กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี
ตอน: ตอนที่ 14 เจ้าของที่แท้จริงคือใคร
14
ความคิดความเข้าใจของเขมขวัญแต่เก่าก่อนมองเพียงว่า งานเลขานุการของบริษัททำเพียงแค่แต่งตัวสวย ๆ เป็นด่านหน้าต้อนรับแขกให้เจ้านาย พิมพ์จดหมายและจัดตารางนัดให้ลงตัว งานนั้นน้อยและสบายกว่าพนักงานบัญชีที่ต้องนั่งคำนวณตัวเลขตาเปียกตาแฉะหลายขุม และแล้วเธอก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมงานเลขานุการถึงมีอัตราเงินเดือนที่สูงกว่าพนักงานบัญชีในวันนี้
หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าเลขานุการท่านประธานบริษัทอื่นจะต้องวิ่ง ต้องเดิน กันจนขาขวิดแบบนี้หรือไม่ แต่สำหรับเธอ ณ เวลานี้ ไม่ใช่เพียงแค่วิ่งและเดินตามเจ้านายไปในทุกแผนก เธอยังต้องจด ๆ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้านายสั่งลงในสมุดพกเล่มเล็ก ด้วยคำสั่งที่สำทับมาทุกครั้งว่าต้องการด่วน
นี่กะจะเอ็กซเรย์ให้ทั่วตึกจริง ๆ หรือนี่...คิดพลางแอบทำหน้าเมื่ออยู่หลังเจ้านายที่กำลังพูดคุยกับพนักงานในแผนกกราฟฟิกดีไซน์
“เอาล่ะครับ...หวังว่าพวกคุณจะปฏิบัติงานกันอย่างแข็งขัน เช่นดั่งที่เคยทำในสมัยท่านประธานคนเก่าบริหารนะครับ...วันนี้ถือว่าการทำงานในแผนกของคุณเป็นที่พอใจของผมไม่น้อย ไว้เมื่อมีโอกาสผมจะมาใหม่” กริชนะเอ่ยกับหัวหน้าแผนกที่ยืนกุมมือก้มหน้า ราวกับนักเรียนที่กำลังได้รับคำตักเตือนจากคุณครูฝ่ายปกครอง หากสังเกตดูดี ๆ ก็จะเห็นเหงื่อเม็ดโป้งผุดอยู่เต็มหน้าผาก ทั้ง ๆ ที่ภายในห้องเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่มีไม่ต่ำกว่าสองตัว
“ครับ...ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งกับแผนกเล็ก ๆ ของเราที่มีโอกาสได้ต้อนรับท่านประธาน”
กริชนะพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปทางประตูกระจกบานใหญ่
“แล้วนี่จะไปไหนต่อคะเจ้านาย” เขมขวัญวิ่งตามเจ้าของก้าวยาว ๆ มาจนทันที่หน้าลิฟต์
“กลับห้องทำงาน” เขาบอก พร้อมก้าวเข้าภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ เมื่อประตูเปิดอ้าออกต้อนรับ
“เฮ้อ...” เลขานุการสาวเผลอถอนหายใจเฮือก โล่งอกที่ไม่ต้องวิ่งตะลอน ๆ ไปยังชั้นอื่นอีก
ดูเหมือนกริชนะจะไม่ได้ให้ความสนใจเลขาฯ ตัวเล็ก ๆ ที่วิ่งตามเขาไปทุกที่ แม้กระทั่งในลิฟต์ที่มีเพียงเขาและเธอแค่สองคน ภายในจึงมีแต่เพียงความเงียบบวกกับเสียงหายใจที่เร็วกว่าปกติของคนที่ยังไม่คุ้นชินกับความเร่งรีบเช่นนี้ กระทั่งถึงชั้นทำงานของประธานกรรมการใหญ่
เวลาเดินไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่ถึงชั่วโมงก็เที่ยงวัน เขมขวัญยังไม่รู้เลยว่าเธอจะต้องให้การบริการเรื่องอาหารกลางวันด้วยหรือไม่ แต่เท่าที่เคยเห็นในหนังหรือได้ยินมาจากคำบอกเล่าของบรรดาเพื่อน ๆ เลขานุการต้องทำหน้าที่ไม่ต่างกับแม่บ้าน หรือ คนรับใช้ใกล้ชิด
“จะเที่ยงแล้ว เจ้านายจะรับประทานอาหารที่ไหนคะ หรือจะให้ดิฉันสั่งขึ้นมาข้างบน” ถามไปก่อนที่เจ้านายหนุ่มจะเดินเข้าห้อง อย่างน้อยก็จะได้ไม่เสียเวลาเดินเข้าไปถามข้างในอีกรอบ บอกตรง ๆ ว่า ไม่อยากอยู่ใกล้เขาเพียงลำพัง สองต่อสอง เพราะตั้งแต่เหตุการณ์เมาไม่รู้เรื่องในคืนนั้นก็เหมือนชนักติดหลัง ไม่รู้ว่าเธอทำอะไรน่าเกลียดลงไปบ้างหรือเปล่า
มือที่เอื้อมมาจับลูกบิดประตูชะงักลง ทั้งหันมามองเลขาฯสาวด้วยสายตาแสดงความคิด ทว่าว่ายังไม่ทันจะเอ่ยคำตอบของการตัดสินใจ กลับมีสิ่งหนึ่งดึงดูดความสนใจของเขาไปเสียก่อน...
“พี่กริชคะ...โชคดีจังที่เจอ...พริ้มแวะมาไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ”
สองสายตาที่เพิ่งจะประสานกันมีอันเบนทิศทางไปยังร่างระหงที่ก้าวเข้ามาอย่างมาดมั่น หยุดยืนยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม แถมเผื่อแผ่รอยยิ้มหวานมายังเลขานุการสาวที่จำต้องยิ้มตอบแบบงง ๆ
“สวัสดีครับคุณพริ้ม...มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า” กริชนะเอ่ยทักทาย
“ก็ไม่มีอะไรมาหรอกค่ะ พริ้มเอาโครงการที่เราตัดสินใจจะขยายตัวเพิ่มมาให้พี่กริชดู...ว่าแต่ เราจะคุยกันตรงนี้เหรอคะ” เธอตอบแกมถามกลับ
“เอ่อ...ขอโทษครับ งั้นเชิญข้างในเลย” ชายหนุ่มผายมือ เขาเปิดประตูออกกว้างให้ผู้มาเยือนสาวเข้าไป ก่อนจะก้าวตามและปิดประตูอย่างเรียบร้อย
สุดท้าย...แม้กริชนะจะไม่บอกอะไรแก่เขมขวัญเพิ่มเติม เธอก็สามารถรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าอาหารมื้อกลางวันของเจ้านายจะเป็นแบบไหน...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อถึงเสน่ห์ดึงดูดของเจ้านาย งานเลี้ยงผ่านไปยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่งโมงก็มีสาวสวยที่โดดเด่นที่สุดในงานเมื่อค่ำคืนตามมาเชื่อมสัมพันธ์กันถึงที่
ภายในห้องทำงานเงียบกริบอยู่เกือบชั่วโมงโดยไม่มีคำสั่งให้เลขาฯ อย่างเธอเสิร์ฟกาแฟ หรือเครื่องดื่มใด ๆ กริชนะอาจต้องการความเป็นส่วนตัวสำหรับแขกคนพิเศษ ด้วยการบริการเครื่องดื่มที่สามารถหาได้จากตู้เย็นเล็ก ๆ ภายในห้องทำงาน คาดว่าเวลาเที่ยงวันก็คงไม่พ้นควงกันออกไปหาอาหารในร้านหรู ๆรับประทานกันอย่างกะหนุงกะหนิง...ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาทำงานอย่างไม่ขาดช่วง เพื่อไม่กระทบภารกิจที่ต้องทำในช่วงเย็น...แม้จะคิดอย่างนั้น แต่น่าแปลกที่การรวบรวมสมาธิให้จดจ่อกับงานตรงหน้านั้นยากซะเหลือเกิน
เป็นไปตามคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ เพียงไม่ถึงชั่งโมงทั้งเจ้านายและแขกผู้มาเยือนคนสวยก็เดินออกจากห้องทำงาน เขมขวัญยืนขึ้นโดยอัตโนมัติเหมือนให้ความเคารพคนทั้งสอง
“เก็บงานของคุณเถอะ กริชนะเอ่ย เมื่อหยุดลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของเลขาฯสาว
“คะ?”
“เรากำลังจะไปทานข้าว”
“ค่ะ...” เขมขวัญตอบรับสั้น ๆ ทว่ายังคงยืนนิ่งไม่ได้เก็บงานตรงหน้าตามคำสั่ง
“ผมชวนคุณไปทานข้าวกับเรา” กริชนะเอ่ยด้วยสีหน้าบ่งบอกว่ารำคาญความเข้าใจยากของเลขาฯประจำตำแหน่งคนนี้ซะเต็มประดา
ก็ยังดีที่มีน้ำใจชักชวน... ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าแววตาของอีกคนที่กำลังทำตาเขียวส่งตรงมาให้ เขมขวัญก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบออกไปอย่างรู้หน้าที่ “ไม่ล่ะค่ะ...เชิญเจ้านายตามสบายเลย ดิฉันเพิ่งโทรสั่งอาหารขึ้นมาทานบนนี้”
“ผมอาจจะเข้ามาช้าสักหน่อย งานที่สั่งผมต้องการวันนี้นะ” เจ้านายหนุ่มสำทับอีกรอบ
“ค่ะ” เธอตอบ
เขมขวัญทำทีไม่ใส่ใจสายตาที่มองนิ่งนั้น เธอทรุดตัวลงนั่งเพิ่งมองไปยังจอคอมพิวเตอร์ ดำเนินการทำงานต่อ ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเงยขึ้นสังเกตสีหน้าของเจ้านายหนุ่ม
“ไปกันเถอะค่ะ” พิมพ์ชนกถือวิสาสะเกี่ยวแขนชายหนุ่มดั่งคนคุณเคย
เจ้านายทั้งสองเดินพ้นไปแล้ว ก็ถึงทีที่เขมขวัญเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง เธอละมือจากแป้นพิมพ์ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทั้งหลับตาอย่างเหนื่อยล้า... งานเยอะเหลือเกินวันนี้ไม่รู้ว่าความตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้นจะทำสำเร็จได้ในวันนี้หรือไม่ หญิงสาวหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาดู
“ถ้าวันนี้ไม่ได้ส่งก็อย่าว่ากันนะคะคุณป้า เอาไว้พรุ่งนี้ หนูส่งให้แน่นอน”
และแล้วคำว่าเข้ามาช้าสักหน่อยของเจ้านายก็กลายเป็นไม่หน่อย...เมื่อจวนเจียนจะเลิกงาน ก็ไม่มีวี่แววว่าท่านประธานจะเข้ามา เขมขวัญทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจนแล้วเสร็จทันเวลาเลิกงานพอดี มองนาฬิกาแขวนติดผนังทั้งคิดช่างใจ...ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเก็บรวมรวมเอกสารต่าง ๆให้เข้าที่ ปิดคอมพิวเตอร์เก็บโต๊ะจนดูเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะล็อกห้องท่านประธาน ก่อนจะเดินมายังลิฟต์พร้อมกระเป๋าสะพายใบเก๋ราคาไม่กี่ร้อยและซองเอกสารที่ติดมือมาด้วยตั้งแต่ออกจากที่พัก
เขมขวัญก้าวออกมายืนอยู่นอกอาคารสำนักงานในเวลาบ่ายแก่ ๆ หลังเลิกงาน พนักงานบริษัทหลายคนเริ่มเดินออกจากสถานที่ทำงาน อากาศร้อนอยู่มากชวนให้อ่อนใจที่จะเดินฝ่าเปลวแดดร้อนไปยืนรอรถที่ป้ายรถเมล์
“หนูจะแวะส่งเอกสารให้คุณป้าก่อนกลับบ้าน ยังไงซะก็อย่าให้หนูหลงทางนะคะ” เขมขวัญเอ่ยออกมาเบา ๆ แหงนหน้ามองฟ้าอีกรอบก่อนจะก้าวลงบันไดมุ่งสู่ปลายทางคือป้ายรถเมล์
ทว่ายังไม่ทันเท่าไหร่เธอก็ต้องเบรกฝีเท้าจนแทบหัวคะมำเมื่อรถเก๋งคนคุ้นตาตีโค้งเข้าเบียดชิดทางเท้าที่เธอกำลังจะก้าวข้ามไปยังอีกฝั่งถนน
“ว้าย!..”
หญิงสาวชักเท้ากลับแทบไม่ทัน สายตาที่พยายามเพ่งผ่านกระจกสีชานั้นเขียวปั๊ดอย่างห้ามอารมณ์ไม่อยู่ถึงแม้อีกฝ่ายจะลดกระจกลงมาสบตาโดยตรง
“จะรีบไปไหน ทำไมไม่รอกลับด้วยกัน” คนถามดูเหมือนจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันมีธุระต่อ ยังไม่กลับบ้านตอนนี้ เชิญท่านประธานค่ะ” พยายามข่มอารมณ์เต็มที่จนน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นราบเรียบ
“ไปธุระที่ไหน” เขายังตื้อ
“ธุระส่วนตัวค่ะ” เธอบอกปัด
“ขึ้นรถ...”
“อ้าว...” จู่ ๆ ก็ได้รับคำสั่งอย่างนั้น ทำเอาเขมขวัญทำหน้าไม่ถูก
“ธุระอะไรที่ไหน เดี๋ยวฉันจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไปเองได้ ไม่อยากรบกวน ขอบคุณที่กรุณา” เธอว่าพลางทำท่าจะเดินเลี่ยงไป
“ผมบอกให้ขึ้นรถ นี่เป็นคำสั่ง หรืออยากถูกหักเงินเดือน”
อะไรกันอีกล่ะเนี่ย...นี่นายจะมาเป็นเจ้าชีวิตฉันอีกตำแหน่งหรือไง...ไม่มีทาง...ยังไงฉันก็ไม่ยอม...ไม่ยอมให้นายหักเงินเดือนฉันด้วยเรื่องแค่นี้หรอก...คิดแล้วหญิงสาวก็ก้าวมาหยุดยังประตูข้างคนขับ
“ข้างหลัง!..มานั่งข้าง ๆ ผม”
เขาก็ยังออกคำสั่งในสิ่งที่ขัดความต้องการของเธออีกจนได้...อะไรวะ...จะนั่งตรงไหนมันก็เรื่องของฉัน...ทำไมชอบวุ่นวายกับชีวิตคนอื่นนักนะ...ให้ตายเถอะ...ถึงจะบ่นในใจ แต่เธอก็ยังไม่อย่างถูกเขม่นจากเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่
“คุณขวัญจะไปไหนครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งให้ถึงที่เลย” ลุงชูถามอย่างสุภาพ น้ำเสียงเอ็นดูชวนให้รู้สึกดีดั่งมีญาติผู้ใหญ่อยู่ใกล้ให้ความคุ้มครอง
“ไปที่นี่ค่ะลุง” เขมขวัญยื่นซองเอกสารไปให้ดู
ลุงชูแค่เหลือบตามองที่อยู่บนซองป๊าดเดียว “ครับ...ที่นี่ผมไปบ่อยตอนคุณท่านยังอยู่ ไม่ไกลหรอกครับแป๊บเดียวก็ถึง”
เมื่อรู้ปลายทาง รถก็เคลื่อนตัวออกจากที่ ภายในห้องโดยสารเล็ก ๆ ก็ตกอยู่ในความเงียบในที่สุด...
สำนักพิมพ์ตามที่อยู่ที่จ่าหน้าซองเอาไว้หาไม่ยาก เพราะลุงชูรู้จักเป็นอย่างดี แต่การสลัดเจ้านายให้พ้นตัวนี่สิ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก ทั้ง ๆ ที่เขมขวัญแจ้งความประสงค์ชัดเจนไปแล้วว่าเธอต้องการไปทำธุระส่วนตัวหลังเลิกงาน และจะเดินทางกลับบ้านเอง แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอม
“จะไปที่สำนักพิมพ์ทำไม” น้ำเสียงเรียบ ๆ ฟังเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายไปกว่าการชวนคุย แต่จะมีใครรู้บ้างว่าหูของเขาจับจดอยู่ที่การรับฟังคำตอบจากอีกฝ่าย
“มีเอกสารไปส่งค่ะ” เขมขวัญตอบ
เธอเหลือบตามองไปยังใบหน้าเรียบเฉยที่กำลังสนใจหนังสือนวนิยายในมือ เรื่องเดิมที่เคยเห็นเขาอ่าน แนววาบหวามที่เขมขวัญบอกตัวเองว่า ไม่แม้แต่จะคิดจับมาดูรูปที่ปก แค่เห็นในระยะแค่นี้ก็ทำให้เกิดอาการร้อนผ่าวที่หน้า จนต้องเมินไปหาทิวทัศน์จอแจนอกหน้าต่าง
“คุณคิดจะเป็นนักเขียนกับเขาด้วยเหรอ”
“เอ๊ะ...” เขมขวัญหันขวับกับมามองคนถามด้วยสีหน้างง ๆ
“ก็ซองนั่นเป็นต้นฉบับไม่ใช่เหรอ”
เขมขวัญหลุบตาลงมองซองเอกสารในมือ บอกตามตรงว่าเธอไม่เคยเปิดดูข้างในเลยสักครั้ง แล้วทำไมเจ้านายถึงรู้ว่านี่คือต้นฉบับ
“ขอโทษนะ ฉันเคยเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะทำงานของคุณป้า ตอนที่พายัยเลขาฯ ขี้เมากลับไปนอน ก็สงสัยอยู่ว่ามันคืออะไร เลยถือโอกาสเปิดดู”
คำกล่าวของชายหนุ่มทำให้คนฟังถึงกับหันขวับกลับมามอง ดวงตาขุ่นเขียว...ทว่าไม่อาจบอกไปว่าเธอโกรธด้วยเรื่องอะไร เรื่องที่เขาดูเอกสารในซอง หรือเรื่องที่ถูกหาว่าขี้เมา
“ทำไม...โกรธเหรอที่ฉันละลาบละล้วง...ก็ช่วยไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องดู”
กริชนะไม่พูดถึงความระแวงที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เขาอุ้มเขมขวัญไปส่งถึงบ้านเล็ก โดยมีคุณยายเอียด กับบริวารอีกหลายคนแห่ตามกันไปเป็นโขยง ทำยังกับกลัวว่าเขาจะค้างที่นั่นไม่ยอมขึ้นตึกใหญ่ ช่วงที่คุณยายบัญชาการบรรดาสาวใช้ให้ดูแลคนเมา เขาก็แวะเข้ามายังห้องทำงานของคุณป้า ดูความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น หลังจากยกที่นั่นให้เป็นห้องทำงานของหญิงสาว...
ซองเอกสารนั่นที่วางอยู่เด่นสะดุดตา ชวนให้รู้สึกวูบไปทั้งหน้าเมื่อเห็นแฟ้มการเงินของบริษัทที่วางอยู่ติดกัน มันคือความลับของบริษัทที่หากถูกแพร่งพรายออกไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของบริษัท
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ” เธอเอ่ยแล้วก็เมินมองไปทางอื่น
“พล็อตเรื่องของเธอสนุกดีนะ ถ้าได้ตีพิมพ์คงได้แจ้งเกิดด้วยนิยายเรื่องนี้” เขายังพูดต่อ ทั้ง ๆ ที่หนังสือเล่มหนายังกางอยู่ตรงหน้า
“ไม่ใช่ของฉันหรอกค่ะ มีคนฝากฉันเอาไปส่ง” เธอบอกในที่สุด ไม่อยากจะโกหกด้วยเรื่องที่ใช่จะสลักสำคัญอะไรนัก
“อ้อเหรอ...” กริชนะเอ่ย
นี่น่าจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ทำให้บรรยากาศภายในรถเข้าสู่สภาวะความเงียบอีกครั้ง แต่หาใช่เป็นเช่นนั้น เมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาอีกประโยค
“ตอนเที่ยงขอโทษด้วยนะ”
“เรื่องอะไรคะ” เขมขวัญหันมามองด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาขอโทษเธอด้วยเรื่องอะไร
“ปล่อยให้คุณทานข้าวคนเดียว ทำงานคนเดียวทั้งบ่าย...กินข้าวเสร็จ คุณพริ้มพาผมไปพบกรรมการผู้ถือหุ้นอีกคน เลยกลับช้า...ไว้คราวหน้าจะโทร.มาบอกก็แล้วกันว่าติดธุระอะไรที่ทำให้เข้าบริษัทไม่ได้”
คำบอกเล่าดั่งสามีที่กำลังอธิบายให้ภรรยารับรู้เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูแผ่วเบา ทว่ากลับเขย่าหัวใจของคนฟังให้ตื่นเต้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...” จะขอโทษทำไมเนี่ย...
สำนักพิมพ์อยู่ไม่ไกลจากบริษัทอย่างที่ลุงชูบอกเอาไว้จริง ๆ พอรถจอดเขมขวัญก็รีบลงจากรถเดินตรงไปยังประตูทางเข้า กลัวเหลือเกินว่าจะพลาดโอกาสพบบรรณาธิการที่ระบุชื่อไว้ที่หน้าซอง เพราะนี่ก็เลยเวลาเลิกงานมาเกือบชั่วโมงแล้ว
“มาขอพบ บก.วินิจค่ะ ไม่ทราบว่ากลับไปหรือยัง” เขมขวัญเอ่ยถามพนักงานคนหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามาใกล้
“ยังค่ะ...เชิญที่ห้องทำงานด้านในเลยค่ะ” พนักงานสาวคนนั้นตอบ ทั้งชี้มือไปยังทิศทางตำแหน่งห้องทำงานของบรรณาธิการ
“ดีจัง...อยากพบก็ขอพบได้ง่าย ๆ ไม่ต้องยุ่งยากกับการนัดหมายให้เสียเวลาเรื่องธุระเหมือนเจ้านายบางคน” เขมขวัญพึมพำเบา ๆ ทั้งยิ้มบาง ๆ เมื่อคิดถึงเจ้านายกับสมุดตารางนัดหมายเล่มเล็กในกระเป๋า
“ที่พูดนี่คงไม่ได้หมายถึงผมหรอกนะ”
“ก็เจ้านายนั่นแหละ...” คำพูดที่หลุดออกมาในทีเผลอชะงักงันชั่วครู่ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมามองเจ้าของคำถาม “เฮ้ย...ตามมาด้วยเหรอคะ”
“มันแน่อยู่แล้ว ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสำนักพิมพ์มันเป็นยังไง ทำไมคุณป้าถึงได้หลงใหลได้ปลื้มกับที่นี่นัก โดยเฉพาะบ.ก.วินิจ ได้ข่าวว่าสนิทสนมกับคุณป้าซะจนเคยตกเป็นข่าวโคแก่กินหญ้าอ่อนมาพักหนึ่ง”
“โคแก่อะไรกัน...ตากริชพูดน่าเกลียด...ไม่ใช่เรื่องจริงซักหน่อย”
“เอ๊ะ...” เขมขวัญอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อพลังงานเสียงความถี่ที่มีเพียงเธอเท่านั้นสามารถรับฟังได้ ตามมาด้วยเหรอเนี่ย...
“ห้องทางขวามือ... คุณวินิจรออยู่...”
น้ำเสียงเนิบช้าเย็นยะเยือกกระตุ้นขนแขนให้ลุกชันขึ้นอย่างไม่อาจห้าม จากที่เคยนึกรำคาญเจ้านายผู้ต้องการหาเรื่องข้องเกี่ยวกับเธอไปซะทุกเรื่อง มีอันเปลี่ยนแปลงไปโดยทันที เขมขวัญเดินช้าลงขยับเข้าใกล้ชายหนุ่มแทบเบียด หากทำได้ เธอคงเกี่ยวกอดแขนเขาอาศัยเป็นเกราะคุ้มภัย
“เป็นอะไร...” คิ้วเข้มขมวดหมุนเมื่อก้มมองอากัปกิริยาผิดปกติของเลขาฯสาว
“มะ...ไม่มีอะไรค่ะ...เพียงแต่รู้สึกว่าใจหวิว ๆ พิกล”
“เฮ้ย...อย่ามาเป็นลมที่นี่อีกนะ ถ้าเธอเป็นลมไปอีก คราวนี้ฉันคงส่งเธอเข้าผ่าชันสูตรอย่างละเอียด”
“จะมาผ่าเผ่ออะไรเล่า...เค้ายังไม่ตายซักหน่อย...” ว่าแล้วก็ส่งค้อนให้เจ้านาย เขยิบออกห่างไปสองก้าว ทั้งทำปากบ่นขมุบขมิบ
กริชนะมองกิริยานั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้...ความรู้สึกเครียดมาทั้งวันก็พลันหายไปในพริบตา เพียงแค่ได้เห็นธรรมชาติของการแสดงออกที่ไม่เจือเล่ห์มารยาจากเลขาฯ ที่ไม่เคยคิดจะพูดเอาอกเอาใจ ประจบสอพลอกับเขาสักครั้ง
“เอาเถอะ ถ้ารู้สึกไม่สบายก็เกาะแขนผมไว้” ไม่เพียงพูดเปล่า เขายังขยับเข้าคว้ามือเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายสอดเข้าวงแขนตัวเอง ทั้งกุมและยึดไว้ไม่ให้ดึงออก
“เอ่อ...ปล่อยเถอะค่ะ ฉันสบายดีแล้ว” ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าตำลึงสุก
“เฉยเถอะน่า...อยู่นิ่ง ๆ ถึงห้องทำงานคุณวินิจแล้ว” เขาบอก ทั้งหันมาสบตากลมโตที่บังเอิญเหลือบขึ้นมองเขาเช่นกัน
“เตรียมตัวพร้อมหรือยัง”
“เตรียมทำไมคะ” คำถามของเจ้านายทำเอาเธองงอีกแล้ว
“ก็เตรียมพร้อมรับคำตอบน่ะสิ...คุณเอาพล็อตเรื่องมาให้ บ.ก.ดูไม่ใช่เหรอ ถึงผมจะบอกว่าพล็อตนี้ดี ก็ใช่ว่า บ.ก.จะบอกว่าดีด้วย เพราะฉะนั้น จงเตรียมตัวเตรียมใจรับความผิดหวังเอาไว้ด้วย” กริชนะเตือนซะยืดยาว
“บอกแล้วไงว่าเอกสารฉบับนี้ไม่ใช่ของฉัน แต่เป็นของเพื่อนฝากมา” นี่เขายังเข้าใจว่าเราเป็นคนเขียนเรื่องนี้อีกเหรอ...
“ช่างเถอะ จะเขียนเองหรือจะคนอื่นเขียน มันก็เป็นเรื่องภูมิใจมากกว่าน่าอายล่ะ ถ้าคุณบอกว่าพร้อมแล้ว เราก็เข้าพบ บ.ก.กันตอนนี้เลย” ว่าแล้วเขาก็ใช้มือข้างที่ว่างเคาะประตู
“เชิญครับ”
เสียงตอบรับดังจากด้านใน ไม่รอช้ากริชนะบิดลูกบิดประตู เปิดออกกว้างทั้งจับจูงหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของธุระอย่างแท้จริงให้ก้าวผ่านเข้าไปข้างใน ปิดประตูกางกั้นให้เกิดความเป็นส่วนตัวในการสนทนาครั้งนี้
************
ตอนนี้ อัพช้านิดนึง จากการเสพข่าว นิยายถูกละเมิดลิขสิทธิ์ จากเวปโหลดอ่านฟรี ของทองหลางเจอไป2 เรื่อง กำลังจุกอยู่เลยตอนนี้ จนทำให้เกิดความลังเลว่าจะ อัพจบเรื่องเหมือนเคยดีหรือเปล่า...เฮ้อ...ว่าโลกแห่งความจริงอยู่ยากแล้ว โลกแห่งนิยายก็ยังอยู่ยากขึ้นอีกแห่ง ต่อไปนักเขียนคงไร้จุดยืน
ความคิดความเข้าใจของเขมขวัญแต่เก่าก่อนมองเพียงว่า งานเลขานุการของบริษัททำเพียงแค่แต่งตัวสวย ๆ เป็นด่านหน้าต้อนรับแขกให้เจ้านาย พิมพ์จดหมายและจัดตารางนัดให้ลงตัว งานนั้นน้อยและสบายกว่าพนักงานบัญชีที่ต้องนั่งคำนวณตัวเลขตาเปียกตาแฉะหลายขุม และแล้วเธอก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมงานเลขานุการถึงมีอัตราเงินเดือนที่สูงกว่าพนักงานบัญชีในวันนี้
หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าเลขานุการท่านประธานบริษัทอื่นจะต้องวิ่ง ต้องเดิน กันจนขาขวิดแบบนี้หรือไม่ แต่สำหรับเธอ ณ เวลานี้ ไม่ใช่เพียงแค่วิ่งและเดินตามเจ้านายไปในทุกแผนก เธอยังต้องจด ๆ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้านายสั่งลงในสมุดพกเล่มเล็ก ด้วยคำสั่งที่สำทับมาทุกครั้งว่าต้องการด่วน
นี่กะจะเอ็กซเรย์ให้ทั่วตึกจริง ๆ หรือนี่...คิดพลางแอบทำหน้าเมื่ออยู่หลังเจ้านายที่กำลังพูดคุยกับพนักงานในแผนกกราฟฟิกดีไซน์
“เอาล่ะครับ...หวังว่าพวกคุณจะปฏิบัติงานกันอย่างแข็งขัน เช่นดั่งที่เคยทำในสมัยท่านประธานคนเก่าบริหารนะครับ...วันนี้ถือว่าการทำงานในแผนกของคุณเป็นที่พอใจของผมไม่น้อย ไว้เมื่อมีโอกาสผมจะมาใหม่” กริชนะเอ่ยกับหัวหน้าแผนกที่ยืนกุมมือก้มหน้า ราวกับนักเรียนที่กำลังได้รับคำตักเตือนจากคุณครูฝ่ายปกครอง หากสังเกตดูดี ๆ ก็จะเห็นเหงื่อเม็ดโป้งผุดอยู่เต็มหน้าผาก ทั้ง ๆ ที่ภายในห้องเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่มีไม่ต่ำกว่าสองตัว
“ครับ...ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งกับแผนกเล็ก ๆ ของเราที่มีโอกาสได้ต้อนรับท่านประธาน”
กริชนะพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปทางประตูกระจกบานใหญ่
“แล้วนี่จะไปไหนต่อคะเจ้านาย” เขมขวัญวิ่งตามเจ้าของก้าวยาว ๆ มาจนทันที่หน้าลิฟต์
“กลับห้องทำงาน” เขาบอก พร้อมก้าวเข้าภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ เมื่อประตูเปิดอ้าออกต้อนรับ
“เฮ้อ...” เลขานุการสาวเผลอถอนหายใจเฮือก โล่งอกที่ไม่ต้องวิ่งตะลอน ๆ ไปยังชั้นอื่นอีก
ดูเหมือนกริชนะจะไม่ได้ให้ความสนใจเลขาฯ ตัวเล็ก ๆ ที่วิ่งตามเขาไปทุกที่ แม้กระทั่งในลิฟต์ที่มีเพียงเขาและเธอแค่สองคน ภายในจึงมีแต่เพียงความเงียบบวกกับเสียงหายใจที่เร็วกว่าปกติของคนที่ยังไม่คุ้นชินกับความเร่งรีบเช่นนี้ กระทั่งถึงชั้นทำงานของประธานกรรมการใหญ่
เวลาเดินไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่ถึงชั่วโมงก็เที่ยงวัน เขมขวัญยังไม่รู้เลยว่าเธอจะต้องให้การบริการเรื่องอาหารกลางวันด้วยหรือไม่ แต่เท่าที่เคยเห็นในหนังหรือได้ยินมาจากคำบอกเล่าของบรรดาเพื่อน ๆ เลขานุการต้องทำหน้าที่ไม่ต่างกับแม่บ้าน หรือ คนรับใช้ใกล้ชิด
“จะเที่ยงแล้ว เจ้านายจะรับประทานอาหารที่ไหนคะ หรือจะให้ดิฉันสั่งขึ้นมาข้างบน” ถามไปก่อนที่เจ้านายหนุ่มจะเดินเข้าห้อง อย่างน้อยก็จะได้ไม่เสียเวลาเดินเข้าไปถามข้างในอีกรอบ บอกตรง ๆ ว่า ไม่อยากอยู่ใกล้เขาเพียงลำพัง สองต่อสอง เพราะตั้งแต่เหตุการณ์เมาไม่รู้เรื่องในคืนนั้นก็เหมือนชนักติดหลัง ไม่รู้ว่าเธอทำอะไรน่าเกลียดลงไปบ้างหรือเปล่า
มือที่เอื้อมมาจับลูกบิดประตูชะงักลง ทั้งหันมามองเลขาฯสาวด้วยสายตาแสดงความคิด ทว่าว่ายังไม่ทันจะเอ่ยคำตอบของการตัดสินใจ กลับมีสิ่งหนึ่งดึงดูดความสนใจของเขาไปเสียก่อน...
“พี่กริชคะ...โชคดีจังที่เจอ...พริ้มแวะมาไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ”
สองสายตาที่เพิ่งจะประสานกันมีอันเบนทิศทางไปยังร่างระหงที่ก้าวเข้ามาอย่างมาดมั่น หยุดยืนยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม แถมเผื่อแผ่รอยยิ้มหวานมายังเลขานุการสาวที่จำต้องยิ้มตอบแบบงง ๆ
“สวัสดีครับคุณพริ้ม...มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า” กริชนะเอ่ยทักทาย
“ก็ไม่มีอะไรมาหรอกค่ะ พริ้มเอาโครงการที่เราตัดสินใจจะขยายตัวเพิ่มมาให้พี่กริชดู...ว่าแต่ เราจะคุยกันตรงนี้เหรอคะ” เธอตอบแกมถามกลับ
“เอ่อ...ขอโทษครับ งั้นเชิญข้างในเลย” ชายหนุ่มผายมือ เขาเปิดประตูออกกว้างให้ผู้มาเยือนสาวเข้าไป ก่อนจะก้าวตามและปิดประตูอย่างเรียบร้อย
สุดท้าย...แม้กริชนะจะไม่บอกอะไรแก่เขมขวัญเพิ่มเติม เธอก็สามารถรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าอาหารมื้อกลางวันของเจ้านายจะเป็นแบบไหน...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อถึงเสน่ห์ดึงดูดของเจ้านาย งานเลี้ยงผ่านไปยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่งโมงก็มีสาวสวยที่โดดเด่นที่สุดในงานเมื่อค่ำคืนตามมาเชื่อมสัมพันธ์กันถึงที่
ภายในห้องทำงานเงียบกริบอยู่เกือบชั่วโมงโดยไม่มีคำสั่งให้เลขาฯ อย่างเธอเสิร์ฟกาแฟ หรือเครื่องดื่มใด ๆ กริชนะอาจต้องการความเป็นส่วนตัวสำหรับแขกคนพิเศษ ด้วยการบริการเครื่องดื่มที่สามารถหาได้จากตู้เย็นเล็ก ๆ ภายในห้องทำงาน คาดว่าเวลาเที่ยงวันก็คงไม่พ้นควงกันออกไปหาอาหารในร้านหรู ๆรับประทานกันอย่างกะหนุงกะหนิง...ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาทำงานอย่างไม่ขาดช่วง เพื่อไม่กระทบภารกิจที่ต้องทำในช่วงเย็น...แม้จะคิดอย่างนั้น แต่น่าแปลกที่การรวบรวมสมาธิให้จดจ่อกับงานตรงหน้านั้นยากซะเหลือเกิน
เป็นไปตามคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ เพียงไม่ถึงชั่งโมงทั้งเจ้านายและแขกผู้มาเยือนคนสวยก็เดินออกจากห้องทำงาน เขมขวัญยืนขึ้นโดยอัตโนมัติเหมือนให้ความเคารพคนทั้งสอง
“เก็บงานของคุณเถอะ กริชนะเอ่ย เมื่อหยุดลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของเลขาฯสาว
“คะ?”
“เรากำลังจะไปทานข้าว”
“ค่ะ...” เขมขวัญตอบรับสั้น ๆ ทว่ายังคงยืนนิ่งไม่ได้เก็บงานตรงหน้าตามคำสั่ง
“ผมชวนคุณไปทานข้าวกับเรา” กริชนะเอ่ยด้วยสีหน้าบ่งบอกว่ารำคาญความเข้าใจยากของเลขาฯประจำตำแหน่งคนนี้ซะเต็มประดา
ก็ยังดีที่มีน้ำใจชักชวน... ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าแววตาของอีกคนที่กำลังทำตาเขียวส่งตรงมาให้ เขมขวัญก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบออกไปอย่างรู้หน้าที่ “ไม่ล่ะค่ะ...เชิญเจ้านายตามสบายเลย ดิฉันเพิ่งโทรสั่งอาหารขึ้นมาทานบนนี้”
“ผมอาจจะเข้ามาช้าสักหน่อย งานที่สั่งผมต้องการวันนี้นะ” เจ้านายหนุ่มสำทับอีกรอบ
“ค่ะ” เธอตอบ
เขมขวัญทำทีไม่ใส่ใจสายตาที่มองนิ่งนั้น เธอทรุดตัวลงนั่งเพิ่งมองไปยังจอคอมพิวเตอร์ ดำเนินการทำงานต่อ ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเงยขึ้นสังเกตสีหน้าของเจ้านายหนุ่ม
“ไปกันเถอะค่ะ” พิมพ์ชนกถือวิสาสะเกี่ยวแขนชายหนุ่มดั่งคนคุณเคย
เจ้านายทั้งสองเดินพ้นไปแล้ว ก็ถึงทีที่เขมขวัญเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง เธอละมือจากแป้นพิมพ์ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทั้งหลับตาอย่างเหนื่อยล้า... งานเยอะเหลือเกินวันนี้ไม่รู้ว่าความตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้นจะทำสำเร็จได้ในวันนี้หรือไม่ หญิงสาวหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาดู
“ถ้าวันนี้ไม่ได้ส่งก็อย่าว่ากันนะคะคุณป้า เอาไว้พรุ่งนี้ หนูส่งให้แน่นอน”
และแล้วคำว่าเข้ามาช้าสักหน่อยของเจ้านายก็กลายเป็นไม่หน่อย...เมื่อจวนเจียนจะเลิกงาน ก็ไม่มีวี่แววว่าท่านประธานจะเข้ามา เขมขวัญทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจนแล้วเสร็จทันเวลาเลิกงานพอดี มองนาฬิกาแขวนติดผนังทั้งคิดช่างใจ...ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเก็บรวมรวมเอกสารต่าง ๆให้เข้าที่ ปิดคอมพิวเตอร์เก็บโต๊ะจนดูเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะล็อกห้องท่านประธาน ก่อนจะเดินมายังลิฟต์พร้อมกระเป๋าสะพายใบเก๋ราคาไม่กี่ร้อยและซองเอกสารที่ติดมือมาด้วยตั้งแต่ออกจากที่พัก
เขมขวัญก้าวออกมายืนอยู่นอกอาคารสำนักงานในเวลาบ่ายแก่ ๆ หลังเลิกงาน พนักงานบริษัทหลายคนเริ่มเดินออกจากสถานที่ทำงาน อากาศร้อนอยู่มากชวนให้อ่อนใจที่จะเดินฝ่าเปลวแดดร้อนไปยืนรอรถที่ป้ายรถเมล์
“หนูจะแวะส่งเอกสารให้คุณป้าก่อนกลับบ้าน ยังไงซะก็อย่าให้หนูหลงทางนะคะ” เขมขวัญเอ่ยออกมาเบา ๆ แหงนหน้ามองฟ้าอีกรอบก่อนจะก้าวลงบันไดมุ่งสู่ปลายทางคือป้ายรถเมล์
ทว่ายังไม่ทันเท่าไหร่เธอก็ต้องเบรกฝีเท้าจนแทบหัวคะมำเมื่อรถเก๋งคนคุ้นตาตีโค้งเข้าเบียดชิดทางเท้าที่เธอกำลังจะก้าวข้ามไปยังอีกฝั่งถนน
“ว้าย!..”
หญิงสาวชักเท้ากลับแทบไม่ทัน สายตาที่พยายามเพ่งผ่านกระจกสีชานั้นเขียวปั๊ดอย่างห้ามอารมณ์ไม่อยู่ถึงแม้อีกฝ่ายจะลดกระจกลงมาสบตาโดยตรง
“จะรีบไปไหน ทำไมไม่รอกลับด้วยกัน” คนถามดูเหมือนจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันมีธุระต่อ ยังไม่กลับบ้านตอนนี้ เชิญท่านประธานค่ะ” พยายามข่มอารมณ์เต็มที่จนน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นราบเรียบ
“ไปธุระที่ไหน” เขายังตื้อ
“ธุระส่วนตัวค่ะ” เธอบอกปัด
“ขึ้นรถ...”
“อ้าว...” จู่ ๆ ก็ได้รับคำสั่งอย่างนั้น ทำเอาเขมขวัญทำหน้าไม่ถูก
“ธุระอะไรที่ไหน เดี๋ยวฉันจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไปเองได้ ไม่อยากรบกวน ขอบคุณที่กรุณา” เธอว่าพลางทำท่าจะเดินเลี่ยงไป
“ผมบอกให้ขึ้นรถ นี่เป็นคำสั่ง หรืออยากถูกหักเงินเดือน”
อะไรกันอีกล่ะเนี่ย...นี่นายจะมาเป็นเจ้าชีวิตฉันอีกตำแหน่งหรือไง...ไม่มีทาง...ยังไงฉันก็ไม่ยอม...ไม่ยอมให้นายหักเงินเดือนฉันด้วยเรื่องแค่นี้หรอก...คิดแล้วหญิงสาวก็ก้าวมาหยุดยังประตูข้างคนขับ
“ข้างหลัง!..มานั่งข้าง ๆ ผม”
เขาก็ยังออกคำสั่งในสิ่งที่ขัดความต้องการของเธออีกจนได้...อะไรวะ...จะนั่งตรงไหนมันก็เรื่องของฉัน...ทำไมชอบวุ่นวายกับชีวิตคนอื่นนักนะ...ให้ตายเถอะ...ถึงจะบ่นในใจ แต่เธอก็ยังไม่อย่างถูกเขม่นจากเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่
“คุณขวัญจะไปไหนครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งให้ถึงที่เลย” ลุงชูถามอย่างสุภาพ น้ำเสียงเอ็นดูชวนให้รู้สึกดีดั่งมีญาติผู้ใหญ่อยู่ใกล้ให้ความคุ้มครอง
“ไปที่นี่ค่ะลุง” เขมขวัญยื่นซองเอกสารไปให้ดู
ลุงชูแค่เหลือบตามองที่อยู่บนซองป๊าดเดียว “ครับ...ที่นี่ผมไปบ่อยตอนคุณท่านยังอยู่ ไม่ไกลหรอกครับแป๊บเดียวก็ถึง”
เมื่อรู้ปลายทาง รถก็เคลื่อนตัวออกจากที่ ภายในห้องโดยสารเล็ก ๆ ก็ตกอยู่ในความเงียบในที่สุด...
สำนักพิมพ์ตามที่อยู่ที่จ่าหน้าซองเอาไว้หาไม่ยาก เพราะลุงชูรู้จักเป็นอย่างดี แต่การสลัดเจ้านายให้พ้นตัวนี่สิ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก ทั้ง ๆ ที่เขมขวัญแจ้งความประสงค์ชัดเจนไปแล้วว่าเธอต้องการไปทำธุระส่วนตัวหลังเลิกงาน และจะเดินทางกลับบ้านเอง แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอม
“จะไปที่สำนักพิมพ์ทำไม” น้ำเสียงเรียบ ๆ ฟังเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายไปกว่าการชวนคุย แต่จะมีใครรู้บ้างว่าหูของเขาจับจดอยู่ที่การรับฟังคำตอบจากอีกฝ่าย
“มีเอกสารไปส่งค่ะ” เขมขวัญตอบ
เธอเหลือบตามองไปยังใบหน้าเรียบเฉยที่กำลังสนใจหนังสือนวนิยายในมือ เรื่องเดิมที่เคยเห็นเขาอ่าน แนววาบหวามที่เขมขวัญบอกตัวเองว่า ไม่แม้แต่จะคิดจับมาดูรูปที่ปก แค่เห็นในระยะแค่นี้ก็ทำให้เกิดอาการร้อนผ่าวที่หน้า จนต้องเมินไปหาทิวทัศน์จอแจนอกหน้าต่าง
“คุณคิดจะเป็นนักเขียนกับเขาด้วยเหรอ”
“เอ๊ะ...” เขมขวัญหันขวับกับมามองคนถามด้วยสีหน้างง ๆ
“ก็ซองนั่นเป็นต้นฉบับไม่ใช่เหรอ”
เขมขวัญหลุบตาลงมองซองเอกสารในมือ บอกตามตรงว่าเธอไม่เคยเปิดดูข้างในเลยสักครั้ง แล้วทำไมเจ้านายถึงรู้ว่านี่คือต้นฉบับ
“ขอโทษนะ ฉันเคยเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะทำงานของคุณป้า ตอนที่พายัยเลขาฯ ขี้เมากลับไปนอน ก็สงสัยอยู่ว่ามันคืออะไร เลยถือโอกาสเปิดดู”
คำกล่าวของชายหนุ่มทำให้คนฟังถึงกับหันขวับกลับมามอง ดวงตาขุ่นเขียว...ทว่าไม่อาจบอกไปว่าเธอโกรธด้วยเรื่องอะไร เรื่องที่เขาดูเอกสารในซอง หรือเรื่องที่ถูกหาว่าขี้เมา
“ทำไม...โกรธเหรอที่ฉันละลาบละล้วง...ก็ช่วยไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องดู”
กริชนะไม่พูดถึงความระแวงที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เขาอุ้มเขมขวัญไปส่งถึงบ้านเล็ก โดยมีคุณยายเอียด กับบริวารอีกหลายคนแห่ตามกันไปเป็นโขยง ทำยังกับกลัวว่าเขาจะค้างที่นั่นไม่ยอมขึ้นตึกใหญ่ ช่วงที่คุณยายบัญชาการบรรดาสาวใช้ให้ดูแลคนเมา เขาก็แวะเข้ามายังห้องทำงานของคุณป้า ดูความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น หลังจากยกที่นั่นให้เป็นห้องทำงานของหญิงสาว...
ซองเอกสารนั่นที่วางอยู่เด่นสะดุดตา ชวนให้รู้สึกวูบไปทั้งหน้าเมื่อเห็นแฟ้มการเงินของบริษัทที่วางอยู่ติดกัน มันคือความลับของบริษัทที่หากถูกแพร่งพรายออกไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของบริษัท
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ” เธอเอ่ยแล้วก็เมินมองไปทางอื่น
“พล็อตเรื่องของเธอสนุกดีนะ ถ้าได้ตีพิมพ์คงได้แจ้งเกิดด้วยนิยายเรื่องนี้” เขายังพูดต่อ ทั้ง ๆ ที่หนังสือเล่มหนายังกางอยู่ตรงหน้า
“ไม่ใช่ของฉันหรอกค่ะ มีคนฝากฉันเอาไปส่ง” เธอบอกในที่สุด ไม่อยากจะโกหกด้วยเรื่องที่ใช่จะสลักสำคัญอะไรนัก
“อ้อเหรอ...” กริชนะเอ่ย
นี่น่าจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ทำให้บรรยากาศภายในรถเข้าสู่สภาวะความเงียบอีกครั้ง แต่หาใช่เป็นเช่นนั้น เมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาอีกประโยค
“ตอนเที่ยงขอโทษด้วยนะ”
“เรื่องอะไรคะ” เขมขวัญหันมามองด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาขอโทษเธอด้วยเรื่องอะไร
“ปล่อยให้คุณทานข้าวคนเดียว ทำงานคนเดียวทั้งบ่าย...กินข้าวเสร็จ คุณพริ้มพาผมไปพบกรรมการผู้ถือหุ้นอีกคน เลยกลับช้า...ไว้คราวหน้าจะโทร.มาบอกก็แล้วกันว่าติดธุระอะไรที่ทำให้เข้าบริษัทไม่ได้”
คำบอกเล่าดั่งสามีที่กำลังอธิบายให้ภรรยารับรู้เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูแผ่วเบา ทว่ากลับเขย่าหัวใจของคนฟังให้ตื่นเต้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...” จะขอโทษทำไมเนี่ย...
สำนักพิมพ์อยู่ไม่ไกลจากบริษัทอย่างที่ลุงชูบอกเอาไว้จริง ๆ พอรถจอดเขมขวัญก็รีบลงจากรถเดินตรงไปยังประตูทางเข้า กลัวเหลือเกินว่าจะพลาดโอกาสพบบรรณาธิการที่ระบุชื่อไว้ที่หน้าซอง เพราะนี่ก็เลยเวลาเลิกงานมาเกือบชั่วโมงแล้ว
“มาขอพบ บก.วินิจค่ะ ไม่ทราบว่ากลับไปหรือยัง” เขมขวัญเอ่ยถามพนักงานคนหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามาใกล้
“ยังค่ะ...เชิญที่ห้องทำงานด้านในเลยค่ะ” พนักงานสาวคนนั้นตอบ ทั้งชี้มือไปยังทิศทางตำแหน่งห้องทำงานของบรรณาธิการ
“ดีจัง...อยากพบก็ขอพบได้ง่าย ๆ ไม่ต้องยุ่งยากกับการนัดหมายให้เสียเวลาเรื่องธุระเหมือนเจ้านายบางคน” เขมขวัญพึมพำเบา ๆ ทั้งยิ้มบาง ๆ เมื่อคิดถึงเจ้านายกับสมุดตารางนัดหมายเล่มเล็กในกระเป๋า
“ที่พูดนี่คงไม่ได้หมายถึงผมหรอกนะ”
“ก็เจ้านายนั่นแหละ...” คำพูดที่หลุดออกมาในทีเผลอชะงักงันชั่วครู่ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมามองเจ้าของคำถาม “เฮ้ย...ตามมาด้วยเหรอคะ”
“มันแน่อยู่แล้ว ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสำนักพิมพ์มันเป็นยังไง ทำไมคุณป้าถึงได้หลงใหลได้ปลื้มกับที่นี่นัก โดยเฉพาะบ.ก.วินิจ ได้ข่าวว่าสนิทสนมกับคุณป้าซะจนเคยตกเป็นข่าวโคแก่กินหญ้าอ่อนมาพักหนึ่ง”
“โคแก่อะไรกัน...ตากริชพูดน่าเกลียด...ไม่ใช่เรื่องจริงซักหน่อย”
“เอ๊ะ...” เขมขวัญอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อพลังงานเสียงความถี่ที่มีเพียงเธอเท่านั้นสามารถรับฟังได้ ตามมาด้วยเหรอเนี่ย...
“ห้องทางขวามือ... คุณวินิจรออยู่...”
น้ำเสียงเนิบช้าเย็นยะเยือกกระตุ้นขนแขนให้ลุกชันขึ้นอย่างไม่อาจห้าม จากที่เคยนึกรำคาญเจ้านายผู้ต้องการหาเรื่องข้องเกี่ยวกับเธอไปซะทุกเรื่อง มีอันเปลี่ยนแปลงไปโดยทันที เขมขวัญเดินช้าลงขยับเข้าใกล้ชายหนุ่มแทบเบียด หากทำได้ เธอคงเกี่ยวกอดแขนเขาอาศัยเป็นเกราะคุ้มภัย
“เป็นอะไร...” คิ้วเข้มขมวดหมุนเมื่อก้มมองอากัปกิริยาผิดปกติของเลขาฯสาว
“มะ...ไม่มีอะไรค่ะ...เพียงแต่รู้สึกว่าใจหวิว ๆ พิกล”
“เฮ้ย...อย่ามาเป็นลมที่นี่อีกนะ ถ้าเธอเป็นลมไปอีก คราวนี้ฉันคงส่งเธอเข้าผ่าชันสูตรอย่างละเอียด”
“จะมาผ่าเผ่ออะไรเล่า...เค้ายังไม่ตายซักหน่อย...” ว่าแล้วก็ส่งค้อนให้เจ้านาย เขยิบออกห่างไปสองก้าว ทั้งทำปากบ่นขมุบขมิบ
กริชนะมองกิริยานั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้...ความรู้สึกเครียดมาทั้งวันก็พลันหายไปในพริบตา เพียงแค่ได้เห็นธรรมชาติของการแสดงออกที่ไม่เจือเล่ห์มารยาจากเลขาฯ ที่ไม่เคยคิดจะพูดเอาอกเอาใจ ประจบสอพลอกับเขาสักครั้ง
“เอาเถอะ ถ้ารู้สึกไม่สบายก็เกาะแขนผมไว้” ไม่เพียงพูดเปล่า เขายังขยับเข้าคว้ามือเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายสอดเข้าวงแขนตัวเอง ทั้งกุมและยึดไว้ไม่ให้ดึงออก
“เอ่อ...ปล่อยเถอะค่ะ ฉันสบายดีแล้ว” ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าตำลึงสุก
“เฉยเถอะน่า...อยู่นิ่ง ๆ ถึงห้องทำงานคุณวินิจแล้ว” เขาบอก ทั้งหันมาสบตากลมโตที่บังเอิญเหลือบขึ้นมองเขาเช่นกัน
“เตรียมตัวพร้อมหรือยัง”
“เตรียมทำไมคะ” คำถามของเจ้านายทำเอาเธองงอีกแล้ว
“ก็เตรียมพร้อมรับคำตอบน่ะสิ...คุณเอาพล็อตเรื่องมาให้ บ.ก.ดูไม่ใช่เหรอ ถึงผมจะบอกว่าพล็อตนี้ดี ก็ใช่ว่า บ.ก.จะบอกว่าดีด้วย เพราะฉะนั้น จงเตรียมตัวเตรียมใจรับความผิดหวังเอาไว้ด้วย” กริชนะเตือนซะยืดยาว
“บอกแล้วไงว่าเอกสารฉบับนี้ไม่ใช่ของฉัน แต่เป็นของเพื่อนฝากมา” นี่เขายังเข้าใจว่าเราเป็นคนเขียนเรื่องนี้อีกเหรอ...
“ช่างเถอะ จะเขียนเองหรือจะคนอื่นเขียน มันก็เป็นเรื่องภูมิใจมากกว่าน่าอายล่ะ ถ้าคุณบอกว่าพร้อมแล้ว เราก็เข้าพบ บ.ก.กันตอนนี้เลย” ว่าแล้วเขาก็ใช้มือข้างที่ว่างเคาะประตู
“เชิญครับ”
เสียงตอบรับดังจากด้านใน ไม่รอช้ากริชนะบิดลูกบิดประตู เปิดออกกว้างทั้งจับจูงหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของธุระอย่างแท้จริงให้ก้าวผ่านเข้าไปข้างใน ปิดประตูกางกั้นให้เกิดความเป็นส่วนตัวในการสนทนาครั้งนี้
************
ตอนนี้ อัพช้านิดนึง จากการเสพข่าว นิยายถูกละเมิดลิขสิทธิ์ จากเวปโหลดอ่านฟรี ของทองหลางเจอไป2 เรื่อง กำลังจุกอยู่เลยตอนนี้ จนทำให้เกิดความลังเลว่าจะ อัพจบเรื่องเหมือนเคยดีหรือเปล่า...เฮ้อ...ว่าโลกแห่งความจริงอยู่ยากแล้ว โลกแห่งนิยายก็ยังอยู่ยากขึ้นอีกแห่ง ต่อไปนักเขียนคงไร้จุดยืน
ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ธ.ค. 2559, 10:18:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ธ.ค. 2559, 11:50:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 1128
<< ตอนที่ 13 งานเลี้ยง | ตอนที่ 15 แล้วใครเล่าคือเจ้าของที่แท้จริง >> |
Kim 4 ธ.ค. 2559, 10:46:12 น.
คนเห็นแก่ตัวมีอยู่ทุกที่จริงๆ เป็นคนหนึ่งที่ไม่สนับสนุนการทำผิดศิลธรรมและกฎหมาย ถ้าอัพไม่จบก็เข้าใจได้ค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ
คนเห็นแก่ตัวมีอยู่ทุกที่จริงๆ เป็นคนหนึ่งที่ไม่สนับสนุนการทำผิดศิลธรรมและกฎหมาย ถ้าอัพไม่จบก็เข้าใจได้ค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ
แว่นใส 4 ธ.ค. 2559, 11:54:20 น.
นักเขียนอยู่ยาก นักอ่านก็หาอ่านยากเหมือนกันนะ
นักเขียนอยู่ยาก นักอ่านก็หาอ่านยากเหมือนกันนะ
Zephyr 4 ธ.ค. 2559, 17:19:38 น.
สู้ๆค่ะ เราเข้าใจเจตนานักเขียนมาอัพให้อ่านนะ
แต่สมัยนี้คนเห็นแก่ตัว คนขโมยความคิดมันเยอะ
สู้ๆนะคะ
สู้ๆค่ะ เราเข้าใจเจตนานักเขียนมาอัพให้อ่านนะ
แต่สมัยนี้คนเห็นแก่ตัว คนขโมยความคิดมันเยอะ
สู้ๆนะคะ
นกขมิ้น 6 ธ.ค. 2559, 20:43:52 น.
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้ค่ะ
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้ค่ะ
yapapaya 16 ธ.ค. 2559, 11:53:02 น.
สู้ๆนะคะ คนเห็นแก่ตัวมีมากจริงๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
สู้ๆนะคะ คนเห็นแก่ตัวมีมากจริงๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ