สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"

หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย

ตอน: ตอนที่ ๒

บทที่ ๒

ฝนแรกเพิ่งมาเยือน... มาช้ากว่ากำหนดไปเกือบครึ่งเดือน นานจนคนเฝ้าป่าใจหายใจคว่ำ... แม้คนเมืองจะต้องเผชิญกับวิกฤตฝนแล้ง น้ำท่วมอย่างไร แต่ในป่าแห่งนี้ ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลเสมอ อาจจะผันผวนไปบ้างตามภาวะแอลนิโญ่และลานินญ่าที่ไม่อาจปฏิเสธได้ทำให้อากาศทั่วโลกเกิดความปั่นป่วน ทว่า... เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉลองรัฐไม่เคยขาดน้ำ ป่าใหญ่ผืนนี้ยังเมตตาดูแลคนในเมืองด้วยการเป็นต้นกำเนิดแหล่งน้ำขนาดใหญ่ให้ได้ใช้กันอยู่... แต่ดูเหมือนปีนี้จะไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้ว

มือขวาของสินธุ์นทีถือแก้วกาแฟกรุ่นกลิ่นหอม กาแฟที่ปลูกโดยชาวบ้านซึ่งทำกินอยู่รอบป่าฉลองรัฐเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง เขาไม่คัดค้าน ตราบใดที่มันไม่ทำให้ชาวบ้านบุกรุกผืนป่าหรือล่วงล้ำเข้ามาหาของป่ามากขึ้น เขาก็ยินดีที่จะช่วยเหลือด้วยการซื้อเมล็ดกาแฟมาบดและชงดื่มเอง ขณะที่มือซ้ายเท้ากรอบประตูสำนักงานที่ทำการเขตฯ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองภาพมุมกว้างยามเช้าที่อากาศทั้งเย็นทั้งชื้นมันก็ทำให้เขาสดชื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เขาเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เกิดและเติบโตมากับสวนผลไม้ วิ่งเล่นกระโดดข้ามคลองน้ำ ตกลงไปในท้องร่องก็จะโดนแม่ตี ถึงกระนั้นก็ไม่เคยทำให้เข็ดหลาบเลยสักครั้ง เนื่องจากมีทั้งพี่ชายและน้องสาวคอยให้การสนับสนุนด้วยการร่วมเป็นกลุ่มแก๊งเดียวกันกับเด็กๆ จากสวนใกล้เคียง นับเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ต้องใช้เงินตราแลกมา

แรกทีเขาตั้งใจจะเรียนคณะเกษตร อย่างน้อยจะได้กลับมาทำงานที่สวนผลไม้ที่บ้านช่วยพ่อแม่และพี่ชายอีกแรง แต่ทว่า จับพลัดจับผลูมาเรียนป่าไม้ได้เพราะคำแกมการกรอกหูของพี่ชายอยู่เช้ายันค่ำว่าหากเรียนป่าไม้จะมีโอกาสสอบบรรจุเข้ารับราชการได้ง่ายกว่าเนื่องจากอัตราการแข่งขันน้อยมีเพียงพี่น้องร่วมคณะซึ่งเปิดเรียนเกี่ยวกับป่าไม้โดยตรงเพียงแห่งเดียว ในประเทศไทย ความเป็นเด็กทำให้เขาเชื่ออย่างเต็มเปี่ยม แต่กลับพบความจริงตอนที่เข้ามาเรียนต่อแล้วว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่พี่ชายของเขาบอกไปเสียทุกอย่าง...

การสอบเข้าเรียนต่อว่ายากแล้ว การจะเรียนให้จบโดยที่ใจมันพะวงกับกิจกรรมของคณะก็ว่ายากหนักเข้าไปอีก อยากทำกิจกรรมก็อยาก ไอ้อยากจบด้วยเกรดดีๆ ก็อยาก แต่เขาก็ผ่านมันมาจนได้ แม้จะไม่ถึงกับเกรดนิยม แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ครั้นเมื่อมาสอบบรรจุ เขาต้องสอบอยู่ถึงสามปีกว่าจะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการนักวิชาการป่าไม้เช่นในปัจจุบัน พร้อมกับรับรู้ได้สัจจะธรรมได้ด้วยตัวเองว่า ‘ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หากปราศจากความพยายาม’

“ออกไปลาดตระเวนตอนนี้คงเห็นรอยตีนสัตว์เยอะดีนะครับผู้ช่วยฯ ” ขจร หนึ่งในเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ากล่าวขณะที่มือกำลังวุ่นอยู่กับการตรวจสอบเอกสารจากการลาดตระเวนครั้งก่อน “ตกหนักขนาดนี้รอยตีนไม่เหลือแล้วพี่... เอากาแฟหน่อยไหม”

“กาแฟลูกสาวบ้านไหนเอามาฝากล่ะครับ”

“จะมีลูกสาวใครที่ไหนล่ะ... กาแฟนี่ผมซื้อมาจากชาวบ้าน”

“อ้อ...” กระนั้นเสียงคนพูดยังไม่ใคร่เชื่อถือนัก ข้าราชการป่าไม้หนุ่มอนาคตไกล แม้ไม่หล่อเหลาราวพระเอกนิยาย แต่ก็คมเข้มตามแบบฉบับชายไทยผู้กรำแดดตากฝนทำงานจนสีผิวออกทองแดงร่างกายกำยำ เข้าบ้านไหนสาวก็มองกันตาปรอย “ช่วงนี้ผู้ช่วยฯ คงสบายใจหน่อย เพราะฝนตก สาวๆ ขับรถเครื่องเข้ามาส่งเสบียงผู้ช่วยฯ น้ำ ไม่ได้เหมือนอย่างปกติ”

“เฮ้ย ผมอยากได้ที่ไหนเล่าไอ้สบงเสบียงที่ว่า ลำพังที่แม่ครัวเตรียมไว้ให้ก็กินกันไม่หมดแล้ว”

“ไปบอกสาวๆ เถอะคร้าบบบ” ขจรล้อเลียน “ผมว่าผู้ช่วยฯ ก็บอกๆ เขาไปว่ามีแฟนแล้ว นี่ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธเขาก็ตีความเข้าข้างตัวเองสิครับ”

“ผมออกไปแต่ละทีนี่ไปหาชาวบ้านนะพี่ ไม่ได้ไปหาเมีย ไม่เสียเวลาไปสนทนาเรื่องส่วนตัวหรอก”

“ก็เป็นซะอย่างนี้” จริงจังกับงานเป็นที่หนึ่ง ประเภทพูดน้อยต่อยหนักล่ะก็ใช่เลย... เห็นนิ่งๆ แบบนี้ แต่อย่าให้สินธุ์นทีโมโหขึ้นมาก็แล้วกัน...

จังหวะเดียวกันกับที่สินธุ์นทีละสายตาจากหยาดฝนเงยหน้าขึ้นมา ก็พบเข้ากับกลุ่มชาย 5 คนที่เดินมุ่งหน้ามายังที่ทำการเขตฯพอดิบพอดี โดยเฉพาะชายที่เดินนำหน้า แม้ครั้งล่าสุดที่พบกันจะเป็นเวลานานกว่า ๒ ปีแล้ว แต่ด้วยเครื่องแต่งกายที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน มันจึงทำให้เขาจำร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผายสง่างามของผู้นำหมู่บ้านคนนี้ได้ทันที!

“วาสะ!!! ไปยังไงมายังไงนี่ เข้ามาหลบฝนข้างในก่อน” เขาตะโกนฝ่าสายฝนเม็ดบางๆ แล้วหันไปหาขจร “พี่จอน เอาร่มออกไปรับวาสะหน่อยครับ”

เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอาวุโสกุลีกุจอเดินออกไปต้อนรับชายผู้มาเยือน สินธุ์นทียกมือไหว้วาสะก่อนจะขออนุญาตสวมกอดด้วยความคิดถึง

“สองปีเลยนะ... ไม่คิดจะมาเยี่ยมยามถามข่าวคนในเขตบ้างหรือ”

“ผมออกมาทีไรก็เอาความเดือดร้อนมาให้หัวหน้ากับผู้ช่วยฯ ตลอด ยังอยากเจอผมอีกหรือ” ตอบแกมหยอกเย้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อยากเจอสิ จะได้รู้ว่าสบายดีกันใช่ไหมข้างในนั้นน่ะ”

วาสะถอนหายใจ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก บอกให้รู้ว่าเกิดวิกฤตข้างในหมู่บ้านลังกาอีกคราหนึ่งแล้ว

“อหิวาต์ หรือครับ”

“ไม่ใช่ครับ ชาวบ้านสบายดี แต่... มีบางอย่างที่ทำให้ผมต้องเข้าไปในเมืองคราวนี้ เพื่อไปตามหาใครบางคนที่จะมาช่วยคนในหมู่บ้านไว้ อยากจะขอความช่วยเหลือผู้ช่วยฯ ขับรถออกไปส่งในตัวอำเภอทีได้ไหม แล้วเราจะเดินทางไปในตัวจังหวัดกันเอง”

“ได้สิ ไม่มีปัญหา มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ พวกเรายินดีนะวาสะ อย่าคิดว่าเป็นคนอื่นคนไกล” ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงาน คว้ากุญแจรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อคานแข็งเก่าๆ ที่ต้องขับไปซ่อมไป ทั้งสมรรถนะที่ใช้ทนเลยทำให้ต้องทนใช้แบบนี้มานานกว่า ๑๕ ปี “รถสี่ประตูหัวหน้าเอาเข้าไปในเมือง คันอื่นเขาก็เอาออกไปลาดตระเวนกัน เหลือคันนี้คันเดียว ทนตากฝนหน่อยนะ”

“ไม่มีปัญหาครับ พวกนี้ตากฝนเป็นอาชีพอยู่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย กว่าจะถึงตัวอำเภอ เดี๋ยวรอตรงนี้ก็ได้ ผมวิ่งไปเอารถแป๊บเดียว”

สินธุ์นทีวิ่งฝ่าสายฝนไปยังบริเวณโรงจอดรถที่อยู่อีกด้านหนึ่งในอาณาเขตของที่ทำการเขตฯ ไม่ถึงห้านาที รถยนต์ไมตี้เอ๊กซ์รุ่นโบราณก็วิ่งคำรามฝ่าสายฝนมาแต่ไกล วาสะหันมาส่งยิ้มและกล่าวอำลาขจรก่อนจะเดินตรงไปยังรถยนต์ที่จอดคอยอยู่ก่อนแล้ว

คล้อยหลังสินธุ์นทีและวาสะ ผู้ช่วยฯ คนใหม่ที่ยังไม่มีโอกาสได้พบวาสะก็ค่อยๆ เดินเลียบๆ เคียงๆ เข้ามาตั้งคำถามกับขจร

“คนพวกนั้น... ใครกันน่ะครับพี่ขจร”

“คนชุดน้ำตาลที่ผู้ช่วยฯ น้ำคุยด้วยชื่อวาสะครับ ... วาสะเป็นปราชญ์และเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านลังกาครับ”

“หมู่บ้านลังกา ที่อยู่กลางเขตฯ เรานี่น่ะหรือครับ เคยได้ยินแต่เรื่องเล่ากับอ่านจากเอกสาร เพิ่งเคยได้เห็นตัวชาวเกอเป็นๆ ก็วันนี้แหละ ดูน่าเกรงขามดีนะครับ”

เนื่องจากชาวเกออาศัยตั้งรกรากในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามานานก่อนที่ทางรัฐบาลจะประกาศพื้นที่เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จึงทำให้ไม่สามารถประกาศพื้นที่ดังกล่าวนี้ให้ขึ้นเป็นพื้นที่อนุรักษ์ได้ โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือได้รับการมอบอำนาจจากเข้าของพื้นที่ ในกรณีที่หากเจ้าของพื้นที่ยินดีจะย้ายออกจากพื้นที่เดิมไปยังพื้นที่ใหม่ที่ทางรัฐบาลจัดสรรไว้ให้ก็ย่อมได้ แต่ทว่าไม่ใช่กับหมู่บ้านลังกาแห่งนี้ พวกเขาอาศัยมานานกว่าสองร้อยปีแล้ว และยืนยันที่จะอยู่ตามลำพังโดยไม่รับความช่วยเหลือใดๆ จากทางรัฐฯ หากไม่จำเป็น โดยยืนกรานหนักแน่นที่จะอยู่เช่นนี้ต่อไปโดยไม่ต้องการให้สิ่งแวดล้อมความเจริญภายนอกรุกล้ำกล้ำกรายเข้าไปทำลายความสงบของหมู่บ้าน ขณะเดียวกันก็ให้มีการทำสัญญาว่าจะไม่รุกล้ำพื้นที่ป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำกินรวมถึงไม่มีการล่าสัตว์ป่าอย่างแน่นอน

“แล้วชุดดำกับชุดน้ำตาลนี่ต่างกันไหมครับ”

“ฮะ... หกเจ็ดปีมาแล้วชาวบ้านส่วนหนึ่งล้มป่วยด้วยอหิวาตกโรค ทางเขตฯ จึงประสานงานกับจังหวัด เขาก็ส่งหมอมา เราจึงมีโอกาสได้เข้าไปรักษาคนที่นั่น แต่ไม่ได้เข้าไปในหมู่บ้านนะครับ ไปแค่แถวๆ นั้น เดินป่ากันไปสามวันกว่าจะถึง ผมเองก็ได้ไปด้วย และเท่าที่ทราบจะมีวาสะสวมชุดน้ำตาลอยู่แค่คนเดียว นัยอยากให้เหมือนชุดสีกากีของเราน่ะครับ ส่วนผู้ชายในหมู่บ้านจะสวมชุดสีดำ เด็กๆและผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะสวมชุดสีขาว ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมชุดสีอื่นๆ ที่ไม่ใช่สีขาว เช่น สีแดง ชมพู ม่วง ลักษณะชุดก็คล้ายๆ กันครับ”

“แล้วทำไมชาวบ้านถึงไม่ให้เข้าไปรักษาถึงในหมู่บ้านละครับ จะไม่สะดวกกว่าเหรอ ไม่ต้องเดินเท้าออกมาอีกทั้งๆ ที่ป่วยกัน” ผู้ช่วยฯ คนใหม่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ขจรกลับยิ้มเย็น แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ อย่าว่าแต่เข้าไปในหมู่บ้านเลยครับ พวกผมแค่เดินลาดตระเวนเฉียดชายขอบหมู่บ้าน ยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดกันมาแล้วเลยครับ”

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เวลาปีเดียวไม่ได้ทำให้สภาพแวดล้อมทั่วไปในจังหวัดบ้านเกิดของหล่อนเปลี่ยนไปมากนัก พลอยชีวันยังจำแผนผังของจังหวัด ที่ตั้ง ทัศนียภาพโดยรอบได้ โดยเฉพาะศาลากลางจังหวัด สถานที่ที่หล่อนวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็กจนโต อาจจะมีคนเดินเข้าเดินออก ผู้คนมากหน้าหลายตาวนเวียนกันเข้ามาทำงาน หาประสบการณ์แล้วจากไป แต่กับผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่ว่าจะต้องย้ายไปไกลแค่ไหน แต่สุดท้ายที่ที่ท่านทำงานได้นานที่สุดและตั้งใจให้เป็นที่สุดท้ายก็คือบ้านเกิดของภรรยาของท่าน...

ปกติจะมีผู้ประชาชนทั่วไปหรือข้าราชการผู้มาติดต่อราชการยืนกระจัดกระจายอยู่บริเวณโถงด้านหน้าจากบันไดทางขึ้นตึก แต่ทว่าวันนี้กลับเป็นภาพที่หล่อนไม่คุ้นตาเท่าไรนัก เพราะเป็นภาพของกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่มองเห็นโดดเด่น ๕ คน ทุกคนสวมชุดสีดำเย็บผ่าอกคล้ายเอาผ้าสองชิ้นมาเย็บติดกันมองเห็นฝีตะเข็บสีขาวอย่างชัดเจน ชุดยาวกรอมเท้ามีชายครุยตกระพื้นแขนกุด เป็นชุดพื้นเมืองทอมือทั้งหมด ยกเว้นชายหนึ่งคนซึ่งสวมชุดย้อมสีน้ำตาลธรรมชาติโพกหัวด้วยผ้าสีเดียวกัน รองเท้าสานจากหวาย หรือไผ่ พลอยชีวันไม่แน่ใจนัก แต่น่าจะมาจากวัสดุธรรมชาติที่ดูทนทานไม่ต่างกับรองเท้าที่ผลิตในโรงงานทั่วไป แรกที หล่อนตั้งใจจะเดินผ่าน แต่ได้ยินบทสนทนาแว่วๆ ถึง ‘ท่านผู้ว่าฯ’ มันจึงทำให้หล่อนตัดสินใจเดินย้อนกลับมา แม้จะรู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถในการตัดสินใจให้ใครเข้าพบบิดาได้ก็ตาม

เนื่องจากในตอนนี้ คุณสิงขรคือผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นข้าราชการที่ต้องทำงานทดแทนคุณแผ่นดิน หาใช่เพียงบิดาของนางสาวพลอยชีวันไม่

“ผมแค่อยากจะสนทนากับท่านผู้ว่าไม่กี่คำ หรือคุณตอบผมก็ได้ ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดคนก่อนหน้านี้ และคนก่อนหน้านี้คือใคร”

คำถามนั้นทำให้หล่อนหูผึ่ง และตอบเสียเองอยู่ในใจ ‘นั่นก็คือตา ของตา ของตา ของตา ของหล่อนอีกหลายๆ ขั้นขึ้นไปอย่างไรเล่า...’

เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าประหลาด หล่อนมีเชื้อสายของผู้ว่าราชการจังหวัดมานับตั้งแต่ตาทวด คุณตา และบิดาของหล่อนล้วนแต่รับราชการทำหน้าที่เป็นพ่อเมือง หล่อนเองก็ได้แต่หวังว่าสามีในอนาคตของหล่อนจะไม่ใช่นายอำเภอหรือปลัดสักคนที่มีความหวังว่าจะก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดบ้าง มิเช่นนั้นคงเป็นเรื่องที่น่าขนลุกไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้นเชิญทางด้านนี้ครับ เราทำทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัดเอาไว้แล้ว เชิญครับ” กลุ่มชายดังกล่าวเดินตามหลังไปอย่างว่าง่าย และพลอยชีวันควรหยุดเสียมารยาทด้วยการแอบฟังเพียงเท่านั้นแต่ทว่า... หญิงสาวกลับไม่หยุด มีบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความอยากรู้อยากเห็นกำลังขับเคลื่อนให้หล่อนก้าวตามกลุ่มชายร่างสูงใหญ่ราวกำแพงเมืองจีนไปอย่างช้าๆ ยืนมองอยู่ห่างๆ เห็นชายชุดสีน้ำตาลยืนเอามือไขว้หลังหรี่ตามองทำเนียบผู้ทำหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยละเอียด

“เจ้าเมืองจังหวัดคนแรกคือใคร คนก่อนหน้าผู้ชายคนนี้” เขาชี้นิ้วไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรก ทำเอาเจ้าหน้าที่ในศาลากลางจังหวัดเหวอไปครู่ใหญ่

“ผมไม่ทราบ ถึงผมทราบแล้วคุณจะอยากทราบเรื่องพวกนี้ไปทำไม”

“ผมมีเหตุจำเป็น”

“ไปหอสมุดจังหวัดซิ ที่นั่นน่าจะมีประวัติการก่อตั้งจังหวัดบันทึกเอาไว้อยู่”

“อยู่ตรงไหนหรือ?”

“ออกจากศาลากลางเลี้ยวซ้ายตรงไปประมาณ ๓ กิโลเมตร ติดกับโรงเรียนมัธยมน่ะ”

“แล้วพวกเราจะขอเข้าพบท่านผู้ว่าราชการจังหวัดได้หรือไม่”

“ไม่ได้ครับ ไม่ได้มีเหตุราชการให้จะให้เข้าพบท่านสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ หรือคุณมีเรื่องอะไรร้องเรียนก็เขียนจดหมายแจ้งไว้ ผมจะนำจดหมายไปยื่นให้ท่านเอง”

ชายชุดน้ำตาลนิ่งไปครู่ใหญ่ และพยักหน้าในเวลาต่อมา “ผมจะเขียนจดหมาย... ขอให้คุณนำส่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย”

“รอตรงนี้สักครู่ ผมจะไปหยิบปากกากับกระดาษมาให้” ตอนนี้พลอยชีวันมีสองความคิดที่กำลังถกเถียงกันอย่างหนัก ความคิดแรกหล่อนอยากเดินเข้าไปถามเรื่องราวความเป็นมา และเหตุจำเป็นที่ว่าต้องการเข้าพบบิดาของหล่อนจากชายแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองนี้ แต่อีกใจหนึ่ง ก็เถียงว่ามันไม่ใช่ธุรกงการอะไรของหล่อน... และดูพวกเขาไม่มีท่าทีจะคุกคามกระทำอันตรายใดๆ พลอยชีวันจึงตัดสินใจหันหลังและเดินมุ่งหน้าเข้าสู่ด้านในอีกฝั่งหนึ่งของอาคาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานท่านผู้ว่าฯ นั่นเอง

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


ดูเหมือนคุณสิงขรจะไม่แปลกใจนักเมื่อได้พบหน้าบุตรสาวเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี... ท่านลุกขึ้น รับไหว้ พร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนอย่างเคย

“นึกว่าต้องส่งแผนที่ไปให้แล้วถึงจะกลับบ้านถูก” เย้าบุตรสาวที่ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะได้อ้าปากตอบท่านก็เอ่ยสวนขึ้นมาเสียก่อน “งานมันยุ่งน่ะพ่อ...”

“แหะๆ พ่อรู้ทันอีกแล้ว”

“พ่อเลี้ยงแกมาคนเดียวตั้งแต่เกิดทำไมพ่อจะไม่รู้นิสัยแกฮะ เจ้าเพลิน”

“เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะพ่อ”

“เฮ้ย นี่ใจคอจะไม่นั่งพักกันเลยเหรอ”

“เออพ่อ เมื่อกี้มีชาวเขามาเจอพ่อด้วย น่าจะเป็นพี่น้องกะเหรี่ยง”

“เรารู้ได้ยังไงว่าเป็นพี่น้องกะเหรี่ยง อาจจะเป็นม้ง ก็ได้”

“เดี๋ยวๆ ต่างกันเหรอพ่อ” คุณสิงขรหัวเราะร่วน ปิดแฟ้มงาน แล้วถอดแว่นตาวางบนโต๊ะทำงาน เดินไปโอบบุตรสาวไว้หลวมๆ

“ไปๆ กินข้าวกันดีกว่า”

“งั้นรีบเลยพ่อ เผื่อเจอพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาเดินทางมาไกลมากเพราะมีเรื่องสำคัญจริงๆ นะพ่อ”

“ป่านนี้คงมีเจ้าหน้าที่เขารับเรื่องไว้ให้มั้ง”

“ไปเถอะพ่อ เพลินอยากให้เจอ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง หญิงสาวคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบิดาและออกแรงบังคับให้ท่านออกเดินทันที ทว่า เมื่อไปถึงโถงด้านล่างก็ไม่พบใครอยู่แล้ว ไม่พบแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่คนเมื่อครู่ จึงไม่มีใครสามารถให้คำตอบหล่อนได้ว่ากลุ่มคนดังกล่าวเป็นใคร มาจากไหน ซึ่งช่างสร้างความค้างคาใจให้พลอยชีวันเหลือเกิน

“พวกเขามาถามหาผู้ว่าคนปัจจุบัน ผู้ว่าคนก่อนหน้านี้ และเจ้าเมืองคนแรกด้วยค่ะพ่อ”

คราวนี้สีหน้าบิดาดูจริงจังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มือที่โอบบุตรสาวเอาไว้ยิ่งกระชับแน่นยิ่งขึ้น พร้อมเอ่ยเสียงต่ำราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความตึงเครียด “ไปทานข้าวกันเถอะ พ่อต้องรีบกลับมาทำงาน”

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////



อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ม.ค. 2560, 21:35:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ม.ค. 2560, 21:35:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1189





<< เกริ่นนำ + บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
แว่นใส 17 ม.ค. 2560, 07:18:45 น.
พระนางจะได้เจอกันหรือยังนะ


kraten 18 ม.ค. 2560, 00:32:50 น.
คิดถึงนะคะ


goldensun 19 ม.ค. 2560, 20:56:23 น.
เกียรตินิยมค่ะ ไม่ใช่เกรดนิยม
ท่าทางผู้ว่าฯจะรู้ ว่าเผ่าเกอมาพบเรื่องอะไรนะคะ


คิมหันตุ์ 23 ม.ค. 2560, 01:47:21 น.
โอ๊ววววววววว ทำไมหมู่บ้านช่างลึกลับ และดูอันตรายขนาดนั้น?

ตระกูลผู้ว่า อันนี้ ก็เท่ไปอี้กกกกกกกก ตอนหน้าเขาจะได้เจอกันไหมคะเนี่ย?

ปล. เกรดนิยม นี่คือคุณเพียส ตั้งใจเล่นมุขใช่ไหมมมมมมมมมมมม? 55555

เค้าก็จบเกรดนิยมนะ!! คิคิ



อนัญชนินทร์ 10 ก.พ. 2560, 21:33:53 น.
เก๊าตั้งใจเล่นมุกเกรดนิยมจริงๆ นะเออ 555555555555555555555555555555555555


Zephyr 25 มี.ค. 2560, 17:15:28 น.
ตระกูลดูเริ่มมีความดาร์ค ลึกลับ
หุหุ ขลังอลังไงไม่รุ้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account