้จัดการเครื่องดื่มของโปรดไปเรียบร้อยโดยเขายังไม่ทันได้ห้าม แถมยังหันมายิ้มหวานเยิ้ม...เอาแล้วไหมล่ะ...
“โห...จริงดิ...” ธนัญชัยถามด้วยศัพท์แสงวัยรุ่น ที่ติดมาจากเด็กสาว ๆ ที่เขาตามจีบ
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นแวะเข้าไปทักทายกันบ้าง” กริชนะไม่ยืนยันคำตอบ แต่เขายกเก้าอี้มาวางแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่ก่อนแทน
“ก็ไม่นานเท่าไหร่...เรื่องทักทายเจ้าภาพมันเรื่องเล็กเมื่อเทียบกับความหิว...ฉันเลยต้องหาอะไรรองท้องก่อน”
“แล้วอิ่มหรือยัง”
“ก็กินได้เรื่อย ๆ” ว่าพลางจิ้มเนื้อปั้นก้อนเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
“เรื่องคดีของคุณป้า ฉันกำหนดวันที่จะไปแล้วนะ แกช่วยแจ้งนัดหมายทางโน้นให้ด้วย” กริชนะเข้าเรื่อง
“ได้สิ...เมื่อไหร่ล่ะ”
“อีกสองวัน”
“โอ.เค....ว่าแต่...” ธนัญชัยหรี่ตามองเพื่อนอย่างต้องการจับพิรุธ ทั้งยังโน้มเข้ากระซิบกระซาบถาม “สาวชุดแดงคนนั้นน่าสนใจดีนะ ดูเหมือนเธอจะชอบนายซะด้วยสิ”
ถึงจะเป็นเพียงการกระซิบ แต่คนที่นั่งอยู่ใกล้อย่างเขมขวัญก็ยังสามารถได้ยินได้ชัด เพราะสติที่เริ่มจะควบคุมไม่อยู่ หญิงสาวจึงเอนตัวเข้าใกล้เจ้านายเพื่อฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนโลกจะหมุนเร็วเกินไปหน่อยทำให้เกิดอาการตาลาย ท้องไส้ปั่นป่วน สิ่งที่เพิ่มใส่ลงในกระเพาะบรรเทาอาการหิว จึงมีอันได้ขย่อนออกมากองใส่หน้าตักเจ้านายซะเป็นหอบ
“เหวอ...”
ธนัญชัยรีบลุกขึ้นยืนเพื่อหลบลูกหลง แต่กริชนะนั้นนิ่งกว่า เขาพยุงร่างบางที่เอนเข้ามาซบอกเอาไว้ คว้ากระดาษชำระเช็ดปาก และเศษอาหารที่ตักออก ก่อนจะรีบพยุงเลขาฯ ขี้เมาให้ลุกขึ้น
“นายจะไปไหน” ธนัญชัยถามขึ้น
“พายัยขี้เมากลับบ้าน”
“แล้วงานทางนี้ล่ะ นายเป็นเจ้าภาพไม่ใช่เหรอ”
“ก็ช่างสิ...ถ้าคนในงานไม่เห็นฉัน เดี๋ยวคงทยอยกลับกันไปเองแหล่ะ” กริชนะบอกอย่างไม่แคร์สิ่งใด เขาพยุงร่างบางที่เริ่มจะช่วยตัวเองไม่ได้เลี่ยงออกนอกงานทิ้งให้เพื่อนยืนมองตามหลังไปด้วยสีหน้างุนงง
ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวรัดด้วยกระดุมสีทองที่ข้อมือเก็บชายเสื้อลงในกระโปรงสีน้ำตาลเข้มเรียบร้อยก้าวยาว ๆ ไปตามไหล่ทางด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก ที่ไหล่ของเธอสะพายกระเป๋าผ้าขนาดกะทัดรัดพอจะบรรจุซองเอกสารซองใหญ่เอาไว้ได้ เวลานี้ยังเช้าอยู่มาก ประจวบกับอาการเหมือนจะเมาค้าง การเดินทางเป็นไปอย่างไม่รีบเร่ง
“ยัยขวัญเอ๊ยยัยขวัญ...เมาไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ” เธอบ่นให้ตัวเองอย่างหัวเสีย พยายามนึกถึงเหตุการณ์ช่วงที่เจ้านายหนุ่มเดินเข้ามาสมทบหลังลงจากเวที นึกยังไงก็นึกไม่ออก มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว แถมเสื้อผ้าที่ใส่ไปงานยังถูกเปลี่ยนออกเป็นชุดนอนตัวเก่งซะได้ นึกสงสัยจริง ๆ ว่าใครกันนะเปลี่ยนชุดให้เธอ นึกหวั่นว่าจะเป็น...แต่มาคิดดูอีกทีไม่น่าจะใช่...
แต่ถึงยังไงเธอก็คงไม่มีหน้าพบเจ้านายแน่ ๆ ในวันนี้ จึงตัดสินใจเดินทางไปบริษัท โดยไม่หวังพึ่งพาใคร ไว้หลาย ๆ วันให้ความรู้สึกอับอายซาลง ค่อยว่ากันอีกที และในโอกาสนี้หลังเลิกงานเขมขวัญก็ถือโอกาสนำเอกสารไปส่งให้ตามสัญญาที่ให้ไว้ซะเลย
มือเล็กๆ ลูบไปที่กระเป๋าผ้าเมื่อคิดไปถึงเอกสารซองเจ้าปัญหานั่น ภายในบรรจุอะไรอยู่เขมขวัญไม่กล้าจะเปิดออกดู ก็เจ้าของเฮี้ยนซะขนาดนั้น แต่ความอยากรู้ที่ก่อกวนจิตใจในเวลานี้ก็มีอยู่ไม่น้อย
“อยากรู้จัง...ขอดูหน่อยได้ไหมคะคุณป้า” เขมขวัญเอ่ยปากออกมาแล้วก็เงี่ยหูฟังสัญญาณที่มักจะดังแว่วมาให้ได้ยินเสมอ ทว่าเวลานี้กลับเงียบฉี่
หญิงสาวหยิบเอกสารฉบับนั้นออกมาถือไว้ในมือ...มองมันอย่างชั่งใจ แล้วก็ตัดสินใจโมเม “ไม่ตอบหนูจะถือว่าคุณป้าอนุญาตนะ”
เธอตัดสินใจแกะเชือกที่รัดดุมนั้นออก เป็นจังหวะเดียวกันกับรถยนต์คันหนึ่งที่แล่นผ่านแล้วเผอิญเหยียบหินก้อนเล็กๆ กระเด็นถูกศีรษะของเธอเข้าอย่างจัง แม้ไม่แรงมากจนจนเกิดบาดแผล ทว่านั่นก็ทำให้เธอถึงกับต้องนั่งลงกุมศีรษะเลยทีเดียว
“อุ๊ย...ไม่อนุญาต บอกกันดี ๆ ก็ได้...ทำไมต้องทำรุนแรงลงไม่ลงมือกันแบบนี้ด้วยเล่า” ว่าพลางลูบหัวปอย ๆ แล้วก็ยัดซองเอกสารเก็บเข้าที่เดิม ไม่ได้สนใจว่าจะมีรถกี่คันวิ่งผ่านหรือวิ่งเข้ามาเทียบทางเท้าที่เธอกำลังคิดบ่นให้กันสิ่งที่มองไม่เห็น
“เขมขวัญ”
ชื่อเขมขวัญน่าจะไม่ใช่ชื่อโหล แน่นอน ขนาดเพื่อนของเจ้านายยังบอกเลยว่าชื่อของเธอแปลก เสียงเรียก แม้ไม่ถึงกับตะโกน แต่ก็ดังฟังชัดเจนพอที่หญิงสาวเจ้าของชื่อผู้กำลังจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้หันกลับมามอง...คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนเรียก
“เอ่อ...” ภาพชายหนุ่มที่ชะโงกหน้าออกมามอง ทำให้เขมขวัญเกิดอาการลังเล
“คุณจะไปไหน ออกจากบ้านแต่เช้าขนาดนี้” กริชนะถาม สายตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหวานที่น่าจะลูบแค่แป้งฝุ่นบาง ๆ กับลิปสติกสีอ่อน ไร้การแต่งแต้มสีสันฉูดฉาด อย่างที่เคยเห็นในสาวสังคมชั้นสูงทั่วไป
“เอ่อ...ปะ...ไปทำงานค่ะ”
“ทำไมไม่รอไปด้วยกัน แล้วนี่อาการดีขึ้นแล้วเหรอ ฟื้นตัวได้ไวนี่”
ทำไมต้องมาย้ำไอ้เรื่องน่าอายแบบนั้นด้วยนะ...
“คะ...คือ...ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“งั้นก็ขึ้นรถ ยังไงเราก็ไปทำงานที่เดียวกันอยู่แล้ว” กริชนะว่าพลางเอื้อมมือไปเปิดประตูด้านที่เขานั่งทั้งขยับให้เลขานุการสาวเพื่อสะดวกที่เธอจะก้าวขึ้นมานั่งด้วยกัน
“ขึ้นมาเถอะหนู...”
เสียงเชิญชวนอีกเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในโสตประสาททำเอาเขมขวัญถึงกับขนลุกซู่ อะไรกันเนี่ย...คิดจะพูดก็พูด ทีเมื่อกี้ทำไมไม่พูด หญิงสาวหันซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เจ็บตัวเมื่อครู่
“ฉันไม่ได้ทำซักหน่อย” เสียงนั้นปฏิเสธ
“เร็วสิ...ผมมีธุระเหมือนกันนะ ไม่อยากไปสาย” เจ้าของรถเร่ง เมื่อเห็นหญิงสาวยังมีทีท่าลังเล
วันนี้ชายหนุ่มนั่งจิบกาแฟรอคนที่ถูกสั่งให้มาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันจนกระทั่งเกือบสายก็ไร้วี่แวว พอถามเด็กรับใช้ถึงได้ทราบว่าเธอเดินทางออกมาก่อนแล้ว ก็พอรู้อยู่บ้างว่าฝ่ายนั้นคงอับอายในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่จะว่าไปแล้วนอกจากการอาเจียนรดกางเกงเขาแล้วหลับไม่รู้เรื่อง อย่างอื่นก็ไม่ได้น่าอายเท่ากับพฤติกรรมที่ผ่านมาเลยสักนิด
“เร็ว...”
น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดรำคาญใจดังขึ้นอีกครั้ง
“ค่ะ ๆๆๆ” คราวนี้เขมขวัญรีบก้าวขึ้นนั่งข้างเจ้านายอย่างรวดเร็ว...ไม่อยากเสี่ยงให้เจ้านายหนุ่มเกิดอาการโกรธเกรี้ยว เพราะยากจะคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่ได้ เขาอาจหาเรื่องไล่เธอออกจากบ้านก่อนที่เธอจะทันได้หาที่อยู่ใหม่ได้ หรือที่ร้ายกว่านั้น เธออาจต้องตกงานเอาง่าย ๆ
ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ย. 2559, 02:00:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ย. 2559, 02:00:45 น.
จำนวนการเข้าชม : 1106
<< ตอนที่ 12 บ้านพักหลังใหม่ | ตอนที่ 14 เจ้าของที่แท้จริงคือใคร >> |
แว่นใส 26 พ.ย. 2559, 09:18:55 น.
มีหวงกับเพื่อนด้วยนะ
มีหวงกับเพื่อนด้วยนะ
นกขมิ้น 26 พ.ย. 2559, 19:59:33 น.
นางเอกเปิ่นอีกแล้ว
นางเอกเปิ่นอีกแล้ว
wane 29 พ.ย. 2559, 08:19:42 น.
รู้ว่าคออ่อนแล้วก็ไม่เจียมเร้ยยยย ยัยขวัญ
รู้ว่าคออ่อนแล้วก็ไม่เจียมเร้ยยยย ยัยขวัญ
Zephyr 4 ธ.ค. 2559, 17:06:54 น.
งอนอะไรกัน แล้วทำตัวเองลำบากนะขวัญนะ
งอนอะไรกัน แล้วทำตัวเองลำบากนะขวัญนะ