โซ่รักสีรุ้ง
"เด็กคนนั้น...เป็นลูกใคร" ห้าปีผ่านมา เธอคิดว่าชินชากับความเจ็บปวดแล้ว แต่ความจริงความรู้สึกนั้นเพียงแต่ตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจรอเวลาที่ใครสักคนจะกวนตะกอนนั้นขึ้นมา ให้เจ็บรวดร้าวยอกแสลงไปทั้งหัวใจ
Tags: ศศิภา,อรุณฉาย,ท้อง,หย่า,หนี,แต่งงาน,ศศิอักษร

ตอน: บทที่ ๑๐ - แผนการขั้นสุดท้าย ๑

สายรุ้งนั่งก้มหน้า มือประสานวางบนตัก นิ้วนางข้างซ้ายยังสวมแหวนเพชรห้ากะรัต ประกายวาววามเจิดจรัสสะท้อนแสงไฟจากแชนเดอเลียน์เบื้องบน หญิงสาวแตะปลายนิ้วบนแหวนวงนั้น หวังเพียงซึมซับความอบอุ่นจากมัน

...ความอบอุ่นที่เอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจยามคิดถึงคนให้

พนมกรรั้งตัวหล่อนเข้าไปกอดก่อนจากกันเมื่อวานนี้

มือข้างหนึ่งของเขาลูบไล้แผ่นหลังของหล่อนอย่างปลอมประโลม มืออีกข้างลูบไล้ปลายผมของหล่อนไปมา

‘ไม่ต้องกลัวนะรุ้ง...รุ้งมีพี่อยู่ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าพี่จะอยู่ข้างรุ้งเสมอ’

เขากระซิบชิดหน้าผากเกลี้ยงเกลา ก่อนประทับจุมพิตลงบนนั้นแล้วผ่อนลมหายใจยาว

‘เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของพี่เอง ไม่ใช่ความผิดของรุ้งเลยสักนิด ถ้าคุณพ่อจะโกรธก็ควรจะโกรธพี่มากกว่า’ เขาเลชปลายคางมน ตาสบตา ดวงตาที่รื่นรมย์อยู่ป็นนิจพลันหม่นแสงเมื่อเห็นน้ำตาคลอคลองในดวงตาคู่สวย

‘ไม่ต้องกลัวนะรุ้ง คุณพ่อกลับมาเมื่อไหร่ พี่จะรีบมาหารุ้ง มาอยู่ข้างรุ้ง ปกป้องรุ้ง พี่สัญญา’

คำสัญญาของเขา สายรุ้งเชื่อหมดหัวใจ

หล่อนรอคอย...รอกำลังใจจากคนตัวโต ขอเพียงแต่เห็นเขา ได้ยินเสียงของเขา ได้กุมมืออุ่นๆ นั้น หล่อนก็จะเข้มแข็งขึ้น

ทว่า...ยามนี้ นั่งอย่างโดดเดี่ยวต่อหน้าผู้เป็นบิดาซึ่งกำลังโกรธจัด หัวใจของหล่อนอ่อนแอยิ่งแล้ว

หล่อนทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ายอมรับความผิด ปล่อยให้น้ำตาหยาดหยดตกต้องแก้มนวล...หยดแล้วหยดเล่า

“แกจะทำให้ฉันอกแตกตายรึไง!”

จากคำว่าพ่อเปลี่ยนฉัน แสดงถึงโทสะจนถึงขีดสุด

คุณดิลกโยนภาพถ่ายที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะตรงหน้าหล่อน ห้องรับแขกอันกว้างขวางคับแคบไปถนัดใจ เครื่องปรับอากาศแม้จะทำงานหล่อนก็ยังรู้สึกร้อนจนเหงื่อซึม

“แกเป็นผู้หญิงใจง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฮะ!”

ภาพบนโต๊ะนั้นแม้จะไม่ค่อยชัด แต่ก็พอมองออกว่าเป็นใคร

ภาพแรกเป็นภาพตอนที่พนมกรโอบประคองหล่อนเข้าไปในโรงแรม อีกภาพเป็นตอนที่พูดคุยกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ และภาพสุดท้ายคือตอนที่พนมกรกับหล่อนเข้าไปในห้องเดียวกัน สายรุ้งจะปฏิเสธว่าไม่ได้นอนห้องเดียวกันก็ย่อมได้ แม้ว่าท่านอาจจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าหล่อนนอนห้องเดียวกับเขา ทว่าหล่อนไม่ชอบโกหก ยิ่งกับบิดาด้วยแล้วหล่อนยิ่งไม่กล้า

ดังนั้นคำตอบที่หล่อนให้กับท่านเมื่อท่านซักไซ้ไล่เลียงก็คือความจริง

ความจริงที่หล่อนและเขานอนห้องเดียวกัน

ความจริงที่หล่อนอยู่กับเขาถึงเช้า

และความจริงที่หล่อนตกเป็นภรรยาของเขาเสียแล้ว

ข้อสุดท้ายแม้ไม่ได้พูด แต่คุณดิลกก็พอจะเดาได้รางๆ

“แกเข้าโรงแรมกับมัน...อยู่ด้วยกันสองต่อสอง...” หน้าของท่านแดงก่ำ ตาเบิกโตกร้าวกระด้าง ทั้งผิดหวังและโมโหอย่างเห็นได้ชัด “แกทำได้ยังไง ฮึ! ถ้าไอ้ภาพพวกนี้มันแพร่งพรายออกไปฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หา! แกเคยนึกถึงหน้าฉัน...นึกถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลบ้างหรือเปล่า! คงไม่ละมัง”

น้ำเสียงของท่านขึ้นจมูกและเย้ยหยัน

“แกมันอ่อนแอ ไม่มีสมอง ฉันละปวดหัวกะแกจริงๆ ให้ตายเถอะ! นี่ถ้ารู้ว่าแกจะเกิดมาเป็นอย่างนี้ ฉันจะมายอมให้แกเกิดหรอก”

คนฟังสะอึก น้ำตาร่วงเผาะ มือทั้งสองบีบเข้าหากันจนปรากฏรอยแดงและสั่นระริก ปลายเล็บจิกลงบนเนื้อนุ่มจนเลือดซึม

เจ็บ...แต่หล่อนเจ็บที่ใจมากกว่า

สายรุ้งยอมรับผิด...หล่อนผิดเอง ผิดเต็มประตูที่ใจอ่อนยอมมอบกายให้เขา

“แกไม่มีอะไรจะแก้ตัวใช่ไหม”

หญิงสาวเม้มปากแน่น กลั้นเสียงสะอื้น และสั่นศีรษะ

“ฉันควรจะทำยังไงกะแกดี ฮะ!”

ท่านก้าวอาดๆ เข้ามากระชากแขนหล่อนให้ลุกยืน เขย่าตัวหล่อนจนหัวสั่นหัวคลอน

“ตบสั่งสอนแกให้แกได้สติสักหน่อยดีไหม”

ท่านไม่เคยตบตีหล่อน...ไม่เคยเลยสักครั้ง

แต่ครั้งนี้มันหนักหนาสาหัสจริงๆ หล่อนเข้าใจ และพร้อมจะให้ท่านลงโทษตามที่ท่านต้องการ

สายรุ้งยกมือขอโทษทั้งน้ำตา เข่าทรุดเมื่อท่านปล่อยมือจากหล่อน ร่างบางคุกเข่าลงบนพื้น แล้วก้มกราบท่านด้วยความเสียใจ

“ขอโทษค่ะคุณพ่อ...รุ้งขอโทษ”

ท่านคว้าหมับเข้าที่ปลายคางของหล่อน แต่ก่อนที่ท่านจะสะบัดฝ่ามือใส่ เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

พนมกรนั่นเอง...เขาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหน้าตาตื่น

ดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นเบือนมามองหล่อน...มีทั้งความตกใจ ห่วงใย และเวทนา

หล่อนไม่ชอบแววตาเช่นนั้น...ความเวทนาที่มีให้หล่อนทำให้หล่อนยิ่งรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า

“ผมผิดเอง อย่าต่อว่ารุ้งเลยครับ...เป็นความผิดของผมทั้งหมด ผมขอรับผิดชอบ”

เขาพูดรัวเร็ว และจบประโยคเมื่อมาหยุดยืนตรงหน้าบิดาของหล่อน

เพียงชั่วเสี้ยวลมหายใจ หล่อนก็ได้ยินเสียง...ผัวะ!

กำปั้นลุ่นๆ พุ่งใส่หน้าหล่อๆ ของพนมกร แรงของมันไม่น้อยเพราะทำให้เขาซวนเซเกือบล้ม

ครั้นเขาเงยหน้าขึ้นมา เลือดก็ซึมอยู่ตรงมุมปาก

ชายหนุ่มหลุบสายตาลงต่ำ คุกเข่าตรงหน้าคุณดิลก

“ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ผมพร้อมจะรับผิด...”

“เลิกคิดเรื่องนั้นซะ กลับไปได้แล้วพนมกร ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก! รุ้ง...” ประโยคหลังคุณดิลกหันมาสั่งลูกสาวของตน “กลับขึ้นห้องไปแล้วไม่ต้องออกมา ไม่ต้องคุยกับมันด้วย...นี่เป็นคำสั่ง!”

สายรุ้งรับคำ มองคนรักตาละห้อยอยู่อึดใจก่อนจะลากเท้าเดินขึ้นห้องของตนเองอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ฉันไม่มีวันยกลูกสาวให้คนอย่างแก! ลูกของฉันต้องได้คนที่ดีกว่านี้ กลับไปซะ!”

สื้นเสียงนั้นก็เหลือพนมกรอยู่ในห้องแต่เพียงลำพัง เขาก้มหน้ามองพื้นอยู่ครู่ใหญ่จึงเงยหน้าและลุกขึ้นยืน

สีหน้าของเขาราบเรียบราวไร้ความรู้สึก...มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ปรับเปลี่ยนไปตามอารมณ์อันหลากหลาย

พนมกรสาวเท้าออกจากตัวตึก แต่แทนที่จะขึ้นรถ เขากลับคุกเข่าลงตรงพื้นคอนกรีตหน้าตึก ก้มหน้ามองพื้น

ฟ้าร้องครืนครั่นอยู่เหนือศีรษะ เมฆดำทะมึนเกาะกลุ่มรวมกันจนบริเวณโดยรอบสลัวราง

ไม่นานนัก...ฝนก็เทกระหน่ำลงมา

แต่พนมกรยังไม่ขยับเขยื้อน เขายังคุกเข่าแน่วนิ่ง

...จวบจนฝนหยุดเมื่อตอนรุ่งสาง ร่างที่โงนเงนมาตลอดคืนก็ล้มฟุบหมดสติอยู่ตรงหน้าตึกนั้นเอง







ฝนตกตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวานนี้ จวบจนกระทั่งเช้า เสียงสายฝนที่โหมกระหน่ำลงบนหลังคาจึงแผ่วจางลง กลายเป็นเสียงเปาะแปะที่แสนเบาจนทำให้หล่อนได้ยินเสียงหวีดร้อง

สายรุ้งนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน หล่อนได้แต่พลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ริ้วรอยบนใบหน้าฉายชัดถึงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ยิ่งเมื่อแว่วเสียงกรีดร้องดังมาจากเบื้องล่างในยามเช้าตรู่เช่นนี้แล้ว หล่อนยิ่งตระหนก ร่างบางสะดุ้งสุดตัว ลืมตาโพลง ก่อนจะถลันไปที่หน้าต่าง เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วมองลงไป

หล่อนเห็นทุกอย่างจากห้องนอนของหล่อน

เห็นเด็กรับใช้กรูกันเข้าไปห้อมล้อมใครคนหนึ่ง หล่อนมองไม่เห็นใบหน้าของเขา เห็นแต่เสื้อเชิ้ตและกางเกงที่เขาสวมใส่ ใจหล่อนเต้นระทึกเมื่อเดาได้ว่าชายผู้นั้นเป็นใคร ครั้งปลายหางตาตวัดไปเห็นบีเอ็มดับเบิ้ลยูซีรี่ส์สี่ของพนมกรยังจอดแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ใจหล่อนพลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

หญิงสาวไม่รอช้ารีบวิ่งออกจากห้อง ลงบันไดด้วยความรีบร้อน พอมาถึงหน้าตึก หล่อนก็หายใจหอบ หน้าแดงก่ำเพราะความเหนื่อย

“พี่กร!”

หล่อนโผเข้าไปหาเขา ขณะที่เด็กรับใช้ถอยห่างเปิดทางให้หล่อน

“เกิดอะไรขึ้นคะป้าพิศ”

หญิงสาวประคองเขาไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าของเขาซีดเซียว เสื้อผ้าและเนื้อตัวของเขาเปียกชุ่ม กายแข็งแกร่งสะท้าน ลมหายใจก็แผ่วเสียจนหล่อนใจหาย

“คุณกรนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยค่ะ”

“อะไรกัน” หล่อนอุทานอย่างตกใจ “ทำไมไม่มีใครไปบอกรุ้งเลยล่ะคะ”

เมื่อคืนนี้หล่อนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ยิ่งเมื่อฝนตกหนักราวกับฟ้ารั่วด้วยแล้ว ดาวและเดือนที่หล่อนมักยืนเฝ้ามองทุกคืนคงหลบซ่อนอยู่หลังหมู่เมฆดำทะมึน ไม่มีทางมองเห็นความสวยงามของมันได้ หล่อนจึงอาบน้ำแต่งตัว และกระโจนลงบนเตียง ดึงผ้าห่มคลุมกายแล้วหลับตาพักเพื่อให้คลายความเครียดเกร็งและเหนื่อยล้า

“คุณท่านไม่ให้บอกค่ะ”

ป้าพิศตอบเสียงอ่อย ขณะที่สายรุ้งรับฟังด้วยหัวใจห่อเหี่ยว สองตาที่แลมองคนที่นอนไม่ได้สติในอ้อมกอดเต็มไปด้วยความสงสาร

“โธ่...พี่กร” หล่อนพึมพำก่อนถามคนที่ยืนรายล้อม “มีใครโทร.เรียกรถพยาบาลหรือยัง”

สิ้นเสียงนั้น พนมกรก็ขยับตัว เปลือกตาของเขาขยับไหวก่อนลืมขึ้น ตาคู่นั้นแดงก่ำและอ่อนล้า

“รุ้ง...”

“ทนหน่อยนะคะ เดี๋ยวรุ้งโทร.เรียกรถพยาบาลให้”

เขาส่ายหน้า ริมฝีปากอันแห้งผากแย้มออกเล็กน้อย

“ไม่ต้อง...ไม่ต้องหรอก พี่แค่ง่วง”

สายรุ้งส่ายหน้าเมื่อแตะหลังมือบนหน้าผากของเขา

“พี่กรตัวร้อน”

จากนั้นก็หันไปสั่งเด็กรับใช้ให้ช่วยประคองเขาเข้าไปในบ้าน และสั่งให้หาผ้าขนหนูมาผืนหนึ่ง

พนมกรยืนอย่างยากลำบากและทุลักทุเล กว่าจะพาเขาเข้ามานั่งในห้องรับแขกได้จึงใช้เวลานานกว่าปกติ

“คุณพ่อล่ะป้าพิศ”

“ยังไม่ลงมาเลยค่ะ”

“รุ้งอยากให้พี่กรเปลี่ยนชุด แต่...จะขอยืมชุดจากคุณพ่อคงไม่ได้”

“ไม่เป็นไรรุ้ง พี่สบายดี ให้พี่พักอีกสักนิดแล้วพี่จะกลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้าน”

เขาห่างไกลจากคำว่าสบายดีมาก หล่อนไม่เคยเห็นเขาตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้มาก่อน...เสื้อผ้ายับย่นเปรอะเปื้อน ผมเผ้าเปียกลู่ยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียวจนไร้สีเลือด ความเหนื่อยล้าบดบังความมีชีวิตชีวาของเขาไปจนหมดสิ้น

สายรุ้งทอดถอนใจ สองตามองเขาอย่างเวทนาและอ่อนหวาน

“พี่ไม่เป็นไร...”

เขาแตะแก้มของหล่อน ลูบไล้แผ่วเบา

“แต่ถ้าได้จูบหวานๆ จากรุ้งสักหน่อยก็คงจะดีกว่านี้”

“พี่กร...” น้ำเสียงหล่อนผ่อนคลาย สีหน้าดีขึ้นเมื่อเห็นเขาพูดทีเล่นทีจริง เพราะนั่นย่อมแสดงว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก

“พี่กรจะกลับบ้านยังไงคะ ขับรถกลับเองไม่ไหวแน่”

“เดี๋ยวพี่โทร.ให้ไอ้ปกมันมารับก็ได้” เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ผ่อนหายใจยาวก่อนบอก “พี่อยากรอพบคุณพ่อก่อน”

“อย่าเลยค่ะ” หล่อนทักท้วงเสียงจริงจัง “วันนี้คงไม่เหมาะ คุณพ่อคงยังไม่หายโกรธง่ายๆ รออีกสองสามวันดีกว่าค่ะ”

พนมกรเอนกายพิงพนักโซฟา ถอนใจหนักหน่วง แววตาหลุบต่ำครุ่นคิด











เรื่องนี้ยังเปิดจองถึง 20 ธันวาคม จัดส่งหลังปีใหม่นะคะ

ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วยค่า

มาลุ้นกันต่อในส่วนต่อไป...

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

ศศิภา




หมายเหตุ

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายชุดบ่วงดวงใจ ซึ่ง ณ ตอนนี้มี สองเล่ม คือ พรหมลิขิตสีดำ กับโซ่รักสีรุ้งค่ะ



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ธ.ค. 2559, 21:00:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ธ.ค. 2559, 21:00:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1096





<< บทที่ ๙ - รอยรัก คำหวาน จารใจ ๓   บทที่ ๑๐ - แผนการขั้นสุดท้าย ๒ + ตอนพิเศษ ๑ >>
Zephyr 18 ธ.ค. 2559, 22:09:45 น.
ถึงกะยอม ลงทุน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account