ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 8 : ปั่นป่วน

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านสีขาวบางเบาเข้ามาภายในห้องนอนกว้างสีครีมนวลตา บนเตียงกว้างชนิดสั่งทำพิเศษยามนี้มีร่างสองร่างนอนนิ่งแนบเคียงข้างกันอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมารับแสงแรกแห่งอรุณสางที่พาดผ่านร่าง

ตะวันคล้อยผ่านค่อนสาย ร่างผ่องนวลจึงเริ่มเคลื่อนไหวขยับกายแต่เพียงน้อย ต่อเมื่อสติค่อยๆ คืนกลับมา ดวงตาคู่งามคมปลาบจึงเริ่มสอดส่ายไปรอบห้อง มองหาความคุ้นเคยเดิมๆ ที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำหลังลืมตาตื่นในทุกๆ เช้า ทว่าวันนี้ทุกสิ่งรอบกายกลับไม่เหมือนเดิม สรรพสิ่งล้วนแปลกตาไปเสียทั้งสิ้น ก็แล้วที่นี่มันคือที่ไหนกัน “ไม่ใช่แน่” ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนอันคุ้นเคยในบ้านหลังน้อยที่เธออาศัยอยู่มานานนับสิบปีอย่างแน่นอน แล้วยังหมอนข้างอุ่นๆ ที่อยู่ข้างใต้ตัวเธอนี่อีก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนอนกอดสิ่งมีชีวิตไม่มีผิด

ไวพอๆ กับความคิด การะเกดสะดุ้งสุดตัวลุกพรวดขึ้นเหลียวมองสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนกว้างอีกครั้ง โดยเฉพาะหมอนข้างอุ่นๆ ที่เธอกำลังอิงแอบอย่างแนบสนิทอยู่ใต้ร่าง นัยน์ตาพลันเบิกกว้างจ้องค้างกับภาพของบุรุษหนุ่มที่เวลานี้กำลังนอนหลับอย่างบรมสุขไม่รู้ร้อนรู้หนาว ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเผยช่วงอกกว้างล่ำสัน ส่วนท่อนล่างมีเพียงกางเกงนอนตัวเดียวปกปิดกาย สังหรณ์ใจรุนแรงพลันจู่โจมอย่างปัจจุบันทันด่วน ร่างน้อยก้มลงสำรวจร่างกายของตนเองแล้วใจหายวาบ เกิดอาการตาลายคล้ายจะเป็นลม ขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งร่าง

“อ๊ะ! อ๊าย...”

เสียงหวีดร้องยาวเหยียดที่ปลุกบุรุษรูปงามเจ้าของร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับนิทรารมณ์บรมสุขดังขึ้นห่างออกไปจากข้างกายเขาไม่เกินสองคืบ พีรพัฒน์ถึงกับสะดุ้งดีดตัวขึ้นมาเมื่อคลื่นพลังเสียงอันสุดแสนจะแสบแก้วหูหวีดร้องเสียจนไม่อาจนอนมองนิ่งๆ ดังเดิมได้ เมื่อเจ้าของร่างน้อยที่เขานอนกกกอดแลกไออุ่นมาจนตลอดทั้งคืน ตอนนี้ลุกขึ้นยืนจังก้าอยู่กลางเตียงนอนกว้างและเอาแต่หวีดร้องสุดเสียง ทั้งต่อเนื่องและยาวนาน

ร่างเล็กของแม่สาวน้อยการะเกดสั่นเทาราวลูกนก เกือบจะทั้งร่างถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้านวมหนา มือเล็กๆ กอบกุมผ้าผืนโตเอาไว้จนแน่นราวกับเกรงว่าถ้าใครเผลอสะกิดมันเข้าแม้เพียงนิด แล้วมันจะร่วงผลอยหลุดร่วงติดมือนั้นไปก็ไม่ปาน พีรพัฒน์เพ่งมองอากัปกิริยาของหญิงสาวแล้วให้ต้องยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี นึกรู้ขึ้นมาทันทีว่าเพราะอะไรแม่สาวจอมโวยจึงตกอยู่ในอาการเช่นนี้

จินตนาการของเขาพลันไพล่นึกไปถึงภาพอันติดตาตรึงใจอย่างชนิดมิรู้เลือน ร่างเปล่าเปลือยภายใต้ผ้าห่มหนาผืนนั้น ผิวผ่องพรรณเป็นนวลใย เอวองค์อรชร บอบบางทว่าสมส่วนและเต็มตึง ทั้งสวยงามและยวนยั่วราวกับภาพวาดของจิตรกรรมเอง ทำเอาพีรพัฒน์ถึงกับตะลึงมองจนแทบไม่อยากละสายตา

พีรพัฒน์จดจำได้มั่นในทุกรายละเอียดบนร่างสวยนวลผ่อง และกลมกลึงของหญิงสาวตรงหน้า สัมผัสของผิวเนื้อเนียนนุ่มยังคงตรึงอยู่ที่ปลายประสาทมิจาง อาการกระสับกระส่ายของร่างน้อยยามปราศจากสติสัมปชัญญะ ช่างเย้ายวนยั่วอารมณ์หนุ่มเสียจนพีรพัฒน์เกือบจะห้ามใจไว้ไม่อยู่ ทว่าอุณหภูมิร่างกายที่ค่อยๆ ถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ของเจ้าหล่อนกลับแทรกเข้ามาและดึงความสนใจของเขาไปเสียสิ้น จนในท้ายที่สุดพีรพัฒน์ต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อบรรเทาอาการ และช่วยให้หญิงสาวนอนหลับได้สบายขึ้น ดังนั้นปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ป่วยให้พ้นจากการการทรมานจึงเริ่มขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน

แรกที่เห็น ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่า เรือนร่างเล็กบอบบางที่ดูเพียงเผินๆ แล้วคล้ายจะเป็นเพียงเด็กสาวแรกรุ่น ทว่าสิ่งที่เขาได้ประจักษ์แก่สายตาเขาตัวเองนั้น คือบทพิสูจน์ว่าสิ่งที่เห็นแต่เพียงภายนอกไม่จำเป็นต้องเหมือนกับสิ่งที่คิดเสมอไป ตัวอย่างเช่นแม่สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้นี่ประไร ไม่ว่าเขาจะมองมุมใด เป็นให้ต้องตะลึงลานไปเสียทุกแห่งทุกที่ เรือนร่างงามสคราญในยามหลับใหลช่างเย้าตายวนใจไปเสียทุกสัดส่วน ปากคอคิ้วคางหรือก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา น่ารักน่าเอ็นดูปราศจากคราบเงาของเด็กจอมแสบที่เขาได้เห็นในคราวแรกอย่างสิ้นเชิง

ดวงหน้าคมหวานรูปไข่เรียวเสลาพริ้มตาหลับไหลไปด้วยฤทธิ์ของยาสลบซึ่งถูกวางโดยคนสนิทของเขามาตั้งแต่ช่วงดึกของคืนวาน ร่างเล็กๆ บอบบางแบบนี้ คิดแล้วแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าหล่อนจะใจกล้า และฤทธิ์มาก ดังที่เขาได้ประสบกับตัวเองมาแล้ว ผิวอ่อนบางบนพวงแก้มผ่องใสยิ่งมองนานก็ยิ่งพาให้เขาอดใจไม่อยู่ แอบไล้แตะ และเชยชมโดยประทับจุมพิตแผ่วเบาลงดวงหน้างามชวนหลงใหลไปหลายต่อหลายรอบตลอดช่วงราตรีที่ผ่านมา จนแม้แต่เวลานี้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายนุ่มนวลยังคงติดตรึงอยู่ที่ปลายจมูกเขามิได้เจือจางลงไปเลย

ดีอยู่หรอกที่ตัวเขามิใช่ชายโฉดประเภทที่ชอบกระทำการล่วงเกินสตรีเพศในยามที่เจ้าตัวกำลังหลับใหลไร้สติ ดังนั้นเมื่อความรู้สึกแปลกๆ เริ่มก่อตัวขึ้นที่ภายใน เขาจึงได้แต่ทำใจเก็บกลั้นอารมณ์หนุ่มมิให้ล่วงล้ำก้ำเกินเธอลงไป เกือบจะตลอดคืนเขาจึงต้องอดทนนั่งนิ่งจ้องมองแม่สาวร่างเล็กทว่าแสนร้ายนอนหลับตาพริ้มมิรู้เรื่องรู้ราวอยู่เงียบๆ เป็นนานสองนาน ขอแค่ได้กอดบ้างหอมบ้างตามแต่ใจตัวเองประสาคนเอาแต่ใจ แค่นั้นพีรพัฒน์ก็พอใจแล้ว

“ก... แก... แกทำอะไรฉัน” เสียงกรีดร้องหยุดลงแล้วตามมาด้วยอาการละล่ำละลักถามของแม่สาวน้อยนามการะเกด มือบางยังคงกอบกุมผ้าซึ่งห่อหุ้มร่างของตนไว้อย่างเหนียวแน่น

“เอ้า! อะไรกัน ตื่นมาก็อาละวาดใส่กันเลยหรือแม่คุณ” พีรพัฒน์ ยันร่างหนาลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะคว้าโอบร่างคนตัวเล็กที่ยืนค้ำศีรษะเขาอยู่ให้ต้องทรุดกายลงนั่งทับบนตัก ลำแขนแข็งแรงโอบตรึงร่างน้อยไว้เต็มวงแขน แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินความสามารถ

“อ๊าย... ไอ้บ้า มากอดฉันไว้ทำไม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ บอกว่าให้ปล่อย ไอ้ทุเรศ ชอบรังแกผู้หญิง ปล่อยสิโว้ย...”

ร่างเล็กร้องเสียงหลง เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายลั่นห้อง มือน้อยที่กอบกุมผ้าห่มไว้เมื่อแรกทุบรัวไปที่แผงออกกว้าง สุดแรงอย่างลืมตัว ลืมหมดซึ่งความอาย สิ้นไร้ความหวาดกลัวหรือหวั่นเกรงดั่งเมื่อแรกที่ลืมตาตื่น

“เอ้าร้องเข้า! เดี๋ยวชาวบ้านชาวช่องเขาก็ตกใจกันหมดหรอกว่าผัวเมียคู่นี้มันเล่นอะไรกันแต่เช้า” เจ้าของร่างหนาจงใจเปิดฉากยั่ว จากนั้นก็แกล้งแทะเล็มแตะริมฝีปากลงบนไหล่ลาดเนียน สุดท้ายแม้แต่ตัวเขาเองยังแทบจะคุมอารมณ์เพริดเอาไว้ไม่อยู่

“คนสารเลว เอาเปรียบ รังแกผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ ฉันเกลียดแก ได้ยินไหม ฉันเกลียดแก” การะเกดหลับหูหลับตาปัดป้อง ร้องตะโกนโวยวายด่าลั่น พยายามจะเอาตัวรอดอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

“เกิดบ้าอะไรขึ้นมาละเนี่ย ทีเมื่อคืนละไม่เห็นจะร้องโวยวายปฏิเสธแบบนี้เลย ตอนนี้เกิดอยากจะเรียกร้องความสนใจขึ้นมาหรือไงแม่คุณ” หนุ่มปากจัดแกล้งว่าเหน็บทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นหาได้มีความจริงแม้แต่น้อย

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ไอคนเลว แก... แกมันไอ้หมาบ้า แก.....” เจ้าของร่างผ่องนวล ร้องด่าปาวๆ โกรธจนมือไม้ปากคอสั่น

“หุบปากไปเลยนะ หยุดโวยวาย แล้วก็หยุดดิ้นหยุดทุบตีผัวตัวเองได้แล้ว ผมเจ็บนะ”

พีรพัฒน์จงใจยั่วอารมณ์หญิงสาวบนตัก แค่คำที่ชายหนุ่มจงใจเรียกบอกสถานภาพของตัวเอง ก็กับทำให้สาวเจ้าโกรธจัดจนหูอื้อตาลายไปหมดแล้ว การะเกดขยับร่างเตรียมจะประทุษร้ายร่างหนาอีกรอบ แต่หนนี้กลับทำอะไรได้ไม่ถนัด เพราะติดที่ตนตกอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของคนตัวโตซึ่งจงใจรัดร่างของเธอเอาไว้จนแน่น แม้แต่หายใจยังแทบจะไม่ออก

“ไอ้เลว นายว่าใครเป็นเมียนาย หา! ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยสิ ปล่อย บอกว่าให้ปล่อยไงเล่าปล่อย!” การะเกดทุ่มแรงแผลงฤทธิ์สุดตัว ทั้งดิ้นทั้งผลัก ทำเอาพีรพัฒน์ต้องออกแรงตรึงร่างเล็กเอาไว้จนหอบแฮ่ก ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมคลายวงแขนอยู่ดี มิหนำซ้ำยังจงใจรัดร่างบางเอาไว้จนแน่นเสียยิ่งกว่าเดิม

“จะหยุดหรือไม่หยุด ถ้าไม่หยุด ฉันจะได้ปล้ำเธอเสียอีกรอบทั้งที่ตะวันยังโด่งคาตาอย่างนี้นี่แหละ อย่างลองไหม” การะเกดที่ทั้งดิ้นทั้งร้อง ทั้งแหกปากตะโกนลั่นอย่างไม่มีเบรกเกิดอาการตกใจจนชะงักกึก ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ดิ้นไม่ร้องไม่โวยวายอีกต่อไป

“เฮ้อ! ค่อยยังชั่วหน่อย เป็นผู้หญิงน่ะ เขาต้องอ่อนหวาน ไหนๆ เราก็นอนร่วมเตียงกันมาทั้งคืนแล้ว เกิดจะมาฤทธิ์มากเอาตอนเช้า แบบนี้มันเข้าท่าหรอกนะคุณ”

เจ้าของร่างหนาเปรยยั่วอย่างสบอารมณ์ นึกดีใจที่ไม้นี้ของเขา หยุดอาการทำฤทธิ์ทำเดชของหญิงสาวได้ชะงัดนัก

อาการสั่นสะท้านของร่างบางในอ้อมอกค่อยๆ เพิ่มระดับความแรงขึ้นจนกลายเป็นสั่น มันคืออาการโกรธที่เจ้าตัวพยายามจะสะกดเอาจนอกแทบระเบิด

“อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะคุณ ตัวสั่นเป็นลูกนกอย่างนี้ อย่าบอกนะว่าคุณกำลังกลัวผม”

การะเกดไม่ตอบ มีเพียงรอยสั่นสะท้านกับหยดน้ำใสๆ ที่เริ่มรินหยดรดลงบนอกกว้าง

“นี่... คุณกำลังร้องไห้เหรอ อะไรกัน ทีเมื่อกี้ยังทำเก่งตะโกนด่าผมปาวๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดอยากจะร้องไห้ขึ้นมา” เจ้าของอกก้มลงมองศีรษะเล็กอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง จากนั้นจึงพยายามปลอบใจเจ้าหล่อนด้วยคำพูดที่คิดว่าดีที่สุดเท่าที่เจ้าตัวจะคิดออก “ไม่เอาน่า! สมัยนี้ไม่มีใครเขามานั่งร้องไห้เสียใจกับเรื่องแบบนี้กันแล้ว”

ร่างน้อยยังคงนิ่งเงียบคล้ายกำลังฟัง แรงสั่นสะท้านค่อยๆ ลดลงเป็นลำดับ พีรพัฒน์เริ่มใจชื้น แล้วพูดต่อ

“ผู้หญิงกับผู้ชายที่นอนเตียงเดียวกันในที่รโหฐานแบบนี้ ไม่ต้องบอกเธอก็คงจะรู้ว่าตอนนี้เราสองคนเป็นอะไรกัน อีกอย่างเมื่อคืนฉันก็ไม่เห็นว่าเธอจะเอะอะโวยอะไรเลย คนเป็นผัวกันเมียกัน เขาต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันสิ ไม่พอใจอะไรก็ควรจะบอกกันดีๆ ไม่ใช่ว่าตื่นมาแล้วก็เอาแต่ร้องโวยวายอาละวาดแบบนี้ จริงไหม”

พีรพัฒน์พร่ำพูด ทว่าหญิงสาวยังคงเงียบกริบ

“อ้าวแล้วทำไมยังเอาแต่เงียบอยู่อีก ไหนเธอลองตอบให้ฉันฟังหน่อยซิ ว่าในฐานะเมีย เธอควรจะปฏิบัติตัวกับฉันยังไง”

พีรพัฒน์นึกย่ามใจเจาะจงพูดยั่วสร้างสถานะการณ์ให้หญิงสาวเข้าใจผิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม คางสากระคายเกยวางลงบนไหล่ลาดมน ประทับจูบแผ่วเบาลงบนผิวเรียบเนียนกระจ่างตา เพลิดเลินกับกรจงใจยั่วเย้าและหยอกเอิน

‘เป็นไงเล่าแม่ตัวร้าย ถึงนิ่งอึ้งเถียงไม่ออกไปเลย สะใจนัก เล่นกับใครไม่เล่น ริอ่านมาเล่นกันนายพีรพัฒน์ ก็ต้องเจอบทเรียนแสบๆ แบบนี้นี่แหละ'

“ทำไมไม่ตอบ หรือว่ามัวแต่อึ้งอยู่”

พีรพัฒน์ตั้งใจจะยั่วต่อ ทว่าความประหลาดใจก็เข้าจู่โจมอย่างเฉียบพลันเมื่อรู้สึกว่าคนฤทธิ์เยอะชักจะนิ่งไปนานจนเกินเหตุ และทันทีที่คลายวงแขนออกร่างนวลเนียนที่เมื่อครู่ก่อนยังคงแข็งขืนกลับเอนพับอิงแอบลงมาแนบอก ด้วยอาการคอพับคออ่อนอย่างคนที่เพิ่งจะหมดสติลงไปกระทันหัน

“นี่! เธอ อย่ามาแกล้งเป็นลมแถวนี้นะ ตื่นสิ บอกว่าให้ตื่น นี่! เธอ โธ่โว้ย! ทำไงดีวะนี่...”

พีรพัฒน์หน้าตาตื่นจับร่างบางเขย่าพร้อมกับตบแก้มนวลเบาๆ พยายามจะเรียกสติของหญิงสาวให้กลับคืนมา ทว่าก็ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดก็จับเธอนอนราบลงไปบนที่นอนนุ่ม แล้วจัดท่าจัดทางให้ร่างบางได้นอนได้อย่างสบายที่สุด ไล่ลำดับเหตุการณ์และความคิดอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี ความรู้สึกผิดแล่นเป็นริ้วๆ ขึ้นมาจนล้นอก

ร่างสูงหันรีหันขวางแล้วตรงไปรื้อข้าวของตามตู้ตามชั้นต่างๆ ให้วุ่นวาย มือหนาไล่ควานหาหยูกยาเท่าที่พอจะนึกออกว่าน่าจะเคยมีหรือซุกซ่อนอยู่ตรงมุมไหน หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะพอสามารถแก้ไขหรือบรรเทาสถานะการณ์ตอนนี้ลงไปได้บ้าง แต่ก็ต้องขัดใจเมื่อหยิบจับค้นหาอะไรไม่เจอสักอย่าง นึกโกรธตัวเองที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะเจ็บป่วยถึงขั้นต้องพึ่งยา เมื่อถึงคราวคับคับของใช้จำเป็นประเภทยาสามัญประจำบ้านจึงไม่มีอยู่ในห้องของเขา พอรู้แน่ว่าหมดหวัง พีรพัฒน์จึงตั้งสติแล้วตรงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหานัทธีธรผู้เป็นหนึ่งในสหายสนิท แล้วบอกให้เพื่อนรีบมาที่คอนโดฯ ของตนทันที

เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากวางสาย คุณหมอหนุ่มอารมณ์ดีจึงปรากฏกายขึ้นพร้อมด้วยคำทักทายอย่างเป็นกันเองยังหน้าประตู

“ว่าไงวะไอ้พี มีอะไรให้รับใช้ ถึงได้แหกขี้ตาโทรไปตามฉันมาตั้งแต่เช้าแบบนี้” นัทธีธรร้องถามอย่างเป็นกันเอง ตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้ามาภายในห้อง

“เออน่ะ! เงียบๆ เหอะ แล้วก็รีบตามมา อีกเดี๋ยวก็รู้เองนั่นล่ะ” พีรพัฒน์บอกแล้วเดินนำไม่รีรอ ทำเอาหมอหนุ่มถึงกับทำหน้างงกับความเร่งรีบของเพื่อนรัก

พอก้าวผ่านประตูห้องเข้าไป นัทธีธรถึงกับอ้าปากค้าง เป็นอันว่าบัดนี้คำตอบได้ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

“เฮ๊ย! นี่มันผู้หญิงนี่หว่า แกไปคว้าสาวที่ไหนมาวะไอ้พี แล้วนี่เล่นกันหนักจนถึงขั้นสลบไปเลยเหรอ” นัทธีธรถามลั่นเพราะความตระหนก ความสงสัยประดังประเด ขณะเดียวกันก็ก้มมองร่างเล็กที่นอนจมอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วเริ่มลงมือตรวจตามขั้นตอนกระบวนการที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างจริงจัง โดยมีพีรพัฒน์ยืนมองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่อาจปกปิด

“สวยไม่เลวเลยนี่หว่า ว่าไงไอ้เสือ! คราวนี้ แกจะบอกฉันได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น” นัทธีธรเก็บเครื่องไม้เครื่องมือหลังเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจ แล้วหันมาสอบสวนพีรพัฒน์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เธอเป็นยังไงบ้าง” พีรพัฒน์ไม่ตอบแต่กลับถามถึงอาการของเธออย่างร้อนรน

“ตอนนี้ยังไม่เป็นไรมากหรอก คงจะเครียดมากไปก็เลยเป็นลม ฉันฉีดยาคลายเครียดให้แล้ว ปล่อยให้เธอนอนพักไปก่อน อีกสักพักพอตื่น เธอคงจะพอดีขึ้นบ้าง แต่ฉันแนะนำว่าแกควรจะพาเธอไปตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลสักครั้ง เพราะถึงขนาดเครียดจนเป็นลมคาเตียงแบบนี้นี่ฉันว่ามันก็แปลกๆ” คุณหมอเพื่อนรักแถลงอาการของคนป่วยด้วยคำพูดที่ฟังดูแปลกๆ มิหนำซ้ำแววตายังเต็มไปด้วยคำถาม

“หมายความว่ายังไง ทำไมถึงต้องไปตรวจเพิ่มที่โรงพยาบาล” พีรพัฒน์มิได้สนใจในปฏิกิริยาอาการของเพื่อน รัก เพราะมัวแต่กังวลใจอยู่กับอาการของหญิงสาวจนสองคิ้วขมวดมุ่น

“ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ดูๆ อาการแบบนี้มันมีลักษณะบ่งชี้ว่าจะเธออาจจะเป็นโรคหัวใจ ฉันถึงได้บอกว่าเธอควรจะไปตรวจให้ละเอียดอีกรอบ ตกลงว่าแกจะเล่าให้ฉันฟังได้หรือยัง เรื่องมันเป็นไงมาไงกัน ทำไมเธอถึงได้มาสลบอยู่บนเตียงแกแบบนี้”

นัทธีธรไม่รีรอถามตรงเข้าประเด็น พร้อมกับเดินตรงไปยังระเบียงแล้วเปิดประตูออกรับลมเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก จากนั้นก็เดินนำเพื่อนออกไปยังห้องนั่งเล่นด้านนอก ปล่อยให้หญิงสาวได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ปราศจากเสียงรบกวน

“ก็... ไม่มีอะไรหรอก แค่เด็กแสบๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง” คนถูกถามตอบแบบเลี่ยงๆ พร้อมกับเดินตามเพื่อนต้อยๆ

“เด็ก? เด็กสาวละสิไม่ว่า แถมยังสวยสะเด็ดอีกต่างหาก แกบอกฉันมาตามตรงดีกว่า ว่าแกไปเก็บเธอมาจากที่ไหน แล้วทำไมแกถึงปล่อยให้มานอนอยู่ที่นี่ได้”

นัทธีธรชะงักกึกหันกลับเค้นถามอย่างเอาเป็นเอาตาย พีรพัฒน์รู้สึกอึดอัดจนเกิดอาการอ้ำอึ้ง ทว่าสุดท้ายก็ยอมเล่าไปตามจริง รู้อยู่หรอกว่าถึงยังไงนัทธีธรต้องสอบสวนเขาชนิดไม่ยอมเลิกราเป็นแน่

“เธอชื่อการะเกด บ้านอยู่แถวๆ ด้านหลังคอนโดฯ นี่แหละ วันก่อนฉันเจอหล่อนโดยบังเอิญ แล้วหล่อนก็เป็นต้นเหตุให้ฉันไปเข้าประชุมสาย... ก็เลยเกิดอยากจะแกล้ง แล้วก็ให้คนไปเอาตัวเธอมา ก็แค่นั้น... ”

“แค่นั้น? เนี่ยนะที่แกบอกว่าแค่นั้น หาคุกแล้วไหมล่ะแก เด็กตัวแค่นี้ บรรลุนิติภาวะหรือยังก็ไม่รู้ เกิดพ่อแม่เขาเอาเรื่องขึ้นมา แกจะทำยังไงหา ไอ้พี!” นัทธีธรถึงกับของขึ้น เดือดร้อนแทนคนถูกแกล้งที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ

“ก็ไม่เห็นต้องทำไง ก็แค่โยนเงินให้สักก้อน ได้เงินไปขี้คร้านจะเงียบ” พีรพัฒน์ตอบกลับแบบไม่ยี่หระ ทั้งที่ในใจคิดตรงกันข้าม

หมอหนุ่มเกิดอาการฉุนกึกทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเพื่อนรัก “นี่แกหัดเป็นคนดูดูกคนตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะไอ้พี”

“เฮ้ย! พูดแค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยวะ ก็แกถาม ฉันก็ตอบ ฉันแค่อยากจะแกล้งยายเด็กนั่นจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เป็นลมเป็นแล้งไปเสียหน่อย ใครจะไปคิดว่าเด็กนั่นจะเกิดมาเป็นลมเป็นแล้งไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้”

คนก่อเรื่องเถียงแบบข้างๆ คูๆ ก่อนจะพาร่างสูงมานั่งกุมขมับอยู่บนโซฟาตัวโปรด นัทธีธรเห็นท่าทางของเพื่อนแล้วก็ดูออก ทั้งยังเข้าใจในความกังวลของเพื่อนรักที่มีต่อหญิงสาวในห้อง ทว่าก็ยังไม่วายหมั่นไส้ ก็มันน่าไหมละนั่น อยู่ดีไม่ว่าดี จู่ๆ ไปหาเรื่องแกล้งเด็ก จนสุดท้ายก็เข้าตัว เพราะถ้าเป็นเด็กจริงก็คงไม่เป็นไร แต่นี่หล่อนเป็นเด็กสาว แถมยังสวยมากอีกต่างหาก มาจนถึงขั้นนี้เกรงว่าเรื่องมันจะไม่เล็กน้อยอย่างที่เพื่อนรักว่าน่ะสิ

“แล้วนี่แกจะเอาไงต่อ” นัทธีธรถามขึ้นหลังจากที่พากันเงียบไปได้พักใหญ่

“ก็ไม่ทำไง เดี๋ยวพอตื่นค่อยให้คนพาไปส่งที่บ้าน” คนต้นเรื่องตอบแบบกำปั้นทุบดิน ง่ายเสียจนคนฟังสะอึกแทบจะร่วงผลอยตกจากเก้าอี้

“ส่งบ้าน? แกพาลูกสาวเขาหายมาทั้งคืน แล้วบอกว่าจะพาไปส่งบ้าน” นัทธีธรร้องถามเสียงหลง แล้วออกความเห็นต่ออย่างชวนให้หวาดเสียว “ง่ายๆ แบบนี้เลยเนี่ยนะ พ่อแม่เค้าจะได้ลากปืนมาไล่ยิงคนของแกไส้แตกประไร”

“ก็แล้วจะให้ทำไง เด็กนั่นรนหาที่มามีเรื่องกันฉันเองนี่หว่า ฉันไปหาเรื่องเค้าก่อนที่ไหน” หนุ่มผู้มากอิทธิพลยังคงยืนกราน อย่างไม่มีทีท่าจะยอมรับว่าคราวนี้เขาทำเกินเลยไปจริงๆ

“ฟังนะไอ้พี! เด็กนั่นไม่ได้รนหาที่ แต่ตัวแกนั่นแหละ หาเรื่องใส่ตัว เหอะ! จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ แล้วกัน ฉันชักจะสังหรณ์ใจขึ้นมาตงิดๆ ว่าเรื่องมันจะไม่ง่ายอย่างที่แกพูด ว่าแต่ แกแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไรเด็กนั่นจริงๆ อย่างที่ปากว่า” คุณหมอเพื่อนรักแค่นเสียงถาม นัยน์ตาวาวอย่างพยายามจะจับพิรุธ

“ก็เออสิวะ ฉันจะไปทำอะไรเขาได้ ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่หลับอุดตุแบบนั้น ตื่นขึ้นมาไม่เท่าไหร่ ก็ดันเป็นลมล้มพับลงไปอีก แกนี่มันหาเรื่องฉันเสียจริง” คนถูกจับผิดปฏิเสธลั่น นึกฉิวเพราะความที่เพื่อนรักไม่ไว้ใจ ตั้งคำถามคาดคั้นหมิ่นเชิงชายกันเห็นๆ

“ก็แล้วใครใช้ให้แกส่งคนไปวางยาเขาแบบนั้นเล่า” นัทธีธรพูดโพล่งในสิ่งที่รับรู้ได้นับตั้งแต่แรกตรวจอาการของเด็กสาวออกมาให้พีรพัฒน์ได้ตื่นตะลึงจนถึงกับเบิกตากว้าง

“นี่... แกรู้ได้ยังไงว่าหล่อนถูกวางยา”

“อ๊ะ! ไอ้นี่ ฉันเป็นหมอแผนปัจจุบันนะแก ไม่ใช่หมอผี แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าเด็กนั่นโดนอะไรมา”

พีรพัฒน์เกิดอาการเขินปนรู้สึกผิดจนต้องยกมือขึ้นถูข้างแก้ม ไพล่ไปจึงถึงต้นคอ จนหูตาหน้าแดงเถือกไปหมด

เฮ้อ! คุยกับแกแล้วเหนื่อยใจจริงๆ มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาแล้วกัน ฉันกลับล่ะ” นัทธีธรบอกอย่างหนักใจ แล้วบอกลาพร้อมกับลุกขึ้นคว้าสัมภาระแล้วเดินตรงไปที่ประตู

“ขอบใจมากนะเพื่อน ขับรถดีๆ ล่ะ ยังไม่ได้นอนเลยไม่ใช่เหรอ ระวังหลับในนะแก อ้อ! แล้วก็อย่าเพิ่งปิดโทรศัพท์ล่ะ เผื่อว่ามีอะไรฉันจะได้โทรหา” เจ้าของห้องร้องบอกเป็นเชิงสั่ง ราวกับว่าเพื่อนรักเป็นลูกน้องของตนก็ไม่ปาน

“รู้แล้วน่ะ! สั่งเสียจริงแกนี่ อ้อ! ก่อนจะไปส่งเด็กนั่นที่บ้าน อย่าลืมบอกให้เธอรีบไปตรวจร่างกายเสียด้วยล่ะ หรือแกจะพาเธอไปหาฉันที่โรงพยาบาลด้วยตัวเองก็ได้ รับรองจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี” นัทธีธรบอกอย่างจงใจกระเซ้าเพื่อน รักเมื่อเห็นถึงสีหน้าอาการที่แสดงออกมาถึงความวิตกกังวลในตัวหญิงสาวของเพื่อนหนุ่มอย่างชัดแจ้ง

การแสดงออกของพีรพัฒน์ทำให้นัทธีธรอดที่จะนึกแปลกใจขึ้นมามิได้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยมีสักครั้งที่พีรพัฒน์จะแสดงท่างกลัดกลุ้มหรือวิตกกับสิ่งใด เท่ากับครั้งนี้

‘หรือว่า ‘กามเทพ’ กำลังเล่นตลกแผลงศรรักปักกลางอกหนุ่มหล่อโสดสนิทแถมใจหิน เจ้าของฉายา ‘เจ้าพ่อหนุ่มไร้หัวใจ’ อย่างเพื่อนรักของเขาคนนี้เข้าให้เสียแล้ว’

---------------------------------------------------------

พีรพัฒน์กลับเข้ามาในห้องของตัวเองอีกครั้งเพื่อจัดการอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าตนเสียใหม่ ก่อนจะมานั่งลงตรงข้างเตียง รอเวลาตื่นของหญิงสาวที่ยังคงหลับไหลไม่ได้สติอยู่ตรงบนเตียงกว้างของเขาอย่างอดทน คำบอกของเพื่อนยังคงก้องอยู่ในโสต สมองของเขาเฝ้าแต่วนเวียนคิดถึงคำพูดทุกคำที่เพื่อนรักได้ฝากเอาไว้ให้คิด

‘ฉันฉีดยาคลายเครียดให้เธอไปแล้ว มันจะช่วยให้เธอผ่อนคลายจากความวิตกกังวล แล้วก็หลับสบายมากขึ้น คงอีกสักพัก ราวๆ สักสามสี่ชั่วโมงนั่นล่ะกว่าเธอจะตื่น ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะเป็นอะไรไปในตอนนี้ ถ้าจะห่วง น่าจะเป็นหลังจากที่แกพาเธอไปส่งบ้านแล้วมากกว่า แกควรจะคิดให้ถ้วนถี่ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป ลองสมมติว่าถ้าเป็นตัวแก เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วแกจะเป็นยังไง ไม่ใช่เฉพาะแต่เด็กนั่นหรอกนะที่ต้องทุกข์ใจ ยังมีคนอื่นๆ อีกที่ต้องมารับผลกับความโกรธเพียงชั่ววูบของแก พ่อแม่ของแกก็คงจะเสียใจไม่น้อยที่จู่ลูกสาวต้องมาเสียชื่อ เสียเสียงแบบนี้ อย่าลืมสิ ลูกใคร ใครเค้าก็รัก’

คำพูดของนัทธีธร ทำให้พีรพัฒน์ต้องกลับมานั่งทบทวนอย่างหนัก เขาคงทำเกินไปจริงๆ นั่นแหละ ทั้งที่คนของเขาเองก็เคยออกปากเตือนแล้วด้วยซำ ว่าการะเกดหาใช่คนที่เขาจะมาทำอะไรแผลงๆ แบบนี้ด้วยได้ ด้วยศักดิ์ของความเป็นลูกสาวรัฐมนตรี แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้ถูกยอมรับในทางสังคม แต่ให้ยังไงลูกก็คือลูก เอาเข้าจริงๆ เกิดท่านมารู้ว่า เขาพาตัวลูกสาวของท่านมา แม้ว่าจะไม่ได้ลงมือทำอะไรเธออย่างที่ปากว่าก็ตาม มีหรือที่ท่านจะยอมนิ่งเฉย มีหวังว่าตัวเขาคงต้องพบกับศึกหนัก เผลอๆ อาจถึงขั้นตกที่นั่งลำบากเสียด้วยซ้ำ อย่างไรเสียอำนาจบารมีทางการเมืองของท่านที่สะสมมานาน ย่อมสามารถจะเอื้อมแผ่มาปกป้องลูกสาวของท่านเองอย่างไม่ต้องสงสัย

‘นี่เขาควรจะทำอย่างไรดี จะสารภาพกับเธอไปตามตรงเลยดีไหม ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาตั้งใจทำให้เธอเข้าใจผิดอีกทั้งยังปล่อยให้เธอคิดไปเองจนกระทั่งเป็นเหตุให้เธอต้องเป็นลมเป็นแล้งลงไปแบบนั้น เขาอาจจะสั่งให้คนไปพาตัวเธอมาจริง แต่ก็ไม่เคยคิดจะล่วงเกินหรือทำอะไรให้เธอต้องเสียหายเลยแม้แต่น้อย ถ้าเขาบอกกับเธอไปแบบนั้น แล้วเธอจะเชื่อเขาไหม พอจะทำให้เธอสบายใจขึ้นมาบ้างหรือเปล่า ส่วนเรื่องที่เธอหายตัวไปจนตลอดทั้งคืน ก็ไม่น่าจะหนักหนาสาหัสอะไร หากเขาจะหาข้ออ้างมาตอบกับครอบครัวของเธอพวกเขาก็น่าจะพอเข้าได้บ้างหรอก’

เวลาแต่ละนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้คำยืนยันของนัทธีธรจะช่วยให้คลายใจลงไปได้บ้าง ทว่าพีรพัฒน์ก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ ยิ่งมองนาฬิกาเข็มสั้นและเข็มยาวต่างพากันชี้บอกว่ายามนี้ได้เลยเที่ยงวันมาเป็นหลายสิบนาทีแล้ว เหตุใด จึงยังไม่มีทีท่าว่าการะเกดจะฟื้นขึ้นมาเสียที

“เฮ้อ! เมื่อไหร่จะฟื้นเสียทีล่ะเนี่ย หลอกกันหรือเปล่าวะไอ้หมอนัท” พีรพัฒน์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แถมยังบ่นงึมงำๆ จนพาลไปถึงคุณหมอนัทธีธรผู้เพื่อน

กระทั่งผ่านไปอีกพักใหญ่ๆ ร่างน้อยที่หลับไปอย่างยาวนานเพราะฤทธิ์ยาจึงค่อยขยับกายอย่างช้าๆ คงเพราะหลับอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานานๆ ทั้งร่างจึงถูกรุมเร้าด้วยอาการเมื่อยขบ เปลือกตาหนาหนักค่อยๆ เปิดขึ้นแล้วกวาดตา สำรวจไปรอบๆ ภาวนาให้สิ่งที่ติดค้างอยู่ในความทรงจำก่อนที่เธอจะหลับไปเป็นแค่ฝันร้ายที่พร้อมจะหายไปเมื่อยามที่เธอลืมตาตื่น หากแต่ภาพที่ปรากฏยังเบื้องหน้า ราวกับจะตอกย้ำความจริงที่ว่า เธอได้สูญเสียสิ่งที่มีค่ายิ่งชีวิตไปเสียแล้ว

‘สิ่งสูงค่าอันพึงสงวนและหวงแหนที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง บัดนี้ต้องมาถูกทำลายลงไป เพราะการกระทำอันเป็นผลมาจากตัวของเธอเอง มันคุ้มกันแล้วหรือกับการที่เธอต้องมาพบกับความอัปยศอดสู เพียงเพื่อชดเชยให้กับความโกรธของคนๆ หนึ่ง ควรแล้วหรือที่เธอต้องมาชดใช้ให้กับเขาดัวย พรหมจรรย์’ ของตัวเธอเอง’

คำภาวนาตลอดช่วงเวลาที่เธอหลับ คงเป็นได้แต่เพียงการหลอกตัวเอง เป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ที่รอเวลาให้เธอตื่นขึ้นมาพบกับความจริงอันโหดร้าย ที่จะคอยเฝ้าตามหลอกตามหลอนเธอนับแต่นี้ไป การะเกดพยายามประคองตนให้ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบากด้วยความมึนงงบวกกับอาการเมื่อยขบยังคงอยู่ แต่กระนั้นอาการเจ็บป่วยทางกายก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่กำลังเกาะกุมจิตใจ ทุกอิริยาบถของหญิงสาวล้วนอยู่ในสายตาของพีรพัฒน์ทั้งสิ้น

การะเกดหย่อนเท้าลงยังข้างเตียงแล้วพยายามจะลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง โดยไม่สนใจมือหนาของใครอีกคนที่ถลันเข้ามาประคองร่างเล็กของเธอไว้เพราะความเป็นห่วงเกรงว่าเธอจะหกล้มลงไปนั่นเลย

“จะไปไหนเหรอ คุณเพิ่งจะฟื้น อย่างเพิ่งรีบลุกขึ้นมาเดินเลย”

พีรพัฒน์เห็นท่าทางกระปรกกระเปรี้ยของหญิงสาวแล้วก็ให้นึกสงสาร สรรพนามที่เคยจิกเรียกการะเกดจึงเปลี่ยนเป็นให้เกียรติมากขึ้น มิใช่เพราะตระหนักว่าเธอเป็นบุตรสาวของท่านรัฐมนตรี แต่เป็นเพราะยามนี้เขานึกเอ็นดูเธอขึ้นมากกว่าเมื่อแรกนั่นต่างหาก

“ไม่ต้องมายุ่ง เอามือสกปรกของคุณออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้”

ยังไม่ทันที่พีรพัฒน์จะพูดอะไรต่อคนตัวเล็กก็เริ่มออกอาการต่อต้าน และมากขึ้นเรื่อยๆ จนอารมณ์ที่เพิ่งจะเย็นลงเขาเริ่มจะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง และชักจะอดรนทนไม่ไหว

การะเกดสะบัดแขนเร่าเพราะความรังเกียจ อีกทั้งยังพยายามจะเบี่ยงตัวหนี ทั้งที่ตัวเองยังยืนได้ไม่มั่นคงดีเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายจึงต้องทรุดลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นพรม เมื่อชายหนุ่มเกิดปล่อยมือจริงๆ ดังที่เธอสั่ง

“เป็นไงล่ะ บอกดีๆ ไม่เชื่อ เลยต้องลงไปนั่งกับพื้นหมดแบบนี้ หมดท่าเลยละสิคุณ”

คนที่พยายามจะช่วยเหลือตั้งแต่แรกอดไม่ได้ที่จะค่อนแคะ นึกหมั่นไส้ในความอวดดีของหญิงสาว พีรพัฒน์นั่งยองๆ ตามเธอลงไปจึงทันได้เห็นค้อนวงสวยของแม่สาวจอมดื้อที่แม้แต่จะยืนยังไม่ไหวแต่กลับไม่วายพยศ เรียกรอยยิ้มกว้างของชายหนุ่มออกมาเต็มที่ ทั้งที่ทั้งเอ็นดูทั้งหมั่นไส้ไปพร้อมๆ กัน

“เอ้า! ค้อนเข้า เดี๋ยวตาก็หลุดออกมานอกเบ้าหรอก” พีรพัฒน์ค่อนว่าพลาง ส่ายหน้ากับความทิฐิของเด็กขี้โมโหที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้น และไม่มีทีท่าว่าจะลุก

“หุบปากไปเลยนะ แล้วก็ถอยไปไกลๆ ด้วย ฉันจะกลับบ้าน”

ไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือบางออกแรงผลักอกเขาเสียจนเต็มแรง ทว่ามีผลก็เพียงแค่ทำให้ร่างหนาเซออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเธอไม่เพียงพอจะะทำให้พีรพัฒน์หลีกไปจนพ้นทางของเธอได้ดังคิด

“จะรีบกลับไหนล่ะคุณ บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอก อย่ากังวลไปเลยยังไงผมก็ไม่คิดจะกักตัวคุณไว้นานอยู่แล้ว ออกไปทานอะไรรองท้องก่อนดีกว่า ผมทำข้าวต้มไว้ให้ รอให้คุณตื่นขึ้นมาทานป่านนี้คงเย็นหมดแล้วละมั้ง ไปเถอะ ทานเสร็จแล้วเดี๋ยวผมจะให้คนขับรถไปส่งที่บ้าน”

แม้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ฉิวน้อยๆ แต่พีรพัฒน์ก็พยายามข่มความรู้สึก และพูดกับหญิงสาวแบบเรียบๆ ทว่าไม่ว่าเขาจะพูดกับเธออย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาเลย มิหนำซ้ำ สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับเธอขึ้นมาอีกหนึ่งระลอก

“ไม่ต้อง ฉันไม่กินอะไรทั้งนั้น ทำไม? เกิดจะกลัวความผิดขึ้นมาหรือไง ถึงได้มาทำเป็นใจดีกับฉันแบบนี้ อย่าหวังเลยว่าฉันจะยอมญาติดีด้วย เชอะ! ทุเรศ ” การะเกดปฏิเสธลั่นๆ แถมต่อว่าเขาฉอดๆ ชนิดสาดเสียเทเสีย

“นี่! มันจะมากเกินไปแล้วนะ ผมก็แค่หวังดี กลัวว่าคุณจะหิวจนเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาอีก” คนเจ้าอารมณ์ที่พยายามกักเก็บความรู้สึกโกรธ และปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดจากดีๆ มาตั้งแต่เธอลืมตาตื่น ชักจะหมดความอดทน จนคำพูดร้ายๆ เริ่มทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ไม่ต้องมาทำเป็นตบหัวแล้วลูบหลัง ใครกันล่ะ ที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ ไม่ใช่นายหรอกเหรอ ฟังให้ดีนะนายพีรพัฒน์ นายกับฉัน เราไม่เคยรู้จักกัน และนับแต่นี้ต่อไปฉันไม่มีอะไรติดค้างให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับนายอีก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ฉันจะคิดเสียว่าโดนหมาขี้เรื้อนมันกัดเอา”

การะเกดตวาดแหว ต่อว่าน้ำตาคลอ เสียงสั่นเครือเกินระงับ ถ้อยคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรยที่ว่าชายหนุ่มเป็นหมาขี้เรื้อน เล่นเอาคนฟังหน้าแดงก่ำ เลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธ ความตั้งใจเดิมที่ว่าจะขอโทษและยอมบอกความจริง หลังจากที่เธอกินข้าวเสร็จแล้วนั้น เป็นอันว่าล้มเลิกไปจนหมดสิ้น ทิฐิเข้าครอบงำทำให้ความรู้สึกอยากเอาชนะเข้ามามีมีอำนาจเหนือสำนึกในฝ่ายดีไปเสียแล้ว

“ก็ตามใจ ถ้าคิดว่าสิ่งที่คุณเสียไป มันไม่ได้สลักสำคัญอะไรสักเท่าไหร่ ดีเสียอีก ผมจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลใจ แล้วอย่ามานั่งร้องแรกแหกกระเชอเรียกร้องเอากับผมในวันหลังก็แล้วกัน” พีรพัฒน์ซัดกลับไม่ยั้งด้วยความโกรธที่พุ่งสูงจนเกือบจะถึงขีดสุด ถ้อยคำกรีดแทงสาดลึกลงไปในความรู้สึกของการะเกดจนน้ำตาที่เธอพยายามจะกักเก็บทะลักทะลายออกมาอย่างสุดกลั้น แต่ยังไม่วายตอบโต้ด้วยคำพูดเผ็ดร้อน คับแค้นใจจนอกแทบระเบิด

“คนเลวๆ อย่างนายมันน่าพิศวาสตายนักนี่ ฝันไปเถอะนายพีรพัฒน์ ต่อให้ชาติหน้าก็อย่าหวังว่าฉันจะยอมอภัยให้นาย” การะเกด ย้อนคำอย่างเจ็บช้ำ เจ็บใจสุดๆ ที่ต้องพลาดท่าเสียทีให้กับคนที่ไม่รู้ค่า แถมยังเย่อหยิ่งจองหอง ทะนงตนเสียจนน่ารังเกียจอย่างชายหนุ่มตรงหน้า

“นี่เธอ! ปากดีนักนะ มานี่เลย มาเดี๋ยวนี้ ดูซิว่าเธอกับฉัน ใครกันแน่ที่จะชนะ” พีรพัฒน์ ฉุนหนักตรงเข้าฉุดกระชากข้อมือของหญิงสาวแล้วลากเธอออกไปยังห้องด้านนอก

“นี่นาย! จะพาฉันไปไหน ปล่อยมือฉันนะ บอกว่าให้ปล่อย ฉันไม่ไปไหนกับนายทั้งนั้นแหละ ปล่อยซี่” การะเกดพยายามดิ้นรน ขัดขืนแรงรั้งร่างของตนเสียจนตัวโก่ง

“ก็จะพาไปกินข้าวไง เอ๊ะ คุณนี่ ดื้อจริงๆ เชียว” ร่างสูงทั้งฉุดทั้งดึง ขณะที่อีกฝ่ายก็ออกแรงต้านสุดกำลัง

“ฉันไม่หิว บอกว่าไม่กิน ไม่กินๆๆๆ ไม่ได้ยินหรือไง”

“ต้องกิน ท้องร้องจนลั่นห้องแล้วยังจะมาทำเป็นดื้ออยู่ได้ เดี๋ยวเกิดเป็นลมตายคาห้องขึ้นมา ผมได้ซวยกันพอดี มานี่” พีรพัฒน์ออกแรงดึงมากขึ้น ส่วนการะเกดนั้นกระถดกายโก่งตัวหนีต้านแรงดึงอย่างสุดฤทธิ์

“บอกว่าไม่กินไง ไอ้บ้า ปล่อยฉันนะ อ๊ะ….”

ซุ่มเสียงที่กำลังทุ่มเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พลันสะดุดเมื่อพีรพัฒน์ขยับมือเพียงเบาๆ หมายจะดึงเธอให้เข้ามาใกล้ ทว่าการะเกดกลับเสียหลักจนตัวปลิวถลาเข้าไปปะทะอกกว้างเข้าอย่างจัง แรงปะทะทำให้พีรพัฒน์ถึงกับหงายหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ยังไม่วายเอื้อมมือออกไปโอบรับร่างของหญิงสาวเอาไว้ แล้วใช้ตัวเองเป็นฐานรองไม่ให้ ร่างเล็กนั้นต้องล้มลงไปกระแทกพื้น

ต่างคนต่างอึ้งกันไปชั่วขณะ เมื่อได้สติอ้อมแขนแข็งแรงจึงค่อยๆ คลายออก กึ่งดันกึ่งประคองร่างเล็กที่เอนทับอยู่บนร่างตนให้ยืนขึ้น จากนั้นจึงกึ่งโอบกึ่งลากเธอไปยังโต๊ะอาหาร แล้วจัดแจงให้การะเกดนั่งประจำที่ เตรียมจะบังคับให้ เธอรับประทานอาหารที่เขาได้ตระเตรียมไว้ กระทั่งสติของหญิงสาวเริ่มจะกลับคืนมาจากอาการมึนงงและเริ่มส่งเสียงต่อต้านขึ้นมาอีกหนึ่งคำรบ

“นี่! นายคิดจะทำอะไร จับฉันมานั่งตรงนี้ทำไม”

“ก็จะให้คุณกินข้าวไง ทำเป็นงงไปได้”

“ฉันไม่กิน จะหิวหรือไม่หิวก็ช่างฉัน ตัวของฉัน จะเป็นจะตายมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับนายสักนิด ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้คนบ้าอำนาจ” จอมดื้อดึงยังคงต่อต้านไม่ลดละ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังแหย่เสือหลับ

“แน่ใจหรือว่าไม่เกี่ยว จะให้ผมช่วยทวนความจำให้คุณอีกสักรอบไหมครับคุณผู้หญิง” พูดพลางแสร้งทำสายตาโลมเลียมมองต่ำ โน้มกายจดปลายคางลงบนไหล่บอบบาง สร้างความอับอายให้กับการะเกดจนกรุ่นโกรธขึ้นอีกทวีคูณ

“อ๊ะ! อ๊าย.... ไอ้คนบ้า ไอ้คนเลว ไอ้คนฉวยโอกาส ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกหรือ ถอยออกไปเลยนะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้บ้านแตกไปเลย ไม่เชื่อก็ลองดูสิ ปล่อยนะ ปล่อยสิ... ปล่อยสิโว้ย....”

พีรพัฒน์กัดฟันกรอดอย่างเหลืออด เหลือทนกับฤทธิ์เดชของแม่สาวร่างเล็กจนเก็บกลั้นเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ลำแขนแข็งแรงอุดมไปด้วยมัดกล้ามเอื้อมโอบรั้งร่างเล็กแน่งน้อยเข้ามาประชิดอกจนคนถูกรัดแทบจะหายใจไม่ออก มือหนึ่งยกตรึงศีรษะเล็กรูปทุยสวยเอาไว้อย่างมั่นคงจนเธอไม่อาจขยับหรือเบี่ยงกายหนี

เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากสองดวงตาประสาน ริมฝีปากหยักลึกของพีรพัฒน์พลันทาบกดลงไปบนกลีบกุหลาบงามสีชมพูสดอย่างห้ามใจตนเองไม่อยู่ รสชาติหอมหวานของกุหลาบแรกแย้มเป็นอย่างไรนั้น พีรพัฒน์เองก็เพิ่งจะเคยรู้สึกรู้ซึ้งในคราวนี้

อันว่ากุหลาบงาม เมื่อหมู่ภมรได้แทะลิ้มชิมลองแล้ว ย่อมไม่แคล้วที่จะถูกเลาะเล็มจนกว่าจะหมดสิ้นไร้ซึ่งความหวาน ดังเช่นการะเกดที่กำลังอ่อนแรงตกต้องอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของพีรพัฒน์ วังวนเสน่หาได้โอบล้อมคนทั้งคู่ไว้อย่างแน่นหนา พร้อมจะเกี่ยวกระหวัดรัดร้อยให้สองร่างต้องตกอยู่ในห้วงแห่งกิเสศตัณหาอย่างยากจนเกินถอน

ร่างน้อยที่กำลังถูกรุกรานพยายามตั้งสติและรวบรวมกำลังกายที่ค่อยๆ ลดน้อยถอยลดลงไปทุกขณะ กลั้นใจสะบัดกายสุดแรงจนสามารถหลุดพ้นออกมาจากวงแขนแข็งแกร่งที่กำลังรุ่มร้อนด้วยแรงอารมณ์แห่งบุรุษที่กำลังเพลินเพราะถูกครอบงำจากเพลิงราคะ ทว่าเพียงก้าวแรกที่ขยับกายหนี เธอก็ต้องกลับไปสู่อ้อมกอดของบุรุษร่างสูงคนเดิมในอีกเสี้ยววินาทีถัดมา ทั้งหมดแรงและจนหนทางจะหลบเลี่ยง ไม่อาจหลีกหนีไปทิศใดได้อีก

พีรพัฒน์ขยับร่างตามติด ประกบตัวหญิงสาวไว้จากทางด้านหลัง สองมือสอดประสานรุกเร้าเอื้อมโอบไปทางด้านหน้า กอบกุมปทุมงามที่กำลังผลิดอกตูมตื่นตัวต้านรับสัมผัสร้อนโลมไล้ จุมพิตผ่าวร้อนรุกไล่แปะป่ายไปทั่วทุกแห่งหนตามแต่ใจปรารถนา จมูกโด่งซุกไซ้ไชชอน ซอกซอนไปตามซอกคอขาวและไหล่มน มีหรือที่เนื้อผ้าบางเบาจะสามารถสกัดกั้นเกลียวคลื่นและรสสัมผัสแห่งความเสน่หาที่กำลังลุมเร้านั้นได้

ชีพจรที่เริ่มจะเต้นถี่พร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณบอกถึงอันตรายเมื่ออารมณ์ของทั้งสองเข้าใกล้องศาอันเป็นจุดเดือด ริมฝีปากอุ่นบดเบียดรุกไล่คลอเคลีย แลกเปลี่ยนความหวานซึ่งกันและกันคราวแล้วคราเล่ามิรู้หน่าย อ้อมแขนแกร่งตวัดรั้งร่างแน่งน้อยกระชับกับอกกว้าง โอบอุ้มพาเดินบ่ายหน้าสู่จุดหมายโดยมิต้องกำหนดทิศทางไว้ล่วงหน้า กายบอบบางสั่นไหวสะท้านโอนอ่อน มิอาจทานอำนาจเสน่หา ยินยอมพร้อมใจปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปสุดแต่ใจผู้บงการจะนำพา เลือดในกายสาวเดือดพล่าน รับรู้ในทุกสัมผัสอันบดเบียดเสียดทานเมื่อกายหนาเบียดชิดไปจนตลอดเส้นทางของการเดิน กลิ่นกายสาวหอมอ่อนระเรื่อรวยรื่นขึ้นแตะจมูก เย้ายวนเสียจนมิอาจห้ามใจดอมดม ความกำหนัดอันเป็นจริตเบื้องลึกแห่งบุรุษเพศถูกปลุกเร้ากระพือโหมขึ้นมาอย่างไม่อาจฉุดรั้ง ประหนึ่งไฟสิเน่หาที่มิอาจดับจนกว่าร่างบางตรงหน้าจะถูกผลาญจนมอดไหม้ด้วยเปลวไฟแห่งกามราคะ

การะเกดสะดุ้งเฮือกเมื่อกายอ่อนสัมผัสได้ถึงความนุ่มไหวยะยวบของที่นอนนุ่มยามพีรพัฒน์ทอดวางร่างของเธอลงบนเตียงกว้าง ภาพที่อาภรณ์ประดับกายของชายหนุ่มค่อยๆ ถูกปลดออกจากร่างทีละชิ้น และถูกทิ้งลงเกลื่อนพื้น รั้งให้สติที่วิบวับราวกับกำลังจะล่องลอยลับหายของหญิงสาวกลับคืนมาสู่ตนอีกครั้งพร้อมกับความละอายที่จู่โจมโถมทับเข้ามาในความรู้สึกอย่างเฉียบพลัน

‘นี่เธอปล่อยตัวปล่อยใจเพลินไปกับรสสัมผัสที่เขามอบให้จนเตลิดเพริดไปไกลเสียจนเกือบจะกู่ไม่กลับได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ’

ร่างบางที่อ่อนระทวยลงไปเพราะการปลุกเร้าจึงพยายามจะรวบรวมสติและเรี่ยวแรงขึ้นอีกครั้งด้วยปรารถนาจะผลักไสเขาให้ไกลห่าง นางสมันน้อยกำลังจะย่างเท้าเข้าสู่ปากเสืออยู่รอมร่อ พยัคฆ์หนุ่มเยี่ยงเขามีหรือจะยอมปล่อยเนื้อชิ้นงามให้หลุดจากปาก พีรพัฒน์มิยอมละโอกาสฉกฉวยช่วงเวลาที่เจ้าของร่างแน่งน้อยกำลังมึนงงและยังมิทันตั้งสติ ฝังร่างลงนอนแนบชิดสนิทเนาว์มิรอช้า

การะเกดรับรู้ได้แต่เพียงความหนาหนักที่ทาบทับลงมาบนร่าง อาภรณ์ชิ้นแล้วชิ้นเล่า ที่เธอสวมถูกปลดออกจากร่างอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งไม่เหลือสิ่งใดถอด พีรพัฒน์กวาดตาสำรวจไปทั่วเรือนร่างนวลเนียนกระจ่างตา อกสล้างชูชันท้าทายอวดสายตาชายหนุ่มผู้มากประสบการณ์จนไม่อาจทัดทานหรือหักห้ามใจไว้ได้อีก ยิ่งการะเกดพยายามจะผลักไสกลับยิ่งกลายเป็นยั่วยุให้อารมณ์หนุ่มกระพือโหมลุกไหม้ลามเลียราวกับพายุเพลิงที่มิอาจดับลงโดยง่าย

มือไม้ซุกซนป่ายปะไปทั่วเรือนร่างงามลออ ก่อนจะมาหยุดที่ตรงอกอวบแล้วเฝ้าฟอนเฟ้นดั่งมิเกรงกลัวว่าบัวงามจะช้ำชอก จุมพิตร้อนผ่าวประพรมไปทั่วอย่างจงใจยั่วหยอกปลุกเร้าแรงกำหนัด ประกบทับด้วยเรียวลิ้นที่ตามโฉบลิ้มชิมความหวานไปถ้วนทั่วทุกแห่งหน ไม่เว้นแม้แต่ซอกหลืบลับแห่งกลีบไม้ละมุน เรียกเสียงครางครวญแผ่วผ่าวราวกระซิบด้วยมิอาจควบคุม สัมผัสเปียกชื้นที่รับได้จากปลายประสาทคือสัญญาณบอกว่าร่างบางอ่อนระทวยพร้อมแล้วสำหรับการเริ่มต้นบทเรียนแห่งลีลารักในฉากถัดไป

ร่างน้อยพลันกรีดร้องอย่างตกใจ พร้อมๆ กับอาการกระถดกายถอยหนี ทันทีที่ชายหนุ่มบรรจงแทรกกายลงไปในตัวตนแห่งความสาว ดวงตากลมโตเบิกกว้างหางตาปรากฏหยาดน้ำตารินหยด แยกไม่ออกว่ามาจากความเจ็บปวดหรือว่าเกิดขึ้นจากความเสียใจที่ตนต้องมาเสียรู้ให้กับเขาคนนี้ พีรพัฒน์รับรู้ได้ในทันที ความปีติเข้าคลุมครอบ หมดแล้วซึ่งความสาวที่เฝ้าเพียรรักษาเก็บถนอมไว้ด้วยรู้ค่าแห่งตน หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะต่อต้าน ไม่อาจหยุดยั้งกายหนาที่กำลังเก็บเกี่ยวความรื่นรมณ์จากร่างบอบบางของเธออย่างอิ่มเอมและเปรมปรีย์

พีรพัฒน์ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานปีหยุดยั้งเสียงกรีดร้องของหญิงสาวด้วยริมฝีปากหยักได้รูป คราบน้ำตาบนดวงหน้างามถูกกลบลยด้วยจมูกโด่ง จุมพิตเนิบผ่าวร้อนทว่าเร่งเร้าอยู่ในที เสียงกระซิบกำซาบซ่านตรงริมหูแว่วหวานจนคนฟังอดไม่ได้ที่จะคล้อยตาม ยินยอมอย่างหมดใจ

“อย่าฝืน อย่าเกร็ง อดทนนิดนะครับคนดี อีกเดี๋ยวเดียวมันก็จะผ่านไป”

เสียงพร่ำบอกสั่นกระเส่าเร่าร้อนไปตามแรงปรารถนาที่ถาโถมดั่งเปลวไฟสวาทที่รุกไหม้ลามเลียไปจนถ้วนทั่วทุกขุมขน กายแกร่งเดินหน้าลุกล้ำถลำลึกจนร่างบางเบื้องล่างสั่นสะท้านมิหยุดหย่อน อนงค์นางนั้นเล่าก็ให้การขานรับตอบสนองไปตามท่วงทำนองครรลองแห่งรักโดยไม่มีเกี่ยงงอน

“คุณหลอกฉัน!” ถ้อยคำตัดพ้อเอื้อนเอ่ยออกมาแค่เพียงคำ ริมฝีปากกระจับบางเป็นอันถูกบดเบียดกำซาบซ่านไปด้วยเรียวลิ้นกระหวัดพันรัด กลบสิ้นทุกถ้อยคำต่อว่าต่อขานดังตั้งใจ

ช่วงเวลาแห่งการก้าวล่วงเข้าสู่ดินแดนฉิมพลีอันสุขสันต์ครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะผ่านพ้นก็กินเวลาไปนานนับชั่วโมง ละอองไอแห่งความสุขสมยังคงกรุ่นกำจายอยู่รอบกายของสองร่างที่นอนก่ายเกยอยู่เคียงกันแม้ว่าเวลาจะล่วงผ่านเข้าสู่ยามเย็นแล้วก็ตาม กลิ่นหอมจากร่างอุ่นนวลเนียนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอิงแอบอยู่แนบอก ลอยขึ้นปะทะนาสิกราวกับจะยวนยั่วจนพีรพัฒน์มิอาจหักห้ามใจให้ดมดอมอยู่หลายครั้งหลายครา ทว่าก็ทำแต่เพียงแผ่วเบาด้วยเกรงว่าแรงสะเทือนจะทำให้เจ้าร่างน้อยต้องตื่นขึ้นจากนิทรารมณ์อันแสนสุข ความรู้สึกภาคภูมิใจต่อการได้เป็นเจ้าของครอบครองมันเป็นเช่นนี้น่ะหรือ พีรพัฒน์เองก็เพิ่งจะรู้

หากแม้นว่าจะเปรียบพีรพัฒน์ในยามนี้ ก็คงจะเทียบได้กับนายพรานบุญ ผู้ซึ่งวางกับดักไว้หลอกล่อนางกินรีน้อยนาม “มโนราห์” ให้ต้องมาติดบ่วงบาศก์แห่งนายพรานตัวร้าย เพราะนางนั้นอ่อนด้อยประสบการณ์จึงยากจะหลีกหนีหลบลี้จากบ่วงนั้นไปได้ และสำหรับพรานป่านักล่ามือฉมังก็ย่อมมิยินดีจะปลดปล่อยนางกินรีน้อยแสนสวยให้หลุดรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้เช่นกัน กับนายพรานอย่างพีรพัฒน์ มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้นางกินรีน้อยอย่างการะเกดหลุดรอดจากอกไปได้ พรานบุญอาจล่อจับนางมโนราห์ด้วยบ่งบาศก์ เพื่อนำนางไปมอบให้กับพระสุธนดังที่ปรากฏในตำนาน แต่สำหรับพีรพัฒน์แล้ว เขาจงใจหลอกล่อการะเกดไว้ด้วยบ่วงเสน่หา และก็ไม่มีวันจะยกเธอให้กับใครเป็นอันขาด

‘ลองสิ่งใดที่พีรพัฒน์ได้หมายมั่นกักเก็บเอาไว้ครอบครองเป็นเจ้าของแต่โดยลำพังแล้ว ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ของสิ่งนั้นย่อมต้องคงความเป็นสมบัติแห่งเขาอยู่วันยังค่ำ นับจากนี้ พีรพัฒน์ได้ถือว่าการะเกดเป็นสมบัติของเขา แล้ว และเธอก็จะต้องเป็นตลอดไป’

-----------------------------------------------------

มือบางเพียรกดโทรศัพท์ในมือหลายต่อหลายครั้งจนปุ่มแทบจะยุบคามือก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนทางปลายทางจะยอมรับสายให้เธอได้คลายใจจากความกังวลลงไปบ้าง แม้ว่าจะกำลังยุ่ง แต่อย่างน้อยก็การะเกดก็น่าจะส่งข้อความสั้นๆ กลับมาหาเธอบ้างสิ ไม่ใช่ปล่อยให้เธอต้องเป็นห่วงอยู่อย่างนี้

“ทำไมยังไม่ยอมรับสายอีกเนี่ย ไปไหนของเขากันนะ ยายเกดนะยายเกด ชอบทำให้คนอื่นต้องมาเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยก็ไม่รู้”

ลักษิณาศรบ่นงึมงำ แล้วพยายามทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนวานอย่างพี่ถ้วน เผื่อว่าตัวเธอจะหลงลืมไปว่าเพื่อนสาวได้บอกกล่าวกับเธอเอาไว้แล้วว่าจะทำอะไรที่ไหนอย่างไรในวันนี้

เธอจำได้ว่าครั้งหลังสุดที่ได้คุยกับการะเกดคือเมื่อตอนที่เธอเสร็จสิ้นการแสดงแล้วกลับลงมาจากเวที ตอนนั้น‘ตลิต’ พี่ชายนอกสายเลือดได้ย่องมาทำเซอร์ไพรส์โดยการแอบมารับเธอโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า แถมมาก่อนที่การแสดงชุดสุดท้ายจะปิดม่านลงไปเสียอีก

“อ้าว! พี่ตลิตมาได้ยังไงกันคะนี่” ลักษิณาศรถามอย่างนึกประหลาดใจที่เห็นชายหนุ่มมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ห้องแต่งตัวนักแสดงแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง มิหนำซ้ำยังไม่มีการบอกล่วงหน้า ทั้งที่เธอเองได้ปฏิเสธกับเขาไปแล้วตั้งแต่เมื่อเช้าว่าไม่ต้องมารับ

“พอดีวันนี้พี่อยู่เคลียร์งานจนดึกน่ะ ก็เลยรับอาสาพ่อมารับลูกศรแทนนายสน อีกอย่างโรงแรมนี้ก็อยู่ใกล้ที่ทำงานพี่นิดเดียวเอง การแวะมารับลูกศรมันไม่ได้ทำให้พี่เสียเวลาหรอกนะครับ ยังไงก็ทางผ่านอยู่แล้ว” ตลิตอธิบายด้วยเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวยอมรับความปรารถนาดีจากเขาโดยไม่มีข้อแม้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันคือความตั้งใจและปรารถนาของเขาเองล้วนๆ เลยต่างหาก

“อืม... ถ้างั้นก็... ขอบคุณนะคะ” ลักษิณาศรกล่าวขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มอ่อน นึกเกรงใจไม่น้อยที่วันนี้ตน เองต้องรบกวนเขาถึงสองครั้งสองคราเข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเพียรบอกว่าเต็มใจก็เถอะ

“แล้วนี่ลูกศรแสดงเสร็จแล้วหรือยังครับ”

“ค่ะ เสร็จแล้ว”

“งั้นรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า เสร็จแล้วเดี๋ยวเราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานก่อนเข้าบ้านกัน” ตลิตบอกเป็นเชิงชวน

“ทานข้าว! แต่ว่านี่มันดึกมากแล้วนะคะ หรือว่าพี่ตลิตยังไม่ได้ทานข้าวเย็นกันคะ” ลักษิณาศรเดาไปตามเรื่องแถมยังทำท่าประหลาดใจหนั เมื่อได้รับคำชวนจากหนุ่มรุ่นพี่

“ยังไม่ได้ทานครับ พอดีว่าพี่ทำงานเพลินไปหน่อย เลยลืมไปว่ายงไม่ได้ทานข้าว” เขาปดเธอหน้าตาเฉย แต่จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ผิดจากความจริงไปสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อตอนที่รวมโต๊ะกับนางแบบสาว ชายหนุ่มเอาแต่เหม่อมองไปยังริมน้ำฝั่งข้าม จนแทบไม่ได้แตะต้องอาหารบนโต๊ะเสียด้วยซ้ำ

เหล่านักแสดงค่อยๆ ทยอยกันเดินกลับมายังห้องแต่งตัว ซึ่งถูกจัดไว้ป็นพิเศษทางปีกซ้ายของโรงแรม

“ตายจริง ป่านนี้มิหิวจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดแล้วหรือคะ?” หญิงสาวร้องอย่างตกใจ ก็พอดีกับที่การะเกดกลับลงมาจากเวทีพอดี “อ้าว! เกดมาพอดี มานี่เลยมานี่ก่อน คนนี้ไง พี่ตลิตที่เราเคยบอก”

“อ๋อ... สวัสดีค่ะ ได้ยินกิตติศัพท์มานาน เพิ่งจะมีโอกาสเจอตัวจริงวันนี้เอง ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่ตลิต” การะเกดนบไหว้ด้วยกิริยาชดช้อยไม่ต่างจากลักษิณาศร ดวงหน้าสวยเคลือบแต่งไว้ด้วยสีสันสดใสส่งยิ้มหวานจริงใจไปยังตลิตที่ลักษิณาศรแนะนำว่าเป็นพี่ชาย

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับน้องเกด”

“เอ้อ! เกด พี่ตลิตชวนไปหาอะไรกินกันก่อนกลับน่ะ เราไปด้วยกันนะ” ลักษิณาศรออกปากชวนเพื่อน อย่างกระตือรือล้น

“ไม่ดีกว่าศร วันนี้เกดวิ่งรอกตั้งสองที่ เหนื่อยจะแย่แล้ว แถมพรุ่งนี้เช้าก็มีงาน แล้วไหนจะยังงานตอนเย็นอีก ขอตัวกลับก่อนดีกว่า เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะจ๊ะ” การะเกดปฏิเสธเสียงเนือย สีหน้าบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยอย่างชัดเจน

“ก็จริงนะ งั้นก็ตามใจ” ลักษิณาทั้งเข้าใจและเห็นใจเพื่อนรั หญิงสาวหันไปทางตลิตอีกทีแล้วบอก “งั้น! พี่ตลิต รอเดี๋ยวนะคะ ขอลูกศรไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับเก็บข้าวของอีกนิดหน่อย ครู่เดียวค่ะ เดี๋ยวมา”

ว่าแล้วทั้งสองสาวหันหลังเดินเข้าห้องแต่งตัวไปพร้อมๆ กัน เป็นเพราะลักษิณาศรไม่อยากให้ชายหนุ่มต้องรอนาน จึงรีบเก็บข้าวของ พร้อมกับบอกลาเพื่อนสาวตั้งแต่ในห้อง แล้วออกจากโรงแรมมาพร้อมๆ กับตลิต และนั่นก็คือครั้งสุดท้ายที่ลักษิณาศรได้พูดคุยกับเพื่อนสาว กระทั่งเช้าวันนี้เมื่อใครต่อใครต่างพากันวุ่นวายโทรหาการะเกดกันให้จ้าละหวั่น เพราะจู่ๆ เจ้าตัวก็หายตัวไปจนเจ้าของงานที่รับไว้ต้องโทรตามตัวกันให้ควั่ก

หนึ่งในสายที่โทรหาเธอคือมารดาของการะเกดเองที่โทรมาติดตามถามหาข่าวคราวของบุตรสาวซึ่งไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่คืนวาน พาให้ลักษิณาศรถึงกับตกใจเที่ยวได้ตระเวนโทรสอบถามไปยังบรรดาเพื่อนฝูง รุ่นพี่ รุ่นน้อง เท่าที่คิดว่ามีความเป็นไปได้ว่าการะเกดจะพักค้างคืนด้วย ทว่ากลับไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย ลักษิณาศรเริ่มจะใจเสียเมื่อสำเหนียกได้ว่าเพื่อนรักของเธอน่าจะหายตัวไปตั้งแต่คืนวาน และน่าจะเป็นหลังจากช่วงเวลาที่เธอแยกตัวจากมาได้ไม่นาน

“เฮ้อ! ยายเกดนะยายเกดหายไปไหนของเธอเนี่ย รู้บ้างไหมว่าทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วง” ลักษิณาศรบ่นไปพลาง ถอนหายใจไปพลาง นึกถึงตลิตซึ่งอยู่กับเธอในตอนนั้น และเป็นคนสุดท้ายที่ได้เห็นการะเกดพร้อมๆ กันกับเธอ บางทีเขาอาจจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างบ้างก็ได้ คิดได้ดังนั้งเธอจึงรีบกดโทรศัพท์หาเขาทันที

“ฮัลโหล พี่ตลิตเหรอคะ นี่ลูกศรเองนะคะ คือว่าลูกศรมีเรื่องอยากถามนิดหนึ่งน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพี่ตลิตว่างพอจะคุยได้หรือเปล่าคะ” น้ำเสียงร้อนรนของลักษิณาศร สร้างความประหลาดใจให้กับตลิตเป็นที่ยิ่ง

“คุยได้ครับ ลูกศรมีอะไรหรือเปล่า ทำไมทำเสียงร้อนรนแบบนั้น”

“คือว่า ยายเกดน่ะค่ะ เพื่อนของลูกศรคนที่พี่ตลิตเจอเมื่อคืน จำได้หรือเปล่าคะ” หญิงสาวเริ่มจะเท้าความแล้วหยุดนิดหนึ่งเพื่อให้ชายหนุ่มได้คิดทบทวน

“ครับ จำได้ ทำไมหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น?” อาการร้อนรนเสมอต้นเสมอปลายของคนในสาย ดึงความสนใจของชายหนุ่มจนต้องละสายตาจากแฟ้มเอกสารที่กำลังอ่านค้างอยู่ แล้วหันมารับฟังในสิ่งที่ลักษิณาศรกำลังจะบอกกับเขาอย่างตั้งใจแทน

“คือ.... ยายเกดหายตัวไป ตั้งแต่เมื่อคืน คุณป้า เอ๊ย! คือ แม่ของยายเกดน่ะค่ะ โทรมาบอกว่าเมื่อคืนยายเกดไม่ได้กลับบ้าน รออยู่จนเช้าก็ยังไม่กลับ ท่านคิดว่ายายเกดอยู่กับลูกศร ก็เลยโทรมาถามหา แล้ววันนี้ก็มีแต่คนตามหาตัวยายเกดกันให้ควั่ก แต่ก็ไม่มีใครติดต่อได้ ลูกศรโทรเพื่อนๆ จนหมดทุกคนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องเลย ดูเหมือนว่าจะมีแต่เรานะคะ ที่เจอกับยายเกดเป็นคนสุดท้าย เมื่อคืนนี้ตอนที่เจอยายเกดพี่ตลิตพอจะสังเกตเห็นอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่าคะ ตอนนี้ลูกศรมืดแปดด้านไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ”

ลักษิณาศรเล่าให้เขาฟังอย่างรวบรัด ประการหนึ่งเพราะร้อนใจ อีกประการหนึ่งเพราะเกรงใจ กลัวว่าตนจะรบกวนเวลาทำงานของเขานานจนเกินไป

“อะไรที่ผิดปกติเหรอ เอ... พี่ก็ว่าไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่นา แล้วนี่คุณแม่ของน้องเค้าไปแจ้งความไว้แล้วหรือยังครับ” สิ่งแรกที่ตลิตคิดออกก็คือตำรวจ ในกรณีที่มีคนหาย บุคคลแรกที่เจ้าทุกข์น่าจะขอความช่วยเหลือได้ ย่อมเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

“จริงสิ! แจ้งความ... ลูกศรลืมไปเลย งั้นเดี๋ยวลูกศรโทรหาคุณป้าก่อนดีกว่า ขอบคุณนะคะ ลูกศรไม่กวนพี่ตลิตแล้ว สวัสดีค่ะ” ลักษิณาศรทำท่าว่าจะวางสาย ทว่าตลิตรั้งเธอเอาไว้ทัน

“เดี๋ยวก่อนครับ แล้วตอนนี้ลูกศรอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร”

“อยู่ที่มหาวิทยาลัยค่ะ อยู่กับกับเพื่อนๆ น้าสนมาส่ง ลูกศรให้กลับไปก่อนก็ไม่ยอมไป วันนี้ลูกศรกลับบ้านช้าหน่อยนะคะ คงต้องไปช่วยคุณป้าตามหายายเกดก่อน ฝากบอกคุณลุงด้วยนะคะ น้าสนมาพอดี พี่ตลิตจะคุยกับน้าสนหรือเปล่าคะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่ว่าให้น้าสนอยู่กับลูกศรก่อนดีกว่า ถ้าจะไปไหนก็บอกแก ให้แกไปส่ง เดี๋ยวพี่เสร็จงานแล้วจะรีบไปหา” ตลิตกะเกณฑ์ทุกอย่างเองเสร็จสรรพ

“แต่ว่า...” ลักษิณาศรตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ตลิตขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ลูกศรอย่ามัวแต่บ่ายเบี่ยงอยู่เลย รีบไปตามหาเพื่อนจะดีกว่า”

“ก็ได้ค่ะ งั้นลูกศรวางสายก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะ”

“ครับ อีกสักพักเจอกัน”

สายสนทนาจบลง ลักษิณาศรหันไปสั่งความกับนายสนสองสามคำ จากนั้นจึงหันไปกระจายงานให้กับสองสาว เพื่อรับหน้าที่ไปแสดงแทนการะเกด และคอยรอฟังข่าวอยู่ ส่วนตัวเธอจะรับหน้าที่ตามหาและคอยรายงานความคืบหน้าไปยังพวกเธอเป็นระยะๆ จากนั้นจึงเดินตามนายไปขึ้นรถอย่างเร่งรีบ เวลานี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความวิตกกังวล ร้อนใจราวกับไฟสุม เพราะความเป็นห่วงในตัวการะเกดที่จู่ๆ ก็มาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ป่านนี้การะเกดจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ลักษิณาศรได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายอันใดกับเพื่อนของเธอเลย

--------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 เม.ย. 2555, 20:44:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 12:35:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1554





<< 7 : แผนการร้าย   9 : ตกกระไดพลอยกระโจน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account