A castle wall *กำแพงรัก*
ถ้าความรักคือเรื่องของคนสองคน ต้องมนต์ คงไม่นับรวมอยู่ในนั้นเป็นแน่ เพราะการแอบรักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่าง ปัถย์ มันก็เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วแหงนคอมองคนบนหอคอย อย่างไรอย่างนั้น...แต่ก็ไม่รู้ทำไม เสียงข้างในจิตใจก็ร่ำร้องถึงเค้าอยู่ร่ำไปสิน่า..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4 : Rebound

บทที่ 4 : rebound


ฉันถูกพรากจูบแรกไปโดยเทพบุตรคนนั้น....น่าเสียดายชะมัดไม่น่าตื่นเต้นจนเป็นลมเลย ถ้ายังครองสติต่อไปไม่รู้ว่าเราสองคนจะไปเลิฟซีนขั้นไหนกันแน่(ความเป็นกุลสตรีหดหายไปชั่วพริบตา) ฉันพาร่างตัวเองหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาในเวลาเกือบจะสองทุ่มที่บ้าน ปิลันธบุตร ทันทีที่ปรับสายตาให้ชัดเจน ฉันก็มองเห็นพี่แม่บ้านนั่งคุกเข่าบ้างและมีคนนึงคอยส่งยาดมมาให้ฉัน ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็พบกับหน้าของ คุณหญิงพจนีย์ที่เอามือลูบหัวฉันซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับพูดว่า


“ฟื้นแล้วเหรอลูก คราวหลังอย่าอดข้าวเย็นนะ นี่ยังดีที่พ่อปัถย์เค้าเข้าไปทันเวลา ไม่เช่นนั้นหนูต้องล้มลงจากเก้าอี้ หัวร้างข้างแตกแน่แน่”



อดข้าวเย็น....เข้ามาทันเวลา!!! หน๊อย....พ่อเทพบุตรโป้ปดได้หน้าตาเฉย แอบขโมยจูบฉันแล้วยังมาใส่ร้ายว่าที่ฉันเป็นแบบนี้เพราะไม่กินข้าวเย็น เจ้าเล่ห์นักนะ!
ฉันพยายามสอดส่ายสายตามองไปรอบห้องก็ไม่พบผู้ที่พรากจูบแรกของฉันเลย ฉันจึงได้แต่กล่าวขอโทษขอโพยที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก คุณหญิงพจนีย์ยังไม่วายที่จะกำชับให้ฉันทานข้าวเย็นให้ตรงเวลาอีกด้วย..ตื้นตันจริงจริง ฉันหอบร่างที่เต็มไปด้วยพิษจูบกลับบ้านด้วยท่าทีอ่อนแรง ตกลงคุณปัถย์จูบฉันไปกี่รอบแล้วนะ แล้วระหว่างที่ฉันเป็นลมเค้าจะปล้นจูบของฉันอีกไหม....ฮึ่ยยย อีตาหื่น!!! ฉันได้แต่เอามือลูบปากตัวเองซ้ำไปซ้ำมาบนเตียงนอนของตัวเอง นี่คงไม่ใช่ความฝันหรอกนะ...



ฉันได้รับการปลุกจากเพื่อนสาวตัวดี มันส่งเสียงโหวกเหวยโวยวายผ่านโทรศัพท์ว่าทำไมฉันนอนกินบ้านกินเมืองแบบนี้ ฉันจึงลุกขึ้นมองดูนาฬิกาบนหัวเตียงและพึงระลึกได้ว่า นี่มันจะ 11 โมงแล้วเหรอเนี่ย...ขิงนัดฉันไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกัน ฉันจึงได้ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวพร้อมออกไปเที่ยวกับเพื่อนตัวดีทันที


“เป็นไงบ้างแป๋ม...งานใหม่โอเคป่ะ”
ขิงเอ่ยถามหลังจากที่เราหาร้านอาหารหาอะไรลงท้องในมื้อกลางวัน ทันทีที่เราทั้งคู่สั่งอาหารเป็นที่เรียบร้อย ขิงก็เริ่มเปิดประเด็นเรื่องงานผู้ช่วยของฉันทันที


“อื้อ..ก็โอเคแหละ”
พอพูดถึงงานผู้ช่วยของฉัน ภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็ถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง


“แกเป็นไรมากเปล่า...ถามเรื่องงาน หน้าแดงทำไม”
ขิงจ้องมองหน้าของฉัน ที่ตอนนี้มันคงเป็นชมพูระเรื่อ พร้อมทั้งส่งสายตาคาดคั้นความจริงมาให้


“ก็........”


“ก็อะไร!!!!!!”


ขิงถามขึ้นเสียง มันมักจะชอบทำตัวลูกทุ่ง ส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอด คนยิ่งขวัญอ่อนอยู่ ฮึ่ย....เพื่อนฉันนี่มันไม่มีความอ่อนโยนเลยรึไงนะ


“แกจะขึ้นเสียงทำไม...คนมันตกใจนะเว่ย”


“แล้วแกตกใจเรื่องอะไร ฉันถามเรื่องงาน แกก็นั่งอมยิ้ม แล้วก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแบบเนี้ย ”
ขิงพูดพร้อมเอื้อมมือมาหยิกแก้มฉัน ฉันว่ามันจะแดงก็เพราะมันหยิกฉันนี่แหละ


“เออๆ บอกก็ได้ แกจำคนหล่อวันนั้นได้ไหม”
ฉันถอนหายใจ มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก พยายามเอนหน้าเข้าไปหาเพื่อนสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม


“คนหล่อ คนไหน...ตั้งแต่เกิดมาเราเจอคนหล่อเป็นร้อยแล้วมั้ง”
เพื่อนสาวตัวดียังคงทำสุ้มเสียงปกติ พูดจาในระดับโทนเสียงมนุษย์ทั่วไป มันไม่ได้นำพาอาการกระซิบกระซาบของฉันบ้างเลยรึไง


“เบาเบาหน่อยสิขิง....คนเค้ามองมาที่เราแล้ว ก็คนนั้นไงที่ฉันเจอที่ร้านอาหารตรงสุขุมวิทไง”


ฉันพยายามห้ามปรามความลูกทุ่งของมันอย่างเต็มที่ เล่นพูดถึงบุรุษเพศในโทนเสียงที่ดังแบบนั้น คนผ่านไปผ่านมาเค้าคงคิดว่า ยายสองคนนี้บ้าผู้ชาย ฉันยังคงโน้มใบหน้าไปกระซิบกระซาบกับมันเช่นเคย เผื่อมันจะสำนึกแล้วทำตามฉันบ้าง


“นี่แกอย่ามาทำตัวลับลับล่อล่อได้ไหม...จะกระซิบทำไม ไม่มีใครเค้ารู้จักคนหล่อที่เราพูดถึงหรอก....เออ นึกออกแหละ ทำไมว่ะ”


ขิงถอนหายใจเบื่อหน่ายกับอาการลุกลี้ลุกลน พร้อมทั้งเอามือดันหน้าผากของฉันที่กำลังโน้มเข้าไปเพื่อกระซิบพูดกับมัน ฉันเลยชักสีหน้าใส่มันเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วจึงเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เรื่องที่โชคชะตานำพาให้ฉันไปทำงานกับคุณปราชญ์ จนได้พบกับลูกชายของเขา แต่เรื่องที่ฉันละไว้ก็คือเรื่อง จูบสะท้านจิตของฉันกับคุณปัถย์(ก็ฉันยังอายอยู่นี่น่า)



“โลกกลมว่ะแป๋ม สงสัยแกจะเป็นเนื้อคู่ของคุณปัถย์อะไรนั่นแน่เลย”



เพื่อนสาวเอ่ยสรุปหลังจากที่ฟังเรื่องราวทฤษฎีโลกกลมของฉันจบลง



“แกคิดว่าอย่างนั้นเหรอ”



ฉันเอ่ยถามอย่างสงสัย หลายครั้งที่เพื่อนสาวมีความสามารถพิเศษในการทำนายทายทักเรื่องของอนาคต แต่มันมักจะบอกกับฉันว่า มันก็ทักไปตามที่เห็น ที่รู้สึก ไม่ได้มีญาณอะไรวิเศษทั้งนั้น แต่มีอยู่ครั้งนึงที่ฉันเริ่มเชื่อถือคำทำนายของมันอย่างจริงจัง ก็เมื่อตอนที่ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัย ขิงบอกให้ฉันลองดูคณะรัฐศาสตร์เอาไว้บ้าง มันรู้สึกว่าฉันน่าจะสอบติดคณะนี้ ให้ตายเถอะ! ในเวลานั้นคะแนนวิชาสังคมของฉันมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนั้น ไม่ใช่แค่คะแนนสอบเข้า เกรดเฉลี่ยวิชาสังคมของฉันก้ยังเป็นที่น่าอดสูยิ่งนัก ฉันใฝ่ฝันอยากจะเป็นสาวนักบริหารที่ดูสวย เริ่ด เชิ่ด มั่น แต่ขิงบอกฉันว่า ท่าทางป้ำป้ำเป๋อเป๋อของฉันไม่ทันกินใครเค้าหรอก (มันว่าฉันไม่ทันคน) แต่ฉันกลับเถียงมันไปว่า จริงจริงที่ฉันแสดงออกว่า ดูเอ๋อๆน่ะ ฉันแกล้งทำนะ ปกติฉันมีมาดจะตาย ขิงได้แต่เบะปากใส่ฉัน ฉันรู้สึกหมั่นไส้มันเหลือทน เรื่องที่ชอบบั่นทอน ฟันธง อะไรของมันเนี่ยถนัดนัก ให้กำลังใจกันสักหน่อยก็ไม่มี! ในช่วงเวลาที่ต้องกรอกคะแนนเพื่อเลือกคณะ ขิงเลยบอกฉันว่าให้ลองใส่คณะรัฐศาสตร์ดู มันบอกว่า เห็นอนาคตอันสุกสกาวของฉันในอาชีพนี้ พร้อมทิ้งท้ายเป็นปริศนาให้ฉันอีกว่า...อะไรที่มันเกิดมาเพื่อแก มันก็จะต้องเป็นของแก ต่อให้แกเลือกคณะอื่นแล้วติด แกก็ต้องออกเพื่อมาเข้าเรียนคณะนี้...ฉันได้แต่ขนลุกขนพองกับคำพูดจริงจังของมัน ในที่สุดฉันก็ลองลบทุกอันดับที่เลือกไปก่อนหน้านี้ โดยเลือกคณะรัฐศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง และ อันดับเดียว(เอาชีวิตไปผูกไว้กับคำทายของมันมาก) ในที่สุดฉันก็ติดจนได้ ทั้งที่คะแนนวิชาสังคมศาสตร์ของฉัน แค่ผ่านเกณฑ์เท่านั้น!!!!!


“ว่าแต่ฉันยังไม่เห็นหน้าอีตาคุณปัถย์อะไรของแกเลยนะ”
ขิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราลงมือรับประทานอาหารกลางวันไปสักพัก


“อ้าว...วันนั้นแกไม่ได้มองเหรอ ตอนที่ฉันชี้ให้ดูน่ะ”


“แกชี้ตอนที่เค้าอยู่ห่างเป็นโยชน์ขนาดนั้น ฉันไม่ได้อยู่ในช่วงอารมณ์แห่งรักแบบแกนิ ที่ต่อให้คุณปัถย์เค้าอยู่ไกลคนละจังหวัดแกก็คงจินตนาการ พร่ำเพ้อของแกได้”


มันไม่วายกัดฉันอยู่ดี ไว้ใจไม่ได้จริงจริง ฉันชักสีหน้าเล็กน้อยตอนต้นประโยคพอเริ่มเข้าช่วงท้าย ใบหน้าฉันก็ร้อนวูบวาบอีกครั้ง คราวนี้เพื่อนสาวก็สังเกตเห็นอีกครั้งว่าฉันมีอาการผิดปกติอีกครั้ง


“นี่!!!!!!!!!มีอะไรก็บอกฉันมาเลยนะแป๋ม ถ้าขืนแกนั่งอายม้วนต้วนแบบนี้ คนผ่านไปมา เค้าจะคิดว่าเราทั้งคู่เป็นรักร่วมเพศมานั่งจีบกันที่ห้าง”
แอร๊ยยย....ไอนี่พูดจาน่าเกลียดชะมัด


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกระเป๋าสะพายของฉัน ฉันจำเสียงเรียกเข้านี้ได้จึงกดรับทักทายปลายสายที่ติดต่อมา


“สวัสดีค่ะ..คุณปราชญ์”


“หนูแป๋ม เข้ามาเอาบทความที่หนูพิมเมื่อวานไปแก้หน่อยได้ไหมลูก มันผิดเยอะเลย ลุงต้องส่งวันจันทร์นี่แล้ว รบกวนหน่อยนะลูก”

ปลายสายเอ่ยถึงเจตนารมณ์ที่ติดต่อมาหาฉัน สงสัยท่านคงเห็นว่ามันผิดจนไม่น่าให้อภัย เลยถึงกับต้องเรียกตัวให้เข้าไปเอาต้นฉบับในวันนี้ ฉันตอบตกลงว่าจะเข้าไปประมาณบ่ายสี่โมงเย็น ท่านจึงเอ่ยตอบรับและวางสายไปในที่สุด


“แกอยากเห็นหน้าคุณปัถย์ไหม”


หลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์สิ้นสุดลง ฉันจึงเอ่ยขึ้นพร้อมมองหน้าเพื่อนสาว อีกฝ่ายจึงพยักหน้าตกลง แต่ฉันก็ไม่วายกำชับไว้ว่าอาจจะไม่ได้เจอก็ได้เพราะมันเป็นวันเสาร์ หนุ่มหล่ออย่างเค้าอาจจะไม่ได้อยู่ติดบ้านก็เป็นได้ โชคดีที่วันนี้ขิงไม่ได้เอารถมาเราเลยไม่ต้องย้อนไปย้อนมาเพื่อมาเอารถจากห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ตอนที่ฉันกับขิงมาถึงคุณปราชญ์กำลังพูดคุยกับแขกของท่านอยู่ แม่บ้านจึงนำเรามานั่งรอตรงม้าหินใกล้สระน้ำแทน


“บ้านโคตรใหญ่เลยว่ะแป๋ม เล่นของสูงเลยนะแกเนี่ย” ขิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่เหลือเพียงเราสองคน


“เออดิ...”


ฉันได้แต่ถอนหายใจกับคำพูดของขิง มันโดนใจฉันจริงจริง ตอนนี้ฉันเหมือนเป็นเด็กขายกล้วยทอดที่แอบหลงรักเจ้าชายบนหอคอยงานช้างอย่างไรอย่างนั้น


“ว่าแต่ คุณปัถย์ของแกเนี่ยเค้าอยู่บ้านเหรอว่ะ”


“อยู่อยู่ ฉันจำรถเค้าได้ ทั้งรถยนต์ส่วนตัว ทั้งรถที่ใช้ไปทำงาน คนขับรถเค้าก็อยู่”
“โอ้โห มีคนขับรถซะด้วย ไม่ธรรมดาเว่ยเฮ้ย”


ขิงอุทานอย่างเสียงดังจนฉันต้องรีบเอามือไปอุดปากมัน มันกำลังหาเรื่องใส่ฉันอีกแล้ว ขณะที่ฉันกำลังอุดปากเพื่อนตัวดีร่างของบุรุษที่เราสองคนพูดถึงก็เดินออกมาทันที ฉันกับขิงถึงกับอึ้งตะลึงงัน แต่ฉันที่หนักกว่า ถึงกับอ้าปากค้างทันทีที่เห็นเขา ก็คุณปัถย์มาในชุดกางเกงว่ายน้ำที่ท่อนล่างพันไว้ด้วยผ้าเช็ดตัวสีเทา โอ้โห...ร่างบุรุษเปลือยกายด้านบน ทำเอาทั้งฉันเหมือนหลุดเข้าไปภวังค์อีกครั้ง คุณปัถย์มีร่างกายที่กำยำ ผิวสีน้ำผึ้งบ่งบอกถึงความเป็นเพศชายที่น่าหลงใหล หน้าท้องเป็นลอนบ่งบอกว่าเจ้าของร่างกายต้องดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี...นี่เค้าตั้งใจจะมาขายซิกแพคให้ฉันใช่ไหมเนี่ย(โอ๊ย...ต้องมนต์อยากซื้อ) คุณปัถย์ส่งยิ้มทักทายเล็กน้อยให้ฉันกับเพื่อน แล้วจึงเดินไปยังเก้าอี้พลาสติกเพื่อปลดผ้าขนหนูที่พันท่อนล่างไว้ แล้วจึงกระโดดลงสระ


“เฮ้ย..แป๋ม เช็ดน้ำลายได้แล้ว”


ขิงเป็นคนดึงฉันออกจากภวังค์ ฉันได้แต่หันหน้าไปหามันช้าช้า พร้อมทั้งพยักหน้าแล้วบุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่มที่แหวกว่ายในสระ ว่าคนนี้แหละ


“โคตรหล่อเลยว่ะ”


ขิงโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูฉัน ฉันจึงพยักหน้าแรงแรงเห็นด้วยกับมันอย่างยิ่ง ฉันก็ตาถึงเหมือนกันนะเนี่ย


“แต่ดูเจ้าชู้นะเว่ย ดูสายตาที่เค้ามองแกสิ...อย่างกับอยากจะกินแกอย่างนั้น”

ฉันละสายตาจากคนในสระมามองหน้าเพื่อนสาวทันที ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไร ขิงก็พูดเสริมให้คำพูดประโยคแรกน่าเชื่อถืออีกครั้ง(ฉันบอกแล้วว่าฉันเชื่อคำพูดมันเข้าขั้นงมงาย)


“ฉันว่าผู้ชายคนนี้เหลี่ยมเยอะแน่แน่ ฉันว่าเค้ามองแกแปลกๆนะ เอ๊ะ...หรือเพราะแกส่งสายตาหยาดเยิ้มไปว่ะ”

มันพูดไปสลับกับมองหน้าฉันและคนในสระที่ตอนนี้กำลังแหวกว่ายในน้ำอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง


“บ้า...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะแก”


ฉันเถียงขัดขึ้นทันที ใส่ร้ายฉันทำไมว่าฉันไปส่งสายตาให้ท่าเค้า ปากร้ายจริงจริงเพื่อนคนนี้


“เฮอะ!!! หน้าแกแสดงออกซะขนาดนี้ นี่พอเห็นเค้านุ่งน้อยห่มน้อยเท่านั้นแหละ หน้าแดงเป็นจากยูบีซีเลย แล้วยังอ้าปากค้างอีกต่างหาก แป๋มเอ๊ย...หลานฉันสามขวบยังรู้เลยว่าแกชอบเค้า”


แอร๊ย.....ไม่จริง คราวนี้เป็นฉันที่เลิกคิ้วสูง พร้อมกับเบิ่งตาอย่างเต็มที่ เพื่อนของฉันนี่มันพูดแต่ละคำ เหมือนเอามีดมากรีดกลางอกอย่างไรอย่างนั้น ฉันว่าฉันเก็บอาการแล้วนะ คำพูดของฉันพาลเหือดหายไปทันทีที่เพื่อนสาววิเคราะห์ฟันธง ไม่น่าเลย ออกตัวแรงเหยียบคันเร่งมิดซะขนาดนี้ เอาหน้าไปไว้ไหนดีเนี่ย


“ตกลงแกจะแค่แอบมอง แอบหน้าแดง แอบเพ้อเจ้อเนี่ยนะ”
เพื่อนสาวเงยหน้ามาถามฉันหลังจากที่ฉันแสดงสีหน้าตกตะลึงและไม่ได้เอ่ยคำพูดใดใดออกมา


“ง่า..............”
พูดไม่ออกเลยต้องมนต์ คราวนี้เป็นฉันซะเองที่กำลังนึกคิดเรื่องที่คุณปัถย์อาจจะจับได้ว่าฉันคิดอะไรกับเค้า หลังจากฟังคำพูดของเพื่อนสาว


““แกไม่คิดจะทำอะไรเลยเหรอ...แป๋ม” ขิงถามย้ำฉันอีกครั้ง


“ทำอะไร....คืออะไรล่ะ แกจะให้ฉันทำอะไร” คราวนี้ประโยคที่หายไปเริ่มส่งจากสมองมายังปากของฉันได้แล้ว


“นี่แป๋ม ฉันจะบอกให้นะ มีคนเค้าว่ากันว่า การที่เราบอกความในใจไปกับใครสักคน แม้ผลที่ได้มันจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด แต่อย่างน้อยก็ได้บอกนะเว่ย”
ฉันทำหน้าตกตะลึงให้มันอีกครั้ง มันจะบ้าเหรอให้ฉันเดินเข้าไปบอกคุณปัถย์ว่าฉันแอบชอบอย่างเนี้ยเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก เค้าจะได้ว่าว่าฉันไม่เจียมสังขาร คิดจะมองเครื่องบินทั้งที่เท้าตัวเองยังอยู่บนดินแบบนี้


“แต่สำหรับฉัน....ยกเว้น”



“แกมันปอด!!!!!!....” อ่าว...สบประหม่านี่หว่า



“ฉันไม่ได้ปอด.....แต่เค้ามีแฟนแล้ว แกจะให้ฉันทำยังไง?แล้วอีกอย่าง ถึงเค้าจะโสดสนิท เค้าก็ไม่มีวันปรายตาเค้ามามองคนแบบฉันหรอก แกเข้าใจไหมว่า มัน ไม่ มี วัน !!!!!!”



“ลองดูไหม...ลองปีนกำแพงอุปสรรครักของแกสิ” มันส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้ฉันแทน นี่อย่ามาซับซ้อน เล่ห์เหลี่ยมกับฉันเลย ฉันขี้เกียจเดา



ฉันหันหน้ามามองเพื่อนรักด้วยสีหน้าตกตะลึงกับคำพูดที่แฝงไปด้วยเลศนัยของมัน ขิงชอบพูดแบบนี้ประจำยังไม่พอมันยังชอบอ้างเรื่องพรหมลิขิต บุญบันดาลอะไรของมันอีกมากมาย



“แล้วถ้าฉันตกจากกำแพงล่ะ ฉันมีแต่มือเปล่านะ”



“แกไม่ได้มีมือเปล่านะ....แกมีหัวใจ มันใช้แค่นี้แหละ จะลองไหมล่ะ?!?!?!”



ฉันมองหน้าเพื่อนสาวตัวดีอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉันจ้องเข้าไปในแววตาของมัน ยายเด็กแผนเยอะคนนี้ต้องการจะให้ฉันทำอะไรกันแน่ และก่อนที่การสนทนาจะเริ่มประโยคใหม่ ฉันและขิงก็ได้ยินเสียงเปิดประตูมายังสระว่ายน้ำ ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของหญิงสาวผมยาวสลวย รูปร่างโปร่ง อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นโชว์ขาเรียวยาว ขาวเนียน เดินเข้ามา พร้อมทั้งเดินตรงไปยังบันไดทางขึ้นของสระน้ำที่ในขณะนี้ชายหนุ่มที่อยู่ในสระกำลังจะก้าวขึ้นมา ทันทีที่หญิงสาวเดินไปถึงบันไดทางขึ้นสระน้ำ ร่างบางก็ยกมือโอบคอชายหนุ่มพร้อมกับทักทายด้วยการใช้เรียวบางสีแดงสดบดขยี้ลงไปบนปากหนาของชายหนุ่ม มือของชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาโอบเอวบางไว้ทันที....



พระเจ้า!!!!!!นี่มันกลางวันแสกๆ เล่นบทเร่าร้อนกันตรงนี้เลยเหรอ
ขณะนั้นหัวใจของฉันเหมือนกำลังหลุดลอยไปชั่วขณะ ความรู้สึกต่างต่างนานาถาโถมเข้ามาใส่ ทั้งความตกใจ ผิดหวัง เสียใจประดังประเดเข้ามาจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ในคราแรกฉันเพียงคาดเดาว่า คุณปัถย์น่าจะมีแฟนแล้ว เพราะเค้าเป็นหนุ่มหล่อ ฐานะดีซะขนาดนี้ แต่ในใจก็แอบหวังลึกลึกว่า คงไม่หรอกมั้ง เพราะไม่ค่อยเห็นข่าวคราวว่าเค้าควงใครเลยนี่น่า ประกอบกับคำพูดของคุณปราชญ์ที่ว่า คุณปัถย์มัวแต่ทำงาน แต่นี่อะไร...ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงมาจูบเร่าร้อนกับคุณปัถย์แบบนี้ ตอนนี้ฉันเลยได้แต่ส่งสายตาของคนบาดเจ็บสาหัสไปยังเพื่อนสาวฝั่งตรงข้าม เพราะอาการตอนนี้เหมือนหัวใจมันตกมาจากที่สูงอย่างไรอย่างนั้น.


* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ว๊าววว....ในที่สุดบทที่สี่ก็ผ่านไปอย่างสวยงาม
คราวนี้หนูแป๋มสุดเปิ่น พบฉากเร่าร้อนของคุณปัถย์แล้ว
เห็นท่าว่านางเอก คงต้องแอบไปซดน้ำใบบัวบกซะแล้ววววววว

ขอบคุณทุกไลค์จากเพื่อนเพื่อนแล้วก็ทุกคนที่เข้ามาอ่าน พร้อมคอมเม้นนะค่าา
โปรดติมตามตอนต่อไปปปปปปปปป ^^



คุณิณพัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2554, 11:25:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2554, 11:25:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 2389





<< บทที่ 3 : จูบพิฆาตใจ   บทที่ 5 : แม่มดน้อย - - -(55%) >>
ใจใส 10 ส.ค. 2554, 11:53:22 น.
สนุกมากค่ะ นางเอกน่ารักมากเลย พระเอกนี่เสือชัดๆ ครบเครื่องขนาดนี้ไม่น่าเป็นคนดี 55
แต่ว่าขอตินิดนึงนะคะ อย่าโกรธกันนะ คุณคุณิณพัณ์ แต่งนิยายโดยใช้บุรุษที่ 1 คือ ฉัน (ต้องมนต์ ) เวลาที่ ต้องมนต์ก้มหน้าอยู่ ต้องมนต์ไม่ควรจะเห็นอะไรใช่มั๊ยคะ เช่น ฉันหลับตาและซบหน้าลงบนฝ่ามืออย่างกลัดกลุ้ม ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง (ความจริงนางเอกหลับตาอยู่มองไม่เห็นอะไร จะต้องไม่เห็นคนที่เข้ามา ) เหมือนจะมีจุดประมาณนี้หลุดอยู่อ่ะค่ะ ตอนก่อนๆ ติเพื่อก่อนะจ๊ะ
รัก ต้องมนต์และคนเขียน


คุณิณพัณณ์ 10 ส.ค. 2554, 12:36:04 น.
ดีใจที่ชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ แล้วก็ขอขอบคุณคำแนะนำนะคะ ไรเตอร์จะพยายามปรับตรงจุดนี้ค่ะ ^^


พลับพลึงสีชมพู 14 ส.ค. 2554, 14:54:44 น.
พระเอกร้ายจิงๆ อิอิ แต่ช๊อบชอบค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account