สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"
หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย
ตอน: บทที่ ๓
เช้าวันนี้เป็นเช้าที่ไม่สดใสสำหรับพลอยชีวันนัก... เมื่อคืนหล่อนฝันร้าย
ตกดึกคืนนั้นหล่อนฝัน... และมันไม่ใช่ครั้งแรก เพราะตั้งแต่อายุก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ ๒๗ หล่อนฝันแบบนี้ซ้ำๆ แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าจะฝันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งหล่อนก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้สักที ในความฝันช่างดูเหมือนจริงเหลือเกิน...เหมือนเสียจนน่ากลัว
ในฝันนั้นเป็นภาพหล่อนตกลงไปในหลุมดำขนาดใหญ่ บนปากหลุมมีหญิงสาวน่าจะวัยไล่เลี่ยกับหล่อนแต่มีรูปร่างเล็กกว่า ผอมบาง ต่างกายด้วยชุดที่คล้ายชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ดวงตามองมายังก้นหลุมด้วยอาการเลื่อนลอย ขนาบสองข้างด้วยกลุ่มชายร่างสูงใหญ่กำยำตัวดำทะมึนยืนซึ่งยืนล้อมปากหลุมมองด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย... ในมือทุกคนกำก้อนดินเอาไว้ และเมื่อดินเปียกๆ เริ่มหล่นลงมาปะทะกับร่างกายและใบหน้าของหล่อน ก่อนที่จะได้ยินเสียงสวดเป็นภาษาประหลาดแปลกหู
ก่อนที่หล่อนจะผวาสะดุ้งตื่น และเริ่มร้องไห้อย่างบ้าคลั่งแม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน แต่ช่างเป็นฝันที่หดหู่และน่ากลัวจับใจ...
ก่อนหน้านี้หล่อนไม่ทราบว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร แต่ครั้งนี้ภาพของผู้ชายที่ยืนอยู่บนปากหลุมขณะที่หล่อนนอนอยู่ในก้นหลุมชัดเจนขึ้นในส่วนของเครื่องแต่งกายที่คล้ายชายกลุ่มนั้น... ที่หล่อนพบในศาลากลางจังหวัด กลุ่มคนที่ต้องการพบกับบิดาของหล่อนแต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้พบ
ชายกลุ่มนั้นเกี่ยวข้องกับความฝันของหล่อนอย่างไรกันแน่... แล้วพิธีกรรมดังกล่าวนั้นคืออะไร
“หน้าตาดูเหมือนคนไม่ได้นอน ไม่กลับบ้านแค่ปีเดียวนี่ถึงกับนอนห้องนอนตัวเองไม่ได้เลยว่างั้นเถอะ”
“โถพ่อก็... เพลินนอนไม่หลับต่างหาก”
“ฝันร้าย?”
“ค่ะ... ถ้าไม่นับการถูกพักงาน นี่เป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยฝันมาเลยล่ะ” หญิงสาวถอนหายใจ ยกข้อศอกขึ้นวางบนโต๊ะอาหาร มือสองข้างนวดขมับหวังจะคลายอาการปวดตุบๆ ให้ทุเลาลง “เรื่องแย่ๆ มันจะมาตอนเบญจเพสไม่ใช่เหรอ นี่ ๒๗ อีกไม่กี่เดือนก็จะ ๒๘ อยู่แล้ว... ทำไมเพิ่งมาซวยเอาป่านนี้”
เจ้าหล่อนเริ่มโวยวาย ขณะที่คนเป็นพ่อหัวเราะพร้อมส่ายหน้าเบาๆ ลุกขึ้นไปหยิบกระปุกยาแก้ปวดหัวจากตู้เก็บยามาวางไว้ด้านขวามือของบุตรสาว
“ทำแบบนั้นไม่ช่วยอะไรหรอกนะ กินยาพาราดีกว่านะพ่อว่า”
พลอยชีวันกำขวดยาเอาไว้พร้อมเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา คล้ายจะครุ่นคิดอยู่ครู่เดียว ก่อนจะลุกขึ้นยืน “เพลินไปวิ่งดีกว่า”
“เฮ้ย ปวดหัวอยู่ไม่ใช่หรือ”
“แก้เครียดค่ะ ขอไปเอาเหงื่อออกหน่อยดีกว่า”
“ตามใจแล้วกัน พ่อทำข้าวต้มไว้นะ”
ร่างสูงโปร่งหยิบรองเท้าผ้าใบพร้อมค้นหาถุงเท้าในลิ้นชัก หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดเพลย์ลิสต์ประจำ ใส่หูฟัง ลุกขึ้นวอร์มร่างกายด้วยการบิดซ้ายบิดขวาก่อนจะออกวิ่ง
จากจวนท่านผู้ว่าไปยังสวนสาธารณะที่มีบึงน้ำขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดเป็นระยะทางราวสองกิโลเมตร พลอยชีวันวิ่งๆ หยุดๆ โดยไม่ได้ตั้งใจว่าจะหันไปเจอกับกลุ่มชายหนุ่มที่หล่อนพบเมื่อวาน แรกที หล่อนบอกตัวเองให้วิ่งผ่านไป จากฝันร้ายเมื่อคืนที่ยังติดค้างอยู่ในมโนภาพแม้จะตื่นจากการนอนหลับแล้วก็ตาม แต่ทว่าอีกใจหนึ่ง หล่อนกลับรู้สึกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาเหมือนมาตายเอาดาบหน้า มาโดยไม่รู้อะไรเลยเสียด้วยซ้ำ แล้วดูท่าเมื่อคืนจะไม่มีที่ไป จึงได้พากันมานั่งอยู่ริมสวนสาธารณะแบบนี้
“มานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ย ไปๆ คนจะขายของ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฟังภาษาไทยออกหรือเปล่าเนี่ย ไม่ต้องมามองหน้า ไปเลยจะไปไหนก็ไป” เห็นแม่ค้าที่กำลังจะตั้งร้านข้าวริมฟุตบาทโบกไม้โบกมือไล่ ด้วยสัญชาตญาณ พลอยชีวันถอดหูฟังออกแล้วตรงเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มชายคนดังกล่าวทันที “พูดกันดีๆ ก็ได้นี่ป้า ทำไมต้องไล่กันอย่างกับหมูกับหมาแบบนี้ด้วย”
“ไม่ต้องมายุ่ง” หล่อนโดนหางเลขเข้าจนได้ แต่คนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นจนถูกเพื่อนสนิทแขวะว่าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหรือหนักหน่อยก็พวกชอบสอใส่เกือก... เพียงแค่นี้น่ะหรือ พลอยชีวันชักชินเสียแล้ว “ไม่อยากยุ่งหรอก แต่เห็นแล้วมันทนไม่ไหว ทีหน้าที่หลังพูดกันดีๆ สิ”
“เอ๊ะ นังหนูนี่”
หญิงสาวยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากตนเองพร้อมถลึงตามองอย่างไม่กลัวหัวหงอกหัวดำ ส่งผลให้อีกฝ่ายอึ้งไปครู่ใหญ่ และหล่อนก็ถือเอาจังหวะนั้นหันไปหาชายชุดสีน้ำตาล
“ไปเถอะจากตรงนี้ค่ะ คนแถวนี้ใจร้าย”
ชายในชุดน้ำตาลมองหน้าหล่อน ดวงตาไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ เป็นดวงตาที่ว่างเปล่า แต่แล้วเพียงครู่เดียวก็พยักหน้าและหันไปเอ่ยกับพวกพ้องของตนและออกเดินตามหลังพลอยชีวันมาช้าๆ ทิ้งระยะห่างเล็กน้อย
“คุณ... รู้จักผู้ว่าราชการจังหวัดไหม”
หญิงสาวหยุดเดิน หันกลับมาเผชิญหน้ายามเมื่อถามกลับ “คุณมีธุระอะไรกับท่านหรือคะ คุณทราบใช่ไหมว่าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ใช่คนที่เข้าถึงตัวได้ง่ายๆ”
“ผมทราบ และผมก็ได้ฝากจดหมายไปถึงท่านแล้ว เราจะรอจนกว่าจะพบท่าน”
“พวกคุณเป็นใคร มาจากไหนหรือคะ”
“เราเดินทางมาไกลมาก” นั่นคือคำตอบที่หล่อนได้รับ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใคร่เต็มใจตอบสักเท่าไร ในเมื่อไม่อยากตอบ หล่อนก็ขี้คร้านจะเซ้าซี้ “เขาคงไม่ให้คุณเข้าพบผู้ว่าได้ง่ายๆ หรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ฉันหมายถึงเรื่องสำคัญที่เร่งด่วนมากๆ”
“มันสำคัญและเร่งด่วนมาก มันเกี่ยวกับความอยู่รอดของคนในหมู่บ้านลังกา”
“เกิดอะไรขึ้นคะ พอจะบอกฉันได้ไหม”
สีหน้าคลางแคลง ไม่ไว้ใจ รวมเข้ากับความอยากรู้อยากเห็น บีบให้หล่อนต้องเอ่ยต่อไปอีกทั้งที่ไม่ควรจะเอ่ย “ฉันรู้จักท่านผู้ว่าค่ะ ฉันทำงานกับท่าน... เอาอย่างนี้ ฉันเจอพวกคุณมารอพบท่านเมื่อวาน แต่ก็ไม่ได้พบใช่ไหมคะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็พาเราไปหาท่านได้” น้ำเสียงและสีหน้าของชายคนดังกล่าวดูมีหวังขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ค่ะ จนกว่าฉันจะทราบว่ามันเกี่ยวกับเรื่องอะไรกันแน่”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถบอกคุณได้เพราะเราจะพูดเรื่องนี้เฉพาะกับท่านเท่านั้น... มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ขอโทษด้วยที่ผมไม่สามารถบอกคุณได้”
“ฉันเป็นลูกสาวท่านผู้ว่า... คราวนี้จะบอกฉันได้หรือยัง”
ชายทั้งห้าคนดูประหลาดใจอย่างมาก
ไม่ใช่แค่ชายทั้งห้าคนที่ประหลาดใจ ตัวพลอยชีวันเองยังตกใจที่ตัวเองหลุดปากออกไปแบบนั้น ถ้าหล่อนต้องตาย คงมีสาเหตุหลักมาจากความอยากรู้อยากเห็นตัวเดียวแท้ๆ เชียว
“ถ้าอย่างนั้นเราคงไม่ต้องเจอท่านผู้ว่าแล้ว คนที่เราต้องการพบคือคุณ... ถ้าคุณไม่มีพี่สาวอีกคน”
“ฉันเป็นลูกคนเดียว”
แม้จะตกใจแต่กระนั้นก็มีความตื่นเต้นระคนตื้นตันในคราวเดียวกันฉายชัดอยู่บนใบหน้าของชายวัยสามสิบตอนปลาย
“ผมมีสองสามคำถามที่ต้องถามคุณ”
“ค่ะ... ฉันฟังอยู่”
“ผู้ว่าราชการจังหวัดคนก่อนหน้านี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคุณหรือไม่”
“เป็นคุณตาของฉันเองค่ะ”
“แล้วแม่ของคุณละครับ”
“แม่เสียไปตอนฉันเกิดค่ะ”
“ผมเสียใจที่เรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับครอบครัวของคุณ ครอบครัวของคุณคงต้องผ่านเรื่องราวร้ายๆ กันมามากสินะ” เขามีสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกถึงความเสียใจอย่างที่พูดไว้จริงๆ ขณะที่คนฟังขมวดคิ้ว “ผมชื่อวาสะ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านลังกา... เราต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
“ช่วยเหลือ? ยังไงคะ”
วาสะมองซ้ายมองขวาคล้ายจะสำรวจ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ “เราไปหาที่นั่งคุยกันเถอะ”
------------------------------------------------------
ทั้งที่เพิ่งผ่านฝันร้ายมาหมาดๆ กับภาพที่หล่อนถูกชายกลุ่มนี้หมายเอาชีวิต หล่อนควรอยู่ห่างๆ มิใช่พาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้ แต่ทว่าความอยากรู้อยากเห็น เป็นสัญชาตญาณของพลอยชีวันไปแล้ว และหล่อนคงใจขาดตายถ้าไม่ได้รู้ถึงจุดประสงค์ของคนกลุ่มนี้
หรือไม่ก็อาจจะตาย... เมื่อได้รับรู้เรื่องราวจากคนกลุ่มนี้
“เมื่อเกือบสองร้อยปีที่แล้ว มีเจ้าเมืองคนหนึ่งหลงเข้าไปในหมู่บ้านของเรา” ภายหลังแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จักแล้ว วาสะก็เข้าเรื่องทันที “และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เขาได้พาหญิงสาวที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำด้านจิตวิญญาณหนีออกไปจากหมู่บ้าน ทำให้คนในหมู่บ้านโกรธอย่างมาก โดยเฉพาะหญิงชราที่เป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณในตอนนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของหญิงคนดังกล่าว”
หญิงสาวขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ รู้สึกต่อต้านอย่างมากกับความเกลียดชังที่ช่างไร้เหตุผล
“ความโกรธเกลียดทำให้หญิงชราได้สาปแช่งทั้งหลานของตนเองไม่ให้พบพานกับความสุข ขอให้ชีวิตครอบครัวพบแต่ความโศกเศร้า พลัดพราก และยังพาลโกรธชาวบ้าน สาปแช่งให้หมู่บ้านล่มสลาย ต้องให้หญิงคนดังกล่าวมาขอขมาในหมู่บ้านเท่านั้น มิเช่นนั้นหมู่บ้านจะต้องล่มสลาย”
“ทำไมคนในหมู่บ้านต้องโกรธด้วยละคะ !?”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทั้งหมดที่ผมทราบก็มีเท่านี้” สีหน้าของวาสะแสดงถึงความเสียใจอย่างมากที่ไม่สามารถมอบคำตอบให้กับพลอยชีวันได้ “แต่ตอนนี้คำสาปแช่งกำลังคืบคลานเข้ามาทำลายหมู่บ้านเราอย่างช้าๆ คนในหมู่บ้านเริ่มตายลงจากอุบัติเหตุบ้างและโรคภัยบ้างไม่เว้นแต่ละวัน”
“มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอคะ” หล่อนอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้
“ครับ... คุณจะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ธรรมดาคือต้นสาละลังกาที่เป็นต้นไม้ประจำหมู่บ้านของเรา ที่ตามความเชื่อคือต้นสาละลังกานี้เป็นที่สิงสถิตย์ของวิญญาณบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว กำลังจะตายลง ทั้งที่มันมีชีวิตมายืนยาวกว่าสองร้อยปีแล้ว และมีเพียงคุณคนเดียวที่จะช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากคำสาปแช่งได้”
“เดี๋ยวนะคะ...” เรื่องเล่าทั้งหมดมันออกจะเหลือเชื่อสักหน่อย อีกทั้งหล่อนยังตั้งตัวไม่ทัน ไม่คิดว่าคนธรรมดาๆ อย่างหล่อน วันหนึ่งจะกลายเป็นคนที่มีความสำคัญ สามารถชี้ชะตาคนทั้งหมู่บ้านได้แบบนี้ “ฉันนี่น่ะหรือคะจะช่วยอะไรพวกคุณได้”
เมื่อวาสะพยักหน้า หล่อนจึงรีบถามต่อไปอีก “ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมถึงไม่ใช่แม่หรือยายของฉัน”
“ผมไม่ทราบครับ แต่ที่ผมต้องออกมาตอนนี้เพราะต้นสาละลังกากำลังจะตาย หมู่บ้านของเราคงใกล้จะแย่แล้ว ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่า ที่พูดกันปากต่อปาก แต่ต้นลังกาไม่เคยเหี่ยวเฉา ไม่เคยเลยแม้แต่ปีที่น้ำน้อย... ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ แต่พวกเราอยากจะขอความช่วยเหลือ ขอน้ำใจจากคุณ ก่อนฝนสุดท้ายจะมาเยือน... คุณต้องเดินทางไปถึงหมู่บ้านของเรา มิเช่นนั้น เราหมู่บ้านของเราคงหลายเป็นหมู่บ้านร้าง ผมขอร้องนะครับ...”
“ฉันต้องขอคิดดูก่อนนะคะ” หญิงสาวรีบออกตัว ความตระหนกตกใจเผาผลาญหัวใจให้ร้อนรนจนหล่อนนั่งไม่ติดที่ ผุดลุกขึ้นยืนโดยไม่ตั้งใจ พลอยชีวันได้ยินเสียงในหัวว่าให้พาตัวเองออกไปจากที่นี่ ที่มุมหนึ่งด้านในสุดของร้านอาหารแห่งนี้... โดยไม่ได้บอกลากลุ่มชายดังกล่าวแม้แต่คำเดียว
--------------------------------------------------------------
ตื่นเช้าไปวิ่งออกกำลังกาย ทานข้าว อ่านข่าว อ่านหนังสือ ทานข้าวเที่ยง แล้ววนกลับมาอ่านหนังสือ นานๆ จะลุกไปเดินเล่นสักครั้ง เป็นแบบนี้มาตลอดหลายวัน แต่ถึงกระนั้น ในสมองมันก็ยังวกกลับมาคิดถึงเรื่องคำสาปแช่ง ชาวบ้านลังกา วนไปวนมาซ้ำๆ แม้จะพยายามบอกตัวเองให้เลิกคิดแต่ก็ยังเลิกไม่ได้
พร้อมกันนั้นยังเกิดความคิดที่ว่าหล่อนนี่น่ะหรือจะช่วยอะไรเกี่ยวกับคำสาปแช่งได้ หล่อนไม่ใช่คนเชื่อเรื่องงมงาย แต่ก็ไม่เคยดูถูกศรัทธาหรือความเชื่อของใคร หนำซ้ำเรื่องราวพวกนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ จึงอยู่กึ่งกลางระหว่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ในส่วนที่เชื่อนั้นมันค่อนไปทางความอยากรู้อยากเห็นเสียมากกว่า อยากรู้ว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสาปนี้อย่างไร หรือหากตกลงเดินทางเข้าไปจริงๆ จะทำอะไรได้บ้าง เรื่องสัมผัสที่หกน่ะหรือก็ไม่เคยเกิดมาก่อนในชีวิต จะมีก็เพียงฝันร้ายเกี่ยวกับชาวเกอเท่านั้นที่ฝันอยู่ซ้ำๆ
ดังนั้นความยากรู้อยากเห็นทำให้หล่อนตัดสินใจเปลี่ยนชุดออกนอกบ้าน ตรงไปยังหอสมุดประจำจังหวัด เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับชาติพันธุ์เกอ ซึ่งมีปะปะอยู่ในชุดความรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์ในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรมากไปกว่าการแต่งกาย และเชื่อว่าหมู่บ้านเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ห้ามนำคนนอกเข้าไปในหมู่บ้าน
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้บันทึกเกี่ยวกับหมู่บ้านและชาวเกอแห่งนี้มีข้อมูลเผยแพร่อยู่น้อยมาก...
หญิงสาวถอนหายใจ พร้อมปิดหนังสือเล่มดังกล่าวลง เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนฝาผนังในหอสมุดพบว่าเป็นช่วงบ่ายแล้ว จึงตัดสินใจเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน พร้อมคำถามที่เกิดขึ้นในสมองโดยไม่สามารถลบลืมไปได้แม้แต่วินาทีเดียวนั่นคือคำสาปพวกนั้นมีอยู่จริงหรือ...
แล้วหากมีอยู่จริง คำสาปเหล่านั้นนอกจากจะทำให้หมู่บ้านล่มสลายแล้ว มันจะส่งผลอะไรกับชีวิตหล่อนหรือไม่... และจะส่งผลอย่างไร... ช่างเป็นคำถามยากจะหาคำตอบและช่างรบกวนจิตใจเหลือเกิน
-----------------------------------------------
คุณสิงห์ขรมองอย่างสำรวจกิริยาการเขี่ยข้าวไปมาของบุตรสาว สลับกับการถอนหายใจ เป็นอย่างนั้นอยู่นานจนท้ายที่สุดท่านก็รวบช้อนส้อมเข้าหากัน เรียกความสนใจจากพลอยชีวันให้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาเลื่อนลอยคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่กลับถามออกไปตามสัญชาตญาณ
“พ่ออิ่มแล้วเหรอ”
“พ่อเห็นเพลินเขี่ยข้าวไปมาแล้วพ่อทานไม่ลง สงสัยกับข้าวพ่อจะไม่อร่อย” ว่าพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
หญิงสาวยืดตัวตรง พร้อมตอบทันที “อร่อยสิพ่อ”
“แล้วทำไมไม่กิน”
“ก็... ไม่ค่อยหิวอะ”
“คิดมากเรื่องอะไรอยู่ล่ะสิ”
“พ่อรู้ได้ไง”
“พ่อเป็นพ่อนะ ถึงมันจะเป็นตรรกะประหลาดๆ ก็เถอะ แต่คนเป็นพ่อมันมองออก” พลอยชีวันถอนหายใจ วางช้อนส้อมลงในจาน ประสานมือกันไว้ใต้คาง จ้องบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง
“พ่อ... จำที่เพลินเคยบอกได้ไหม ว่าเมื่อหลายวันก่อน มีพี่น้องเกอเขามาตามหาพ่อ” เมื่อบิดาพยักหน้า ผู้เป็นลูกจึงกล่าวต่อ
“มันอาจจะฟังดูประหลาดๆ แต่นับตั้งแต่เพลินอายุขึ้นปีที่ ๒๗ เพลินก็ฝันถึงผู้หญิงรุ่นๆ เพลิน คนนึงมาตลอด และมีผู้ชายแต่งตัวคล้ายกับผู้ชายที่เขามาตามหาพ่อ พอมารู้ทีหลังจึงรู้ว่าพวกเขาคือพี่น้องกะเหรี่ยงเกอ... พวกเขาเป็นใครเหรอคะ พ่อพอจะรู้เกี่ยวกับประวัติชาวเกอไหม”
“ก็... เริ่มยังไงดีล่ะ คือในประเทศไทยเนี่ย มีความหลากหลายของเชื้อชาติและชาติพันธุ์มาก จังหวัดแถบบ้านเรา ก็มีพี่น้องกะเหรี่ยง พี่น้องม้ง พี่น้องแม้ว แต่ถ้ามีจำนวนประชากรมากหน่อยก็พี่น้องกะเหรี่ยง ซึ่งจังหวัดเราส่วนมากจะเป็นกะเหรี่ยงปาะเกอะญอ แต่จริงๆ แล้วในจังหวัดเรามีพี่น้องกะเหรี่ยงอยู่สามกลุ่ม แบ่งเป็นกะเหรี่ยงโผล่ว หรือที่รู้จักกันในชื่อกระเหรี่ยงดอยเพราะอาศัยอยู่ที่สูง กระเหรี่ยงปากะญอ บางทีเรียก ปกากะญอ ปาเกอญอก็เรียก กลุ่มนี้เราจะรู้จักในชื่อกะเหรี่ยงน้ำ เพราะอาศัยอยู่แม่ต้นน้ำที่มีให้เราใช้กันอย่างทุกวันนี้ แต่มีจำนวนน้อยที่สุด คือกระเหรี่ยงป่า หรือกระเหรี่ยงเกอ เท่าที่ทราบข้อมูลเมื่อปีที่แล้วที่เขาออกมาประชุมกับทางอำเภอก็มีจำนวนประชากรอยู่ ๔๒ หลังคาเรือน”
“แล้วเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเราหรือคะ ทำไมต้องมาตามหาพ่อด้วย”
คุณสิงห์ขรดูมีความลำบากใจอย่างมากในการให้คำตอบแก่บุตรสาว “ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องในหมู่บ้านเขาน่ะ”
ทว่าเรื่องที่บิดาบอกนั้นกลับไม่ตรงกับสิ่งที่หล่อนเพิ่งประสบมา หญิงสาวยกศอกขึ้นวางบนโต๊ะอาหาร มือจับจี้สร้อยเอาไว้โดยอัตโนมัติยามที่หล่อนครุ่นคิดถึงอะไรสักอย่าง พลันนึกขึ้นมาได้
“พ่อคะ จี้สร้อยนี่คืออะไรเหรอคะ พระหรือเปล่า”
“พ่อไม่แน่ใจนะ ตาบอกว่าเห็นยายใส่แล้วตอนยายเสียตาเลยยกให้แม่ แล้วพอแม่เสีย พ่อก็ให้เพลินนี่แหละ ลองไปถามตาดูสิ เผื่อตาจะรู้”
พลอยชีวันพยักหน้ารับ ครั้นอาหารมื้อเย็นผ่านพ้นไปหล่อนก็ขึ้นห้องเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เพราะหล่อนไม่ได้ตั้งใจเพียงจะโทรศัพท์ไปหาผู้เป็นตา แต่ทว่าหล่อนต้องการไปพบท่านเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวบางอย่างที่คุณสิงห์ขรผู้เป็นบิดาไม่สามารถให้คำตอบได้
หรืออีกนัยยะหนึ่ง ท่านอาจจะกำลังเลี่ยงไม่ให้คำตอบแก่หล่อนก็เป็นได้...
----------------------------------------------------
ฝนแรกผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วแต่ยังไร้วี่แววของหญิงสาวผู้ที่จะมาปลดพันธนาการหมู่บ้านให้พ้นจากคำสาปแช่ง เรื่องจริงเกิดขึ้นเกือบ ๒๐๐ ปีมาแล้วแต่ยังถูกบอกเล่าปากต่อปาก แต่งเติมเรื่องราวเข้าไปมากบ้างน้อยบ้างตามแต่จะคิดหรือจินตนาการได้ หากมีเพียงไม่กี่คนในหมู่บ้านเท่านั้นที่ทราบความจริง วาสะเป็นหนึ่งในนั้น
ปราชญ์ชาวบ้านนั่งขัดสมาธิอยู่บนบ้านหญิงชราผู้เป็นผู้นำจิตวิญญาณของหมู่บ้าน เรื่องหนักใจของคนทั้งคู่ในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องชะตากรรมของหมู่บ้าน
“ความมืดดำเข้าใกล้หมู่บ้านของเราเข้ามาทุกที หวังเพียงอย่างเดียว หากหญิงผู้นั้นไม่มาแก้คำสาป ดาตีคงจะไม่เป็นอะไร” ดาตีเป็นหลานสาวของอาจา ซึ่งเกิดจากน้องชาย ผู้ซึ่งจะมาสืบตำแหน่ง ‘พะปอ’ หรือ หญิงผู้นำจิตวิญญาณหมู่บ้านคนต่อไป สืบเนื่องจากการเป็นพะปอนั้นไม่สามารถแต่งงานมีบุตรได้ จึงจำเป็นต้องให้หญิงสาวผู้สืบเชื้อสายเดียวกันมารับหน้าที่ต่อไปในอนาคต “ช่วงนี้คงต้องให้ดาตีอยู่ใกล้หูใกล้ตาท่านเอาไว้”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น”
“อาจา... หญิงคนนั้น ชื่อพลอยชีวัน นางกำลังเดินทางมาใช่หรือไม่” คนถูกถามหลับตาลง ครู่เดียวจึงส่ายหน้า พร้อมกับถอนหายใจ “ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงกลุ่มควันสีเทาที่ข้าเห็น”
“แต่ข้าเชื่อว่านางไม่ใช่คนใจร้าย”
“แล้วนางรู้หรือไม่ว่าถ้าหากมา... นางจะต้องพบกับอะไรบ้าง”
“คือ...”
“เจ้าไม่ได้บอกนางรึวาสะ!? เช่นนั้นเจ้าได้บอกนางหรือไม่ว่าคำสาปไม่ใช่แค่เกี่ยวกับหมู่บ้าน แต่มันยังเกี่ยวกับนางความเป็นความตายของนางด้วย”
“ข้า...”
“ถ้าอย่างนั้นจงเลิกหวังว่านางจะมา!” หญิงชราตวาดลั่น ส่งผลให้วาสะหน้าชา ได้แต่นั่งมองร่างของคู่สนทนาลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้องนอน
เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงลุกขึ้นยืน เพื่อก้าวลงมาจากบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากต้นสาละลังกาอันเป็นต้นไม้ประจำหมู่บ้าน จริงอยู่หากเป็นชาวบ้านกลุ่มอื่นที่มีความเชื่อคล้ายกัน หากต้นไม้ต้นเดิมล้มตายลง อาจจะหาต้นไม้ต้นใหม่หากต้นเดิมไม่ว่าด้วยเหตุอันใดก็ตาม แต่ไม่ใช่กับหมู่บ้านลังกาที่ต้นสาละลังกาต้นนี้ยืนต้นอยู่คู่ที่นี่มานานกว่า ๒๐๐ ปีแล้ว
ชายวัยสามสิบห้าแหงนคอตั้งบ่ามองต้นไม้ที่ใบเริ่มร่วงโรยจนน่าตกใจ สวนทางกับต้นไม้ต้นอื่นๆ ที่ครั้นย่างเข้าหน้าฝนก็พากันแตกใบอ่อนมองแล้วเขียวชอุ่มสบายตาไปหมด เพราะที่นี่เป็นป่าสมบูรณ์ ระบบนิเวศ ฤดูกาล ฝน ความหนาวเย็นจึงไม่เคยแปรผกผันไปตามภาวะโลกร้อนที่คนเมืองแทบจะหลอมละลายไปบนแท่งคอนกรีต ฝนตกต้องตามฤดูกาล หน้าหนาวก็มาเยือนตรงเวลา ฉะนั้น จึงเหลือเวลาไม่ถึงสองเดือนดี... ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะถูกตัดสินว่าจะอยู่หรือจะล่มสลายไปเพราะความผิดที่พวกขาไม่ได้ก่อ...
----------------------------------------------------
พลอยชีวันเคยเดินทางมายังบ้านเกิดของมารดาเพียงไม่กี่ครั้ง เนื่องจากคุณตาอนุพงศ์ อดีตนั้นเคยรับราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดตำแหน่งเดียวกันกับคุณสิงห์ขรผู้เป็นลูกเขย จึงอาศัยอยู่ที่จวนผู้ว่าหลังเดิมก่อนที่จะก่อสร้างใหม่เป็นหลังปัจจุบันที่พลอยชีวันอาศัยอยู่ในตอนนี้ แต่ทว่าภายหลังเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านจึงย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิดในจังหวัดใกล้เคียง พลอยชีวันเคยเดินทางมาที่นี่เพียงครั้งเดียวในวันทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณยายและ ‘คุณพลอยขวัญ’ มารดาของหล่อน
คุณอนุพงศ์มีชะตากรรมที่ไม่ต่างจากคุณสิงห์ขร เมียตายตั้งแต่ยังสาว แต่ก็ไม่สามารถรักใคร่ชอบพอกับใครได้อีกราวกับหัวใจได้ถูกสาปไว้แล้วว่าให้รักหญิงผู้เป็นภรรยาเพียงคนเดียว จึงอุทิศชีวิตทั้งหมดในการทำงานและเลี้ยงดูบุตรสาว ครองตัวเป็นโสดจวบจนปัจจุบัน
บ้านของคุณอนุพงศ์มีลักษณะเป็นบ้านสวน จากประตูไม้หน้าบ้านต้องใช้จักรยานสัญจรเข้าออกยามเมื่อต้องเปิดประตูรับแขก สองข้างถนนขนาบด้วยต้นมะพร้าวสูงและคูคลองน้ำ หญิงสาวเชื่อว่าบ้านหลังอื่นๆ ก็คงมีลักษณะเดียวกันคือเป็นบ้านทำสวนมะพร้าวผสมกับพืชผลไม้อื่นๆ
“เงินบำนาญไม่พอใช้เหรอคะ ทำไมต้องหาเรื่องเหนื่อยอีก” หล่อนกระเซ้าด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่ได้พบหน้าผู้เป็นตา
“ก็ทวดเขาทำไว้ ตาก็ดูบ้างไม่ดูบ้างตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ให้พ่อนายทิงเป็นคนทำจนถึงตอนนี้ดูสิ นายทิงมันมีลูกจนจะมีหลานอีกรุ่นแล้ว เอาน่ะ คนแก่ขี้เบื่อ ไม่มีอะไรทำ ดีกว่านั่งเฉยๆ หายใจทิ้งไปวันๆ”
นายทิงที่ตาพูดถึงคือนายกระทิง หนุ่มใต้รุ่นใหญ่ รูปร่างใหญ่โตสมชื่อกระทิง น่าจะอายุไล่เลี่ยกับบิดามารดาของหล่อน ซึ่งตอนนี้ยืนเอามือประสานกันไว้ข้างหน้า เยื้องออกไปไม่ไกลนัก ที่ทำงานในสวนมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ จนถึงตอนนี้สวนก็มีนายกระทิงเป็นหัวเรือใหญ่ในการเก็บผลผลิตออกส่งขายตลาด มีเมียคอยดูแลคนงาน โดยมีลูกชายคนโตคอยช่วยเหลืออีกแรง
หญิงสาวยกมือไหว้ พบเพียงครั้งเดียวหล่อนก็จำน้าทิงได้ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดมาแต่ไหนแต่ไร แต่ทำงานหนัก ขยันขันแข็ง จนสามารถส่งลูกชายคนกลาง และลูกสาวคนเล็กเรียนจบมหาวิทยาลัย สอบเข้ารับราชการได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ล่ะ”
“คิดถึงค่ะ” คำตอบและรอยยิ้มฉอเลาะทำให้คุณอนุพงศ์ยิ้มกว้าง หัวเราะชอบใจ “คิดถึงก็อยู่ด้วยกันหลายๆ วันดีไหม ตาก็เหงา ลูกหลานก็ไม่มีให้เลี้ยง”
“รอเลี้ยงหลานน้าทิงสิคะ”
“อ้าว แล้วเหลนตาล่ะ”
พลอยชีวันทำหน้าเมื่อย “คงยากค่ะ เจ้าบ่าวยังหาไม่ได้เลย”
“คิดว่าตัวเองสวยเลยเลือกมากไปหน่อยรึ ปีนี้อายุเท่าไรแล้วล่ะ”
“๒๗ ค่ะ เดือนหน้าจะ ๒๘”
“อายุ ๒๗ แม่เจ้าเขาตั้งท้องใกล้จะคลอดเจ้าแล้วมั้งน่ะ” ผู้อาวุโสนิ่งไป เพื่อทบทวนเรื่องในอดีต “ใช่แล้วล่ะ... ตาจำได้ พลอยขวัญเขาเสียปีที่อายุ ๒๗ ปี ย่าง ๒๘ เหมือนยายเจ้าเลยล่ะ”
คนฟังหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ก่อนจะถามในสิ่งที่ไม่อยากได้ยินคำตอบ แต่หล่อนจำเป็นต้องถาม
“คุณยายทวดล่ะคะ เสียตอนอายุเท่าไร”
“ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะไล่ๆ กันเลยกับแม่กับยายเรานี่ล่ะ ๒๗ ย่าง ๒๘ เออ... แปลกจริง นี่ตาเพิ่งจะสังเกตนะนี่”
“คุณตารู้อะไรเกี่ยวกับบรรพบุรุษฝั่งคุณยายทวดบ้างไหมคะ หรือเรื่องเกี่ยวกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอ อะไรพวกนี้น่ะค่ะ”
“นี่เจ้ามาเพราะเรื่องนี้หรอกรึ”
“เรื่องนี้?” ทวนคำเสียงสูง “แสดงว่าคุณตาทราบหรือคะ คุณตาห้ามบอกว่าไม่รู้นะ เพราะพ่อก็ทำเหมือนไม่รู้ทั้งที่รู้ใช่ไหมล่ะคะ”
เมื่อถูกคนเป็นหลานต้อนเสียจนจนมุม คุณอนุพงศ์จึงยากที่จะปฏิเสธหรือกระทั่งเฉไฉไปทางอื่น “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ทานข้าวเย็นให้เรียบร้อยก่อน ถ้าอยากรู้อะไรตาจะเล่าให้ฟัง”
ตกดึกคืนนั้นหล่อนฝัน... และมันไม่ใช่ครั้งแรก เพราะตั้งแต่อายุก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ ๒๗ หล่อนฝันแบบนี้ซ้ำๆ แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าจะฝันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งหล่อนก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้สักที ในความฝันช่างดูเหมือนจริงเหลือเกิน...เหมือนเสียจนน่ากลัว
ในฝันนั้นเป็นภาพหล่อนตกลงไปในหลุมดำขนาดใหญ่ บนปากหลุมมีหญิงสาวน่าจะวัยไล่เลี่ยกับหล่อนแต่มีรูปร่างเล็กกว่า ผอมบาง ต่างกายด้วยชุดที่คล้ายชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ดวงตามองมายังก้นหลุมด้วยอาการเลื่อนลอย ขนาบสองข้างด้วยกลุ่มชายร่างสูงใหญ่กำยำตัวดำทะมึนยืนซึ่งยืนล้อมปากหลุมมองด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย... ในมือทุกคนกำก้อนดินเอาไว้ และเมื่อดินเปียกๆ เริ่มหล่นลงมาปะทะกับร่างกายและใบหน้าของหล่อน ก่อนที่จะได้ยินเสียงสวดเป็นภาษาประหลาดแปลกหู
ก่อนที่หล่อนจะผวาสะดุ้งตื่น และเริ่มร้องไห้อย่างบ้าคลั่งแม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน แต่ช่างเป็นฝันที่หดหู่และน่ากลัวจับใจ...
ก่อนหน้านี้หล่อนไม่ทราบว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร แต่ครั้งนี้ภาพของผู้ชายที่ยืนอยู่บนปากหลุมขณะที่หล่อนนอนอยู่ในก้นหลุมชัดเจนขึ้นในส่วนของเครื่องแต่งกายที่คล้ายชายกลุ่มนั้น... ที่หล่อนพบในศาลากลางจังหวัด กลุ่มคนที่ต้องการพบกับบิดาของหล่อนแต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้พบ
ชายกลุ่มนั้นเกี่ยวข้องกับความฝันของหล่อนอย่างไรกันแน่... แล้วพิธีกรรมดังกล่าวนั้นคืออะไร
“หน้าตาดูเหมือนคนไม่ได้นอน ไม่กลับบ้านแค่ปีเดียวนี่ถึงกับนอนห้องนอนตัวเองไม่ได้เลยว่างั้นเถอะ”
“โถพ่อก็... เพลินนอนไม่หลับต่างหาก”
“ฝันร้าย?”
“ค่ะ... ถ้าไม่นับการถูกพักงาน นี่เป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยฝันมาเลยล่ะ” หญิงสาวถอนหายใจ ยกข้อศอกขึ้นวางบนโต๊ะอาหาร มือสองข้างนวดขมับหวังจะคลายอาการปวดตุบๆ ให้ทุเลาลง “เรื่องแย่ๆ มันจะมาตอนเบญจเพสไม่ใช่เหรอ นี่ ๒๗ อีกไม่กี่เดือนก็จะ ๒๘ อยู่แล้ว... ทำไมเพิ่งมาซวยเอาป่านนี้”
เจ้าหล่อนเริ่มโวยวาย ขณะที่คนเป็นพ่อหัวเราะพร้อมส่ายหน้าเบาๆ ลุกขึ้นไปหยิบกระปุกยาแก้ปวดหัวจากตู้เก็บยามาวางไว้ด้านขวามือของบุตรสาว
“ทำแบบนั้นไม่ช่วยอะไรหรอกนะ กินยาพาราดีกว่านะพ่อว่า”
พลอยชีวันกำขวดยาเอาไว้พร้อมเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา คล้ายจะครุ่นคิดอยู่ครู่เดียว ก่อนจะลุกขึ้นยืน “เพลินไปวิ่งดีกว่า”
“เฮ้ย ปวดหัวอยู่ไม่ใช่หรือ”
“แก้เครียดค่ะ ขอไปเอาเหงื่อออกหน่อยดีกว่า”
“ตามใจแล้วกัน พ่อทำข้าวต้มไว้นะ”
ร่างสูงโปร่งหยิบรองเท้าผ้าใบพร้อมค้นหาถุงเท้าในลิ้นชัก หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดเพลย์ลิสต์ประจำ ใส่หูฟัง ลุกขึ้นวอร์มร่างกายด้วยการบิดซ้ายบิดขวาก่อนจะออกวิ่ง
จากจวนท่านผู้ว่าไปยังสวนสาธารณะที่มีบึงน้ำขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดเป็นระยะทางราวสองกิโลเมตร พลอยชีวันวิ่งๆ หยุดๆ โดยไม่ได้ตั้งใจว่าจะหันไปเจอกับกลุ่มชายหนุ่มที่หล่อนพบเมื่อวาน แรกที หล่อนบอกตัวเองให้วิ่งผ่านไป จากฝันร้ายเมื่อคืนที่ยังติดค้างอยู่ในมโนภาพแม้จะตื่นจากการนอนหลับแล้วก็ตาม แต่ทว่าอีกใจหนึ่ง หล่อนกลับรู้สึกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาเหมือนมาตายเอาดาบหน้า มาโดยไม่รู้อะไรเลยเสียด้วยซ้ำ แล้วดูท่าเมื่อคืนจะไม่มีที่ไป จึงได้พากันมานั่งอยู่ริมสวนสาธารณะแบบนี้
“มานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ย ไปๆ คนจะขายของ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฟังภาษาไทยออกหรือเปล่าเนี่ย ไม่ต้องมามองหน้า ไปเลยจะไปไหนก็ไป” เห็นแม่ค้าที่กำลังจะตั้งร้านข้าวริมฟุตบาทโบกไม้โบกมือไล่ ด้วยสัญชาตญาณ พลอยชีวันถอดหูฟังออกแล้วตรงเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มชายคนดังกล่าวทันที “พูดกันดีๆ ก็ได้นี่ป้า ทำไมต้องไล่กันอย่างกับหมูกับหมาแบบนี้ด้วย”
“ไม่ต้องมายุ่ง” หล่อนโดนหางเลขเข้าจนได้ แต่คนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นจนถูกเพื่อนสนิทแขวะว่าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหรือหนักหน่อยก็พวกชอบสอใส่เกือก... เพียงแค่นี้น่ะหรือ พลอยชีวันชักชินเสียแล้ว “ไม่อยากยุ่งหรอก แต่เห็นแล้วมันทนไม่ไหว ทีหน้าที่หลังพูดกันดีๆ สิ”
“เอ๊ะ นังหนูนี่”
หญิงสาวยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากตนเองพร้อมถลึงตามองอย่างไม่กลัวหัวหงอกหัวดำ ส่งผลให้อีกฝ่ายอึ้งไปครู่ใหญ่ และหล่อนก็ถือเอาจังหวะนั้นหันไปหาชายชุดสีน้ำตาล
“ไปเถอะจากตรงนี้ค่ะ คนแถวนี้ใจร้าย”
ชายในชุดน้ำตาลมองหน้าหล่อน ดวงตาไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ เป็นดวงตาที่ว่างเปล่า แต่แล้วเพียงครู่เดียวก็พยักหน้าและหันไปเอ่ยกับพวกพ้องของตนและออกเดินตามหลังพลอยชีวันมาช้าๆ ทิ้งระยะห่างเล็กน้อย
“คุณ... รู้จักผู้ว่าราชการจังหวัดไหม”
หญิงสาวหยุดเดิน หันกลับมาเผชิญหน้ายามเมื่อถามกลับ “คุณมีธุระอะไรกับท่านหรือคะ คุณทราบใช่ไหมว่าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ใช่คนที่เข้าถึงตัวได้ง่ายๆ”
“ผมทราบ และผมก็ได้ฝากจดหมายไปถึงท่านแล้ว เราจะรอจนกว่าจะพบท่าน”
“พวกคุณเป็นใคร มาจากไหนหรือคะ”
“เราเดินทางมาไกลมาก” นั่นคือคำตอบที่หล่อนได้รับ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใคร่เต็มใจตอบสักเท่าไร ในเมื่อไม่อยากตอบ หล่อนก็ขี้คร้านจะเซ้าซี้ “เขาคงไม่ให้คุณเข้าพบผู้ว่าได้ง่ายๆ หรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ฉันหมายถึงเรื่องสำคัญที่เร่งด่วนมากๆ”
“มันสำคัญและเร่งด่วนมาก มันเกี่ยวกับความอยู่รอดของคนในหมู่บ้านลังกา”
“เกิดอะไรขึ้นคะ พอจะบอกฉันได้ไหม”
สีหน้าคลางแคลง ไม่ไว้ใจ รวมเข้ากับความอยากรู้อยากเห็น บีบให้หล่อนต้องเอ่ยต่อไปอีกทั้งที่ไม่ควรจะเอ่ย “ฉันรู้จักท่านผู้ว่าค่ะ ฉันทำงานกับท่าน... เอาอย่างนี้ ฉันเจอพวกคุณมารอพบท่านเมื่อวาน แต่ก็ไม่ได้พบใช่ไหมคะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็พาเราไปหาท่านได้” น้ำเสียงและสีหน้าของชายคนดังกล่าวดูมีหวังขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ค่ะ จนกว่าฉันจะทราบว่ามันเกี่ยวกับเรื่องอะไรกันแน่”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถบอกคุณได้เพราะเราจะพูดเรื่องนี้เฉพาะกับท่านเท่านั้น... มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ขอโทษด้วยที่ผมไม่สามารถบอกคุณได้”
“ฉันเป็นลูกสาวท่านผู้ว่า... คราวนี้จะบอกฉันได้หรือยัง”
ชายทั้งห้าคนดูประหลาดใจอย่างมาก
ไม่ใช่แค่ชายทั้งห้าคนที่ประหลาดใจ ตัวพลอยชีวันเองยังตกใจที่ตัวเองหลุดปากออกไปแบบนั้น ถ้าหล่อนต้องตาย คงมีสาเหตุหลักมาจากความอยากรู้อยากเห็นตัวเดียวแท้ๆ เชียว
“ถ้าอย่างนั้นเราคงไม่ต้องเจอท่านผู้ว่าแล้ว คนที่เราต้องการพบคือคุณ... ถ้าคุณไม่มีพี่สาวอีกคน”
“ฉันเป็นลูกคนเดียว”
แม้จะตกใจแต่กระนั้นก็มีความตื่นเต้นระคนตื้นตันในคราวเดียวกันฉายชัดอยู่บนใบหน้าของชายวัยสามสิบตอนปลาย
“ผมมีสองสามคำถามที่ต้องถามคุณ”
“ค่ะ... ฉันฟังอยู่”
“ผู้ว่าราชการจังหวัดคนก่อนหน้านี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคุณหรือไม่”
“เป็นคุณตาของฉันเองค่ะ”
“แล้วแม่ของคุณละครับ”
“แม่เสียไปตอนฉันเกิดค่ะ”
“ผมเสียใจที่เรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับครอบครัวของคุณ ครอบครัวของคุณคงต้องผ่านเรื่องราวร้ายๆ กันมามากสินะ” เขามีสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกถึงความเสียใจอย่างที่พูดไว้จริงๆ ขณะที่คนฟังขมวดคิ้ว “ผมชื่อวาสะ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านลังกา... เราต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
“ช่วยเหลือ? ยังไงคะ”
วาสะมองซ้ายมองขวาคล้ายจะสำรวจ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ “เราไปหาที่นั่งคุยกันเถอะ”
------------------------------------------------------
ทั้งที่เพิ่งผ่านฝันร้ายมาหมาดๆ กับภาพที่หล่อนถูกชายกลุ่มนี้หมายเอาชีวิต หล่อนควรอยู่ห่างๆ มิใช่พาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้ แต่ทว่าความอยากรู้อยากเห็น เป็นสัญชาตญาณของพลอยชีวันไปแล้ว และหล่อนคงใจขาดตายถ้าไม่ได้รู้ถึงจุดประสงค์ของคนกลุ่มนี้
หรือไม่ก็อาจจะตาย... เมื่อได้รับรู้เรื่องราวจากคนกลุ่มนี้
“เมื่อเกือบสองร้อยปีที่แล้ว มีเจ้าเมืองคนหนึ่งหลงเข้าไปในหมู่บ้านของเรา” ภายหลังแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จักแล้ว วาสะก็เข้าเรื่องทันที “และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เขาได้พาหญิงสาวที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำด้านจิตวิญญาณหนีออกไปจากหมู่บ้าน ทำให้คนในหมู่บ้านโกรธอย่างมาก โดยเฉพาะหญิงชราที่เป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณในตอนนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของหญิงคนดังกล่าว”
หญิงสาวขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ รู้สึกต่อต้านอย่างมากกับความเกลียดชังที่ช่างไร้เหตุผล
“ความโกรธเกลียดทำให้หญิงชราได้สาปแช่งทั้งหลานของตนเองไม่ให้พบพานกับความสุข ขอให้ชีวิตครอบครัวพบแต่ความโศกเศร้า พลัดพราก และยังพาลโกรธชาวบ้าน สาปแช่งให้หมู่บ้านล่มสลาย ต้องให้หญิงคนดังกล่าวมาขอขมาในหมู่บ้านเท่านั้น มิเช่นนั้นหมู่บ้านจะต้องล่มสลาย”
“ทำไมคนในหมู่บ้านต้องโกรธด้วยละคะ !?”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทั้งหมดที่ผมทราบก็มีเท่านี้” สีหน้าของวาสะแสดงถึงความเสียใจอย่างมากที่ไม่สามารถมอบคำตอบให้กับพลอยชีวันได้ “แต่ตอนนี้คำสาปแช่งกำลังคืบคลานเข้ามาทำลายหมู่บ้านเราอย่างช้าๆ คนในหมู่บ้านเริ่มตายลงจากอุบัติเหตุบ้างและโรคภัยบ้างไม่เว้นแต่ละวัน”
“มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอคะ” หล่อนอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้
“ครับ... คุณจะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ธรรมดาคือต้นสาละลังกาที่เป็นต้นไม้ประจำหมู่บ้านของเรา ที่ตามความเชื่อคือต้นสาละลังกานี้เป็นที่สิงสถิตย์ของวิญญาณบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว กำลังจะตายลง ทั้งที่มันมีชีวิตมายืนยาวกว่าสองร้อยปีแล้ว และมีเพียงคุณคนเดียวที่จะช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากคำสาปแช่งได้”
“เดี๋ยวนะคะ...” เรื่องเล่าทั้งหมดมันออกจะเหลือเชื่อสักหน่อย อีกทั้งหล่อนยังตั้งตัวไม่ทัน ไม่คิดว่าคนธรรมดาๆ อย่างหล่อน วันหนึ่งจะกลายเป็นคนที่มีความสำคัญ สามารถชี้ชะตาคนทั้งหมู่บ้านได้แบบนี้ “ฉันนี่น่ะหรือคะจะช่วยอะไรพวกคุณได้”
เมื่อวาสะพยักหน้า หล่อนจึงรีบถามต่อไปอีก “ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมถึงไม่ใช่แม่หรือยายของฉัน”
“ผมไม่ทราบครับ แต่ที่ผมต้องออกมาตอนนี้เพราะต้นสาละลังกากำลังจะตาย หมู่บ้านของเราคงใกล้จะแย่แล้ว ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่า ที่พูดกันปากต่อปาก แต่ต้นลังกาไม่เคยเหี่ยวเฉา ไม่เคยเลยแม้แต่ปีที่น้ำน้อย... ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ แต่พวกเราอยากจะขอความช่วยเหลือ ขอน้ำใจจากคุณ ก่อนฝนสุดท้ายจะมาเยือน... คุณต้องเดินทางไปถึงหมู่บ้านของเรา มิเช่นนั้น เราหมู่บ้านของเราคงหลายเป็นหมู่บ้านร้าง ผมขอร้องนะครับ...”
“ฉันต้องขอคิดดูก่อนนะคะ” หญิงสาวรีบออกตัว ความตระหนกตกใจเผาผลาญหัวใจให้ร้อนรนจนหล่อนนั่งไม่ติดที่ ผุดลุกขึ้นยืนโดยไม่ตั้งใจ พลอยชีวันได้ยินเสียงในหัวว่าให้พาตัวเองออกไปจากที่นี่ ที่มุมหนึ่งด้านในสุดของร้านอาหารแห่งนี้... โดยไม่ได้บอกลากลุ่มชายดังกล่าวแม้แต่คำเดียว
--------------------------------------------------------------
ตื่นเช้าไปวิ่งออกกำลังกาย ทานข้าว อ่านข่าว อ่านหนังสือ ทานข้าวเที่ยง แล้ววนกลับมาอ่านหนังสือ นานๆ จะลุกไปเดินเล่นสักครั้ง เป็นแบบนี้มาตลอดหลายวัน แต่ถึงกระนั้น ในสมองมันก็ยังวกกลับมาคิดถึงเรื่องคำสาปแช่ง ชาวบ้านลังกา วนไปวนมาซ้ำๆ แม้จะพยายามบอกตัวเองให้เลิกคิดแต่ก็ยังเลิกไม่ได้
พร้อมกันนั้นยังเกิดความคิดที่ว่าหล่อนนี่น่ะหรือจะช่วยอะไรเกี่ยวกับคำสาปแช่งได้ หล่อนไม่ใช่คนเชื่อเรื่องงมงาย แต่ก็ไม่เคยดูถูกศรัทธาหรือความเชื่อของใคร หนำซ้ำเรื่องราวพวกนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ จึงอยู่กึ่งกลางระหว่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ในส่วนที่เชื่อนั้นมันค่อนไปทางความอยากรู้อยากเห็นเสียมากกว่า อยากรู้ว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสาปนี้อย่างไร หรือหากตกลงเดินทางเข้าไปจริงๆ จะทำอะไรได้บ้าง เรื่องสัมผัสที่หกน่ะหรือก็ไม่เคยเกิดมาก่อนในชีวิต จะมีก็เพียงฝันร้ายเกี่ยวกับชาวเกอเท่านั้นที่ฝันอยู่ซ้ำๆ
ดังนั้นความยากรู้อยากเห็นทำให้หล่อนตัดสินใจเปลี่ยนชุดออกนอกบ้าน ตรงไปยังหอสมุดประจำจังหวัด เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับชาติพันธุ์เกอ ซึ่งมีปะปะอยู่ในชุดความรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์ในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรมากไปกว่าการแต่งกาย และเชื่อว่าหมู่บ้านเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ห้ามนำคนนอกเข้าไปในหมู่บ้าน
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้บันทึกเกี่ยวกับหมู่บ้านและชาวเกอแห่งนี้มีข้อมูลเผยแพร่อยู่น้อยมาก...
หญิงสาวถอนหายใจ พร้อมปิดหนังสือเล่มดังกล่าวลง เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนฝาผนังในหอสมุดพบว่าเป็นช่วงบ่ายแล้ว จึงตัดสินใจเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน พร้อมคำถามที่เกิดขึ้นในสมองโดยไม่สามารถลบลืมไปได้แม้แต่วินาทีเดียวนั่นคือคำสาปพวกนั้นมีอยู่จริงหรือ...
แล้วหากมีอยู่จริง คำสาปเหล่านั้นนอกจากจะทำให้หมู่บ้านล่มสลายแล้ว มันจะส่งผลอะไรกับชีวิตหล่อนหรือไม่... และจะส่งผลอย่างไร... ช่างเป็นคำถามยากจะหาคำตอบและช่างรบกวนจิตใจเหลือเกิน
-----------------------------------------------
คุณสิงห์ขรมองอย่างสำรวจกิริยาการเขี่ยข้าวไปมาของบุตรสาว สลับกับการถอนหายใจ เป็นอย่างนั้นอยู่นานจนท้ายที่สุดท่านก็รวบช้อนส้อมเข้าหากัน เรียกความสนใจจากพลอยชีวันให้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาเลื่อนลอยคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่กลับถามออกไปตามสัญชาตญาณ
“พ่ออิ่มแล้วเหรอ”
“พ่อเห็นเพลินเขี่ยข้าวไปมาแล้วพ่อทานไม่ลง สงสัยกับข้าวพ่อจะไม่อร่อย” ว่าพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
หญิงสาวยืดตัวตรง พร้อมตอบทันที “อร่อยสิพ่อ”
“แล้วทำไมไม่กิน”
“ก็... ไม่ค่อยหิวอะ”
“คิดมากเรื่องอะไรอยู่ล่ะสิ”
“พ่อรู้ได้ไง”
“พ่อเป็นพ่อนะ ถึงมันจะเป็นตรรกะประหลาดๆ ก็เถอะ แต่คนเป็นพ่อมันมองออก” พลอยชีวันถอนหายใจ วางช้อนส้อมลงในจาน ประสานมือกันไว้ใต้คาง จ้องบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง
“พ่อ... จำที่เพลินเคยบอกได้ไหม ว่าเมื่อหลายวันก่อน มีพี่น้องเกอเขามาตามหาพ่อ” เมื่อบิดาพยักหน้า ผู้เป็นลูกจึงกล่าวต่อ
“มันอาจจะฟังดูประหลาดๆ แต่นับตั้งแต่เพลินอายุขึ้นปีที่ ๒๗ เพลินก็ฝันถึงผู้หญิงรุ่นๆ เพลิน คนนึงมาตลอด และมีผู้ชายแต่งตัวคล้ายกับผู้ชายที่เขามาตามหาพ่อ พอมารู้ทีหลังจึงรู้ว่าพวกเขาคือพี่น้องกะเหรี่ยงเกอ... พวกเขาเป็นใครเหรอคะ พ่อพอจะรู้เกี่ยวกับประวัติชาวเกอไหม”
“ก็... เริ่มยังไงดีล่ะ คือในประเทศไทยเนี่ย มีความหลากหลายของเชื้อชาติและชาติพันธุ์มาก จังหวัดแถบบ้านเรา ก็มีพี่น้องกะเหรี่ยง พี่น้องม้ง พี่น้องแม้ว แต่ถ้ามีจำนวนประชากรมากหน่อยก็พี่น้องกะเหรี่ยง ซึ่งจังหวัดเราส่วนมากจะเป็นกะเหรี่ยงปาะเกอะญอ แต่จริงๆ แล้วในจังหวัดเรามีพี่น้องกะเหรี่ยงอยู่สามกลุ่ม แบ่งเป็นกะเหรี่ยงโผล่ว หรือที่รู้จักกันในชื่อกระเหรี่ยงดอยเพราะอาศัยอยู่ที่สูง กระเหรี่ยงปากะญอ บางทีเรียก ปกากะญอ ปาเกอญอก็เรียก กลุ่มนี้เราจะรู้จักในชื่อกะเหรี่ยงน้ำ เพราะอาศัยอยู่แม่ต้นน้ำที่มีให้เราใช้กันอย่างทุกวันนี้ แต่มีจำนวนน้อยที่สุด คือกระเหรี่ยงป่า หรือกระเหรี่ยงเกอ เท่าที่ทราบข้อมูลเมื่อปีที่แล้วที่เขาออกมาประชุมกับทางอำเภอก็มีจำนวนประชากรอยู่ ๔๒ หลังคาเรือน”
“แล้วเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเราหรือคะ ทำไมต้องมาตามหาพ่อด้วย”
คุณสิงห์ขรดูมีความลำบากใจอย่างมากในการให้คำตอบแก่บุตรสาว “ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องในหมู่บ้านเขาน่ะ”
ทว่าเรื่องที่บิดาบอกนั้นกลับไม่ตรงกับสิ่งที่หล่อนเพิ่งประสบมา หญิงสาวยกศอกขึ้นวางบนโต๊ะอาหาร มือจับจี้สร้อยเอาไว้โดยอัตโนมัติยามที่หล่อนครุ่นคิดถึงอะไรสักอย่าง พลันนึกขึ้นมาได้
“พ่อคะ จี้สร้อยนี่คืออะไรเหรอคะ พระหรือเปล่า”
“พ่อไม่แน่ใจนะ ตาบอกว่าเห็นยายใส่แล้วตอนยายเสียตาเลยยกให้แม่ แล้วพอแม่เสีย พ่อก็ให้เพลินนี่แหละ ลองไปถามตาดูสิ เผื่อตาจะรู้”
พลอยชีวันพยักหน้ารับ ครั้นอาหารมื้อเย็นผ่านพ้นไปหล่อนก็ขึ้นห้องเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เพราะหล่อนไม่ได้ตั้งใจเพียงจะโทรศัพท์ไปหาผู้เป็นตา แต่ทว่าหล่อนต้องการไปพบท่านเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวบางอย่างที่คุณสิงห์ขรผู้เป็นบิดาไม่สามารถให้คำตอบได้
หรืออีกนัยยะหนึ่ง ท่านอาจจะกำลังเลี่ยงไม่ให้คำตอบแก่หล่อนก็เป็นได้...
----------------------------------------------------
ฝนแรกผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วแต่ยังไร้วี่แววของหญิงสาวผู้ที่จะมาปลดพันธนาการหมู่บ้านให้พ้นจากคำสาปแช่ง เรื่องจริงเกิดขึ้นเกือบ ๒๐๐ ปีมาแล้วแต่ยังถูกบอกเล่าปากต่อปาก แต่งเติมเรื่องราวเข้าไปมากบ้างน้อยบ้างตามแต่จะคิดหรือจินตนาการได้ หากมีเพียงไม่กี่คนในหมู่บ้านเท่านั้นที่ทราบความจริง วาสะเป็นหนึ่งในนั้น
ปราชญ์ชาวบ้านนั่งขัดสมาธิอยู่บนบ้านหญิงชราผู้เป็นผู้นำจิตวิญญาณของหมู่บ้าน เรื่องหนักใจของคนทั้งคู่ในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องชะตากรรมของหมู่บ้าน
“ความมืดดำเข้าใกล้หมู่บ้านของเราเข้ามาทุกที หวังเพียงอย่างเดียว หากหญิงผู้นั้นไม่มาแก้คำสาป ดาตีคงจะไม่เป็นอะไร” ดาตีเป็นหลานสาวของอาจา ซึ่งเกิดจากน้องชาย ผู้ซึ่งจะมาสืบตำแหน่ง ‘พะปอ’ หรือ หญิงผู้นำจิตวิญญาณหมู่บ้านคนต่อไป สืบเนื่องจากการเป็นพะปอนั้นไม่สามารถแต่งงานมีบุตรได้ จึงจำเป็นต้องให้หญิงสาวผู้สืบเชื้อสายเดียวกันมารับหน้าที่ต่อไปในอนาคต “ช่วงนี้คงต้องให้ดาตีอยู่ใกล้หูใกล้ตาท่านเอาไว้”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น”
“อาจา... หญิงคนนั้น ชื่อพลอยชีวัน นางกำลังเดินทางมาใช่หรือไม่” คนถูกถามหลับตาลง ครู่เดียวจึงส่ายหน้า พร้อมกับถอนหายใจ “ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงกลุ่มควันสีเทาที่ข้าเห็น”
“แต่ข้าเชื่อว่านางไม่ใช่คนใจร้าย”
“แล้วนางรู้หรือไม่ว่าถ้าหากมา... นางจะต้องพบกับอะไรบ้าง”
“คือ...”
“เจ้าไม่ได้บอกนางรึวาสะ!? เช่นนั้นเจ้าได้บอกนางหรือไม่ว่าคำสาปไม่ใช่แค่เกี่ยวกับหมู่บ้าน แต่มันยังเกี่ยวกับนางความเป็นความตายของนางด้วย”
“ข้า...”
“ถ้าอย่างนั้นจงเลิกหวังว่านางจะมา!” หญิงชราตวาดลั่น ส่งผลให้วาสะหน้าชา ได้แต่นั่งมองร่างของคู่สนทนาลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้องนอน
เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงลุกขึ้นยืน เพื่อก้าวลงมาจากบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากต้นสาละลังกาอันเป็นต้นไม้ประจำหมู่บ้าน จริงอยู่หากเป็นชาวบ้านกลุ่มอื่นที่มีความเชื่อคล้ายกัน หากต้นไม้ต้นเดิมล้มตายลง อาจจะหาต้นไม้ต้นใหม่หากต้นเดิมไม่ว่าด้วยเหตุอันใดก็ตาม แต่ไม่ใช่กับหมู่บ้านลังกาที่ต้นสาละลังกาต้นนี้ยืนต้นอยู่คู่ที่นี่มานานกว่า ๒๐๐ ปีแล้ว
ชายวัยสามสิบห้าแหงนคอตั้งบ่ามองต้นไม้ที่ใบเริ่มร่วงโรยจนน่าตกใจ สวนทางกับต้นไม้ต้นอื่นๆ ที่ครั้นย่างเข้าหน้าฝนก็พากันแตกใบอ่อนมองแล้วเขียวชอุ่มสบายตาไปหมด เพราะที่นี่เป็นป่าสมบูรณ์ ระบบนิเวศ ฤดูกาล ฝน ความหนาวเย็นจึงไม่เคยแปรผกผันไปตามภาวะโลกร้อนที่คนเมืองแทบจะหลอมละลายไปบนแท่งคอนกรีต ฝนตกต้องตามฤดูกาล หน้าหนาวก็มาเยือนตรงเวลา ฉะนั้น จึงเหลือเวลาไม่ถึงสองเดือนดี... ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะถูกตัดสินว่าจะอยู่หรือจะล่มสลายไปเพราะความผิดที่พวกขาไม่ได้ก่อ...
----------------------------------------------------
พลอยชีวันเคยเดินทางมายังบ้านเกิดของมารดาเพียงไม่กี่ครั้ง เนื่องจากคุณตาอนุพงศ์ อดีตนั้นเคยรับราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดตำแหน่งเดียวกันกับคุณสิงห์ขรผู้เป็นลูกเขย จึงอาศัยอยู่ที่จวนผู้ว่าหลังเดิมก่อนที่จะก่อสร้างใหม่เป็นหลังปัจจุบันที่พลอยชีวันอาศัยอยู่ในตอนนี้ แต่ทว่าภายหลังเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านจึงย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิดในจังหวัดใกล้เคียง พลอยชีวันเคยเดินทางมาที่นี่เพียงครั้งเดียวในวันทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณยายและ ‘คุณพลอยขวัญ’ มารดาของหล่อน
คุณอนุพงศ์มีชะตากรรมที่ไม่ต่างจากคุณสิงห์ขร เมียตายตั้งแต่ยังสาว แต่ก็ไม่สามารถรักใคร่ชอบพอกับใครได้อีกราวกับหัวใจได้ถูกสาปไว้แล้วว่าให้รักหญิงผู้เป็นภรรยาเพียงคนเดียว จึงอุทิศชีวิตทั้งหมดในการทำงานและเลี้ยงดูบุตรสาว ครองตัวเป็นโสดจวบจนปัจจุบัน
บ้านของคุณอนุพงศ์มีลักษณะเป็นบ้านสวน จากประตูไม้หน้าบ้านต้องใช้จักรยานสัญจรเข้าออกยามเมื่อต้องเปิดประตูรับแขก สองข้างถนนขนาบด้วยต้นมะพร้าวสูงและคูคลองน้ำ หญิงสาวเชื่อว่าบ้านหลังอื่นๆ ก็คงมีลักษณะเดียวกันคือเป็นบ้านทำสวนมะพร้าวผสมกับพืชผลไม้อื่นๆ
“เงินบำนาญไม่พอใช้เหรอคะ ทำไมต้องหาเรื่องเหนื่อยอีก” หล่อนกระเซ้าด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่ได้พบหน้าผู้เป็นตา
“ก็ทวดเขาทำไว้ ตาก็ดูบ้างไม่ดูบ้างตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ให้พ่อนายทิงเป็นคนทำจนถึงตอนนี้ดูสิ นายทิงมันมีลูกจนจะมีหลานอีกรุ่นแล้ว เอาน่ะ คนแก่ขี้เบื่อ ไม่มีอะไรทำ ดีกว่านั่งเฉยๆ หายใจทิ้งไปวันๆ”
นายทิงที่ตาพูดถึงคือนายกระทิง หนุ่มใต้รุ่นใหญ่ รูปร่างใหญ่โตสมชื่อกระทิง น่าจะอายุไล่เลี่ยกับบิดามารดาของหล่อน ซึ่งตอนนี้ยืนเอามือประสานกันไว้ข้างหน้า เยื้องออกไปไม่ไกลนัก ที่ทำงานในสวนมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ จนถึงตอนนี้สวนก็มีนายกระทิงเป็นหัวเรือใหญ่ในการเก็บผลผลิตออกส่งขายตลาด มีเมียคอยดูแลคนงาน โดยมีลูกชายคนโตคอยช่วยเหลืออีกแรง
หญิงสาวยกมือไหว้ พบเพียงครั้งเดียวหล่อนก็จำน้าทิงได้ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดมาแต่ไหนแต่ไร แต่ทำงานหนัก ขยันขันแข็ง จนสามารถส่งลูกชายคนกลาง และลูกสาวคนเล็กเรียนจบมหาวิทยาลัย สอบเข้ารับราชการได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ล่ะ”
“คิดถึงค่ะ” คำตอบและรอยยิ้มฉอเลาะทำให้คุณอนุพงศ์ยิ้มกว้าง หัวเราะชอบใจ “คิดถึงก็อยู่ด้วยกันหลายๆ วันดีไหม ตาก็เหงา ลูกหลานก็ไม่มีให้เลี้ยง”
“รอเลี้ยงหลานน้าทิงสิคะ”
“อ้าว แล้วเหลนตาล่ะ”
พลอยชีวันทำหน้าเมื่อย “คงยากค่ะ เจ้าบ่าวยังหาไม่ได้เลย”
“คิดว่าตัวเองสวยเลยเลือกมากไปหน่อยรึ ปีนี้อายุเท่าไรแล้วล่ะ”
“๒๗ ค่ะ เดือนหน้าจะ ๒๘”
“อายุ ๒๗ แม่เจ้าเขาตั้งท้องใกล้จะคลอดเจ้าแล้วมั้งน่ะ” ผู้อาวุโสนิ่งไป เพื่อทบทวนเรื่องในอดีต “ใช่แล้วล่ะ... ตาจำได้ พลอยขวัญเขาเสียปีที่อายุ ๒๗ ปี ย่าง ๒๘ เหมือนยายเจ้าเลยล่ะ”
คนฟังหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ก่อนจะถามในสิ่งที่ไม่อยากได้ยินคำตอบ แต่หล่อนจำเป็นต้องถาม
“คุณยายทวดล่ะคะ เสียตอนอายุเท่าไร”
“ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะไล่ๆ กันเลยกับแม่กับยายเรานี่ล่ะ ๒๗ ย่าง ๒๘ เออ... แปลกจริง นี่ตาเพิ่งจะสังเกตนะนี่”
“คุณตารู้อะไรเกี่ยวกับบรรพบุรุษฝั่งคุณยายทวดบ้างไหมคะ หรือเรื่องเกี่ยวกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอ อะไรพวกนี้น่ะค่ะ”
“นี่เจ้ามาเพราะเรื่องนี้หรอกรึ”
“เรื่องนี้?” ทวนคำเสียงสูง “แสดงว่าคุณตาทราบหรือคะ คุณตาห้ามบอกว่าไม่รู้นะ เพราะพ่อก็ทำเหมือนไม่รู้ทั้งที่รู้ใช่ไหมล่ะคะ”
เมื่อถูกคนเป็นหลานต้อนเสียจนจนมุม คุณอนุพงศ์จึงยากที่จะปฏิเสธหรือกระทั่งเฉไฉไปทางอื่น “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ทานข้าวเย็นให้เรียบร้อยก่อน ถ้าอยากรู้อะไรตาจะเล่าให้ฟัง”
อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2560, 21:21:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.พ. 2560, 21:21:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 979
<< ตอนที่ ๒ | บทที่ ๔ >> |
แว่นใส 10 ก.พ. 2560, 23:20:18 น.
จะเกิดไรขึ้นนะ
จะเกิดไรขึ้นนะ
Zephyr 25 มี.ค. 2560, 17:30:59 น.
แน่ะ สั่งผู้ว่าละมาสั่งอดีตผู้ว่าอีกแฮะ
แน่ะ สั่งผู้ว่าละมาสั่งอดีตผู้ว่าอีกแฮะ