ทิพย์อสงไขย (The guardians)
ทิพย์อสงไขย (The guardians)

ดวงตาเจ้าดั่งดวงดาวที่ทอแสง
เหมือนกลั่นแกล้งวาดบรรจงให้หลงใหล
แล้วดวงใจเล่าหนอเจ้ารอใคร
จึ่งมิเคยมองหญิงใดในโลกา


และเราจะได้พบกับคำตอบของคำถาม ว่าเพราะเหตุใด เธียรวัฒน์จึงไม่เคยมอบหัวใจให้หญิงใดในโลกา จนกระทั่งในที่สุดก็ยินยอมมอบมันให้กับผู้หญิงที่เขาเฝ้ารอ


ทิพย์อสงไขยจะนำท่านย้อนเข้าในในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้
ท่องเที่ยวไปในช่วงเวลาแห่งความผันผวนระหว่างสองราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ที่มีหงสารามัญเป็นเหตุแห่งชนวน
พร้อมพบกับความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ระหว่างแม่ทัพแห่งราชสำนักอังวะ และนางมอญน้อยผู้ต้องการปกป้องแผ่นดินเกิดของตน


ไม่ต้องกลัวว่านิยายเรื่องนี้จะใช้ภาษาโบราณที่อ่านยาก (เพราะคนเขียนไม่ถนัดเหมือนกัน ^_^)
แต่จะเป็นนิยายโบราณที่เขียนด้วยภาษาค่อนข้างสมัยใหม่ เข้าใจง่าย อ่านได้เพลินๆค่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๔ ศิษย์รักกับศิษย์เอก (100%)

บทที่ ๔ ศิษย์รักกับศิษย์เอก

สายน้ำอิระวดีอันกว้างใหญ่อันมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมาลัย ในยามนี้สีขุ่นข้นกว่าเดือนที่ผ่านมา เมื่อเริ่มเข้าสู่หน้าหนาว ระดับน้ำถดถอยจากฝั่งลงไปมาก จนชาวบ้านลงไปปลูกเพิงชั่วคราวได้ บางตอนมีสันดอนน้อยใหญ่โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำให้ชาวอังวะทำการเพาะปลูกพืชพันธุ์อายุสั้นในช่วงน้ำลง

สายลมที่พัดขึ้นมาจากสายน้ำกว้างใหญ่จนมองเห็นอีกฝั่งเพียงลิบๆนั้นเริ่มแรงขึ้นในยามอาทิตย์อัสดง จนชายผ้าโพกศีรษะอูยิจสีอ่อนที่เคยเคลียอยู่บนหัวไหล่ของกลุ่มนายทหารในชุดนักรบปลิวไสวไปพร้อมๆกัน เมื่อยามเหยาะม้าลาดตะเวนที่ริมฝั่งมหานที

ชาวบ้านหลายคนแหงนมองหมู่เมฆที่เกรงว่าจะตั้งเค้าอย่างฉับพลัน เพราะเดือนนี้เป็นเดือนที่จะต้องระวังเรื่องฝนหลงฤดูกันถ้วนหน้า เพราะหากตกลงมาในหน้าที่กำลังเก็บเกี่ยว งาก็จะเสียหาย จนมีชื่อเรียกฝนในหน้านี้ว่า ‘ฝนพังกองงา’

เพราะเป็นเพียงการลาดตระเวนดูความเรียบร้อยรอบพระนคร ไม่ได้อยู่ในสนามรบ ทหารแต่ละนายจึงไม่ต้องแต่งเต็มยศหรือสวมหมวกปีกกำบัง เพียงแต่โพกศีรษะกันเช่นในเวลาปกติเท่านั้น แม้จะมียศลดหลั่นกันบ้าง แต่ทุกคนก็สนิทสนมกันดี เพราะเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันมาแต่คราวแรกที่เรียนวิชาการทหาร จึงพูดคุยหยอกล้อกันไปตามทาง

“อูเมียวมินท์ เดือนหน้าก็จะเป็นเดือนปยาโต่แล้ว อีกไม่นานอังวะก็จะหนาวเหน็บ ผิงไฟยังมิอุ่น ห่มผ้าหลายผืนก็ยังมิคลาย ใยท่านจะไม่หาหญิงใดมากอดให้คลายหนาวเล่า”

แม้จะยังไม่ใกล้วัยกลางคนก็ตามที แต่เพราะมักเอาแต่คร่ำเคร่งในตำรับตำราเสียจนไม่สนหญิงใด และยังครองตนเป็นโสดมาจนล่วงเลยวัยที่ต้องสมรส เหล่าสหายจึงพากันเรียก ‘อู’ นำหน้าชื่อไปก่อนแล้วเพื่อล้อเลียน ไม่ต่างจากตัวน้องชาย ที่มีฉายานามว่า ‘อองเทียน’ ที่แปลว่าชนะแสนครั้ง แม้นามแท้จริงคือ มังละสิริ ก็ตามที เนื่องจากเป็นทหารเอกทางด้านการรบแบบประจันหน้า และไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใดในสนามประลองยุทธหน้าพระที่นั่ง และสหายต่างก็พากันให้เกียรติเติมคำว่า อู ให้ที่หน้าชื่อ เพราะตัวผู้น้องเองก็โสดสูสีตีคู่มากับพี่ชายอย่างไม่น้อยหน้ากัน

“ใช่แล้ว เดือนปยาโต่เหมาะยิ่งนักที่จะทำพิธีประสานมือ”

ทุกคนล้วนแล้วแต่บีบบังคับให้เขาเข้าพิธีสมรสประสานมือกับเจ้าสาวที่ลักพามาได้จากอาระกันโยมา แต่เขาเองก็ยังรั้งรอ แม้ว่าตอนนี้จะมีหญิงมาร่วมเรือนแล้ว แต่ก็ยังแยกห้องกันอยู่ การสมรสกันโดยไม่ได้เกิดจากความผูกพันกันทางใจนั้นสร้างความลำบากใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง

“กระผมยังไม่ว่าง ยังวุ่นเรื่องช่วยเขาเตรียมการพิธีอัศวยุทธ” อดีตหัวหน้ากองทหารม้ายังคงบ่ายเบี่ยงไปถึงเรื่องประเพณีการประลองยุทธของราชสำนัก แม้ว่าข้ออ้างนั้นจะดูฟังไม่ขึ้นเลยก็ตามที

ปีนี้เขาจะหาเรื่องจัดให้ครบทั้งประลองดาบ หอก ไปจนถึงช้างศึก ม้าศึก หรือถ้ามีตีรันฟันแทงอะไรที่พอจะเอามาแข่งขันกันได้ เขาจะยุให้ประลองกันจนวุ่นวายกันซะให้หมด พิธีประสานมือจะได้ถูกเลื่อนออกไปได้เรื่อยๆ

“เดือนที่แล้วก็อ้างว่ายุ่งเรื่องการสร้างบ้านแปลนเมือง มาเดือนนี้ก็อ้างพิธีอัศวยุทธ แล้วเดือนหน้าท่านก็จะอ้างงานบูชาไฟ เดือนถัดไปก็คงอ้างงานบูชาเจดีย์ชเวดากองอีกนั่นแหละ คอยดู”

“จะเอาให้ครบรอบสิบสองเดือนแล้ววนกลับมาใหม่อีกรอบดีหรือไม่ล่ะอูเมียวมินท์”

สหายพากันหัวเราะจนลั่นริมฝั่งอิระวดี จนว่าที่เจ้าบ่าวได้แต่ถอนหายใจ

“เรามีศัตรูอยู่รอบด้าน จะให้มัวแค่คิดเรื่องของตนเองได้อย่างไร”

เพราะหากจะกล่าวถึงศัตรูนั้น ออกตกเหนือใต้ มีครบทุกทิศ มีทั้งที่ประกาศเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้น แต่ศัตรูฝ่ายไหนก็คงไม่เท่ากองทัพของจักรพรรดิจีน

“ก็ถูกของท่านนะ...” ทหารอีกคนอือออเห็นด้วย และดูเหมือนจะตกหลุมพรางที่เมียวมินท์พยายามเปลี่ยนเรื่องสนทนา แต่...

“แล้วถ้าพิธีอัศวยุทธเสร็จสิ้น ท่านจะตบจะแต่งเลยมั้ย”

ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องคุยอยู่ดี ต่างคนต่างพากันหัวเราะ เพราะไม่มีใครยอมตกหลุมพรางอูเมียวมินท์

ผู้เป็นเสนาธิการทหารจึงกระตุกบังเหียนม้าให้นำหน้ากลุ่มเพื่อนไปให้พ้นๆ โดยมีเสียงหัวเราะไล่หลังมาอย่างครื้นเครง

แม้ในตอนนี้เขาจะมีข้ออ้างสารพัดในก็ผัดผ่อนเรื่องพิธีประสานมือ แต่ถ้าหากโดนเล้อหนักเข้า จนข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าเซงพะยูเช็งเมื่อไหร่ รับสั่งให้แต่งวันไหน ก็คงต้องจัดพิธีกันวันนั้น



หลังจากเสร็จสิ้นข้อราชการและนั่งให้เพื่อนล้อเลียนกันจนหนำใจที่สภาฮลุตตอร์แล้ว อูเมียวมินท์ก็กลับมาถึงเรือนไม้สักหลังใหญ่ในเขตกำแพงพระนครรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส

เจ้าของใบหน้างดงามภายใต้เรือนผมยาวอย่างยิ่งนั่งมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ราวกับจะมองไปให้ไกลถึงเมืองเกตุมดีตองอูบู บ้านเกิดเมืองนอนของตน

“ผมของท่านหญิงดำขลับดุจดั่งแมลงภู่” หญิงรับใช้เอ่ยชมไม่ขาดปาก เมื่อช่วยเกล้าผมขึ้นแล้วทิ้งชายยาวลงมาอย่างสวยงาม แต่ดวงตาคู่สวยไม่ได้มองอย่างอื่น นอกเสียจากหน้าต่าง กำแพงเมืองที่หนาแน่นทำให้ยากจะหนี

ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ประดับประดาไปด้วยข้าวของมีค่าสำหรับสตรีมากมาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอนึกชื่นชมแต่อย่างใด เพราะต่อให้สวยงามแค่ไหน คุกก็ยังเป็นคุกอยู่วันยังค่ำ

“อูเมียวมินท์กลับมาแล้วเจ้าค่ะท่านหญิง” ทาสในเรือนมาแจ้งความแก่เธอ เพื่อเตือนให้ไปทำหน้าที่ที่ควรจะพึงปฏิบัติต่อผู้ที่จะเป็นสามีเธอในภายภาคหน้าแทนเจ้าชายของเมืองเวสาลีโดยที่เธอไม่ยินยอม

เขาผู้ซึ่งรับใช้ราชวงศ์อลองพญา ซึ่งสถาปนามาแทนที่ราชวงศ์ตองอูที่เธอสืบสายเลือดมา

แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น...เขาคือสหายร่วมสำนักกับเธอมาแต่ครั้งยังเยาว์ และยังให้สัตย์สาบานต่อกันว่า จะซื่อสัตย์ต่อกันไปจนวันตาย!

พญาจีจำใจต้องลุกขึ้น และเดินออกจากห้อง

ร่างโปร่งบางปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้ที่พึ่งกลับมาจากราชการ ร่างงดงามราวสลักเสลาจากเนื้อหินอ่อนนั้นอาจน่าทะนุถนอมในสายตาของผู้อื่น มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า ดอกไม้งามช่อนี้ มีหนามแหลมคมเพียงใด เพราะเขาเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ช่วยประสิทธิประสาทวิชาให้กันเมื่อครั้งยังเยาว์

ปั้นน้ำชาถูกยกขึ้นมารินลงใส่ถ้วยกังใส จากนั้นมือเล็กๆจึงหยิบถ้วยนั้นให้เขา เพื่อดื่มแก้กระหาย

อูเมียวมินท์รับถ้วยชามา สายตาคมเหลือบมองเล็กน้อยเพี่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอันตรายปะปน จึงยกขึ้นดื่ม ท่ามกลางความเงียบงันระหว่างสองคน

แม้จะร่ำเรียนวิชาด้วยกันมาจนเป็นสหายสนิทรักใคร่ แต่ตอนนี้ทางคนต่างก็มีหน้าที่ที่พึงกระทำ เขาเองมีหน้าที่ที่ต้องปกปักรักษาราชสำนักอลองพญาตามรอยบิดาของเขา เธอเองผู้สืบเชื้อสายจากพระเจ้าบุเรงนองกะยอดินนรธา ก็ต้องกอบกู้ราชวงศ์ตองอู

แม้เขาต้องการยืดเวลาของพิธีประสานมือให้ออกไปเพียงใด แต่ไม่ช้าไม่นาน ก็ต้องร่วมหอกันอยู่ดี

“ปล่อยเราไปเถิด” พญาจีเอ่ยออกมาในที่สุด ท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัด

“อย่างน้อย...ก็เห็นแก่ความเป็นสหายของเรา”

อูเมียวมินท์มองใบหน้านั้นที่เขายังจดจำได้ดีเมื่อครั้งอดีต ในคราวยังเป็นเด็กเล็ก เราอยากไปวิ่งเล่นที่ไหนเราก็ไปกันได้ แต่เมื่อคราวเติบใหญ่ แม้แต่เพียงเรื่องง่ายๆแค่ปล่อยคนบางคนให้เดินจากไป เขากลับไม่สามารถทำได้อย่างใจต้องการ

“เป็นพระราชประสงค์ขององค์เซงพยูเช็ง จะขัดไม่ได้” เขาตอบเธอกลับไป เพราะแม้แต่ชีวิตของเขาเอง เขาก็เลือกเองไม่ได้

อูเมียวมินท์ยื่นปิ่นปักผมล้ำค่าให้เป็นของขวัญที่เขาหามาให้ จนกระทั่งตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เชื่อตัวเองเช่นกันว่า จะต้องมาเลือกซื้อของสวยงามเหล่านี้ให้แก่ผู้ที่เป็นสหายร่วมสำนัก

พญาจีมองปิ่นปักผมในมือหนาที่ยื่นมาให้ แล้วก็หรุบตาแล้วมองไปทางอื่น

ในเมื่อว่าที่เจ้าสาวของเขาไม่ยอมรับ อูเมียวมินท์จึงวางมันลงตรงตั่งสูงข้างตัวเธอ แล้วลุกจากไป โดยไม่สนใจว่าเธอจะเก็บหรือทิ้งมัน

แม้ว่าจะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง แต่จากเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป พร้อมประตูที่ปิดลงตามเดิม ก็ทำให้เขารู้ว่า เธอกลับเข้าไปในห้องตามเดิม

อูเมียวมินท์ถอนหายใจอยู่เพียงลำพัง เมื่อล่วงรู้ในความคิดว่า เธอจะยังไม่ทิ้งความหวัง อย่างไรเสียก็ย่อมต้องหาทางที่จะหลบหนีไปจากที่นี่ให้ได้

เขารู้อยู่เต็มอก การสมรสกับขุนพลของราชวงศ์อลองพญา อาจไม่ได้ทำให้สองราชวงศ์แน่นแฟ้นอย่างฉับพลัน แต่การได้เป็นทองแผ่นเดียวกับแคว้นข้างเคียงต่างหากที่จะทำให้ราชวงศ์ตองอูมีโอกาสฟื้นคืน ซึ่งโดยหน้าที่ของทหารผู้ปกปักษ์ราชสำนักอังวะ เขาย่อมต้องขัดขวาง

“เราขอโทษที่ช่วยเหลือเจ้าเหมือนเคยไม่ได้ พยู”

เสียงพึมพำลอดออกมาจากริมฝีปากแผ่วเบา นานแค่ไหนแล้วที่ชื่อนี้ไม่ได้ถูกเรียกขาน นับจากวันวานที่สำนักของท่านอาจารย์สิริอุชนะยังเต็มไปด้วยเหล่าเสือสิงห์ลิงทะโมน รวมถึงเจ้าพยู ศิษย์รักของท่าน ที่ใครต่อใครก็เข้าใจว่าเป็นเด็กชายเหมือนคนอื่นๆ ยกเว้นแต่เขาเท่านั้นที่ดูออก แต่ไม่เคยพูด...

ทั้งๆที่กำลังเคร่งเครียดอยู่ แต่พอนึกมาถึงตรงนี้ เขากลับหลุดขำออกมาเบาๆอย่างไม่รู้ตัว

เขาเพิ่งได้มาเห็นเต็มตาว่าสหายในวัยเด็ก พออยู่ในชุดสตรีแล้วเป็นอย่างไร ก็เมื่อวันที่ลักพาตัวกันมานั่นเอง



*******

(ต่อ)


สิริอุชนะมองพญาจี ศิษย์รักซึ่งชุบเลี้ยงและประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ตั้งแต่เมื่อครั้งราชวงศ์ตองอูล่มสลาย เขาหวังว่าวันหนึ่งวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนนั้น จะทำให้เธอช่วยกู้แผ่นดินคืนมาจากชาวรามัญได้

และก็มองศิษย์เอก เมียวมินท์ ผู้ซึ่งเป็นทหารเอกของราชวงศ์อลองพญาที่สามารถกู้เอกราช และปราบปรามเตลงจนแพ้พ่ายได้อย่างราบคาบ

เมียวมินท์เชิญเขามาถึงบ้านเพื่อมาเยี่ยมเยียนพญาจี เพื่อให้นางได้อุ่นใจขึ้นว่า ที่อังวะนี้ไม่ได้มีแต่คนแปลกหน้า เผื่อว่าเจ้าสาวของเขาจะสบายใจขึ้นได้บ้าง

“มีเกิดย่อมมีดับ มีรุ่งย่อมมีโรย...มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก”

สิริอุชนะสอนให้เห็นถึงสัจธรรมแห่งความไม่เที่ยงแท้ เพราะราชวงศ์อลองพญานั้นแผ่ขยายอาณาเขตปกแผ่นอำนาจไปอย่างกว้างขวางเหนือจรดใต้ จนเกือบจะเทียบเท่าอาณาจักรของพระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์แห่งตองอู และถ้าหากยึดอยุธยาได้เมื่อใด อังวะก็จะปกแผ่ได้ได้กว้างไกลที่สุดเท่าที่กษัตริย์พระองค์ใดในดินแดนพุกามเคยกระทำมา

ไม่มีหนทางอีกแล้ว ที่ตองอูจะกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินแห่งนี้

“ตองอูนั้นปกครองมาแล้วสองร้อยหกสิบหกปี ถึงคราวที่ต้องผลัดอำนาจไปอยู่ในมือราชวงศ์ใหม่ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้จนถึงวันที่ไฟบรรลัยกัลป์มล้างโลกหรอกหนาเจ้า”

พญาจีมองหน้าอาจารย์ของตนด้วยสายตาที่หม่นหมอง

สิริอุชนะมองศิษย์รักทั้งสอง แล้วทำให้นึกย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เมืองตองอูอันเคยเป็นราชธานีนั้นถูกตีแตก และเชื้อพระวงศ์ตองอูต้องระหกระเหิน

ท่านเองก็เป็นเสนาบดีรับราชการอยู่ในราชสำนักจึงหอบหิ้วเชื้อพระวงค์ตัวน้อยหนีพวกทหารรามัญ มาเปิดสำนักที่เมืองเล็กๆทางเหนือ อันเป็นต่อระหว่างเมืองตองอูกับอังวะ และ ‘พยูน้อย’ ก็เป็นชื่อที่ตั้งไว้ เพื่อปกป้องไม่ให้ใครมาข่มเหงรังแกท่านหญิงน้อยๆได้

จนกระทั่งวันที่ศิษย์รักทั้งสองได้พบกัน

‘เราเป็นสหายกันแล้วนะ’

เจ้าพยูน้อยยิ้มแฉ่งให้กับหนุ่มน้อยที่มาศึกษาเล่าเรียนในสำนักของเขา โดยอีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้ม

และจากนั้นเมียวมินท์ก็ดูจะไม่ได้เดือดร้อนอะไร ที่มีเจ้าพยูมาป้วนเปี้ยนซักไซ้ไล่ถามสหายสนิทเมื่อท่านสั่งสอนสิ่งใดแล้วยังไม่เข้าใจ จนไม่ว่าเมียวมินท์จะไปที่ไหน ก็จะหอบหิ้วเจ้าพยูน้อยไปด้วยไว้คอยเป็นเพื่อนแก้เหงา

แม้ว่าอีกฝ่ายจะนิ่ง แล้วปล่อยให้เจ้าพยูน้อยพล่ามเป็นน้ำไหลอยู่คนเดียวก็ตาม แต่เมียวมินท์ก็ดูมีความสุขดี

สิริอุชนะรำลึกถึงความทรงจำเหล่านั้น และมองดูคู่หนุ่มสาวที่แยกกันนั่งเสียห่างกันคนละมุมอยู่ ณ ตอนนี้

“พญาจี ตัวเจ้าเป็นกยูงอันสูงศักดิ์ ก็จงสถิตย์อยู่ในถิ่นที่อยู่ของตนเถิด อย่าได้โบยบินไปจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเลย ที่นู่นก็ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไร แต่ที่นี่จะมีคนที่อาจารย์ไว้ใจให้เขาดูแลเจ้าไปตลอดชีวิต”

สิริอุชนะเกลี้ยกล่อม และหันไปมองคนที่หลบไปนั่งอ่านตำรับตำราอยู่ห่างออกไป ปล่อยให้เธอกับอาจารย์มีโอกาสได้คุยกันตามลำพัง

พญาจีมองตามสายตานั้นไปยังศิษย์เอกที่อาจารย์ภูมิใจนักหนา ภาพที่เห็นคือสิ่งที่คุ้นตามาตั้งแต่เมื่อครั้งเธอยังเด็ก ผู้ที่เป็นเอกในทุกแขนง ทั้งยังคอยช่วยเหลือเธอต่างๆนานา และทบทวนความรู้ให้กับเธอเมื่อไม่เข้าใจในสิ่งไหนจนแทบจะกลายเป็นอาจารย์คนรองของเธอ

พญาจีมองเมียวมินท์ด้วยความคิดหลายอย่างปนเปกัน ภาพชายหนุ่มนั่งพลิกดูตำรับตำราอย่างไปเรื่อยๆคือภาพที่เธอชินตา แต่ถ้าจะให้เขามาเป็นสามีด้วย เธอคง...

“อย่าคิดมากเลยพญาจี อาจารย์มั่นใจว่า เขาจะเป็นสามีที่ดีของเจ้า ทำตามที่หัวใจเจ้าต้องการเถิด อย่าได้ฝืนชะตาเลย”

อาจารย์เอ่ยกับศิษย์รักที่มองท่านอย่างตาค้าง...

สิริอุชนะพูดไปตามสิ่งที่มองเห็นนับตั้งแต่ในวันแรกที่พยูน้อยและเมียวมินท์ได้พบกัน และมันก็ใกล้จะเป็นความจริงแล้วในอีกไม่ช้า


**** ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนะคะ มีอะไรติชมได้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^_^ ****




นาวาร้อยกวี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ธ.ค. 2559, 22:38:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2560, 15:48:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 2051





<< บทที่ ๓ สมิงพระเธียร (100%)    ยุวนารีแห่งสยาม 100% >>
แว่นใส 29 ธ.ค. 2559, 08:36:32 น.
จะได้แต่งเมื่อไหร่นะ


คิมหันตุ์ 4 ม.ค. 2560, 23:59:55 น.


goldensun 9 ม.ค. 2560, 19:24:33 น.
เพื่อนกันมาก่อน ยิ่งลำบากใจน้อ การเมืองเข้ามาขวางกลางอย่างนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account