สีคิริยา...มนตราแห่งรัก
ณ ดินแดนแห่งความฝัน และอารยธรรมรุ่งเรืองยาวนานกว่าหนึ่งพันปี

ไอรดาละทิ้งทุกอย่างมาที่นี่ หวังเติมเต็มความฝันที่ขาดหาย

ทว่า ใคร...จะคาดคิดว่า ภายใต้ซากมหานครเก่าแก่สลักเสลาด้วยภาพนางอัปสรงามวิจิตร

จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นชักนำไปสู่การพบกัน ระหว่างหญิงสาวผู้ข้ามผ่านห้วงอนาคต...และหัวหน้าโจรกบฏ ผู้ไม่เชื่อในบัญชาสวรรค์

โชคชะตากำหนดให้ทั้งคู่ ร่วมถักทอที่เคยขาดหาย ไกลจรดเส้นขอบฟ้า

พันธนาการหัวใจ มิให้พรากจาก...ดุจดังเช่นคำสัญญา
‘เราจะอยู่ร่วมกัน...นิรันดร'

Tags: นิยายรัก โรแมนติก ตบจูบ เจ้าชาย เจ้าหญิง รักหวานซึ้ง กินใจ

ตอน: มายามหานคร

บทที่ 3
มายามหานคร

“แย่ที่สุดเลย”

ไอรดานั่งลงบนเตียงท่ามกลางความโกรธ ก่อนจะคว้าเอาหนังสือท่องเที่ยว ที่ตนอุตส่าห์ลงทุนหอบหิ้วมาโยนลงถังขยะอย่างไม่ใยดี

“เกือบโดนทิ้ง ให้นอนกลางป่าซะแล้วไหมล่ะ ประสาทราชวังอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะเหมือนกับในหนังสือเลยสักนิด”

ไอรดาบ่นอุบด้วยความผิดหวัง หลังจากที่ต้องหาทางดั้นด้นกลับมายังโรงแรม ด้วยความยากลำบาก จนต้องเสียค่าโดยสารเกินกว่าราคาปกติไปหลายรูปี

เท่านั้นยังไม่พอ โบราณสถานที่เธออุตส่าห์ตั้งความหวังไว้ ยังกลับกลายเป็นปราสาทราชวังสุดหรู ประดับไปด้วยสวนดอกไม้ และสระน้ำพุวิจิตรงามตา ไม่เหมือนกับภาพถ่ายในหนังสือที่ซื้อมาเลยสักนิด

“รู้อย่างนี้ไปเมืองอื่นเสียตั้งแต่แรกก็ดี”

ไอรดาลุกเดินไปเปิดประตูเสื้อผ้า ก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้วยความผิดหวัง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ส่งผลให้หญิงสาวไม่คิดอยากจะอยู่ในเมืองนี้ต่อไป อีกแม้แต่วันเดียว

ห้วงหนึ่งของความคิดไอรดาก็อดที่หวนนึกไปถึงเจ้าของดวงตาสีนิลไม่ได้ ซาบารัตมันที่เธอพบบนยอดเขาสีคิริยาช่างดูห่างเหินประหนึ่งว่าไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนเลยด้วยซ้ำไปทั้งที่เธอเป็นฝ่ายดีใจที่ได้พบแท้ ๆ

“นี่เรารู้สึกผิดหวังขนาดนี้เลยเหรอ” ไอรดาทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ

“โธ่...ชักจะคิดฟุ้งซ่านใหญ่แล้ว ซาบารัตมันเป็นแค่คนผ่านทางที่เคยเจอกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ แล้วยังจะมัวไปคิดถึงเขาอยู่ได้ บ้าจริง ๆ เลย”

หญิงสาวตะโกนหน้าตาแดงจัด ทั้งโกรธและอับอายที่เผลอปล่อยใจไปถวิลหาเขา ไอรดารีบสลัดความฟุ้งซ่านออกไปจากหัวสมอง ก้มหน้าก้มตาเก็บของยัดใส่กระเป๋า เตรียมตัวออกเดินทางต่อไปยังเมืองแคนดี้ในวันรุ่งขึ้น


เช้ารุ่งขึ้นวันต่อมา

ไอรดาลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้อง ลงบันไดไปยังชั้นล่างของโรงแรมเพื่อคืนกุญแจห้องพัก ร่างบางสวมเสื้อแขนกุดสีฟ้าอ่อนรับกับกางเกงสีดำ เน้นเรียวขาให้ดูเพรียวกระชับสมส่วน ดวงหน้างามแต่งแต้มด้วยสีโทนธรรมชาติ สวยหวานน่ามองยิ่งกว่าเดิม

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ดิฉันขอคืนห้องพักเช้านี้เลยได้ไหมคะ”

หญิงสาวยื่นส่งกุญแจให้กับพนักงานต้อนรับสาวสวยด้วยกำหนดการที่เร็วกว่าที่จองเอาไว้ถึงสองวัน

“ต้องการออกเช้านี้เลยเหรอคะมาดาม” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ดูจากประวัติการจองแล้วคุณยังเหลือเวลาอีกสองคืนนี่คะ”

ไอรดาเพียงแต่ยิ้มแห้ง ๆ

“พอดีว่าฉันเปลี่ยนแปลง กำหนดการนิดหน่อยนะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นกรุณานั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบจัดการยกเลิกห้องพักและคืนเงินให้”

“ขอบคุณค่ะ”

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ไอรดาก็ทำท่าจะหมุนตัวลากกระเป๋า เดินกลับไปนั่งรอบริเวณเก้าอี้โซฟาทันที ทว่าจู่ ๆ หญิงสาวก็ดูเหมือนจะนึกขึ้นมาได้จึงหันกลับไปถามปัญหาบางอย่าง

“เอ่อ...ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นคนพื้นเพของที่นี่เลยหรือเปล่า”

“ค่ะ” อีกฝ่ายตอบ “ดิฉันเกิดและเติบโตที่นี่ มีอะไรให้ช่วยเหรอคะ”

ไอรดาจึงตัดสินใจถามปัญหาที่ค้างคาใจ

“ฉันเพิ่งจะได้มีโอกาสมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก เลยไม่ทราบว่าภูเขาสีคิริยามีการบูรณะ สร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ คุณพอจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมคะ”

“บูรณะพระราชวัง” พนักงานสาวสวยทวนคำถาม “หมายถึงการบูรณะพวกเศษซากโบราณสถานให้คงอยู่ในสภาพเดิมใช่ไหมคะ”

“เปล่าค่ะ ฉันหมายถึงการบูรณะพระราชวัง ให้กลับมาสวยงามเหมือนเดิมต่างหาก“

“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ หลายปีมานี้มีเพียงการบูรณะซ่อมแซม ในส่วนที่เสียหายตามธรรมชาติเท่านั้น”

คำตอบที่ได้ทำให้ไอรดางุนงงหนักยิ่งกว่าเก่า

“อะ อะไรนะคะ” หญิงสาวถามซ้ำ “แต่ฉันเห็นพระราชวังตั้งอยู่บนยอดเขาสีคิริยาจริง ๆ นะแถมยังดูไม่เหมือนกับเศษซากโบราณตามที่คุณบอกเลยสักนิด ยังมีสระบัวและสวนอุทยานอยู่บนนั้นด้วยซ้ำไป”

พนักงานโรงแรมสาวสวยมองดูเธอด้วยแววตาแปลก ๆ ไม่เพียงแค่นั้นคนอื่น ๆ ที่ฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ยังพลอยหันมามองเธอ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกด้วย

“ขอโทษนะคะมาดาม คุณคงจะยังไม่หายเพลียจากการเดินทาง ถ้ายังไงให้ทางเราช่วยพาไปพักผ่อนบนห้องรับรองชั่วคราวก่อนดีไหมคะ”

คำพูดของพนักงานโรงแรม ทำให้ไอรดารู้สึกตัว

“ไม่เป็นไรค่ะ สงสัยว่าฉันคงจำสถานที่ผิดไปเท่านั้นเอง”

ไอรดาจงใจหลีกเลี่ยงสายตาจับผิดของอีกฝ่าย พลางทำทีว่าชวนคุยไปยังเรื่องอื่น เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจนกระทั่งบรรยากาศผ่อนคลายลง

“ขอโทษนะคะ ที่พลอยทำให้คุณสับสนไปด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” อีกฝ่ายยิ้มหวาน

“จริงสิคะ พอดีว่าฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านัดกับเพื่อนเอาไว้ ว่าอีกสองวันจะมาเจอกันที่นี่” เจ้าของดวงหน้างามทำท่าคิดหนัก “คุณจะว่าอะไรไหมคะ ถ้าฉันจะขอเข้าพักต่ออีกสักวันสองวัน”

“ไม่มีปัญหาค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบจัดการให้”

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวจำเป็นต้องโกหกออกไป เพื่อให้ได้อยู่ต่อ เพราะในเมื่อทุกคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ว่าที่ยอดเขาสีคิริยาไม่มีพระราชวังอยู่จริง วันพรุ่งนี้เธอจึงตัดสินใจกลับไปยังที่นั่น เพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเองอีกครั้ง


......ดวงจันทร์บนฟากฟ้า ส่องประกายรัศมีปกคลุมไปทั่วทั้งผืนดิน และแนวป่าเป็นวงกว้าง เงาของมันสะท้อนอยู่บนผิวน้ำในสระงาม ประดุจอัญมณีสีอำพัน ใจกลางดินแดนที่เคยถูกขนานนามว่าใกล้เคียงสรวงสวรรค์ ถูกกาลเวลาชำระล้างกลายเป็นเศษดินนานหลายชั่วอายุคนกลายเป็นตำนานเล่าขานแก่ผู้คนมานานนับพันปี

หากจะมีใครสักคนที่ล่วงรู้ว่า

เบื้องหลังตำนานดังกล่าว ยังมีเหตุการณ์ที่สลับซับซ้อนมากยิ่งกว่านั้น

“หลบมายืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว...คืนนี้น้ำค้างลงแรงเดี๋ยวก็จับไข้เอาหรอกค่ะ”

น้ำเสียงกระด้างที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใย ส่งผลให้ร่างสูงที่กำลังยืนทอดสายตาไกลกลับมามอง

ทุกคืนที่พระจันทร์ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าตรงกับศีรษะ ชายหนุ่มมักจะออกมายืนอยู่บริเวณริมขอบผา หันหน้าออกไปทางทิศเหนือ

“ข้าอยากออกมาชมจันทร์น่ะ”

เจ้าของนัยน์ตาสีนิลตอบเสียงเรียบ ท่ามกลางสายลมแรงพัดโบกเส้นผมสะบัดเหนือหน้าผากและดวงตา ร่างสูงสง่าถูกอำพรางด้วยเสื้อผ้าสีน้ำตาลหม่น แต่นั่นก็หาได้ทำให้อีกฝ่ายดูด้อยความสง่างามลงไปแม้แต่น้อย

“ยังเป็นกังวล เรื่องวันพรุ่งนี้อีกหรือคะ” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของใบหน้าสะสวย ผิวสีน้ำผึ้งเอ่ยถาม แต่ชายหนุ่มเลือกจมอยู่ในห้วงความคิดตนเองมากกว่า

“ท่านซาบารัตมัน”

“อีกไม่ช้าเมืองสีคิริยา กำลังจะจัดให้มีพิธีบวงสรวงใหญ่ ผู้คนจากทั่วสารทิศจะมุ่งหน้าไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ข้าจะฉวยโอกาสนี้แฝงตัวเข้าไปในวิหาร สืบหาช่องทางที่จะนำทหารบุกเข้าไปโจมตีกษัตริย์ทรราชให้จงได้”

แม้รู้ดีว่ายังไง ๆ วันนี้ก็ต้องมาถึง แต่สิ่งที่ทำให้ซารารีร้อนใจหาใช่เหตุผลเดียวกันนั่นไม่

“ขอข้าร่วมเดินทางไปด้วยคน จะได้ไหมคะ”

“ซารารี”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ข้าก็ยังอยากติดตามรับใช้ท่าน” ซารารีคุกเข่าลงตรงหน้าเขา

“โปรดอนุญาตให้ซารารีคนนี้ ติดตามรับใช้ท่านไปยังเมืองสีคิริยาด้วยเถอะค่ะ”

“ไม่ได้” ซาบารัตมันปฏิเสธเสียงหนักแน่น “เจ้าเป็นหญิงจะติดสอยห้อยตามข้าได้อย่างไร สิ่งสำคัญคือข้ากำลังจะเดินทางไปสมทบกับท่านอดีตเสนาบดีที่นั่น เตรียมการเปิดศึกสงคราม การที่เจ้าไปกับข้าเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเท่านั้น”

“เรื่องนั้นข้าไม่กลัว เพื่อท่านแล้วต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็ยินดี เรื่องที่ข้าเป็นหญิงท่านไม่จำเป็นต้องห่วง ก่อนหน้านี้ข้าเคยฝึกอาวุธกับพวกผู้ชายจนเชี่ยวชาญมาแล้ว รับรองได้ว่าจะไม่เป็นภาระให้ท่านเด็ดขาด”

“ซารารี”

“ได้โปรดเถอะค่ะ”

ใบหน้าคมคายแฝงความยุ่งยากใจอย่างเห็นได้ชัด ว่ากันตามความเป็นจริงซารารีเองก็พอมีฝีมืออยู่บ้างอีกทั้งยังเคยเป็นบุตรสาวหัวหน้าค่ายโจรที่เขาลี้ภัยไปอาศัยอยู่ด้วยมาก่อน ทว่าภารกิจครั้งนี้มีความเสี่ยงมากเขาจึงไม่ต้องการดึงเธอเข้ามาพัวพัน

ทว่าขณะที่ซาบารัตมันกำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างล่ำสันก้าวเดินออกมาจากหลังต้นไม้พร้อมเอ่ยปากช่วยด้วยอีกแรง

“ให้นางติดตามไปด้วยคนเถอะขอรับ ท่านซาบารัตมัน ขืนปล่อยให้ซารารีคอยเราอยู่ทางนี้ มีหวังนางคงได้ลุกขึ้นมาอาละวาด จนค่ายพักพังพินาศหมดแน่”

หญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำผึ้ง หันขวับไปทำตาเขียวเข้าใส่

“ใครใช้ให้เจ้ามาสอด”

ผู้มาใหม่ยิ้มให้เธอแทนการล้อเลียน

“ใครว่าข้าเข้ามาสอด ข้ามาเพื่อช่วยให้เจ้าสมหวังต่างหากล่ะ”

“ไปให้พ้นเลย เจ้าคนถ่อย”

ประโยคสุดท้ายทำเอาปาดิยะถึงกับสะดุ้ง ขมวดคิ้วด้วยความโกรธ

“เมื่อกี้นี้เจ้าพูดว่ายังไงนะ”

ซารารีลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหาปาดิยะ อย่างไม่คิดเกรงกลัว

“ข้าพูดว่า เจ้ามันผู้ชายถ่อ...”

“ทั้งสองคน หยุดเถียงกันได้แล้ว”

เมื่อเห็นว่าสงครามย่อยกำลังจะลุกลาม ซาบารัตมันก็ชิงตวาดเสียงดังเป็นเชิงปรามเสียก่อน ซารารีกับปาดิยะจำใจยอมสงบศึก หันหลังเดินไปทางใครทางมันอย่างไม่สู้เต็มใจนัก

สิบแปดปีก่อนเพื่อนสนิทของบิดาเธอคนหนึ่ง มาเยือนค่ายโจรพร้อมกับนำเด็กผู้ชายสองคนอายุไม่ถึงสิบขวบมาฝากเลี้ยงเอาไว้ พร้อมทั้งตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ‘ปาดิยะ’ และ ‘ซาบารัตมัน’ อาศัยเลี้ยงดูร่วมกับเธอนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ด้วยนิสัยปากร้าย ไม่ยอมใคร ทั้งยังชอบแกล้งเธอบ่อย ๆ ทำให้ซารารีไม่ชอบขี้หน้าเขาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังคอยหาเรื่องขับไล่ไสส่งต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่สำเร็จ ผิดกับซาบารัตมันที่มีนิสัยสุขุม พูดน้อย บุคลิกท่าทางสง่างาม จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวเลือกใกล้ชิดชายหนุ่ม มากกว่าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชายห่าม ๆ อย่างปาดิยะ

“เอาล่ะปาดิยะ ไหนเจ้าลองบอกเหตุผลมาหน่อยซิ ว่าทำไมถึงอยากให้ข้าพาซารารีไปด้วย”

ซาบารัตมันกล่าวเสียงเรียบ ปาดิยะที่อยู่ในอาการหัวเสีย จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นการเป็นงานมากยิ่งขึ้น

“ความจริง ใช่ว่าข้าอยากให้นางไปด้วยเสียเมื่อไหร่”

ชายหนุ่มใบหน้าคมสันถอนหายใจ ทำเป็นมองไม่เห็นลูกกะตาวาว ๆ ที่จ้องตรงมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“แต่ท่านลองคิดดูสิ ถ้าเกิดว่าพวกเราทิ้งนางอยู่ที่นี่ แล้วเดินทางไปเมืองสีคิริยากันสองคน ครั้นพอถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วถูกพวกทหารซักประวัติเข้า ท่านจะตอบว่ายังไง”

ซาบารัตมันทำท่าครุ่นคิดก่อนตอบว่า

“พ่อค้า”

“ตามหลักแล้วมีพ่อค้าที่ไหนบ้าง เดินทางไปต่างเมืองกันแค่สองคน แถมยังไม่มีสัมภาระสินค้าอะไรติดตัวไปเลยสักอย่าง ดีไม่ดีข้าว่าพวกเราคงถูกจับ ก่อนจะทันได้เข้าเมืองด้วยซ้ำไป”

“แปลว่าเจ้ามีความคิดดี ๆ มาเสนอข้างั้นสิ”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก รับฟังความคิดเห็นของสหายจอมวางแผน

“ไม่เห็นจะยาก ท่านก็แค่หาเพื่อนร่วมทางเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ดูเหมือนกองคาราวานสินค้า แต่งตัวให้สมฐานะพ่อค้าจากต่างเมือง จากนั้นก็นำผ้าแพรเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าไปฝากพวกนายกอง แค่นี้ก็ผ่านไปได้สบายแล้ว”

“สรุปว่าหาพรรคพวกเพิ่ม ไม่เห็นจำเป็นต้องพาซารารีไปด้วยตรงไหน”

ซาบารัตมันพูดไปตามความคิด หารู้ไม่ว่าคนฟังอยู่ข้าง ๆ น้อยใจเพียงใด

“เรื่องนั้นก็จริงอยู่ แต่ถ้าเรามีผู้หญิงร่วมทางไปด้วยสักคน ก็จะยิ่งเจรจาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ท่านไม่รู้อะไร พวกทหารมักใจอ่อนกับสาว ๆ เสมอ”

ขาดคำซารารีก็หันมาตะคอกถาม

“นี่เจ้าตั้งใจใช้ข้า ยั่วยวนพวกทหารงั้นเหรอ”

“ข้าแค่คิดเผื่อเอาไว้ต่างหาก เจ้าเองก็อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าเจ้าหน้าตาน่าเกลียดใช้การไม่ได้ ข้าคงไม่แนะนำให้ร่วมทางไปกับพวกเราหรอกน่า”

หญิงสาวเบิกตาโต ก้มลงคว้าก้อนหินขึ้นมาขว้างเข้าใส่ปาดิยะสุดแรง

“ไปตายซะ เจ้าคนหยาบช้า”

“โอ๊ะ” โชคดีที่ปาดิยะก้มศีรษะหลบก้อนหินได้อย่างท่วงที จึงรอดพ้นจากอาการหัวแตกไปได้อย่างหวุดหวิด “โกรธอะไรกัน นี่ข้ากำลังช่วยพูดให้เจ้าอยู่นะ”

“เจ้าจงใจด่าข้าล่ะสิไม่ว่า”

ไม่พูดเปล่า หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำผึ้งยังระดมปาก้อนหินเล็ก ๆ เข้าใส่ปาดิยะไม่ยอมหยุด ส่งผลให้อีกฝ่ายกระโจนหลบ ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ

“เจ็บนะ ไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาซะเลย”

เหตุการณ์ชุลมุนระหว่างอดีตทหารองครักษ์ กับบุตรีหัวหน้ากองโจรที่ยังคงห้ำหั่นกันไม่ยอมหยุด สร้างความหนักใจให้กับซาบารัตมันเป็นอย่างมาก จนร่างสูงถึงกับยกมือขึ้นกุมหน้าผาก แม้ไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายแต่ดูท่าว่าภารกิจวางแผนในค่ำคืนนี้คงไม่สำเร็จง่าย ๆ เอาเสียเลย

“พอสักทีเถอะ ตอนนี้ข้ากำลังหาวิธีเข้าเมืองสีคิริยาอยู่นะ พวกเจ้ามัวแต่ทะเลาะกันอยู่ได้แบบนี้แล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา” ซาบารัตมันตะโกนเสียงดังลั่น

“ขออภัยครับ, ค่ะ”

เมื่อเห็นว่าเหนือหัวเริ่มมีอาการโกรธขึ้นมาจริง ๆ ทั้งสองคนจึงยอมลดราวาศอก หันหน้าเข้ามาคุยกันอย่างเป็นการเป็นงานมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เจ้าของดวงตาสีนิลถอนหายใจยาว

“เอาล่ะ เหตุผลที่เจ้าอ้างมานับว่ามีเหตุผลอยู่ เอาเป็นว่า ข้าอนุญาตให้ซารารีติดตามไปด้วยคนหนึ่งก็แล้วกัน”

คำตอบดังกล่าว ทำเอาดวงตาสีน้ำผึ้งทอประกายด้วยความดีใจ

“ขอบคุณค่ะ ข้าซารารีคนนี้จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”

“รับปากแล้ว ต้องทำให้ได้ด้วย” ชายหนุ่มย้ำก่อนหันไปทางปาดิยะ “เรื่องกองคาราวานที่กล่าวถึง ข้ามอบหมายให้เจ้าเป็นคนหามาก็แล้วกัน”

“ได้ขอรับ ข้าจะรีบไปจัดการหาคนมาเพิ่มทันที” ปาดิยะรับปากแข็งขัน “ศึกคราวนี้แม้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าจะต้องช่วยท่านกอบกู้บัลลังก์คืนให้จงได้”

ซาบารัตมันมองดูสหายคนสนิทด้วยแววตาขอบคุณ แม้การมีองครักษ์ฝีมือดีอยู่เคียงข้างจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สำหรับเขาแล้วการมีสหายร่วมรบที่ไว้ใจได้ นับเป็นความโชคดีที่หาได้ยากยิ่ง

“ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมาก จงจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีว่าจะต้องรักษาชีวิตเอาไว้ ห้ามตายก่อนที่ข้าจะกอบกู้บัลลังก์สำเร็จเสียก่อน”

“ทราบแล้วครับ/ค่ะ”

“โดยเฉพาะเจ้าซารารี” จู่ ๆ เจ้าของนัยน์ตาสีนิล ก็หันมาทางซารารีพร้อมกับเอ่ยถาม “ปาดิยะอุตส่าห์ออกหน้าแทนแล้ว เจ้าก็อย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ”

“ค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นวันรุ่งขึ้น พวกเราจะออกเดินทางพร้อมกัน คืนนี้ข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน วันพรุ่งนี้ยังมีงานรอให้ทำอีกมาก พวกเจ้าเองก็อย่าอยู่ดึกมากนักล่ะ”

“ขอรับ”

หลังจากที่รอให้ซาบารัตมันเดินจากไปแล้ว ซารารีก็ลุกขึ้นเดินจ้ำอ้าวหนีปาดิยะทันที หากแต่ชายหนุ่มก็ไวทายาท รีบกระโจนเข้าคว้าข้อมือบางเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิ จะรีบไปไหน”

“ปล่อยข้านะ” ซารารีตวาดเสียงดัง สะบัดมือออกจากการเกาะกุมด้วยความรังเกียจ

“ข้าเพียงแต่อยากขอโทษเจ้าเท่านั้น” ชายหนุ่มเอ่ยปาก “ใจจริงข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าโกรธ หรือถูกตำหนินิเลยนะ”

หญิงสาวหันควับขวับไปมอง นัยน์ตาเป็นประกายราวกับนางสิงห์

“ไม่ได้ตั้งใจรึ ผิดแล้วล่ะปาดิยะ เจ้าจงใจหยามหน้าข้าต่างหาก” เธอต่อว่าน้ำเสียงชิงชัง “รีบไปห่าง ๆ ข้าเดี๋ยวนี้เลย ผู้ชายอย่างเจ้ามันน่ารังเกียจที่สุด”

“ซารารี”

“ไปให้พ้น”

ปาดิยะทำท่าจะรั้งเธอไว้ แต่ซารารีกลับผลักเขาออกห่าง หันหลังเดินฉับ ๆ ออกไปด้วยความโกรธ
องครักษ์หนุ่มได้แต่ถอนหายใจยาว ใจจริงแล้วเขาอยากจะพูดออกไปเหลือเกิน ว่ายินดีที่ได้ร่วมทางกับเธอ แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางคิดแบบเดียวกัน

“เฮ้อ...ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ทุกที”


รุ่งสางวันต่อมา

ซาบารัตมันและคณะ ก็เตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทางจากหมู่บ้าน ทุกคนล้วนล้วนแต่งกายด้วยผ้าไหมพื้นเมืองสีสดยาวจรดเอว สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเข้ม รับกับผ้าโพกศีรษะและรองเท้าที่ตัดเย็บจากหนังสัตว์

เจ้าของนัยน์ตาสีนิล สวมชุดพื้นเมืองสีกรมท่าตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายปักด้ายทองเนื้อดี เข้ากับเครื่องประดับแหวนพลอยสมฐานะพ่อค้า ที่หอบเอาสินค้าผ้าไหมเดินทางเข้าไปทำการค้ากับพวกเศรษฐีต่างเมือง

คณะที่ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ มีผู้ที่ชายหนุ่มคัดเลือกไปเป็นจำนวนเกือบสิบคน บรรทุกสัมภาระและหีบสินค้าที่ใช้เชือกมัดของติดกับหลังม้าอย่างแน่นหนา

ปาดิยะและซารารีเองก็ร่วมปลอมตัวปะปนอยู่ในนั้นด้วย หญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำผึ้ง เลือกใส่ชุดส่าหรีเนื้อบางเบาคลุมทับด้วยผ้าไหมสีแดงพาดไหล่ ก่อนใช้ผ้าแพรสีเดียวกันคลุมปกปิดใบหน้าและเส้นผมเห็นแต่ลูกตา ทิ้งชายยาวลงมาจรดกลางหลัง

ความงามของซารารีส่งผลให้คนอื่น ๆ พากันเหลียวมองด้วยความชื่นชม ผิดกับปาดิยะที่ขี่ม้าร่วมขบวนอยู่ทางด้านหน้า คอยเหลียวมองอยู่เป็นระยะ อากัปกิริยาร้อนอกร้อนใจดังกล่าว ทำให้ซาบารัตมันยิ้มออกมาน้อย ๆ

“เป็นอะไรไปปาดิยะ เห็นเจ้ามีท่าทีกระวนกระวายใจตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” เจ้าของใบหน้าคมคายหันไปถามขณะนั่งอยู่บนหลังอาชาสีดำงามสง่า

“ข้ากำลังคิดว่าชุดของซารารีดูสะดุดตาจนเกินไป เกรงว่านางอาจจะทำให้คณะของเรา มีปัญหาตอนถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง” ปาดิยะทำหน้าเครียด

ซาบารัตเหลียวมองไปยังซารารีที่ขี่ม้าเหยาะ ๆ อยู่ทางด้านหลัง โดยที่คนอื่นพากันขี่ม้าขนาบข้างหาเรื่องชวนคุยอยู่ตลอดเวลา

“เรื่องนี้ ข้าเองก็คิดไม่ต่างจากเจ้าหรอกปาดิยะ” ซาบารัตมันเอ่ยยิ้ม

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะรีบไปบอกให้นางเปลี่ยนชุดเสียโดยเร็ว”

ขาดคำ ปาดิยะก็ทำท่าดึงสายจูงบังคับม้าให้เหลียวหลังกลับ แต่ถูกซาบารัตมันห้ามไว้

“ช้าก่อนปาดิยะ ขืนเจ้าไปพูดกับนางตอนนี้ ดีไม่ดีซารารีอาจพาลเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าหาข้ออ้างตำหนิติเตียน กีดกันไม่ให้นางร่วมเดินทางไปกับเราก็ได้”

สีหน้าขององครักษ์หนุ่มเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ

“แต่ข้าว่านางควรจะ...”

“ปล่อยเอาไว้อย่างนั้นแหละ ที่จริงแล้วข้าเองก็เห็นว่านางเลือกชุดได้เหมาะสมกับฐานะดีแล้ว เพียงแต่ห่วงว่าจะไปสะดุดตาพวกทหารอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง”

ซาบารัตมันมองหน้าปาดิยะพร้อมกับยิ้มขัน

“ส่วนเรื่องที่เจ้ากลัวว่า คนอื่นจะเข้าไปเกาะแกะกับนางนั้น ข้ายืนยันได้เลยว่าไม่มีใครกล้าทำเกินเลยไปจากหน้าที่แน่นอน เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“คะ ใครว่าข้าเป็นห่วงนาง” สีหน้าของปาดิยะเข้มขึ้นอย่างปกปิดไม่มิด “ที่ข้ากังวล ก็เพราะเกรงว่านางจะนำปัญหายุ่งยากมาให้เราต่างหาก เอาเถอะ หากท่านยืนยันว่าอย่างนั้นข้าเองก็ไม่มีปัญหา”

พูดจบปาดิยะก็บังคับม้าให้ไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ทางฝั่งซ้าย ซาบารัตมันมองตามด้วยแววตายิ้มขัน เจ้าของนัยน์ตาสีนิลส่ายศีรษะ ก่อนนำขบวนมุ่งหน้าลงสู่ทางทิศใต้ โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่เมืองแห่งชาวสรรค์สีคิริยา...


นับว่าเป็นครั้งที่สอง

ที่ไอรดาตัดสินใจกลับมาเยือนโบราณสถานแห่งนี้...

ร่างบางสวมเสื้อสีฟ้าอ่อน รับกับกางเกงยีนเน้นเรียวขา แลดูทะมัดทะแมงกว่าที่เคย ใบหน้าหวานปราศจากการแต่งแต้มสีสัน มีเพียงลิปกรอสสีชมพูอ่อนเป็นธรรมชาติ ไอรดาหยิบสายกล้องถ่ายรูปขึ้นมาคล้องไหล่ หลังจากที่คราวก่อนที่เธอขึ้นไปจนถึงยอดบนสุด แต่กลับพลาดโอกาสในการถ่ายรูปพระราชวังไว้เป็นหลักฐาน

“คราวนี้ จะต้องพิสูจน์ความจริงให้ได้เลย”

ร่างบางเอ่ยกับตัวเอง ก่อนมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังโบราณสถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี หญิงสาวเดินเลียบไปตามขอบสระน้ำขนาดใหญ่ ลงมือเก็บภาพทุกจุดของเมืองสีคิริยา เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบคำยืนยันถึงสิ่งที่เธอเห็น

ณ บริเวณลานเบื้องล่างของภูเขาหิน ไม่แตกต่างไปจากสภาพเดิม ๆ ที่เธอเคยเห็นครั้งก่อนเลยแม้แต่น้อย ผิดไปจากพระราชวังงามวิจิตร ที่ไอรดาเคยปีนขึ้นไปเห็นที่ชั้นบนสุดราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

ไอรดาเดินขึ้นไปถึงบันไดเวียน ทำจากแผ่นเหล็กทอดเป็นสะพาน ผ่านภาพวาดของนางอัปสรที่ยังคงสีสันงดงามพร้อมถ่ายภาพเป็นระยะ

กระทั่งไต่สูงขึ้นไปจนถึงบริเวณ ‘ลานสิงหบาท’ มีก้อนหินแกะสลักขนาดใหญ่มหึมา ลักษณะเป็นรูปเท้าสิงห์ ร่างบางหยุดยืนระหว่างเท้าสิงห์คู่หน้า เงยหน้ามองขึ้นไปยังบันไดทางขึ้น ที่ทอดยาวไปสู่ยอดเขา ซึ่งมีทั้งความสูงและความชันเป็นปราการด่านสุดท้าย

******************




เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2554, 17:36:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2554, 17:39:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1710





<< ดั่งภาพเนรมิต   รอยต่อของกาลเวลา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account