A castle wall *กำแพงรัก*
ถ้าความรักคือเรื่องของคนสองคน ต้องมนต์ คงไม่นับรวมอยู่ในนั้นเป็นแน่ เพราะการแอบรักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่าง ปัถย์ มันก็เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วแหงนคอมองคนบนหอคอย อย่างไรอย่างนั้น...แต่ก็ไม่รู้ทำไม เสียงข้างในจิตใจก็ร่ำร้องถึงเค้าอยู่ร่ำไปสิน่า..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3 : จูบพิฆาตใจ

บทที่ 3 จูบพิฆาตใจ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การทำงานเป็นผู้ช่วยอดีตเอกอัครราชทูตของฉันก็ก้าวเข้าสัปดาห์ที่สี่อย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่งานที่ฉันต้องทำก็ไม่มีอะไรนอกเหนือจากที่คุณปราชญ์บอกไว้ ทั้งนี้ฉันยังได้รับความรู้ และ ประสบการณ์ต่างแดนมากมายของท่านตามประสาคนมีอายุที่มักจะพูดรำลึกถึงความหลังเป็นประจำ ฉันได้รับรู้เรื่องของ คุณปัถย์ ในบทสนทนาหลายหลายครั้ง สิ่งที่ฉันรวบรวมได้ก็คือ คุณปัถย์เกิดที่ประเทศสหราชอาณาจักร และศึกษาที่นั่นจวบจนระดับชั้นมหาวิทยาลัย จากนั้นจึงได้บินไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณปัถย์กลับมาเมืองไทยนับครั้งก็ว่าได้ชีวิตส่วนใหญ่ของเค้าจะอยู่ที่สหราชอาณาจักรซะเป็นส่วนใหญ่ คุณปราชญ์เล่าว่า ในช่วงที่คุณปัถย์เกิดท่านดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่สหราชอาณาจักร หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็ถูกย้ายตัวให้ไปดำรงตำแหน่งยังสหพันธรัฐเยอรมัน ในตอนแรกที่ฟังเรื่องราวฉันแอบคิดว่า คุณปัถย์นี่คงเป็นเด็กหลายสัญชาติแน่แน่ เพราะเคยได้ยินว่า ภรรยาและลูกๆของเอกอัครราชทูตมักจะต้องติดตามคณะไปยังประเทศนั้นนั้นเสมอ แต่ฉันก็คิดผิดเพราะ คุณปัถย์หาได้ย้ายแหล่งพักพิงไปที่ใดไม่ เพราะคุณปราชญ์ได้ให้คุณหญิงพจนีย์คอยดูแลคุณปัถย์ที่สหราชอาณาจักรแทน จะว่าไปแล้วหลังจากวันที่ได้นั่งสนทนากันเป็นครั้งแรกกับคุณปัถย์ตอนที่ฉันมากับพ่อ ฉันก็พบเจอคุณปัถย์บ่อยขึ้น ส่วนใหญ่เราจะเจอกันก่อนที่คุณปัถย์จะออกไปทำงาน กระนั้นฉันก็ยังแอบมองเค้าจนกระทั่งรถยนต์คันดำลับตาไปทุกครั้ง เรื่องราวการหลงใหลได้ปลื้มเทพบุตรของฉัน ยังคงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เพราะฉันพยายามที่จะเก็บกักความตื่นเต้นที่ได้พูดคุยกับคุณปัถย์เสมอ (ฉันคิดเอาเองว่า ตัวเองเก็บไว้อย่างมิดชิด)



จนกระทั่งในช่วงบ่ายของวันนึงในสัปดาห์ที่สี่ของการทำงาน ฉันกำลังนั่งปล่อยใจบนม้าหินอ่อนใกล้กับสระว่ายน้ำของบ้าน ปิลันธบุตร คุณปราชญ์ท่านกำลังพูดคุยเรื่องงานกับเจ้าหน้าที่ในกระทรวง ฉันจึงขอปลีกตัวออกมานั่งอ่านบทความว่าด้วยเรื่องการก่อตั้งเขตการค้าเสรีและนั่งรำลึกถึงชีวิตของตัวเองกับคุณปัถย์ (กล้ามาก) จะว่าไปแล้วเราสองคนแตกต่างกันอย่างที่เรียกว่าฟ้ากับดินก็ว่าได้ หลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องเล่าจากคุณปราชญ์หลายต่อหลายครั้ง ฉันมักจะพยายามหาเหตุผลในการเลิกหลงรัก คุณปัถย์สักที อยากให้ตัวเองท้อแท้ และ ปลง กับกำแพงความรักครั้งนี้เหลือเกิน แต่ใจฉันมันก็ไม่ฟัง มีแต่จะคอยนึกถึงหน้าของเค้าอยู่เรื่อยไป หลายครั้งที่ฉันมักจะจินตนาการ(เพ้อเจ้อนั่นแหละ) ว่าหากเราทั้งสองมีใจให้กัน จะเป็นอย่างไรนะ คุณปัถย์จะยอมรับฐานะของฉันได้ไหม แล้วฉันจะต้องวางตัวยังไงเมื่อได้ลงเอยกับเทพบุตรสุดหล่อคนนี้(อาการหนัก) คิดแล้วตัวเองก็นั่งอมยิ้มอารมณ์ดีไปทั้งวัน ในขณะที่ฉันกำลังวาดฝันอยู่บุคคลที่ฉันจินตนาการก็เดินออกมาคุยโทรศัพท์ด้านนอกของตัวบ้าน ฉันสะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อไล่ภาพความฝันของตัวเอง แต่ภาพของชายหนุ่มคนดังกล่าวก็ยังอยู่ตรงนั้นไม่หายไปไหน อาการตกตะลึงของฉันจึงเริ่มขึ้น ฉันก้มลงมานาฬิกาข้อมือตัวเอง แล้วละสายตามามองภาพตรงหน้าอีกครั้ง ก็พบว่ามันยังไม่ถึงเวลากลับบ้านของเค้านี่ ทำไมวันนี้คุณปัถย์กลับบ้านก่อนเวลาล่ะ อาการมือไม้สั่นและ ช่องท้องก็เกิดอาการเบาหวิว หน้าร้อนวูบวาบเมื่อรู้ว่า เค้าได้ตัดสายโทรศัพท์เมื่อครู่ไปเสียแล้ว


“พักกลางวันหรือครับ”


คุณปัถย์เอ่ยทักทายหลังจากที่เขาเดินตรงมานั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนฝั่งตรงข้ามกับฉัน

“อ้าว....เป็นใบ้เหรอ”


“เอ่อ...คะ ค่ะ”
หลังจากฉันเกิดอาการตะลึงงันที่ได้นั่งใกล้ชิดกับคุณปัถย์อีกครั้ง ฉันจึงเอ่ยตอบแบบตะกุกตะกัก ก็หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นผิดที่ผิดทางอีกแล้ว จริงจริงมันเต้นตั้งแต่เห็นเค้าเดินตรงเข้ามาอีกแล้วแล้วก็ระรัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทพบุตรของฉันนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม อยากจะให้ตัวเองลุกขึ้นวิ่งหนีทันทีที่คุณปัถย์ แต่ก็เกรงว่าคุณปัถย์จะคิดว่าฉันมีอาการประสาทแน่แน่


“ค่ะ นี่คือ เป็นใบ้ หรือ พักกลางวันล่ะ”


หลังจากประโยคยียวนพร้อมรอยยิ้มกรุ่มกริ่มของคุณปัถย์ ความตื่นเต้นของฉันจึงลดระดับลงไปทันที ได้แต่เม้มปากน้อยน้อย แต่ฉันคิดว่าคุณปัถย์คงไม่ทันสังเกตุเห็น คุณปัถย์นี่ก็...ยอกย้อนยียวนฉันอยู่ได้ คนยิ่งเขินเขินอยู่ หรือว่า เห็นฉันยิ่งเขิน ก็ยิ่งแซว....เค้ารู้ทันนะ!

“พักกลางวันค่ะ บังเอิญว่าคุณปราชญ์กำลังคุยโทรศัพท์น่ะค่ะ แป๋มเลยขอตัวออกมานั่งข้างนอกดีกว่า”
พูดไปก็พยายามหลบสายตาประกายของชายหนุ่มไป ทำไมต้องจ้องหน้าเวลาพูดด้วยล่ะ ฉันไปไม่เป็นนะเนี่ย


“แป๋ม....ชื่อน่ารักดีนะ”
คุณปัถย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาสำหรับฉัน แต่ให้ตายเถอะ....ชมกันต่อหน้าแบบนี้เลยเหรอ แค่มานั่งคุยกันก็เขินจะตายอยู่แล้ว นี่ยังจะมีประโยคหยอดเล็กหยอดน้อยให้หัวใจฉันเต้นเร็วขึ้น มาอีก


“คุณปัถย์จะรับประทานที่ห้องอาหารหรือที่นี่ค่ะ”
เสียงแม่บ้านสูงวัยเอ่ยขัดขึ้นมาหลังจากที่คุณปัถย์พูดเล่นกับฉัน ฉันได้แต่ภาวนาว่าขอให้คุณปัถย์ไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารเถอะ ออกไปจากฉันให้ห่างโดยเร็วเพราะฉันอยากจะปรับสภาพอัตราการเต้นของหัวใจให้เข้าที่เสียที

“ที่นี่ล่ะกัน เตรียมเผื่อคุณแป๋มเค้าด้วย”

“เอ่อ..คือแป๋มเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวแป๋มกลับเข้าไปทำงานแล้วกัน” ฉันรีบเอ่ยปฏิเสธทันที ในเมื่อคำภาวนาไม่เป็นผล ต้องมนต์ก็ต้องระเห็จตัวเองไปแทน! ฉันจึงรวบรวมเอกสารตรงหน้าเตรียมตัวจะลุกขึ้น


“ไม่ต้องหลบผมหรอกครับ ผมจะกินข้าว...ไม่ได้จะกินคุณ”
จบประโยคสองแง่สองง่ามของคุณปัถย์นั้น หน้าของฉันก็แดงเป็นลูกตำลึงสุกทันที คนอะไรพูดมาได้ ใครเค้าจะให้กินล่ะ.....แอร๊ย เขิน ฉันจึงแก้อาการเขินของตัวเองด้วยการลนลานด้วยการวางเอกสารที่อยู่ในมือลงบนเก้าอี้หินอ่อนตัวที่ยังว่างอยู่ ฉันแอบลอบมองคุณปัถย์ถอดเสื้อสูทตัวนอกวางลงบนม้าหินอีกด้านนึง แล้วจึงคลายปมเนคไท เพื่อปลดกระดุมเม็ดบนผ่อนคลายความอึดอัด ทันใดนั้นสายตาคมปลาบของเค้าก็มองมายังฉัน คุณปัถย์คงรู้ตัวว่าฉันจ้องนานเกินไป ทำเอาฉันที่กำลังมองอย่างหลงไหลหลบตาไม่ทันอย่างชนิดที่เรียกว่า ปล่อยไก่เผยไต๋ให้รู้อย่างเต็มที่ ถ้าฉันไม่ได้ตาฝาดฉันแอบเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเค้าด้วยนะ....เค้าจับได้แน่แน่ โอ๊ย ต้องมนต์!!!!! อับอาย อับอาย


“คุณจะไม่ได้กินด้วยกันจริงจริงเหรอ”
คุณปัถย์เอ่ยขึ้นทักหลังจากที่แม่บ้านคนเดิมนำอาหารมาวางไว้ตรงหน้า ลับหลังแม่บ้าน คุณปัถย์ก็จัดการหยิบอุปกรณ์ในการกิน แต่เค้าก็กลับชะงักเมื่อฉันยังคงนั่งนิ่งเป็นสาก สติฉันมันลอยไปแล้ว ยิ่งได้เห็นในระยะใกล้ รู้สึกได้ว่า เทพบุตรที่สัมผัสได้มันเป็นยังไง อาการไปไม่เป็นของฉันมันก็ยิ่งชัดขึ้นไปทุกที



“คุณนี่ตลกดีเนอะ ชอบทำท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่ตอนเจอกันที่ร้านอาหารล่ะ”
คุณปัถย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเล็กเล็กหลังจากที่มองมาที่ฉันพักใหญ่ ทั้งที่ฉันพยายามมองฟ้า มองน้ำ แล้วนะ แต่ก็ไม่วายหันมาเจอใบหน้าคมจ้องมาที่ฉันทุกที


“คุณปัถย์จำได้”
อารามตกใจที่คุณปัถย์จำฉันได้ในคราวแรกที่เราพบกัน ฉันจึงทำสีหน้าตกตะลึงเหมือนโดนผีหลอกเต็มที ป๊าดดดดด....อยากหายตัวได้เสียจริง


“ก็เล่นจ้องซะขนาดนั้น”
เค้าตอบกลับพร้อมส่งยิ้มเล็กเล็กมาให้ฉัน ก่อนจะหลุบตาไปตักอาหารในจานของตัวเอง คุณปัถย์พูดอะไรอย่างนั้น...จ้องอะไรกัน ก็แหม คุณปัถย์อยากหล่อทำไมล่ะ ฉันได้แต่คิดในใจอย่างนั้น นี่ถ้าเราสองคนยังนั่งสนทนากันนานกว่านี้ คุณปัถย์คงรับรู้ถึงรัศมีความชื่นชมที่ฉันมีต่อเขาอย่างล้นหลามเป็นแน่ ฉันได้แต่ภาวนาขอให้มีใครสักคนมาขัดจังหวะสักที ไม่ว่าจะเป็นพี่แม่บ้าน พี่คนสวน พี่คนล้างสระ กวาดใบไม้ ใครก็ได้เอ้า!!!!!มาช่วยฉันที

แล้วคำภาวนาฉันก็เป็นผล เมื่อคุณปราชญ์เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาเพิ่มเติม ฉันนึกขอบคุณคุณปราชญ์ ที่มาทันเวลา ไม่งั้นฉันว่าจะแกล้งตายต่อหน้าคุณปัถย์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป อับอายเหลือเกินที่เปิดเผยท่าทีให้คุณปัถย์อย่างเต็มที่ เอาหน้าไว้ไหนดีนะต้องมนต์


“อ้าว...วันนี้กลับเร็วนะลูก ดีเลยพ่อว่าจะปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงสักหน่อย”
คุณปราชญ์เอ่ยทักลูกชายทันทีที่นั่งลงโดยลูกชายหยิบเสื้อสูทตัวที่ถอดออกมาวางทับบนเอกสารของฉันที่วางไว้อยู่ก่อนหน้า...ฉันมองตามเสื้อสูทตัวนั้น คิดในใจอยากจะเก็บเอกสารไปไว้ข้างหมอน อย่างน้อยน้อยก็น่าจะติดกลิ่นน้ำหอมจากเสื้อสูทตัวนั้นไม่มากก็น้อย(ฉันเหมือนโรคจิตไหมนะ)



“งานเลี้ยงต้อนรับหรือครับ”
คุณปัถย์เลิกคิ้วสูง พร้อมกับถามกลับ ดูเหมือนคุณปัถย์จะงุนงงกับงานเลี้ยงครานี้ไม่ใช่น้อย


“ใช่แล้ว งานเลี้ยงที่กระทรวงเค้าจะเลี้ยงต้อนรับที่พ่อกลับมา กำลังคิดว่า จะเสนอให้จัดที่บ้านเรา แต่เหมือทางนั้นเสนอว่าจะไปจัดที่โรงแรม”



“บ้านเราก็ได้นะครับ ไม่ต้องวุ่นวายเดินทาง”
คุณปัถย์ครางตอบรับในลำคอ และใช้เวลาครุ่นคิดไม่นานจึงเอ่ยตอบบิดาไป



“หนูแป๋มว่าไงล่ะ...ที่บ้านหรือที่โรงแรมดี”



“เอ่อ...บ้านน่าจะดีกว่านะค่ะ”

ชายผู้สูงวัยพยักหน้ารับรู้กับคำตอบของทั้งฉันและลูกชายของท่าน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ในชั่วขณะหนึ่ง(กล้ามาก) หลังจากบทสนาจบลง เสียงโทรศัพท์มือถือของคุณปัถย์ก็ดังขัดขึ้น ชายหนุ่มจึงขอตัวเดินออกไปพูดคุยไกลออกไปจากโต๊ะม้าหินที่เรานั่งคุยกันพอสมควร


“หนูแป๋ม มาด้วยนะ มาช่วยกันจัดงานด้วยก็ได้ คราวนี้ล่ะจะได้แสดงฝีมือให้เต็มที่ไปเลย”
เอ่อ....คุณปราชญ์กำลังเข้าใจความถนัดฉันผิดไปรึเปล่า ฉันไม่ได้มีความสามารถด้านการออกแบบงานเลี้ยงสังสรรค์หรืออะไรที่เกี่ยวกับการออกแบบแต่อย่างใด แต่ฉันก็ยังคงพยักหน้ารับว่าจะพยายามช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่ คุณปราชญ์บอกว่าคนกันเองทั้งนั้น ถ้าฉันได้มาร่วมช่วยเหลือ อาจจะได้เจอกับบุคคลในกระทรวงเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงโอกาสการทำงานก็ย่อมเพิ่มตามไปด้วย



ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ฉันยังคงนั่งพิมเอกสารให้กับคุณปราชญ์ยังไม่เสร็จ แม่บ้านนำขนมและนม มาให้ฉันเป็นรอบที่สองช่วงบ่าย เพราะฉันปฏิเสธที่จะร่วมโต๊ะอาหารในเวลาค่ำ ฉันเพียงแค่จะเร่งพิมงานให้เสร็จทันวันนี้ ท้องฟ้าข้างนอกก็มืดลงเต็มที ในใจฉันเริ่มอยากที่จะเอนกายลงบนเตียงสีชมพูของตัวเองเต็มแก่ คุณปราชญ์บอกฉันหลังจากที่มื้อค่ำของท่านจบลง ว่าท่านจะไปเดินเล่นย่อยอาหารในสวนแล้วจะไปอาบน้ำที่ด้านบนห้องนอนของท่าน หากว่างานของฉันแล้วเสร็จก็ให้ฉันกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องอยู่รอล่ำลาให้เสียเวลา น้ำเสียงของท่านเจือความห่วงใยที่ฉันต้องขับรถยามดึกดื่นกลับบ้าน เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดจังหวะการรัวแป้นคีย์บอร์ดจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ฉันจึงเงยหน้าละสายตาจากหน้าจอตรงหน้า มองไปยังประตูด้านขวามือทันที และเมื่อประตูเปิดออก ฉันก็พบกับผู้มาใหม่ทันที



“คุณพ่อล่ะ”



“คุณปราชญ์ขึ้นไปอาบน้ำค่ะ”



“นานรึยัง”



“สักพักแล้วค่ะ คุณปัถย์มีอะไรรึเปล่าค่ะ”



ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าน้อยน้อยให้ ฉันเริ่มจะคุ้นชินกับการสนทนากับเขาเข้าให้แล้ว อาจเพราะตอนนี้คุณปัถย์ยืนตรงประตูและเปิดมันค้างไว้ แล้วระยะห่างของเราทั้งคู่ก็พอประมาณเลยล่ะ...อาการเขินของฉันจึงไม่ค่อยได้ปรากฏเท่าไรนัก พูดไม่ทันขาดคำ คุณปัถย์ก็ก้าวเข้ามาให้ห้องทำงานทันที ฉันได้แต่อึ้ง นิ้วมือที่จะพิมงานบรรทัดถัดไปก็เกิดอาการล็อคขึ้นมากระทันหัน ได้แต่ตะลึงงันกับการแทรกตัวเข้ามาในห้องทำงานของผู้เป็นบิดา หลังจากที่ได้ใกล้ชิดกับคุณปัถย์ ตลอดบ่าย หัวใจฉันมันคงพิการไปเสียแล้วมั้ง เต้นเร็ว เต้นเบา แล้วก็ เต้นเบา เต้นเร็ว และตอนนี้มันก็เริ่มเต้นอีกครั้ง วันนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วนะ......


ฉันเห็นคุณปัถย์เดินเข้าใกล้มาทุกที ทุกที จากอาการตะลึงงันที่เห็นเขาก้าวเข้ามาในห้องฉันตัดสินใจละสายตาจากหน้าคมเข้มมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แทน กลิ่นสบู่อ่อนๆ ส่งมาให้ฉันได้สูดดม(เคลิ้มเหมือนกันนะเนี่ย) เสียงฝีเท้าของพ่อเทพบุตรใกล้เข้ามาทุกที...ทุกที จนกระทั่งเสียงเท้าหยุดลง ฉันจึงได้แต่พยายามควบคุมสติให้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะรีบพิมบทความให้เสร็จโดยเร็ว แต่แล้วเหตุการณ์เหนือความคาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ฉันรู้สึกมีเงาดำากทาด้านหลังเก้าอี้ที่ฉันกำลังนั่งอยู่ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แล้วเปล่งเสียงกระซิบที่ข้างหูของฉัน


“กลับบ้านได้แล้วค่ะ น้องแป๋ม”


พระเจ้า!!!!! ทำไมในระยะประชิดตัวแบบนี้คุณปัถย์เรียกฉันว่าน้องแป๋ม เหมือนข้อความเมื่อครู่ดังก้องในโสตประสาทวนไปวนมา ประหนึ่งเป็นเสียงดังกังวานอยู่อย่างนั้น ใกล้กันเกินไปแล้วนะคุณปัถย์!! เมื่อเริ่มดึงสติกลับมาได้ ฉันจึงหันขวับมาทางต้นเสียงที่กระซิบข้างหูฉันเมื่อครู่ โดยลืมนึกไปว่า เมื่อปากคุณปัถย์อยู่ข้างหูฉัน แล้วฉันก็ดันหันหน้าไปทางปากของคุณปัถย์ คราวนี้...เราได้ใกล้กัน ในระดับเลิฟซีนแล้ว โอ้...ชีวิตสาววัยรุ่นตอนปลาย อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวเกิดขึ้นทันทีที่ปลายจมูกของเราทั้งคู่ชนกัน หัวใจเต้นโครมครามเป็นจังหวะร๊อค ฉันรู้สึกเหมือนมันกำลังจะหลุดออกมานอกอก คุณปัถย์จ้องมองนัยน์ตาของฉัน....ฉันได้แต่ล่องลอยอยู่ในความฝัน ภาพเหตุการณ์ตอนนี้เหมือนมีหมอกหน้าปกคลุมเราทั้งคู่


หลังจากที่คุณปัถย์จ้องตาสลับมองใบหน้าฉันได้ไม่นาน ก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้...เข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีจนปากของเราทั้งคู่แตะกันอย่างแผ่วเบา ฉันรู้สึกถึงอาการเบาโหวงในช่องท้อง อาการไร้เรี่ยวแรงไม่สามารถบังคับมือไม้ได้อย่างที่สมองสั่งการ คุณปัถย์ถอนสัมผัสแผ่วเบาเมื่อครู่ แต่คราวนี้เค้าใช้มือหมุนเก้าอี้ของฉันโดยที่เขานั่งคุกเข่าให้เราเผชิญหน้าในระดับสายตาเดียวกัน แล้วจึงดึงตัวฉันเข้าไปแนบกับลำตัวร่างกายของเขาพร้อมกับจูบพิฆาตใจ มันเป็นจูบที่ลึกล้ำ และเต็มไปด้วยความร้อนแรงมากกว่าครั้งที่แล้ว 10 เท่า สติสัมปชัญญะของฉันหลุดลอยออกจากร่างของจริง เมื่อฉันรู้สึกว่าโลกที่อยู่ตรงหน้าดับวูบไปในทันที.............




* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
บทที่สามจบลงอย่างสวยงาม....นางเอกโดนขโมยจูบแรกไปแล้วววววววว แต่ยังมีเรื่องที่นางเอกต้องเจออีกเยอะ
เพราะ อีตาคุณปัถย์เนี่ย ยังมีหลายอย่างซ่อนไว้ นางเอกของเราก็เปิ่นเป๋อซะขนาดนี้ พระเอกจับได้ตั้งแต่แรกแล้ว
ยังไงก็ติดตามตอนต่อไปได้นะค่ะ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านเลยค่าาาาาา



คุณิณพัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ส.ค. 2554, 12:04:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2554, 13:40:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2501





<< บทที่ 2 : ปราชญ์ ปิลันธบุตร   บทที่ 4 : Rebound >>
รอให้เป็นเล่ม 9 ส.ค. 2554, 12:58:45 น.
ชอบบบบบบบบบบบบบ


xeve 9 ส.ค. 2554, 17:34:00 น.
แอร๊ย ชอบคํานี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account