โซ่รักสีรุ้ง
"เด็กคนนั้น...เป็นลูกใคร" ห้าปีผ่านมา เธอคิดว่าชินชากับความเจ็บปวดแล้ว แต่ความจริงความรู้สึกนั้นเพียงแต่ตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจรอเวลาที่ใครสักคนจะกวนตะกอนนั้นขึ้นมา ให้เจ็บรวดร้าวยอกแสลงไปทั้งหัวใจ
Tags: ศศิภา,อรุณฉาย,ท้อง,หย่า,หนี,แต่งงาน,ศศิอักษร

ตอน: บทที่ ๑๑ {แผนการขั้นสุดท้าย ๒} ๓




สายรุ้งเงยหน้าจากกองเอกสารเมื่อรับรู้ถึงความปวดเมื่อยบริเวณไหล่และต้นคอ หญิงสาวยกมือนวดท้ายทอยพลางหันไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะ ถึงกับครางออกมาเบาๆ เมื่อพบว่าตนเองก้มหน้าก้มตาทำงานมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว หล่อนเอนกายพิงพนัก เกยท้ายทอยกับขอบเก้าอี้ หลับตาแล้วมืออีกข้างยกขึ้นมานวดตรงหว่างคิ้ว

พักใหญ่จึงขยับตัว หยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่ตรงหน้ามาดื่มสองสามอึก ก่อนจะลุกขึ้นยืน สาวเท้าไปที่หน้าต่าง แหวกมู่ลี่สีขาวที่ปิดสนิท มองทิวทัศน์เบื้องนอกเช่นที่เคยทำอยู่บ่อยๆ

ยามล้าจากการทำงาน หล่อนมักจะมองท้องฟ้าสีคราม คอยดูเมฆที่ไหลเอื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน บางคราหากแสงแดดร้อนแรงนัก หล่อนจะพับมู่ลี่เก็บ ให้แสงสาดส่องผ้านกระจกเข้ามาภายใน เอนศีรษะพิงกระจก เฝ้าดูนกโบยบินผ่านไปมา...บนท้องฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา นกเหล่านั้นช่างอิสระเหลือเกิน จะโบยบินไปที่ใดก็ได้อย่างที่ใจคิด ไม่เหมือนหล่อน...นกน้อยที่ถูกขังอยู่ในกรง จะทำอะไรก็ต้องอยู่ในกรอบ ในเส้นทางที่ผู้เป็นบิดาเลือก ยังดีอยู่บ้างที่ท่านยอมให้หล่อนเรียนอักษรศาสตร์แบบที่หล่อนต้องการ ถึงกระนั้นเมื่อเรียนจบหล่อนก็ถูกยังคับให้ทำงานที่บริษัท ทั้งที่ใจจริงหล่อนอยากเป็นครู

สายรุ้งยอมตามใจบิดา เพราะอย่างน้อยๆ ท่านก็เคยตามใจหล่อนมาครั้งหนึ่งแล้ว ที่สำคัญการเป็นเลขาณุการก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก แม้หล่อนจะไม่ชอบอาชีพ แต่หล่อนก็ไม่ได้นึกรังเกียจแต่อย่างใด

หญิงสาวระบายลมหายใจยาว ละสายตาจากท้องนภา หลุบสายตาลงมองอาคาร ตึกแถว และถนนเบื้องล่าง

มีรถขับผ่านขวักไขว่ ผู้คนเดินริมไหล่ทาง และเหมือนทุกครั้ง เวลาบ่ายสามเช่นนี้ เจ้าของร้านขายเบเกอรี่เล็กๆ ตรงหน้าบริษัทจะอุ้มแมวสีขาวตัวอวบอ้วนออกมา มันชื่อเจ้าทีรามิสุ เจ้าของมักจะเรียกมันสั้นๆ ว่ามิสุ หล่อนเคยได้พูดคุยกับเจ้าของร้านบ้างสองสามครั้ง นางเป็นหญิงวัยสี่สิบปลายๆ ชื่อพรพรรณ รูปร่างเจ้าเนื้อ ใบหน้ากลม มีดวงตาที่อ่อนโยนและมีรอยยิ้มเป็นมิตรให้กับหล่อนอยู่เสมอ

‘ชื่อทีรามิสุหรือคะ’

‘จ้ะ...เพราะขายดีที่สุดในร้าน น้าเลยตั้งชื่อนี้ให้ เรียกมันว่าเจ้ามิสุก็ได้’

ส่วนเจ้ามิสุนั้นหล่อนเคยพบอยู่บ่อยๆ ช่วงเช้ามันจะเดินเล่นอยู่ในร้าน ส่วนช่วงบ่ายคุณพรพรรณจะนำมันออกมาเดินเล่นข้างนอก สายรุ้งมักจะเข้าไปซื้อขนมตอนช่วงเช้า พอเห็นมันก็อดไม่ได้ที่จะอุ้มมันแนบอก

‘รุ้งอยากเลี้ยงแมวบ้างจัง’

‘ก็เลี้ยงสิคะ เลี้ยงไม่ยากหรอกค่ะ...มันเป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดีเลยละ’

คุณพรพรรณไม่ได้แต่งงาน จึงยึดเอาเจ้าทิรามิสุเป็นเพื่อนมาตลอด

‘อยากเลี้ยงสิคะ แต่คุณพ่อไม่ให้เลี้ยงค่ะ’

บิดาของหล่อนไม่ใช่คนรักสัตว์ แม้จะเป็นสุนัขหรือแมวที่แสนน่ารักแสนรู้เพียงใด ท่านก็ไม่รู้สึกเอ็นดูเลยแม้แต่นิดเดียว

‘ไม่ได้...ยังไงก็ไม่ได้ ขืนเลี้ยงมันไว้ขนก็ร่วงเต็มบ้าน พ่อรำคาญเสียงมันด้วย วันดีคืนดีเกิดมันร้องขึ้นมากลางดึกก็ไม่ได้นอนกันพอดี!’

เพียงครั้งเดียวที่หล่อนขอ ได้รับคำตอบเช่นนั้นหล่อนก็ไม่คิดจะขออีก บิดาของหล่อนไม่ชอบให้ใครเซ้าซี้และคำพูดของท่านถือเป็นเด็ดขาด ไม่ก็คือไม่ ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงไม่เคยพูดเรื่องนี้อีกเลย

ทว่า...ความหวังของหล่อนกลับจุดประกายขึ้นมาในใจอีกครั้งเพราะเขา

‘บ้านนี้เป็นบ้านของเรา รุ้งอยากจะทำอะไร รุ้งมีสิทธิ์เต็มที่เลย’ พนมกรเอ่ยขณะพาหล่อนเดินชมเรือนหอ ‘จะเลี้ยวแมว เลี้ยงหมา เลี้ยงกระต่ายกี่ตัวก็ได้ พี่ไม่ขัดข้องเลยจ้ะ’

พนมกรทำให้หล่อนวาดหวังถึงบ้านอันแสนอบอุ่น บ้านที่มีแต่ความรัก มีแต่เสียงหัวเราะและความสุข

หล่อนมักจะคิดถึงแต่สิ่งเหล่านี้เมื่อยามอยู่กับเขา...รอยยิ้มที่ระบายบนริมฝีปากชะงักทันควัน เมื่อสองตากระทบเข้ากับรถคุ้นตา...รถของพนมกร

ไวเท่าความคิด สายรุ้งเดินกลับมาที่โต๊ะ ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือแล้วกดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ

รอไม่นาน เขาก็กดรับ

“ครับรุ้ง”

“พี่กรมาหารุ้งเหรอคะ มานานหรือยัง คุณพ่อเห็นหรือเปล่าคะ”

“ยังจ้ะ” เขาเค้นเสียงหัวเราะพลางตอบ “กลัวคุณพ่อเห็นมากหรือคะ”

“กลัวคุณพ่อโกรธพี่กรมากกว่าค่ะ”

“ก็พี่คิดถึงรุ้ง อยากเจอหน้านี่คะ...ลงมาหาพี่หน่อยได้ไหม ขอเวลาไม่เกินห้านาที”

สายรุ้งหันไปมองนาฬิกา...เวลานี้บิดาของหล่อนน่าจะพักสายตาอยู่ที่ห้องพักวีไอพี หากลงไปพบเขาตอนนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไร

“ได้ค่ะ เดี๋ยวรุ้งจะรีบลงไปตอนนี้เลย”



ประตูกระจกด้านหน้าตึกเปิดออกพร้อมกับเรือนร่างเล็กของสายรุ้งก้าวฉับๆ เกือบเป็นวิ่ง สองตาหล่อนเหลือบมองบีเอ็มดับเบิ้ลยูซีรี่ส์สี่ซึ่งจอดอยู่ตรงมุมอาคารฝั่งตรงข้าม เลยจากร้านเบเกอรี่ของคุณพรพรรณไปไม่ไกลนัก

รถแล่นฉิวผ่านหน้าตึกไปคันแล้วคันเล่า เวลานี้รถไม่เยอะเท่าไร คนขับจึงมักจะขับด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติ

ฝั่งตรงข้ามคุณพรพรรณปล่อยเจ้าทีรามิสุให้เดินเล่น มันเดินดมอะไรบางอย่างอยู่ริมฟุตปาธ หากเพียงชั่วพริบตา มันกลับกระโจนมากลางถนน สองมือตะปบอะไรสักอย่าง...รถคันหนึ่งแล่นสวนมา ด้วยความเร็วแบบที่ทำให้สายรุ้งต้องตะโกนเรียก

“มิสุ!”

ไม่มีทีท่าว่ามันจะหนี รถคันนั้นก็ไม่ชะลอความเร็ว

ไม่มีเวลาคิด หล่อนวิ่งหน้าตั้งไปอุ้มมันขึ้นมา กอดมันไว้ในอ้อมอก

เสียงแตะดังยาวจนแสบแก้วหู หากสมองของหล่อนไม่สั่งการเสียแล้ว ขาทั้งสองตรึงแน่น สองตาพร่ามัว กายสั่นสะท้าน

ในเสี้ยววินาทีของความเป็นความตาย...หล่อนคิดว่าคงเป็นวันสุดท้ายที่หล่อนจะมีชีวิตอยู่

ในเสี้ยววินาทีนั้น สายรุ้งรับรู้ถึงแรงกระแทก ตามมาด้วยเสียงโครม!

หล่อนยังไม่หมดสติ จึงรับรู้ว่ามีใครคนหนึ่งกระแทกหล่อน ก่อนที่หล่อนจะล้มลงศีรษะกระแทกพื้น มึนงงไปชั่วขณะ

ใครนะ...ใครกัน

คำถามดังอึงอลอยู่ในหัว ขณะรอบกายมีเสียงกรีดร้อง เสียงตะโกนโหวกเหวก

หนึ่งในเสียงนั้น หล่อนจำได้ดี

“รุ้ง! เร็ว! เรียกรถพยาบาล! เร็วเข้า! ใครก็ได้ เรียกรถพยาบาลที!”

ไม่ใช่เสียงของพนมกร แต่เป็นเสียงบิดาของหล่อนเอง



เรื่องนี้ยาวมากกก คิดว่าคงส่งเลตกว่าที่กำหนดก่อนหน้านี้ค่ะ

รอกันหน่อยโนะ...อีดนิดเดียว คนเขียนก็สู้ๆ เหมือนกัน...เลี้ยงลูกไปด้วย เขียนไปด้วย >__<

เลื่อนปิดจองเป็น 31 ธันวา จัดส่งหลัง 12 มกราคมนะคะ



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ธ.ค. 2559, 08:24:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ธ.ค. 2559, 08:24:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1052





<< บทที่ ๑๑ {แผนการขั้นสุดท้าย ๒} ๒   บทที่ ๑๒ - รอยหวานซ่านทรวงใน ๑ >>
Zephyr 27 ธ.ค. 2559, 18:44:00 น.
ทุ่มทุนนะพี่กร เอ คงไม่ได้วางแผนนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account