ทิพย์อสงไขย (The guardians)
ทิพย์อสงไขย (The guardians)

ดวงตาเจ้าดั่งดวงดาวที่ทอแสง
เหมือนกลั่นแกล้งวาดบรรจงให้หลงใหล
แล้วดวงใจเล่าหนอเจ้ารอใคร
จึ่งมิเคยมองหญิงใดในโลกา


และเราจะได้พบกับคำตอบของคำถาม ว่าเพราะเหตุใด เธียรวัฒน์จึงไม่เคยมอบหัวใจให้หญิงใดในโลกา จนกระทั่งในที่สุดก็ยินยอมมอบมันให้กับผู้หญิงที่เขาเฝ้ารอ


ทิพย์อสงไขยจะนำท่านย้อนเข้าในในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้
ท่องเที่ยวไปในช่วงเวลาแห่งความผันผวนระหว่างสองราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ที่มีหงสารามัญเป็นเหตุแห่งชนวน
พร้อมพบกับความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ระหว่างแม่ทัพแห่งราชสำนักอังวะ และนางมอญน้อยผู้ต้องการปกป้องแผ่นดินเกิดของตน


ไม่ต้องกลัวว่านิยายเรื่องนี้จะใช้ภาษาโบราณที่อ่านยาก (เพราะคนเขียนไม่ถนัดเหมือนกัน ^_^)
แต่จะเป็นนิยายโบราณที่เขียนด้วยภาษาค่อนข้างสมัยใหม่ เข้าใจง่าย อ่านได้เพลินๆค่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓ สมิงพระเธียร (100%)

บทที่ ๓ สมิงพระเธียร

บุรุษในชุดดำบนหลังม้ากลุ่มใหญ่ควบม้าเร็ววิ่งตัดขึ้นสู่อาระกันโยมา เทือกเขาสูงอันเป็นดินแดนกางกั้นระหว่างแคว้นอาระกันและพุกามประเทศ ในยามมืดมิด ฝูงม้าวิ่งฝ่าความมืดไปอย่างรวดเร็วดั่งสายลม

เมื่อถึงจุดหมายจึงเร่งนำม้าไปซ่อนไว้แล้ว มาดักรอเป้าหมายอยู่คนละฟากของเส้นทางสายเล็ก ที่ทอดตัวอยู่ระหว่างหินผาซึ่งเป็นช่องเขา ผ่านไปเกือบชั่วยาม จึงมีเสียงฝีเท้ามา และเกวียนวิ่งผ่านมาในซอกเขายามวิกาล

ด้วยสายตาที่ชินกับความมืด ผู้เป็นหัวหน้าส่งสัญญาณมือไปยังพรรคพวก เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าพร้อมโจมตี

และเพียงไม่กี่อึดใจ ขบวนคาราวานก็มีอันกระเจิดกระเจิง เสียงหวีดร้องของสตรีดังก้องไปทั่วผืนป่าพอๆกับเสียงดาบปะทะกันจนไม่รู้ว่าฝ่ายไหนได้เปรียบหรือเพลี่ยงพล้ำ

ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงด้วยเวลาเพียงไม่นาน บุรุษในชุดดำกลุ่มใหญ่หายไปอย่างไรร่องรอยอีกครั้ง ทิ้งไว้แต่เพียงผู้คนที่ขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อสอบถามกันดูก็รู้ว่าไม่มีสิ่งมีค่าใดๆหายไปแม้เพียงนิด ยกเว้นก็แต่...

“ท่านหญิงพญาจี!”

พี่เลี้ยงแทบจะเป็นลม เพื่อเปิดเข้าไปในเกวียนที่เทียมวัว แต่กลับไม่พบสตรีผู้ซึ่งมีความหมายมากที่สุดต่อการเดินทางในครั้งนี้

บนม้าที่ควบห่างออกมาเรื่อยๆ หญิงสาวในชุดผ้านุ่งลุนตยาสูงค่ากำลังทั้งดิ้นทั้งข่วนชายในชุดดำที่บังอาจลักพาตัวเธอมาจากขบวนเจ้าสาว

และไม่ว่าจะดิ้นเท่าไหร่ แต่วงแขนที่รัดอยู่ก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยราวกับเป็นหินผา ในตอนแรกเธอเข้าใจว่าเป็นโจรป่า แต่เมื่อเห็นการจัดกระบวนม้าที่เป็นวิ่งเป็นระเบียบแบบแผน ก็รู้ในทันทีว่าบุคคลเหล่านี้เป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วอย่างดียิ่ง
แต่จากเมืองใดเล่าที่ส่งมาชิงตัวเธอ!

ผืนผ้าที่ปกปิดมิดชิด ทำให้ไม่อาจเห็นหน้าค่าตาของคนที่ลักพาตัวเธอมาได้ พญาจีฮึดดิ้นสุดกำลัง จนม้าที่วิ่งอยู่ตื่นตระหนก แต่มือหนาก็บังคับบังเหียนเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที เธอได้ยินเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างไม่พอใจอยู่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่านั้น อย่างเช่นว่าเธอโดนโยนทิ้งลงจากหลังม้า

พอเห็นอย่างนั้นจึงลองดิ้นเฮือกสุดท้ายอีกสักรอบ จนคนคุมม้าต้องรีบดึงบังเหียนเอาไว้อีกรอบ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มือข้างหนึ่งของเธอหลุดเป็นอิสระ จึงเอื้อมไปกระชากผ้าปิดหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างไม่กลัวตายเพื่อดูให้แน่ว่าเป็นใคร

แต่เมื่อผ้าดำที่ปิดไว้จนเหลือแต่ดวงตาหลุดติดมือเธอมา เธอกลับต้องตะลึงกับใบหน้าที่เห็น
ไม่ต่างจากคนที่ลักพาตัวเธอมา ที่ก็ตกใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

แต่ถึงอย่างนั้น มือหนาก็ยังคงกุมกังเหียนบังคับให้ม้าคู่ใจพุ่งฝีเท้าไปข้างหน้า ฝ่าความมืดนำเธอกลับลงสู่เบื้องล่างของเทือกเขาในทิศทางเดิมที่เธอจากมา เพื่อมุ่งหน้ากลับนครอังวะ

*************************

จากเทือกเขาอาระกันด้านทิศตะวันออกของพุกามประเทศ มายังเทือกเขาตะนาวศรีปราการด้านตะวันตก ณ ช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มนายทหารจากฝั่งอยุธยาก็กำลังรอใครสักคนอยู่ที่แนวป่า ซึ่งเป็นรอยต่อกับดินแดนพุกาม

เวลาล่วงเลยมาเกือบสองยามแล้ว แต่ก็ไร้เงาของผู้ที่พวกเขารอคอย ทุกคนต่างคิดในสิ่งเดียวกัน เพียงแต่ไม่มีใครพูดมันออกมา

‘หรืออาจจะเกิดเหตุเสียก่อน จนไม่สามารถหลบหนีออกมาได้’

ทุกคนรออย่างใจจดใจจ่อโดยไม่มีใครปริปากพูด แม้เสียงหายใจเพียงเล็กน้อย ก็ยังได้ยินชัดเจน

จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าม้าย่ำมาตามเส้นทางเล็กๆที่ทอดเข้าไปในดงมืด ทหารแต่ละนายกำด้ามดาบพร้อมที่จะชักออกจากฝักได้ทุกเมื่อ หากว่าบุคคลที่มานั้นไม่ใช่ผู้ที่พวกเขากำลังรออยู่ตามที่ได้นัดหมายเอาไว้

จนกระทั่งปรากฏเป็นเงามืดบนหลังม้าค่อยๆเรียงรายกันออกมาตามเส้นทาง ที่นำให้พวกเขาพ้นจากแนวป่า แต่ละคนไม่ได้มีท่าทีเร่งร้อนอย่างที่ควรจะเป็น

ในความมืดสลัวที่ไร้เงาไม้ทาบทับบดบัง แสงจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องลงมา จึงส่งให้เงามืดเหล่านั้นปรากฏเป็นภาพชัดขึ้น
เจ้าสองร่างสูงในชุดดำอำพรางบนหลังม้าสีนิล พร้อมผู้ติดตามอีกราวสิบคนจึงปรากฏอยู่ตรงหน้ากลุ่มทหารที่เฝ้ารอ

“มะเงยระอาว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นจากร่างสูงของผู้ที่อยู่บนหลังม้าเบื้องหน้าสุด

แม้ผู้ที่มาถึงจะเอ่ยทักเป็นภาษามอญ แต่ทหารอยุธยาที่มารออยู่ก็ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยชอบมาพากลเท่าใดนัก

“พวกเจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด”

“พวกเรารอนแรมหนีศึกมาจากเมืองแปร หวังจะมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาณของพระเจ้ากรุงศรี ตามที่ได้มีใบบอกแจ้งล่วงหน้า” คราวนี้ผู้ถูกตามเอ่ยเป็นภาษาไทยได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ

“หากท่านมาจากทิศหรดี แล้วจากนี้จะไปทางทิศไหน” นายทหารขานปริศนาที่จะรู้ได้เฉพาะผู้ที่ได้รับสาส์นตอบรับในการขอลี้ภัยจากราชสำนักอยุธยาเท่านั้น มีให้เลือกสามสิบสองทิศ ถ้าเลือกผิดก็คงต้องโดนปลิดชีวิตให้สิ้นเสียตรงนี้

“หากไปทิศพายัพคงดับสิ้น หากไปทิศทักษิณก็หนักหนา
หากไปทิศอีสานไร้พึ่งพา จึงกลับมาบูรพาหามิตรเมือง”

หนึ่งในผู้ที่มาจึงเอ่ยตอบตามที่ได้นัดกันเอาไว้ แต่คำถามในการทดสอบยังมีอีกหนึ่งข้อ

“หากจะกล่าวถึงผู้ซึ่งเป็นใหญ่ทั้งในรามัญประเทศ พุกามประเทศ สยามประเทศ และมลาวประเทศ ท่านผู้นั้นคือผู้ใด”

“ตะละพะเนียเธอเจาะ”

คราวนี้ผู้ที่อยู่หน้าสุดเป็นผู้เอ่ย

เมื่อคำตอบนั้นถูกต้องตามที่กะเกณฑ์กันเอาไว้ นายทหารจึงยอมให้ชาวรามัญผ่านด่านเข้ามาได้ เพื่อวันรุ่งขึ้นจะพามุ่งหน้าไปยังราชธานี
ด้วยตัวเขาเองนั้นมีหน้าที่เพียงมารอรับ จึงไม่ได้ทราบชื่อเสียงเรียงนามของชาวรามัญเหล่านี้ แต่ก็ติดใจอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหนุ่มหน่วยก้านดีที่เป็นผู้ตอบข้อซักถามของเขาแต่เพียงผู้เดียว

“แล้วท่านล่ะคือผู้ใด” หัวหน้านายทหารถามไถ่
จากที่วางท่าเคร่งขรึม เจ้าหนุ่มผู้นั้นจึงยิ้มให้ก่อนตอบ...


จากเทือกเขาตะนาวศรีสู่ทิศบูรพา ผ่านหัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองชั้นใน เข้าสู่เมืองหน้าด่านที่ปกปักษ์ราชธานีทั้งสี่ทิศ จนกระทั่งเข้าสู่เขตพระนครหลวง กรุงศรีอยุธยา เมืองท่าที่ล้อมรอบไปด้วยสายน้ำสามสายมาบรรจบ
เกลียวคลื่นกระทบฝั่ง เกิดจากพายสีทองนับร้อยจ้วงลงไปในผืนน้ำเป็นจังหวะเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง นำพาให้กระบวนเรือนับร้อยลำแล่นผ่านผืนน้ำไปราวกับวิมานอากาศบนสรวงสวรรค์ล่องลอยผ่านหมู่เมฆ สายลมพัดเอื่อยคลอไปกับเสียงเอื้อนเห่ด้วยท่วงทำนองอันอ่อนหวาน สะกดให้ไพร่ฟ้าราษฎรบนริมฝั่งน้ำสดับฟังอยู่ในความเงียบงัน

สุพรรณหงส์ลงลอยลำ ล่องสายน้ำงามเฉิดฉาย
กิ่งแก้วแววประกาย คลับคล้ายเคียงเพียงสุบิน
พระพายกล่อมพยุหะ เรือระดะกลางสายสินธุ์
เห่ล่องก้องธานินทร์ ยินสะท้านซ่านสายชล

เมื่อกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคผ่านไป ผู้คนที่เหมือนตื่นจากความฝัน และทุกอย่างกลับสู่ปกติ เสียงผู้คนคุยกันสนุกคึกคัก รอบกรุงคึกคักไปด้วยผู้คนที่ทำมาค้าขาย

บริเวณปากคลองคูจามตรงข้ามกับฝั่งประตูไชย หมื่นอินทรและหมื่นโยธี เสนาบดีฝ่ายพลเรือนกำลังยืนสนทนากันอยู่ตรงร่มไม้ใกล้ดงไผ่ระหว่างมาตรวจตราความเรียบร้อยของชุมชนมอญอพยพ ที่ถูกจัดสรรให้มาปลูกสร้างบ้านเรือนกันในละแวกนี้ ซึ่งนับวันจะยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ระหว่างที่ดูไปก็สนทนากันไปตามประสา

“ชาวอังวะนั้นอุปนิสัยเป็นชาตินักรบ ดุดันเด็ดขาดยิ่งนัก เมื่อถึงคราวต้องฟาดฟันศัตรูก็โหดเหี้ยมเสียยิ่งนัก ว่ากันว่าแม่น้ำเป็นสีเลือดเลยทีเดียวเมื่อคราวหงสาวดีถูกตีแตก”

หมื่นอินทรเอ่ย พลางมองชาวมอญอพยพที่กำลังสร้างเรือนไม้ใต้ถุนเตี้ย ตัวเรือนมีห้องเดียวขนาดกะทัดรัด มีชานต่อมาเล็กน้อย หลังคาจั่วเตี้ยแบะออกมาจนถึงชาน

“โชคดีเหลือเกินที่บ้านเมืองของเรายังสงบร่มเย็นอยู่ได้” ขุนนางทั้งสองต่างคิด แต่ในความโล่งใจนั้นก็มีความกังวลแอบแฝงอยู่ไม่ต่างกัน

เพราะถึงแม้อังวะจะอยู่เหนือขึ้นไปห่างไกล ทั้งยังมีเทือกเขาและแม่น้ำเป็นปราการขวางกั้นเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นความอุตสาหะของฝ่ายนั้นก็มีมากนัก ดังเช่นที่พระเจ้าอลองพญาเคยยกทัพมาประชิดกรุงเมื่อสี่ปีก่อน หากไม่สิ้นพระชนม์กลางสนามรบ อยุธยาก็จะยังเป็นอย่างที่เห็นนี้หรือไม่ ก็สุดจะคาดเดา

“น่าเสียดายแทนชาวรามัญนะท่าน สมิง ทอพุทธิเกศอุตส่าห์กู้เอกราชคืนมาได้สำเร็จ ทั้งยังอาจหาญยกทัพไปตีเมืองอังวะอีกด้วย แต่ก็อยู่ได้สิบปีเพียงเท่านั้น พระเจ้าอลองพญาก็ตีกลับจนหงสาวดีแตกพ่ายจนได้”

“นั่นน่ะสิ หากมีขุนพลแกร่งกล้าดังเช่นสมัยพระเจ้าราชาธิราช ย่อมเป็นการยากที่อังวะจะตีชิงเอาเมืองได้ ตำราโบราณเขาเล่าว่า ขุนศึกคู่พระทัยมีถึงสามนาย ทั้งสมิงพระราม สมิงนครอินทร์ สมิงอายมนทะยา รามัญประเทศจึงรักษาแผ่นดินเกิดของตนเองอยู่ได้” หมื่นโยธีกล่าวถึงพงศาวดารของรามัญ ที่มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมา

“แต่นั่นมันก็สามสี่ร้อยปีมาแล้ว อะไรๆก็กลายเป็นตำนานเล่าขานไปเสียหมดแล้ว จะหาขุนพลแม่ทัพเก่งกาจเช่นนั้นคงมีแต่ในนิทานปรำปรา”

ระหว่างที่สองขุนนางสนทนากันเรื่อยเปื่อย ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงาน

“ท่านหมื่นขอรับ เดินทางมาถึงแล้วนะขอรับ”

“มาแล้วรึ คนไหนล่ะ” หมื่นอินทรจึงหันไปถาม พลางมองผู้มาใหม่ราวสิบคน ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าไกลๆ แต่ที่เด่นสะดุดตาก็คงจะเป็นผ้าโพกศีรษะทิ้งชายยาวลงมาประบ่าผิดจากชาวอยุธยา

“คนที่เพิ่งลงจากม้าสีดำนิลน่ะขอรับ” ทหารผู้นั้นตอบ เมื่อหมื่นอินทรถามถึงผู้ที่เขากำลังรออยู่ตามใบบอกที่ส่งมาจากหัวเมือง

“ใครหรือท่าน”

เมื่อหมื่นโยธีถามสหาย อีกฝ่ายจึงตอบ

“สมิงพระเธียร”

กลุ่มมอญอพยพกลุ่มใหม่ที่ล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์ถูกพามายังพื้นที่ริมคลอง ซึ่งเป็นสวนร้างเงียบสงัด ห่างออกมาจากชุมชนชาวมอญออกมามากพอควร

“ท่านพำนักอยู่ที่นี่เถิด หมู่บ้านมอญริมคลองนั้นแออัดเต็มที จึงเห็นว่าให้ท่านอยู่ห่างออกมา จะได้สะดวกสบาย” หมื่นอินทรกล่าว

“ปลูกกระท่อมอยู่ตรงนี้เถิด ท่านปลูกเป็นหรือไม่ พวกข้าเตรียมฟากไม้ไผ่กับหญ้าแฝกมุงหลังคาเอาไว้แล้ว” หมื่นโยธีเอ่ยถาม เพราะท่าทางของผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มดูผิวพรรณแล้วเหมือนจะไม่เคยลำบากตรากตรำเท่าใดนัก

“ขอรับ ขอบใจท่านมาก” หนึ่งในชายฉกรรจ์เอ่ยแทนผู้เป็นหัวหน้าเสียเอง

“พวกชาวมอญกำลังรวบรวมกำลังจะกลับไปชิงหงสาวดีคืน ท่านจะไปสมทบก็ย่อมได้” หมื่นอินทรกล่าวทิ้งท้าย

เมื่อจัดการหาที่ทางปลูกเรือนให้เสร็จสรรพทั้งหมื่นโยธีและหมื่นอินทรจึงปลีกตัวไปดูมอญอพยพกลุ่มอื่นที่เพิ่งเดินทางมาถึง พลางออกความเห็น

“ออกไปทางสะโอดสะองค์เป็นผู้ลากมากดีเสียมากกว่า ไม่เหมือนพวกมอญอื่นๆ ตำแหน่งสมิงก็เป็นขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่นะท่าน กระผมคิดว่าอายุอานามจะมากกว่านี้เสียอีก แต่นี่ยังหนุ่มแน่น”

“อาจจะได้กินตำแหน่งสืบต่อจากพ่อก็เป็นได้” อีกคนเอ่ยออกไปอย่างคาดเดา

“สะอาดสำอางออกปานนี้ จะไปรบทัพจับศึกกู้บ้านกู้เมืองกับใครไหว”

อีกคนก็ยังไม่วายออกความคิดเห็นกับผิวที่ขาวเผือดราวกับไม่เคยต้องเดด ดูผิดแผกไปจากสมิงที่มาจากเมืองอื่นๆ”

เสียงนินทาแม้เบาเพียงนิด แต่นัยน์ตาดำนิลคู่ใหญ่ในดวงตายาวรีก็ขยับเพียงเล็กน้อย แล้วก็กลับไปนิ่งสงบดังเดิม
นายทหารยังคงนึกปรามาส แต่พอเหลียวหลังกลับมาดูอีกที ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อสมิงพระเธียร ผู้เห็นหัวหน้าใหญ่เดินทื่อๆไปแบกเสาเรือนที่เตรียมไว้ให้ขึ้นพาดบ่า แล้วเอามาวางอยู่ตรงที่จะปักหลักปลูกเรือนหน้าตาเฉยราวกับมันไม่ได้หนักหนาอะไร ผ่านไปสัพพัก พอกลับมาดูอีกที ก็เห็นหลังคาหญ้าแฝกถูกร้อยวางเป็นตับกองสูงพะเนิน พร้อมมุงหลังคาได้ทุกเมื่อ

กลับมาไม่ทันค่ำ กระท่อมหลังน้อยริมน้ำของคนที่ดูจะสะโอดสะองค์กว่าใครก็เสร็จก่อนใครเพื่อน แล้วเจ้าตัวก็ไปเอนหลังหลับเอาแรงบนกระท่อมของตนเองที่มีชานยื่นออกไปอย่างสบายอกสบายใจ

ริมคลองแห่งนั้น แม้เรือลำน้อยใหญ่จะไม่หนาตาเท่าคลองใหญ่ที่ใช้สัญจรเป็นหลัก แต่ก็มีเรือผ่านมาบ้างประปราย รวมถึงเรือลำเล็กของบ้านในละแวกนั้นที่เพิ่งกลับมาจากเที่ยวชมตลาดในพระนคร

หญิงสาวบนเรือชะโงกหน้ามาดูเมื่อเห็นว่ามีเรือนน้อยผุดขึ้นมาตรงสวนร้าง เห็นอยู่ไวๆว่าคงเป็นเจ้าของเรือนที่กำลังเอนหลังพักผ่อนอยู่ตรงนอกชาน

“นั่นใครหรือคะเจ้าคุณพ่อ” หญิงสาวถามไถ่บิดาที่นั่งมาด้วยกันอย่างสนอกสนใจ ขณะที่บ่าวพายเป็นฝีท้ายให้ที่ท้ายเรือ

“พวกรามัญมาขอลี้ภัยน่ะลูก นับวันแผ่นดินนั้นจะร้อน ชาวมอญก็อพยพมาหาเรามากขึ้นทุกที”

ผู้เป็นพ่อนั้นเอ่ยตามลักษณะการแต่งกายที่แปลกไปจากชาวกรุงศรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมที่ยาวขมวดมุ่นไว้กลางศีรษะ และผ้าโพกทิ้งชายยาว ซึ่งก็ไม่ได้สังเกตุเลยว่า บุตรสาวเงียบไปตั้งแต่ประโยคแรกที่ถาม เพราะสายตาที่ไม่อาจถ่ายถอนไปจากใบหน้าเกลี้ยงเกลาได้นับแต่นั้นหลังจากที่เพ่งมองจนเห็นได้ชัดเจน

นั่นเพราะผู้ที่หลับอยู่นั้นงดงามราวกับพระลอดิลกราชในลิลิตโบราณจากแดนล้านนา ที่ความหล่อเหลาของพระองค์ก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมแห่งความรักจนต้องวายชนม์

“ทุกอินทรีย์ทั้งหลาย อันเวียนว่ายตายเกิด เที่ยวเอากำเนิดในไตรภพ...ตามแต่ผลกรรมนั้นๆใครทำบาปทำอกุศลกรรมย่อมไปเกิดในนรกภูมิหรือเกิดในภูมิมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน แต่หากใครทำบุญสร้างกุศล ย่อมไปเกิดในสวรรค์หรือหากเป็นมนุษย์ก็มีชีวิตที่มีความสุข หรือหากบำเพ็ญเพียรมากๆก็ย่อมไปเกิดในแดนรูปภูมิหรืออรูปภูมิ”

เมย นางมอญน้อยกำลังนั่งฟังไตรภูมิพระร่วงที่สือทอดกันมานับร้อยๆปีตั้งแต่แผ่นดินสุโขทัยอย่างเพลิดเพลิน เรื่องราวของสามโลกถูกเล่าขานผ่านผู้ที่นั่งอยู่บนพื้นยกสูงในหอนั่งบนเรือนหลังใหญ่ รายล้อมด้วยผู้ฟังที่นั่งอยู่บนพื้นเรือนด้านล่างซึ่งมีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ที่ต่างคนต่างตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ

ซึ่งหากจะฟังเฉพาะเรื่องราว โดยไม่ได้ฟังน้ำเสียง ทุกคนย่อมจะคิดว่าเป็นคำพูดที่ออกจากปากผู้เฒ่าอาวุโส โดยไม่คาดคิดว่าผู้ที่เอ่ยนั้นคือดรุณีที่เพิ่งย่างสิบเจ็ดปีเพียงเท่านั้น และเป็นคนเดียวกันกับที่ไปรอรับเธอที่ด่านสิงขร ‘แม่หญิงทิพย”

“ธกกะทำตรีภพทั้งสาม คือกามภวา รูปภวา แลอรูปภวาทั้งปวงไซ้ จักรวาลที่เราอยู่นี้มีความกว้างขวางใหญ่โตมาก มีกำแพงล้อมรอบทุกด้าน ในจักรวาลมีอยู่ทั้งหมดสามภพด้วยกัน คือ กาพภพ เป็นดินแดนของสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ด้วยกาม ตัณหา มีความโลภ โกรธ หลง แบ่งย่อยได้เป็น โลกมนุษย์ที่เราอยู่นี้ สวรรค์ และนรก”

“จักรวาลมีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางใช่ไหมเจ้าคะ”

แม่หญิงยิ้มละไม ก่อนจะขานไขให้รู้ผู้ใฝ่รู้

“เป็นความเชื่อของพรามหณ์ว่า เขาพระสุเมรุคือแกนกลางของจักรวาล ล้อมรอบด้วยสัตตบริภัณฑ์ คือเทือกเขาทั้ง๗ ทิว คือ ยุคนธร อิสินทร กรวิก สุทัศนะ เนมินธร วินตกะ และอัสกัณ โดยล้อมรอบเขาพระสุเมรเป็นวงกลมเป็นชั้นๆ สูงลดหลั่นกันลงมา ระหว่างเขาพระสุเมรกับเทือกเขาแต่ละชั้นก็ถูกกั้นด้วยทะเลสีทันดร บางคนเรียกว่าเป็นแม่น้ำ บ้างก็ว่าเป็นทะเล บ้างก็ว่าเป็นมหาสมุทร เป็นห้วงน้ำกว้างใหญ่และลึก ไม่มีเกาะแก่งที่พักระหว่างทาง สีของน้ำในสีทันดรแต่ละแห่งก็แตกต่างกัน ผิวน้ำเรียบสนิท ไม่มีคลื่น ใสสะอาด เย็น และมีรสจืดสนิท น้ำมีความละเอียดมาก ขนาดที่ว่าขนนกที่เบาที่สุด เมื่อตกลงไปในสีทันดรก็จมลงก้นสมุทร ไม่อาจลอยอยู่ได้”

ผู้ฟังทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ตาโตด้วยความตื่นเต้นกับเรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินโดยละเอียดเท่านี้มาก่อน

“มองอย่างนั้น เจ้าสงสัยอันใดหรือเมย” แม่หญิงทิพย์หันมายิ้มให้กับสาวน้อยชาวมอญที่ติดตามมาอยู่กับเธอ

สาวน้อยเมืองมอญได้แต่ยิ้มแฉ่ง เธออยากจะถามต่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามยังไง เธอมีเรื่องอยากรู้อีกมากมาย แต่ก็จนปัญญา
แม่หญิงทิพย์มองมาที่เธออย่างเข้าใจ สายตาที่เคยเมตตาเธออย่างไรก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ไม่เสื่อมคลาย นับตั้งแต่ช่วยชีวิตเธอไว้ ให้เธอได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาเป็นร่วมเดือน

แต่ถึงแม้แม่หญิงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ แต่ก็มีหลายต่อหลายอย่างที่แตกต่างกัน
ทั้งอุปนิสัยและความประพฤติ โดยเฉพาะท่าทางสงบนิ่งต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้น ทำให้รู้สึกเหมือนราวกับแม่หญิงไม่ใช่สาวน้อยแรกรุ่น แต่เหมือนกับผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากต่อมาก จนเธอนึกสงสัย แม้จะยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงเร้นไปด้วยความหนักหน่วงบางอย่างที่เธอเองก็ยังไม่อาจเข้าใจ

“แม่หญิงเล่านิทานได้ไหมเจ้าคะ” เด็กน้อยไม่กล้าบอกตามตรงว่ามันน่าเบื่อ

น้ำเสียงเย็นนั้นวางตำราไตรภูมิพระร่วงลง

“สังศิลป์ชัยเจ้าค่ะ”

“พระสุธนกับนางมโนราห์ดีกว่าขอรับ”

“จะเปิดสำนักแข่งกับวัดหลวงพ่อที่ท้ายแขวงรึ ผู้คนในเรือนนี้ท่าทางใกล้จะอ่านออกเขียนได้และรู้ซึ้งถึงตำรับตำรากันเสียหมดทุกคน เพราะอาจารย์ขยันสอนศิษย์เหลือเกิน”

พระยาโกษาธิบดีผู้เป็นเสนาบดีกรมคลังเอ่ยเย้า เมื่อขึ้นเรือนมาพบบุตรีที่นั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของบ่าวไพร่บริวาร เนื่องจากจะมีแขกมาเยี่ยมเรือนในวันนี้ จึงสั่งให้บ่าวไพร่แยกย้ายกันไปจัดเตรียมสำรับของหวาน จะเหลือแต่เมย นางมอญน้อยซึ่งเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดแม่หญิงที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงพื้นเรือนใกล้กับยกพื้นที่แม่หญิงนั่งอยู่

“เมย เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ฟังลูกข้าเล่านิทานจบไปกี่เรื่อง”

นางมอญน้อยยิ้มแฉ่งอย่างหน้าเอ็นดู เพราะมีแต่คนขยันมาคุยกับเธอ จึงเข้าใจภาษาไทยได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็จนปัญญาจะตอบได้

“ถ้าคุณพ่อมีแขกวันนี้ ลูกขออนุญาตออกไปข้างนอกนะเจ้าคะ”

“เอาคนติดตามไปด้วยนะลูก”

“ค่ะ” แม่หญิงทิพย์ยิ้มรับ ก่อนจะหันมามองที่เมยอย่างมีเลศนัยน์ จนนางมอญน้อยนึกแปลกใจ

แล้วเมยก็ดีอกดีใจ เมื่อรู้ว่าแม่หญิงพาเธอมาที่ไหน

“วันนี้พามาเที่ยวตลาดมอญ เจ้าคงชอบ” แม่หญิงเอ่ยเมื่อพานางมอญน้อยมาที่ย่านหลังวัดนก บริเวณหน้าวัดโพง เพราะมีพวกมอญพากันขายขัน ถาด พานน้อยใหญ่ เครื่องทองเหลืองครบ และกับข้าวกับปลาในตอนเช้าและเย็น

เมยมองสองฝั่งคลองที่มีเรือนแพน้อยใหญ่ ยิ่งใกล้ตลาดเรือนแพก็จะสร้างกันถี่มากขึ้นเรื่อยๆ แม่หญิงพาแวะลงที่ท่าเรือ เพื่อไปสักการะวัดมอญ สาวน้อยชาวมอญผู้พลัดถิ่นแหงนหน้ามองเสาหงส์ในวัด อันเป็นสัญลักษณ์ในการบูชาพระพุทธเจ้าที่สถิตย์อยู่บนสวรรค์ หากมีวัดมอญอยู่ที่ใด ก็จะมีเสาหงส์อยู่ที่นั่น

และหงส์บนเสาทุกตัวจะหันหน้ากลับไปยังบ้านเมืองที่จากมา คือ กรุงหงสาวดี

“เมย” เสียงใสกังวาลเรียกเธออีกครั้ง มันเป็นน้ำเสียงที่ไพเราะจับใจยิ่งนัก ทุกครั้งที่แม่หญิงทิพย์เอื้อนเอ่ย ความกังวาล
ใสคงเปรียบได้กับเสียงนกการเวก หรือเสียงหงส์ก็คงจะพอเทียบกันได้ ไม่ว่าแม่หญิงจะพูดจาสิ่งใด ผู้ฟังจึงเหมือนกับต้องมนต์สะกด

“เมย ดูนั่นสิ ฤดูลมสำเภาพัดเข้ามาในกรุงแล้ว”

นิ้วเรียวเล็กนั้นชี้ชวนให้ดูสายน้ำปริ่มฝั่ง ที่เต็มไปด้วยเรือเดินสมุทรที่พาพ่อค้าวานิชย์จากต่างแดนต่างทวีบให้เข้ามา “นั่นสำเภาจีน นั่นเรือสลุตแขก เรือกำปั่นของฝรั่ง มีพวกเรือแขกกุสราส แขกสุรัด แขกชวามลายู แขกเทศฝรั่งเศส ฝรั่งโลกสง โปรตุเกส วิลันดา อีสปันยอน และฝรั่งเรือรางกุนี แขกเกาะ ยังมีพวกอังกฤษที่เขาขนสินค้าเข้ามาไว้บนตึกห้างในกำแพงเมืองพระนคร”

เมยมองภาพสำเภาเรือเรือกำปั่นที่ล่องเข้ามาค้าขายกันครึกครื่น ด้วยความตื่นตาตื่นใจอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่ต่างกันกับเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนและผมสีน้ำตาลไหม้ ที่ยืนอยู่บนเรือกำปั่นที่ล่องผ่านหน้าไป จากอีกฟากของมหาสมุทรที่เดินทางมา ก็ล่องเข้าปากแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านด่านขนอน จนมาถึงตลาดที่บางกระจะ มาเทียบท่า ณ ฝั่งตรงข้ามของป้อมเพชร ป้อมรักษาพระนครด้านทิศใต้

เมื่อได้ล่องเรือลึกเข้ามาถึงาณาจักรสยาม เมืองท่าการค้าของดินแดนสุวรรณภูมิ กาเบรียลมองเหนือขึ้นไปยังกำแพงพระนครรอบกรุง ดูหมู่ยอดปราสาทที่โผล่พ้นกำแพงพระนครและเจดีย์แหลมสูงสีทองระยิบระยับจับแสงแดด สถาปัตยกรรมอันอ่อนช้อยงดงามจนน่าพิศวง

กัปตันจึงเอ่ยโดยไม่ต้องถาม

“ชาวสยามเป็นเลิศทางด้านงานช่างศิลป์โดยแท้”

ส่วนด้านในกำแพงพระนคร แม่หญิงเนื่องผู้มีเรือนติดอยู่กับสวนร้างที่มอญอพยพเพิ่งมาปลูกกระท่อมอาศัย กำลังนำสมิงพระเธียรเที่ยวชมคูคลอง และตลาด

ผู้คนคึกคักขวักไขว่ สตรีส่วนใหญ่นุ่งซิ่น ทั้งโจงกระเบน มีผ้าผืนยาวพันรอบอกเอาไว้ บ้างก็ตวัดชายพาดไหล่ข้างหนึ่ง ทิ้งชายเอาไว้ด้านหลัง ส่วนบุรุษนั้นไม่นิยมใส่เสื้อ จะมีบ้างที่ดูเป็นผู้ลากมากดี หรือพวกที่รับราชการ ดูๆไปก็เป็นที่แปลกตาของผู้มาจากแดนอื่นอยู่ไม่น้อย

“แล้วบ้านเมืองของท่านเล่า ดูเหมือนกับที่อยุธยาหรือไม่”

“ไม่ค่อยคล้ายกันเท่าใดขอรับ” ผู้ติดตามสมิงพระเธียรชิงตอบเสียเอง

แม่หญิงเนื่องรู้สึกเสียหน้าอยู่ไม่น้อยที่สมิงพระเธียรยังคงเมินเฉย เธอเองลำพังแค่พาพระลอมาชมตลาด ก็อาจตกเป็นที่ติฉินนินทาของชาวบ้านอยู่แล้ว แต่ด้วยจิตพิศวาสเป็นล้นพ้น จึงยอมทำทีว่าเจอกันโดยบังเอิญแล้วอาสาพาเที่ยวชมบ้านเมือง เพื่อให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดบ้างเพียงสักครั้ง

จนเมื่อบ่าวที่ตามมาเฝ้าส่งสัญญาณให้รู้ว่าถึงเวลาที่ควรกลับเรือน แม่หญิงเนื่องจึงจำใจต้องบอกกล่าวขอตัวลา ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะกลับจากราชการในวัง

เมื่อพ้นเชิงสะพานไปแล้ว ฝ่ายข้างชายหนุ่มจึงปลีกตัวไปเสียทางอื่น หมดความใส่ใจในของคาวหวานย่านตลาดโดยสิ้นเชิง แต่เดินตัดลัดเลาะดูอย่างอื่นที่ตนสนใจมากกว่า

“การปกครองภายในบริเวณกำแพงเมือง จะแบ่งออกเป็นสี่แขวง แขวงขุนธรณีบาล แขวงขุนโลกบาล แขวงขุนธราบาล และแขวงขุนนราบาล ตรงนี้คือท้องสนามหลวง หน้าพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ เป็นพื้นที่ส่วนหน้าของพระราชวังหลวง ไว้เป็นที่สำหรับฝึกพลสวนสนาม การมหรสพ ยังใช้เป็นที่รวมพลในยามศึก และเป็นสนามรบเมื่อสงครามผลัดแผ่นดิน เมื่อผ่านกำแพงวังเข้าไปอีกชั้น จึงจะเป็นเขตพระราชฐานชั้นกลาง มีทั้งวัดหลวง และพระที่นั่งองค์อื่นๆ ถัดเข้าไปจึงจะเป็นพระราชฐานชั้นในที่เชื้อพระวงศ์ประทับ ทั้งยังมีสระน้อยใหญ่ที่ทดน้ำมาจากคลองหลังวัง ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำลพบุรี”
เจ้าของร่างสูงนิ่งฟังรายงาน พลางคิดคำนวณอยู่ในใจ พระนครนี้เป็นเมืองป้อมปราการ มีแม่น้ำและกำแพงเมืองล้อมรอบเป็น ‘เกาะเมือง’ มีป้อมปืนขนาดใหญ่ราวยี่สิบสองป้อม มีประตูใหญ่บกสิบเอ็ดประตู ประตูคลองน้ำสิบสองประตู ประตูเล็กอีกหกสิบเอ็ดประตู

เพราะแผนผังที่ได้มานั้นไม่ละเอียดอย่างที่เขาพอใจ จึงถึงคราวที่คงต้องมาดูเองให้เห็นกับตา แล้วก็เป็นอย่างที่แน่ใจว่า มีการสร้างป้อมปราการ และตำหนักในเขตพระราชฐานขึ้นมากมายกว่าครั้งที่พระเจ้าบุเรงนองเคยตีกรุงศรีได้ร้อยกว่าปีก่อนอยุธยาจึงไม่เหมือนกับในมหายาสะวิน จึงต้องศึกษาแผนผังใหม่ทั้งหมด

“เห็นทีเราคงจะต้องอยู่ที่นี่กันอีกนานพอดู” ผู้เป็นหัวหน้าสั่งการ

“ขอรับ อูอองเทียน”

ในทีแรกเขาเพียงแต่จะไล่ตามสกัดสมิงพระเธียรเท่านั้น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายก็หมดลมหายใจไปเสียก่อนที่จะข้ามแดนแล้ว เขาจึงอยากรู้ว่าจุดหมายอันเป็นที่พึ่งของชาวรามัญนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ก่อนจะถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้งในฐานะแคว้นคู่สงคราม

เจ้าของนามอันหมายถึงผู้ชนะนับแสนครั้ง แหงนมองยอดมหาปราสาทราชวังด้วยสายตาอันเรียบนิ่ง
ภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นชดช้อย ราวกับวิมานบนสรวงสวรรค์

แต่น่าเสียดาย ที่จะต้องย่อยยับในเร็ววัน

******
หมายเหตุ

ตะละพะเนียเธอเจาะ คือ ผู้ชนะสิบทิศ ในภาษามอญ

สมิง เพี้ยนมาจากคำมอญ เสมิญ แปลว่าขุนนางผู้ใหญ่ หรือบางครั้งหมายถึง กษัตริย์

ราชาธิราช ทรงเป็นกษัตริย์มอญแห่งอาณาจักรหงสาวดี ซึ่งได้รับการนับถือว่าเป็นหนึ่งในกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พม่า พระองค์ประสบความสำเร็จในการรวบรวมดินแดนที่พูดภาษามอญทั้งสามแห่งในพม่าตอนล่างให้เป็นเอกภาพ และสามารถต้านทานการรุกรานของอาณาจักรอังวะซึ่งเป็นอาณาจักรของกลุ่มชนที่พูดภาษาพม่าในพม่าตอนบนไว้ได้




นาวาร้อยกวี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ธ.ค. 2559, 22:10:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ธ.ค. 2559, 23:55:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 4200





<< บทที่ ๒ วิวาห์เหาะ    บทที่ ๔ ศิษย์รักกับศิษย์เอก (100%) >>
แว่นใส 19 ธ.ค. 2559, 22:39:31 น.
ใครอีกล่ะเนี่ย


คิมหันตุ์ 21 ธ.ค. 2559, 01:24:51 น.
ลุ้นเลยยยยยยยยยยยยย มาอัพไวไวนะคะ


goldensun 22 ธ.ค. 2559, 19:58:56 น.
ใครชิงตัวพญาจี สมิงพระเธียร หรือเมียวมินท์ที่ได้รับคำสั่งมา


พรรณราย 27 ธ.ค. 2559, 10:59:32 น.
สนุกมากค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account