โคโยตี้สาวร้อนรัก
เมื่อความต้องตาต้องใจในแรกพบเกิดขึ้น ‘อติภพ’ เจ้าพ่อหนุ่มรูปหล่อแห่งสถานบังเทิงหรูจึงไม่รอช้า งัดหากระบวนท่าเพื่อหวังพิชิตและครอบครองสาวน้อยหน้าใสหัวใจโคโยตี้ที่มีนามว่า 'เภตรา' แต่จากที่คิดว่า 'ง่าย' กลับมีสารพัดเรื่องราวของความรัก พ่อแง่แม่งอน รวมถึงความเข้าใจผิดที่ชวนให้เจ้าพ่อหนุ่มต้องปวดหัว
.
ติดตามกันดูนะคะ
.
ลียาอัพทั้งหมด 50% ของเรื่องค่ะ ^_^
.
ติดตามกันดูนะคะ
.
ลียาอัพทั้งหมด 50% ของเรื่องค่ะ ^_^
Tags: อติภพเภตรา โคโยตี้ โคโยตี้สาวร้อนรัก
ตอน: บทที่ 3 ไม่อยากพบเจออีกต่อไป (50%)
ทันทีที่ทั้งสองกลับออกมาจากห้องพักพนักงาน ทุกสายตาที่บอกชัดถึงความสนใจใคร่รู้ก็จับจ้องมาที่ทั้งคู่เป็นตาเดียว ตีหนึ่งกว่า...ไนต์คลับใกล้เลิก คนเริ่มบางตา บอดี้การ์ดสองคนของ ‘ไอ้เถื่อนปริศนา’ ซึ่งเภตราแอบเรียกอยู่ในใจก็โผล่มาน้อมรับคำสั่งว่องไวราวกับล่องหนมาจากไหน
“ให้คนไปส่งเภตราที่บ้าน”
“ครับนาย”
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ไปไหนกับพวกของแกทั้งนั้น!”
“เธอมีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้นสาวน้อย” หลังอาการพยักส่งสัญญาณ หนึ่งในสองของบอดี้การ์ดก็สืบเท้าเข้ามาคล้ายประกบร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อผ้ายับเยินกว่าตอนเข้าไปในห้องให้ออกเดิน เภตรายังขัดขืน เธอพยายามชะเง้อหาพรรคพวกพี่น้องที่ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนกันอยู่โดยที่เหมือนจะไม่ยอมรับรู้หรือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวความเดือดร้อนของเธอเลยแม้สักนิด นี่มันอะไรกัน!
“พี่ก้อย พี่บุ้งคะ ช่วยผึ้งด้วยสิคะ ไอ้พวกนี้มันทำร้ายผึ้ง!”
“เอ้อ...ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกมังจ๊ะ เชื่อพี่เถอะ ผึ้งให้...คุณ...เขาไปส่งเถอะนะ”
“อะไรนะคะ! นี่พวกพี่เป็นไปอะไรกันไปหมดแล้ว ผึ้งกำลังตกอยู่ในอันตรายนะคะ ผู้จัดการล่ะ...ถ้าพวกพี่ไม่กล้า ก็กรุณาช่วยไปตามผู้จัดการหรือโทรแจ้งตำรวจให้ผึ้งทีเถอะนะคะ” เธอลองตะโกนวอนขอเพื่อนร่วมงานที่ยืนหน้าแหยนั่นอีกครั้ง
“เอ้อ คือว่า...”
“ไปได้แล้ว” เสียงห้าวเจือด้วยอำนาจบางอย่างสั่งสั้น
“ครับนาย” สิ้นเสียง ลูกน้องที่แสนจะว่าง่ายก็ผายมือเป็นเชิงเชิญให้เภตราออกเดิน หากเมื่อเธอยังยืนนิ่งแล้วแถมยังทำท่าเหมือนจะหาทางฉากหนีแบบนี้ก็ต้องถูกบอดี้การ์ดคนเดิมลงมือกึ่งลากกึ่งจูงให้ออกไปขึ้นรถยังที่จอดวีไอพีในที่สุด คนที่ยืนมองตามจนแทบลับสายตาหันไปหาศรุดา ผู้จัดการร้านสาวสวยในวัยสามสิบห้าที่เร่งฝีเท้าเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“โคโยตี้ แต่ไม่นั่งดริ๊งค์?” นั่นคือคำถามแรกหลังจากที่ได้ยินได้ฟังชื่อเสียงของเด็กสาวมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว
“ใช่แล้วค่ะ”
“เหตุผล?”
“ตอนที่มาสมัคร น้องผึ้งเธอยืนยันว่าดื่มไม่เป็นจริงๆ ค่ะ ดิฉันก็เลยตกลงให้เต้นโชว์อย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผลก็ออกมาอย่างที่เห็นกัน ตอนนี้เธอกลายเป็นดาวเด่นของไนต์คลับเราไปในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน” ผู้จัดการสาวใหญ่อธิบาย อดจะยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่เภตราจะกลายเป็นดาวของที่นี่ไปเท่านั้น แต่มันหมายถึงว่าสายตาเธอยังแหลมคมพอที่จะคัดคนเข้ามาทำงานได้อย่างมีมาตรฐานมากๆ ด้วย
“อายุเท่าไร?” อาการคนถามยังขรึม
“ยี่สิบปีค่ะ”
“ถ้วน?”
“ใช่แล้วค่ะ ยังเด็กมากถ้าเทียบกับสังคมกลางคืน แต่เธอบอกว่าอยากจะได้งานนี้จริงๆ ดิฉันเห็นว่าทั้งสาวทั้งสวย ดูมีเสน่ห์มากมายเหลือเกินก็เลยรับไว้ เอ่อ...ไม่ทราบว่าบอสเห็นแล้ว...ไม่ถูกใจอะไรหรือเปล่าคะ”
ถามอย่างออกจะเป็นกังวล ศรุดาไม่กล้าฟันธงจริงๆ ว่าที่ถามนี่เพราะ ‘บอส’ ของเธอชอบหรือไม่ชอบใจในตัวของเภตรากันแน่ เมื่อครู่ก็ ‘แบก’ กันหายเข้าไปในห้องนานสองนาน พอกลับออกมาก็ซักไซ้ถามไถ่ประวัติไม่ยอมหยุด ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาห้าปี เธอยังไม่เคยเห็นผู้เป็นเจ้านายทำอะไรห่ามๆ อย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้มาก่อนเลย จริงอยู่ผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างอติภพอาจขึ้นชื่อในเรื่องใช้ผู้หญิงเปลือง แต่จริงอีกเหมือนกันที่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะถูกปฏิเสธหรือว่าถึงขนาดต้องใช้กำลังเข้ารวบรัดอย่างที่เพิ่งทำต่อหน้าลูกน้องมากมายไปเมื่อครู่ ยิ่งเป็นเด็กในปกครองยิ่งแล้วใหญ่ เคยมีเสียที่ไหนที่เขาจะเข้าไปยุ่งด้วยให้เสียการปกครอง เคสนี้นี่ถือเป็นครั้งแรกจริงๆ เพราะอย่างนี้ ศรุดาถึงอยากรู้ ว่าลึกๆ แล้วอติภพคิดยังไงกับเด็กเภตรา แล้วนี่ถ้าไม่ส่งสัญญาณว่าให้ปิดสถานะของเขาต่อเด็กสาว ป่านนี้เภตราอาจได้ช็อกตายเพราะความตกใจกับไอ้การที่เจ้าหล่อนเพิ่งประเคนขวดเหล้าเข้ากลางหัวคนเป็นนายไปก่อนหน้าแล้วก็เป็นได้ ศรุดาคิดแล้วลอบระบายลมหายใจ บอสก็เถอะ เล่นอะไรพิลึกก็ไม่รู้
“ยังเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า”
“เอ่อ...เห็นว่าหยุดไว้ก่อนน่ะค่ะ”
“หยุด ทำไม มีปัญหาเรื่องเงินหรือ” คำถามนั้นตรงที่สุด แต่ศรุดาก็ไม่อาจจะให้คำตอบได้
“เรื่องส่วนตัวขนาดนั้น ทางเราก็ไม่ทราบแน่ชัดเหมือนกันค่ะ ในใบสมัครบอกไว้แค่ว่าจบชั้นมัธยมปลาย อาศัยอยู่กับแม่สองคนแถวคลองเตยน่ะค่ะ”
“คลองเตย มันน่าอยู่ตรงไหน” หัวคิ้วหนาขมวดเข้าเล็กน้อย
“เอ่อ...คิดว่า...เธอน่าจะมีความจำเป็นนะคะ”
“นิสัยใจคอเป็นยังไง” ประโยคนี้ทำเอาศรุดายิ้มออกมาได้ เธอค่อยอธิบาย
“น่ารักมากค่ะ เป็นเด็กขยัน มีสัมมาคารวะ มีน้ำใจ ตั้งใจทำงาน แล้วก็เป็นที่รักของพี่ๆ ทุกคนในนี้ นี่ขนาดเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นานนะคะ”
“เข้าใจหว่านเสน่ห์” สุ้มเสียงนั้นอ่านอารมณ์ได้ยาก หากเจ้าตัวรู้ หงุดหงิดที่ตัวเองรู้สึกขัดใจเมื่อได้ยินว่าเภตรา ‘เฟรนด์ลี่’ กับทุกคนรอบกายโดยไม่แบ่งชายหญิงแบบนี้
“เธอมีเสน่ห์มากค่ะ แต่จะด้วยจริตมารยาหรือว่ามาจากธรรมชาติของจิตใจล้วนๆ นี่ ดิฉันเชื่อว่า...บอสต้องดูออกแน่”
“ผู้หญิง ก็เหมือนกันทั้งนั้น” หางเสียงนั้นคล้ายจะไม่ให้ความสนใจอะไร
“ถ้าเหมือนจริงๆ คงไม่มีเรื่องแบบเมื่อตะกี้...” อีกฝ่ายงึมงำ
“คุณว่าไงนะ?”
“เอ้อ...ดิฉันต้อง...ขออภัยค่ะ แค่...พูดอะไรเรื่อยเปื่อยไปตามประสา แขกที่มาขอพบบอสใกล้ถึงแล้วนะคะ ห้องรับรองก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นหรือ...ก็ดี” หลังอนุญาตให้ลูกน้องแยกตัวกลับไปทำงานและตนเองก็เตรียมตัวรอการมาถึงของคู่เจรจาทางธุรกิจที่นัดหมายล่วงหน้าเอาไว้ อติภพก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับ ‘เรื่องใหญ่’ ที่เขาเพิ่งก่อขึ้นแต่อย่างใดอีก สำหรับเขาแล้ว มันถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่มีสิทธิ์จะเกิดขึ้นเมื่อไรหรือกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ทั้งนั้น หากว่าบังเอิญมีความพอใจที่ตรงกันและไร้ซึ่งข้อผูกมัด แต่สำหรับสาวน้อยเภตราแล้ว...ความรู้สึกมันผิดกันหน้ามือเป็นหลังมือ... ดึกดื่นคืนเดียวกัน สาวน้อยเองรีบร้อนก้าวลงจากรถยนต์คันหรูที่คนของ ‘ลูกค้าบ้ากาม’ ขับมาส่งตรงทางเดินเข้าซอยแคบๆ มืดๆ อย่างไม่รีรออะไรทั้งนั้น ต่อให้คนในรถจะรีบดับเครื่องและส่งเสียงเรียกเอาไว้ ร่างบางก็เดินลิ่วไม่หันกลับ
“เดี๋ยวสิ!”
“อย่านะ!” เจ้าของเสียงห้วนสะบัดแขนแรง คนที่เพิ่งจะคว้าเอาไว้ยกมือเป็นเชิงว่ายอม พลางบอก
“จะเดินเข้าไปส่งให้ถึงบ้านเท่านั้น”
“ไม่จำเป็น ฉันไปเองได้”
“ทางทั้งมืดทั้งเปลี่ยว แล้วแถมยังมีพวกขี้ยาชุกชุมยิ่งกว่ายุงลายขนาดนี้ เธอจะเดินไปได้ยังไงคนเดียวน่ะ”
“ฉันก็เดินเป็นปกติอยู่แล้ว แถมยังไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะเกิดเรื่องราวหรือปัญหาร้ายแรงอะไร จะเพิ่งมีก็ตอนที่...ตอนที่ฉันต้องโชคร้ายไปเจอกับเจ้านายบ้ากามของพวกนายเข้ายังไง!”
ยิ่งพูดก็เหมือนตอกย้ำตัวเอง เภตราน้ำตาแทบรินเข้าอีกหน เมื่อครู่ในรถเธอก็ร้องมาพอแล้ว จากนี้ต้องอดกลั้นให้ถึงที่สุด จะร้องให้แม่เห็นไม่ได้เป็นเด็ดขาด
“เจ้านายบ้ากามงั้นหรือ อย่าพูดอย่างนี้อีกนะถ้าเธอไม่อยากเดือดร้อน” หากจะขู่หรือเตือน เภตราก็หาได้ยินดียินร้ายไม่ เธอแหวเข้าใส่
“มันยังมีอะไรที่เรียกว่าเดือดร้อนได้มากกว่าที่ฉันเพิ่งเจออีกหรือ นี่ฉันไม่แจ้งความให้ตำรวจจับพวกนายทุกคนก็ดีเท่าไรแล้ว”
“เธอจะเข้าบ้านไม่ใช่หรือ” เจ้าของใบหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาตวัดสายตาจ้องอีกฝ่ายอย่างเจ็บแค้น ถึงนายคนนี้จะไม่ใช่คนเดียวกับที่เพิ่ง...ลงมือทำเรื่องบ้าๆ นั่นกับเธอ แต่สาวน้อยก็รวบเหมา ถือว่ามันเป็นพวกเดียวกันที่เธอควรจะจดจำและลงบัญชีแค้นไว้ไม่ลืมเลือนเช่นกัน
“เลิกมายุ่งวุ่นวายกันฉันซะทีได้ไหม!”
“คำสั่งนาย ใครก็ห้ามขัด ฉันมีหน้าที่ตามไปส่งเธอให้ถึงประตูบ้าน เดินนำไปสิเภตรา”
“ไม่!”
“ป่านนี้คนที่บ้านของเธอคงเป็นห่วง” คนว่าเข้าใจเอาแม่ของเธอมาอ้าง
“แม่ฉันจะไม่ต้องห่วงกังวลอะไรมากมายเลย ถ้า...เจ้านายบ้าๆ ของนายจะไม่มาทำเรื่องเสื่อมเสียกับฉันขนาดนั้น” เธอตวาดอย่างอดไม่ได้ แต่อีกฝ่ายไม่เต้นตาม ทวนถามกลับเรียบๆ สั้นๆ ว่า
“เสื่อมเสีย?”
“ใช่! แต่คนหยาบกระด้างอย่างพวกนายคงไม่มีวันเข้าใจ อยากไปนักใช่ไหม บ้านฉันน่ะ”
แล้วร่างเล็กก็เดินกอดอกแน่นลิ่วๆ ไป ไม่สนใจว่าใครจะเดินตามไม่ตามหรือทันไม่ทันยังไง ไม่นาน...หลังจากฝ่าทั้งกลิ่นน้ำครำสีดำๆ และผ่านทั้งแก๊งขี้ยาซึ่งมี ‘ไอ้โป้’ เป็นหัวโจกยังจับกลุ่มมั่วสุมกันอยู่ช่วงระหว่างกลางตรอกแล้ว เภตราก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านเก่าหลังเล็กๆ แลดูซอมซ่อของเธอ นายคนที่เดินตามหลังมาหยุดมองสำรวจอย่างพินิจ สีหน้าแม้ออกจะขรึมเฉย แต่เภตราก็พอจะเดารู้ คนดูคงกำลังนึกสมเพชเวทนาในความเป็นอยู่ของครอบครัวเธออย่างเต็มที่
“ให้คนไปส่งเภตราที่บ้าน”
“ครับนาย”
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ไปไหนกับพวกของแกทั้งนั้น!”
“เธอมีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้นสาวน้อย” หลังอาการพยักส่งสัญญาณ หนึ่งในสองของบอดี้การ์ดก็สืบเท้าเข้ามาคล้ายประกบร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อผ้ายับเยินกว่าตอนเข้าไปในห้องให้ออกเดิน เภตรายังขัดขืน เธอพยายามชะเง้อหาพรรคพวกพี่น้องที่ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนกันอยู่โดยที่เหมือนจะไม่ยอมรับรู้หรือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวความเดือดร้อนของเธอเลยแม้สักนิด นี่มันอะไรกัน!
“พี่ก้อย พี่บุ้งคะ ช่วยผึ้งด้วยสิคะ ไอ้พวกนี้มันทำร้ายผึ้ง!”
“เอ้อ...ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกมังจ๊ะ เชื่อพี่เถอะ ผึ้งให้...คุณ...เขาไปส่งเถอะนะ”
“อะไรนะคะ! นี่พวกพี่เป็นไปอะไรกันไปหมดแล้ว ผึ้งกำลังตกอยู่ในอันตรายนะคะ ผู้จัดการล่ะ...ถ้าพวกพี่ไม่กล้า ก็กรุณาช่วยไปตามผู้จัดการหรือโทรแจ้งตำรวจให้ผึ้งทีเถอะนะคะ” เธอลองตะโกนวอนขอเพื่อนร่วมงานที่ยืนหน้าแหยนั่นอีกครั้ง
“เอ้อ คือว่า...”
“ไปได้แล้ว” เสียงห้าวเจือด้วยอำนาจบางอย่างสั่งสั้น
“ครับนาย” สิ้นเสียง ลูกน้องที่แสนจะว่าง่ายก็ผายมือเป็นเชิงเชิญให้เภตราออกเดิน หากเมื่อเธอยังยืนนิ่งแล้วแถมยังทำท่าเหมือนจะหาทางฉากหนีแบบนี้ก็ต้องถูกบอดี้การ์ดคนเดิมลงมือกึ่งลากกึ่งจูงให้ออกไปขึ้นรถยังที่จอดวีไอพีในที่สุด คนที่ยืนมองตามจนแทบลับสายตาหันไปหาศรุดา ผู้จัดการร้านสาวสวยในวัยสามสิบห้าที่เร่งฝีเท้าเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“โคโยตี้ แต่ไม่นั่งดริ๊งค์?” นั่นคือคำถามแรกหลังจากที่ได้ยินได้ฟังชื่อเสียงของเด็กสาวมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว
“ใช่แล้วค่ะ”
“เหตุผล?”
“ตอนที่มาสมัคร น้องผึ้งเธอยืนยันว่าดื่มไม่เป็นจริงๆ ค่ะ ดิฉันก็เลยตกลงให้เต้นโชว์อย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผลก็ออกมาอย่างที่เห็นกัน ตอนนี้เธอกลายเป็นดาวเด่นของไนต์คลับเราไปในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน” ผู้จัดการสาวใหญ่อธิบาย อดจะยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่เภตราจะกลายเป็นดาวของที่นี่ไปเท่านั้น แต่มันหมายถึงว่าสายตาเธอยังแหลมคมพอที่จะคัดคนเข้ามาทำงานได้อย่างมีมาตรฐานมากๆ ด้วย
“อายุเท่าไร?” อาการคนถามยังขรึม
“ยี่สิบปีค่ะ”
“ถ้วน?”
“ใช่แล้วค่ะ ยังเด็กมากถ้าเทียบกับสังคมกลางคืน แต่เธอบอกว่าอยากจะได้งานนี้จริงๆ ดิฉันเห็นว่าทั้งสาวทั้งสวย ดูมีเสน่ห์มากมายเหลือเกินก็เลยรับไว้ เอ่อ...ไม่ทราบว่าบอสเห็นแล้ว...ไม่ถูกใจอะไรหรือเปล่าคะ”
ถามอย่างออกจะเป็นกังวล ศรุดาไม่กล้าฟันธงจริงๆ ว่าที่ถามนี่เพราะ ‘บอส’ ของเธอชอบหรือไม่ชอบใจในตัวของเภตรากันแน่ เมื่อครู่ก็ ‘แบก’ กันหายเข้าไปในห้องนานสองนาน พอกลับออกมาก็ซักไซ้ถามไถ่ประวัติไม่ยอมหยุด ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาห้าปี เธอยังไม่เคยเห็นผู้เป็นเจ้านายทำอะไรห่ามๆ อย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้มาก่อนเลย จริงอยู่ผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างอติภพอาจขึ้นชื่อในเรื่องใช้ผู้หญิงเปลือง แต่จริงอีกเหมือนกันที่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะถูกปฏิเสธหรือว่าถึงขนาดต้องใช้กำลังเข้ารวบรัดอย่างที่เพิ่งทำต่อหน้าลูกน้องมากมายไปเมื่อครู่ ยิ่งเป็นเด็กในปกครองยิ่งแล้วใหญ่ เคยมีเสียที่ไหนที่เขาจะเข้าไปยุ่งด้วยให้เสียการปกครอง เคสนี้นี่ถือเป็นครั้งแรกจริงๆ เพราะอย่างนี้ ศรุดาถึงอยากรู้ ว่าลึกๆ แล้วอติภพคิดยังไงกับเด็กเภตรา แล้วนี่ถ้าไม่ส่งสัญญาณว่าให้ปิดสถานะของเขาต่อเด็กสาว ป่านนี้เภตราอาจได้ช็อกตายเพราะความตกใจกับไอ้การที่เจ้าหล่อนเพิ่งประเคนขวดเหล้าเข้ากลางหัวคนเป็นนายไปก่อนหน้าแล้วก็เป็นได้ ศรุดาคิดแล้วลอบระบายลมหายใจ บอสก็เถอะ เล่นอะไรพิลึกก็ไม่รู้
“ยังเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า”
“เอ่อ...เห็นว่าหยุดไว้ก่อนน่ะค่ะ”
“หยุด ทำไม มีปัญหาเรื่องเงินหรือ” คำถามนั้นตรงที่สุด แต่ศรุดาก็ไม่อาจจะให้คำตอบได้
“เรื่องส่วนตัวขนาดนั้น ทางเราก็ไม่ทราบแน่ชัดเหมือนกันค่ะ ในใบสมัครบอกไว้แค่ว่าจบชั้นมัธยมปลาย อาศัยอยู่กับแม่สองคนแถวคลองเตยน่ะค่ะ”
“คลองเตย มันน่าอยู่ตรงไหน” หัวคิ้วหนาขมวดเข้าเล็กน้อย
“เอ่อ...คิดว่า...เธอน่าจะมีความจำเป็นนะคะ”
“นิสัยใจคอเป็นยังไง” ประโยคนี้ทำเอาศรุดายิ้มออกมาได้ เธอค่อยอธิบาย
“น่ารักมากค่ะ เป็นเด็กขยัน มีสัมมาคารวะ มีน้ำใจ ตั้งใจทำงาน แล้วก็เป็นที่รักของพี่ๆ ทุกคนในนี้ นี่ขนาดเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นานนะคะ”
“เข้าใจหว่านเสน่ห์” สุ้มเสียงนั้นอ่านอารมณ์ได้ยาก หากเจ้าตัวรู้ หงุดหงิดที่ตัวเองรู้สึกขัดใจเมื่อได้ยินว่าเภตรา ‘เฟรนด์ลี่’ กับทุกคนรอบกายโดยไม่แบ่งชายหญิงแบบนี้
“เธอมีเสน่ห์มากค่ะ แต่จะด้วยจริตมารยาหรือว่ามาจากธรรมชาติของจิตใจล้วนๆ นี่ ดิฉันเชื่อว่า...บอสต้องดูออกแน่”
“ผู้หญิง ก็เหมือนกันทั้งนั้น” หางเสียงนั้นคล้ายจะไม่ให้ความสนใจอะไร
“ถ้าเหมือนจริงๆ คงไม่มีเรื่องแบบเมื่อตะกี้...” อีกฝ่ายงึมงำ
“คุณว่าไงนะ?”
“เอ้อ...ดิฉันต้อง...ขออภัยค่ะ แค่...พูดอะไรเรื่อยเปื่อยไปตามประสา แขกที่มาขอพบบอสใกล้ถึงแล้วนะคะ ห้องรับรองก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นหรือ...ก็ดี” หลังอนุญาตให้ลูกน้องแยกตัวกลับไปทำงานและตนเองก็เตรียมตัวรอการมาถึงของคู่เจรจาทางธุรกิจที่นัดหมายล่วงหน้าเอาไว้ อติภพก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับ ‘เรื่องใหญ่’ ที่เขาเพิ่งก่อขึ้นแต่อย่างใดอีก สำหรับเขาแล้ว มันถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่มีสิทธิ์จะเกิดขึ้นเมื่อไรหรือกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ทั้งนั้น หากว่าบังเอิญมีความพอใจที่ตรงกันและไร้ซึ่งข้อผูกมัด แต่สำหรับสาวน้อยเภตราแล้ว...ความรู้สึกมันผิดกันหน้ามือเป็นหลังมือ... ดึกดื่นคืนเดียวกัน สาวน้อยเองรีบร้อนก้าวลงจากรถยนต์คันหรูที่คนของ ‘ลูกค้าบ้ากาม’ ขับมาส่งตรงทางเดินเข้าซอยแคบๆ มืดๆ อย่างไม่รีรออะไรทั้งนั้น ต่อให้คนในรถจะรีบดับเครื่องและส่งเสียงเรียกเอาไว้ ร่างบางก็เดินลิ่วไม่หันกลับ
“เดี๋ยวสิ!”
“อย่านะ!” เจ้าของเสียงห้วนสะบัดแขนแรง คนที่เพิ่งจะคว้าเอาไว้ยกมือเป็นเชิงว่ายอม พลางบอก
“จะเดินเข้าไปส่งให้ถึงบ้านเท่านั้น”
“ไม่จำเป็น ฉันไปเองได้”
“ทางทั้งมืดทั้งเปลี่ยว แล้วแถมยังมีพวกขี้ยาชุกชุมยิ่งกว่ายุงลายขนาดนี้ เธอจะเดินไปได้ยังไงคนเดียวน่ะ”
“ฉันก็เดินเป็นปกติอยู่แล้ว แถมยังไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะเกิดเรื่องราวหรือปัญหาร้ายแรงอะไร จะเพิ่งมีก็ตอนที่...ตอนที่ฉันต้องโชคร้ายไปเจอกับเจ้านายบ้ากามของพวกนายเข้ายังไง!”
ยิ่งพูดก็เหมือนตอกย้ำตัวเอง เภตราน้ำตาแทบรินเข้าอีกหน เมื่อครู่ในรถเธอก็ร้องมาพอแล้ว จากนี้ต้องอดกลั้นให้ถึงที่สุด จะร้องให้แม่เห็นไม่ได้เป็นเด็ดขาด
“เจ้านายบ้ากามงั้นหรือ อย่าพูดอย่างนี้อีกนะถ้าเธอไม่อยากเดือดร้อน” หากจะขู่หรือเตือน เภตราก็หาได้ยินดียินร้ายไม่ เธอแหวเข้าใส่
“มันยังมีอะไรที่เรียกว่าเดือดร้อนได้มากกว่าที่ฉันเพิ่งเจออีกหรือ นี่ฉันไม่แจ้งความให้ตำรวจจับพวกนายทุกคนก็ดีเท่าไรแล้ว”
“เธอจะเข้าบ้านไม่ใช่หรือ” เจ้าของใบหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาตวัดสายตาจ้องอีกฝ่ายอย่างเจ็บแค้น ถึงนายคนนี้จะไม่ใช่คนเดียวกับที่เพิ่ง...ลงมือทำเรื่องบ้าๆ นั่นกับเธอ แต่สาวน้อยก็รวบเหมา ถือว่ามันเป็นพวกเดียวกันที่เธอควรจะจดจำและลงบัญชีแค้นไว้ไม่ลืมเลือนเช่นกัน
“เลิกมายุ่งวุ่นวายกันฉันซะทีได้ไหม!”
“คำสั่งนาย ใครก็ห้ามขัด ฉันมีหน้าที่ตามไปส่งเธอให้ถึงประตูบ้าน เดินนำไปสิเภตรา”
“ไม่!”
“ป่านนี้คนที่บ้านของเธอคงเป็นห่วง” คนว่าเข้าใจเอาแม่ของเธอมาอ้าง
“แม่ฉันจะไม่ต้องห่วงกังวลอะไรมากมายเลย ถ้า...เจ้านายบ้าๆ ของนายจะไม่มาทำเรื่องเสื่อมเสียกับฉันขนาดนั้น” เธอตวาดอย่างอดไม่ได้ แต่อีกฝ่ายไม่เต้นตาม ทวนถามกลับเรียบๆ สั้นๆ ว่า
“เสื่อมเสีย?”
“ใช่! แต่คนหยาบกระด้างอย่างพวกนายคงไม่มีวันเข้าใจ อยากไปนักใช่ไหม บ้านฉันน่ะ”
แล้วร่างเล็กก็เดินกอดอกแน่นลิ่วๆ ไป ไม่สนใจว่าใครจะเดินตามไม่ตามหรือทันไม่ทันยังไง ไม่นาน...หลังจากฝ่าทั้งกลิ่นน้ำครำสีดำๆ และผ่านทั้งแก๊งขี้ยาซึ่งมี ‘ไอ้โป้’ เป็นหัวโจกยังจับกลุ่มมั่วสุมกันอยู่ช่วงระหว่างกลางตรอกแล้ว เภตราก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านเก่าหลังเล็กๆ แลดูซอมซ่อของเธอ นายคนที่เดินตามหลังมาหยุดมองสำรวจอย่างพินิจ สีหน้าแม้ออกจะขรึมเฉย แต่เภตราก็พอจะเดารู้ คนดูคงกำลังนึกสมเพชเวทนาในความเป็นอยู่ของครอบครัวเธออย่างเต็มที่
ลียา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2560, 15:55:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.พ. 2560, 15:56:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 944
<< บทที่ 2 ถูกใจแต่ไม่ยอมเสียฟอร์ม (100%) | บทที่ 3 ไม่อยากพบเจออีกต่อไป (100%) >> |