โซ่รักสีรุ้ง
"เด็กคนนั้น...เป็นลูกใคร" ห้าปีผ่านมา เธอคิดว่าชินชากับความเจ็บปวดแล้ว แต่ความจริงความรู้สึกนั้นเพียงแต่ตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจรอเวลาที่ใครสักคนจะกวนตะกอนนั้นขึ้นมา ให้เจ็บรวดร้าวยอกแสลงไปทั้งหัวใจ
Tags: ศศิภา,อรุณฉาย,ท้อง,หย่า,หนี,แต่งงาน,ศศิอักษร

ตอน: บทที่ ๘.๑ - ล่อลวง


ฝนเทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว เมฆดำทะมึนคลี่คลุมไปทั่วบริเวณ ยิ่งดึกสงัดเช่นนี้รอบด้านก็ยิ่งมืดมิด ถนนมีน้ำขังเป็นแอ่ง บรรดามอเตอร์ไซค์ต่างขับผ่านไปอย่างทุลักทุเล รถบางคันก็จอดแอบริมทางคงรอให้ฝนซาลงกว่านี้จึงออกเดินทางต่อ ถนนตลอดสายแม้มีแสงไฟข้างทางแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก คนขับจึงต้องระมัดระวังและขับช้ากว่าปกติ แสงไฟหน้ารถสาดส่องฝ่าความมืด เห็นเพียงไฟท้ายของรถคันหน้าอยู่ไกลลิบ

“ขอโทษนะรุ้ง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียใจอย่างจริงๆ จังๆ “พี่ตั้งใจจะส่งรุ้งกลับบ้านก่อนค่ำแท้ๆ แต่ไอ้เจ้าเพื่อนตัวดีมันก็ไม่ยอมให้กลับ หนำซ้ำรถยังมาติดๆ ดับๆ อีก” ว่าพลางเหลียวซ้ายมองขวาแล้วทอดถอนใจยาว “ดึกป่านนี้จะหาร้านซ่อมที่ไหนได้”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นเหตุสุดวิสัยนี่คะ พี่กรไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย เมื่อกี้รุ้งก็โทร.บอกป้าพิศแล้ว เสียดายไม่ได้คุยกับคุณพ่อเพราะท่านเพิ่งบินไปญี่ปุ่นเมื่อตอนเย็นนี้เองค่ะ”

“อ้าว...แล้วถ้าท่านกลับมา รุ้งจะโดนดุไหม” น้ำเสียงของพนมกรเป็นกังวลชัดเจน ยามเขาหันมามองหล่อน แววตาที่ทอดมองมามีรอยครุ่นคิดหนักหน่วง

“ไม่หรอกค่ะ” หล่อนคลี่ยิ้มปลอบใจ แม้ในใจจะนึกหวั่นไม่น้อย “ไว้รุ้งเตี๊ยมกับป้าพิศก็ได้ค่ะ คุณพ่อไม่อยู่คงไม่รู้หรอกว่ารุ้งกลับกี่โมง”

หากเป็นเมื่อก่อน สายรุ้งจะกล้าทำเช่นนี้หรือเปล่า...พนมกรนึกสงสัย

เกือบสองปีที่รู้จักกันมา ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยออกจากกฎระเบียบที่ผู้เป็นบิดาขีดเส้นกำหนดไว้เลยแม้แต่น้อย สายรุ้งเพิ่งจะเปลี่ยนไปหลังเรียนจบ เสมือนว่าหล่อนมีความคิดและความรู้สึกเป็นของตัวเองมากขึ้น ไม่ถึงขั้นเป็นเด็กใจแตก หากก็ ‘เกเร’ กว่าที่เคยเป็น เช่นกลับบ้านไม่ตรงเวลา หรือโกหกท่านสองสามครั้งเพื่อจะใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากขึ้น...เป็นเพราะหล่อน ‘ติด’ เขาหรือเปล่า เขาไม่แน่ใจนัก อีกทั้งยังไม่คิดเข้าข้างตัวเอง

พนมกรยกยิ้ม ก่อนมันจะเลือนหายไปเพียงชั่วพริบตา

“แย่จริง”

สิ้นเสียงนั้น รถคันหรูที่เคยสมรรถภาพดีเยี่ยมมาตลอดกลับกระตุกรัวๆ สภาพเหมือนไปไม่ไหวเสียแล้ว

“เป็นเหมือนเมื่อกี้อีกแล้ว”

เขาทำเสียงราวกับระอาและหงุดหงิด ก่อนจะตบไฟเลี้ยว พารถจอดเทียบริมทางเดินเท้า

ถนนสายนั้นโล่งกว้าง มีรถผ่านมาน้อยคัน ค่อนข้างเปลี่ยวและวังเวงจนสายรุ้งเป็นกังวล

“รถเสียหรือคะ”

เพียงชั่ววินาทีหลังถามจบ เครื่องยนต์ก็ดับสนิท...เป็นคำตอบให้กับหล่อนโดยที่พนมกรยังไม่ทันตอบด้วยซ้ำ

“เฮ้อ...” ชายหนุ่มถอนหายใจ พ่นลมออกจากปากอย่างหงุดหงิด แล้วทิ้งกายพิงเบาะรถอย่างแรง มืออีกข้างทุบพวงมาลัยเสียทีหนึ่ง บอกชัดว่าหงุดหงิดเสียเต็มประดา “วันนี้ซวยจริงๆ!! ไอ้รถบ้านี่ก็ดันมาเสียอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้”

ครั้นหันมามองหล่อน สีหน้าของเขาแสดงถึงความเสียใจไม่น้อย

“พี่ซ่อมรถไม่เป็นซะด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

หล่อนว่าพลางมองซ้ายขวา หน้าหลัง ใจชื้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยวอย่างที่คิด มีอาคารพาณิชย์สองสามแห่ง บ้านคนอีกสี่ห้าหลัง และโชคดีเหลือเกินที่มีโรงแรมเล็กๆ อยู่ไม่ห่างไปนัก แต่น่าเสียดายอยู่หน่อยที่ไม่มีร้านซ่อมรถแถวนี้เลยสักร้าน

“เดี๋ยวรุ้งโทร.พาน้าพันดีกว่าค่ะ เผื่อว่าน้าพันจะมารับได้”

หล่อนล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพาย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนอุทานเบาๆ

“แย่จัง โทรศัพท์รุ้งแบตหมด ไม่มีแบตสำรองด้วยสิ ของพี่กรล่ะคะ”

ยังถามไม่ทันจบประโยค คนถูกถามก็โชว์โทรศัพท์ในมือของตัวเอง

“แบตหมดเหมือนกันจ้ะ”

สายรุ้งอ้าปากค้าง สีหน้ากังวลชัดเจน

“ถ้างั้น...จะทำยังไงดีคะ พี่กรมีแบตสำรองหรือที่ชาร์ตไหม ชาร์ตในรถได้หรือเปล่าคะ”

“ไม่ได้เอามาเลย ทั้งสายชาร์ตทั้งแบตสำรอง” เขาถอนหายใจอีกเฮือก “พี่ใช้ไม่ได้เลย พารุ้งมาลำบากแท้ๆ”

“อย่าว่าตัวเองแบบนั้นสิคะ” สายรุ้งมองไปรอบกาย กัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ ก่อนเสนอว่า “เราพักแถวนี้ก่อนดีไหมคะ พรุ่งนี้เช้าค่อยหาร้านซ่อม”

พนมกรหันไปมอง แล้วพยักหน้า

“ก็ดีเหมือนกันนะรุ้ง”

เขาว่าก่อนถอดเสื้อสูทที่สวมอยู่ออก เอี้ยวตัวคลุมเสื้อนั้นลงบนศีรษะของหล่อน

“พี่ไม่มีร่ม ใช้เสื้อพี่ไปก่อนนะ” พูดจบก็รีบก้าวลงจากรถ เดินอ้อมไปอีกฝั่ง เปิดประตู รอให้หล่อนเดินลงมา

สายรุ้งจับเสื้อของเขาด้วยสองมือ หนาวจนตั่วสั่นเมื่อก้าวออกจากรถ ฝนกระหน่ำลงมาจนเปียกปอนไปหมด แม้จะมีเสื้อคลุมอยู่ก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก

“รีบไปเถอะ”

เขาล็อกรถเรียบร้อย ก็โอบเอวหล่อนแล้วพาข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง

ในความมืด สายรุ้งไม่อาจมองเห็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมายมาด คาดหวัง ตื่นเต้น และสมใจ!

ดวงตาที่แสนอ่อนโยนและเป็นมิตรราวเทพบุตร บัดนี้ไม่ต่างอะไรจากปีศาจที่กำลังจะกลืนกินเหยื่อที่มันหมายปอง!


โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมขนาดเล็ก สูงสี่ชั้น สภาพภายนอกแม้ไม่ทรุดโทรมแต่ก็พอมองออกว่าสร้างมานานแล้ว ภายในโรงแรมค่อนข้างเงียบเหงา ยามที่พนมกรกับสายรุ้งเดินผ่านประตูกระจกเลื่อนเข้าไปด้านในก็แทบไม่พบแขกที่มาพักเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงพนักงานต้อนรับสองคนที่แย้มยิ้มกว้างต้อนรับผู้มาเยือน

“ได้จองห้องไว้ก่อนไหมครับ”

หลังจากทักทายสองสามประโยค พนักงานชายรูปร่างผอม ท่าทางอ้อนแอ้นก็เอ่ยถาม

“ไม่ได้จองครับ” พนมกรเป็นฝ่ายตอบพลางอธิบายเสริม “พอดีว่ารถผมเสียอยู่ด้านนอก เลยคิดจะค้างที่นี่สักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยหาร้านซ่อมน่ะครับ”

“อ้อ...ครับ” พนักงานคนนั้นทำเสียงรับรู้ในลำคอ พลางกวาดตามองเขาและหล่อนสลับไปมาด้วยสีหน้าลังเลและเป็นกังวล จากนั้นทำท่าจะอ้าปากถาม พนมกรกลับแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ผมต้องการสองห้องครับ” พนักงานหนุ่มผู้นั้นสานสบสายตากับพนมกรชั่ววินาทีก่อนรับคำ

“ได้ครับ ขอเวลาผมเช็กห้องสักครู่นะครับ”

“แล้วแถวนี้มีร้านซ่อมรถไหมครับ อยู่ตรงไหนบ้าง ไกลหรือเปล่า”

“แถวนี้ไม่มีหรอกครับ คุณต้องขับไปอีกประมาณสิบกิโลถึงจะเจอ”

สิ้นประโยคนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าจืดเจื่อนอย่างเห็นได้ชัด

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ตอนนี้เหลือห้องว่างอยู่ห้องเดียวเองครับ”

“เหลือห้องเดียว?” พนมกรอุทาน ขณะที่สายรุ้งหน้าถอดสีลงเล็กน้อย “อะไรกันคุณ ผมไม่เห็นว่าจะมีแขกมาพักที่นีสักคน” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ตีหน้าเคร่ง เหลียวซ้ายแลขวา “มันจะเหลือแค่ห้องเดียวได้ยังไง”

“ฝนตกหนักแบบนี้ ใครๆ ก็คงอยากอยู่แต่ในห้องน่ะครับ” พนักงานหนุ่มเอ่ยอย่างใจเย็น “แขกหลายท่านก็ยังไม่กลับ แล้ว...” ชายหนุ่มหลุบสายตามองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า “วันนี้มีคนจองห้องเยอะกว่าปกติด้วยครับ ตอนนี้ก็เลยเหลืออยู่ห้องเดียว”

พนมกรถอนหายใจยาว เหลือบมองคนข้างกายด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เอาไงดี” เขาแลบเลียริมฝีปาก ประกายบางอย่างสว่างวาบขึ้นมาในชั่วเสี้ยววินาทีเมื่อเห็นหล่อนลังเล...เป็นความลังเลที่ทำให้เขาใจแป้วไม่น้อย หากสายรุ้งเลือกที่จะไปนอนในรถเล่า แผนที่เขาวางไว้ตั้งแต่ต้นก็ล้มไม่เป็นท่าน่ะสิ! ชายหนุ่มเหลือบมองพนักงานต้อนรับตรงหน้า พลางแลบเลียริมฝีปากแล้วพยักหน้า “ตกลงครับ ห้องเดียวก็ห้องเดียว”

พูดจบก็หันมาสบตาสายรุ้ง...มองสบอย่างตรงไปตรงมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง

“จะให้ไปนอนในรถคงไม่ไหว หรือจะเดินหาร้านซ่อมรถตอนนี้ก็คงไม่ได้ มันจำเป็นจริงๆ นะรุ้ง” เขาไล้หลังมือบนแก้มหล่อน ดวงตาทอดอ่อนโยน น้ำเสียงปลอบประโลมใจ “แค่คืนเดียวเอง”

“รุ้งเข้าใจค่ะ”

สายรุ้งเอ่ยเสียงอุบอิบในลำคอ ไม่คัดค้าน ไม่โวยวาย แสดงถึงการยอมรับและเชื่อใจเขาอย่างที่สุด

...ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะตลอดเวลาที่คบกันมา เขาไม่เคยลวนลามหล่อนมากไปกว่าจูบ

...จูบแสนหวานที่มีความเร่าร้อนซุกซ่อนอยู่ในนั้น

...และเป็นการจูบแค่สองครั้งเท่านั้น ในระยะเวลาหนึ่งปี เขาจูบหล่อนแค่สองครั้ง เทียบกับสาวๆ คนอื่นที่เขาเคยคบด้วยนับว่าน้อยมาก...มากจนน่าใจหาย!

สายรุ้งคงไม่คิดระแวงว่าเขาคิดจะ ‘รวบหัวรวบหาง’ ผูกมัดหล่อนให้เป็นของเขา ใช้ความสัมพันธ์ทางกายล่อลวงเด็กสาวแสนบริสุทธิ์ผู้นี้ให้ลุ่มหลงแต่เขา มอบหัวใจให้เขา และภักดีต่อเขาแต่เพียงผู้เดียว

พนมกรเชื่อมั่นว่าหล่อนไม่มีชายอื่นในหัวใจ แต่ถ้าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปนานกว่านี้ ใจของหล่อนอาจจะรวนเรหรือคิดนอกใจเขาไปหลงรักผู้ชายคนอื่นได้ เขาไม่อยากพลาด และไม่อยากรอ

‘รุ้งอยากขอเวลา...สักสามปีได้ไหมคะ’

หล่อนเคยพูดเช่นนั้นเมื่อยามเขาเอ่ยเรื่องการแต่งงาน

...สามปี...สำหรับหัวใจที่รุ่มร้อนของพนมกรแล้วนับว่านานเกินไป เขาไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น หนทางเดียวที่จะทำให้สายรุ้งยอมแต่งงานกับเขาโดยเร็วที่สุด เขาคิดออกแต่เพียงวิธีเดียว




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ย. 2559, 10:45:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ย. 2559, 10:45:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1042





<< บทที่ ๗.๒ - หัวใจอันซับซ้อน ๒   บทที่ ๘.๒ - ล่อลวง >>
Zephyr 18 ธ.ค. 2559, 21:47:38 น.
แน่ะ พี่กร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account