สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"

หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย

ตอน: บทที่ ๔



บทที่ ๔

ในห้วงภาวะที่แยกไม่ออกระหว่างความจริงหรือความฝัน ไม่แน่ใจว่าตนเองหลับหรือตื่น สินธุ์นทีมองเห็นภาพการปะทะที่เขาไม่มีโอกาสมองเห็นหน้าคนร้าย ที่ส่งฝูงลูกกระสุนร้อนๆ สาดมายังทิศทางที่เขาและทีมลาดตระเวนหลบอยู่ สินธุ์นทีมีโอกาสยิงสวนกลับไปเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ทว่าเพียงนัดเดียวที่ตัดสินใจยิงโต้กลับไป มันกลับตรงดิ่งเข้าไปปลิดชีวิตคนร้ายได้อย่างแม่นยำ

‘ปัง!’
ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว หายใจหอบ เพราะเสียงคล้ายของหนักตกกระทบหลังคาบ้านดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงปืนในห้วงความฝันของเขา ร่างสูงตั้งสติ ยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง แม้ตกดึกอากาศจะหนาว ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา แต่ทว่าตอนนี้ร่างกายใต้ผ้าห่มนวมกลับชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนเสียงของตกบนหลังคาจะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาลุกขึ้นเปิดประตูห้องนอนออกมาพบกับการันต์ที่แม้ภายใต้แสงไฟสลัวๆ จากตะเกียงไฟฟ้าที่ลอดออกมาจากห้องนอนของเขา ชายหนุ่มก็ยังมองเห็นว่าอีกฝ่ายนนั้นหน้าตาตื่นไม่แพ้

“ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรหล่นใส่หลังคาใช่ไหม” สินธุ์นทีถามขึ้นก่อน

“กิ่งไม้ร่วงหรือเปล่าพี่”

“เดี๋ยวข้าออกไปดูเอง”

“พี่น้ำ เอาปืนออกไปด้วย เดี๋ยวผมไปเอาไฟฉาย” ชีวิตป่าไม้ก็เสี่ยงแบบนี้ นอกจากเสี่ยงกับสัตว์ป่ามาทำร้ายแล้ว คนนี่ล่ะที่น่ากลัวที่สุด โดยเฉพาะคนอย่างเขา... ที่ถือว่ายังมีคดีติดตัวอยู่ หนำซ้ำยังมีเรื่องการขัดผลประโยชน์ที่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ระดับหัวหน้ายังเคยถูกลอบทำร้ายมาแล้ว ลูกน้องอย่างเขามีหรือจะรอด

เมื่อสินธุ์นทีออกมาพร้อมกับปืนและไฟฉายโดยมีการันต์เดินตามหลังมาติดๆ สองหนุ่มก็ค่อยๆ เปิดประตูบ้านออกไปท่ามกลางความมืด เพราะในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ มีเพียงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟซึ่งจะตัดอัตโนมัติหลังสี่ทุ่ม ส่วนแผงไฟโซลาเซลก็ใช้ในยามที่จำเป็นเท่านั้นโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนแบบนี้ที่ก้อนเมฆยอมให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาน้อยเหลือเกินจนไม่มีไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้เก็บเอาไว้

ชายหนุ่มส่องกราดไฟฉายไปรอบๆ แล้วไปสะดุดอยู่ที่ร่างของชายในชุดชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเกอสีกากีซึ่งยืนจ้องพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว ครั้นสายตาสามารถปรับให้คุ้นกับความมืดได้ สินธุ์นทีจึงทราบว่าชายคนนั้นคือวาสะนั่นเอง

“วาสะ! มาทำอะไรดึกๆ แบบนี้” เขาแทบกระโดดลงจากระเบียงบ้าน ครั้นตั้งสติได้จึงหันไปสั่งการันต์ “กานต์ ไปหาเสื้อหนาวมาให้วาสะหน่อย ข้าไปรอที่ศาลานะ”

ครั้นการันต์รับคำ ชายหนุ่มจึงปรี่เข้าไปหาวาสะ “ไปผิงไฟก่อน แล้วค่อยคุยกัน”

“ผมมาเพียงครู่เดียว มาส่งจดหมายเท่านั้น”

“ไปก่อน เดี๋ยวก็หนาวตายหรอก คืนนี้อย่างไรนอนเสียที่นี่”

“ผมนอนไม่ได้ บอกเมียกับลูกไว้ว่าจะรีบกลับ ก็ต้องรีบกลับ” วาสะขืนร่างเอาไว้ไม่ยอมเดินตามเมื่อถูกกึ่งดึงกึ่งจับที่ข้อศอก ทำเอาสินธุ์นทีเริ่มหัวเสีย “เป็นทาร์ซานเหรอที่โหนต้นไม้แป๊บเดียวก็จะถึงหมู่บ้านที่ห่างไปร้อยกว่ากิโลเมตรได้”

“ทาร์ซานคืออะไรครับ”

คนฟังทั้งขำทั้งฉิว “ช่างเถอะ”

วาสะจึงเลิกให้ความสนใจกับคำว่า ‘ทาร์ซาน’ “ผู้ช่วยฯ พูดเหมือนไม่รู้จักผม ผมมันคนป่า จะเดินตามถนนคนนอกตัดทำไม ผมก็มีทางลัดของผมสิ”

“ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยกินน้ำอุ่นๆ นั่งให้หายหนาวก่อน” น้ำเสียงเขาฟังดูเฉียบขาด “บ้าหรือเปล่า เดินเท้ามาไม่รู้กี่กิโลเมตร จู่ๆ จะมากลับเลย ออกมาจากหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”

“กินข้าวเช้าเสร็จก็มาเลยครับ”

“เดินเท้าตั้งแต่หกโมงเช้าถึงสี่ทุ่มครึ่งนี่น่ะวาสะ! นอนก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ตายคาถนนหรอก”

“ผมชินแล้วล่ะครับ”

“แต่ผมไม่ชินว่ะ ไปนั่งผิงไฟก่อน นี่ผู้ช่วยฯ กานต์มาพอดี” เขารับเสื้อแขนยาวตัวหนามาจากการันต์แล้วส่งให้วาสะที่แม้ร่างกายจะแข็งแรงมากแต่ยังมีอาการสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด “ใส่เสื้อหนาวไว้ซะ แล้วไปนั่งผิงไฟกับผม กานต์ ข้ารบกวนอีกที ขอกาต้มน้ำใส่น้ำมาให้เต็ม แก้วด้วยสองใบ ไปวาสะ ไปผิงไฟก่อน ไม่อย่างนั้นผมไม่ส่งจดหมายให้”

ได้ยินคำขู่แบบนั้น วาสะจึงยอมแพ้แล้วเดินตามสินธุ์นทีไปในที่สุด

ศาลาหกเหลี่ยมตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับโรงอาหารกึ่งห้องประชุมแบบเปิดที่มองเห็นทะลุกันไปหมด ณ ที่ตรงนั้น สามารถมองเห็นเปลวไฟซึ่งสุมเอาไว้กลางศาลาสามารถขับไล่ความหนาวและสัตว์ได้ในเวลาเดียวกันสำหรับกลุ่มผู้เฝ้ายามกะดึกเรื่อยไปจนถึงเช้าที่วันนี้มีสามคน ทันทีที่มองเห็นว่าผู้ช่วยฯ หนุ่มเดินมาพร้อมใครอีกคน สามหนุ่มก็รีบกระโดดลงมาจากเปลสนามซึ่งผูกโยงไว้กับเสาศาลา ลงมานั่งแผ่นไม้ที่ตียื่นออกมาภายใต้หลังคาศาลา ห่างจากกองไฟเพียงหนึ่งก้าวเท้าเท่านั้นเอง

“ต้มน้ำร้อนไว้หรือเปล่า”

“พอดีกะจะนอนกันแล้วก็เลยไม่ได้ต้มน้ำน่ะครับ”

“เขาให้มาเฝ้ายามโว้ย ไม่ได้ให้มานอนเฝ้ากองไฟ” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะแก้ตัวเสียงอ่อย “ก็ผลัดกันนอนน่ะคร้าบ”

“เออ รู้แล้วโว้ย ข้าล้อเล่นเฉยๆ” คราวนี้คนหัวเราะกลายเป็นเขาบ้าง “วาสะเข้ามานั่งก่อน จะได้หายหนาว”

“ขอบคุณครับ ผู้ช่วยฯ น้ำ”

สินธุ์นทีมองเห็นสายตาที่จับจ้องมองมายังวาสะโดยลูกน้องทั้งสามคน มันเป็นสายตาของความอยากรู้อยากเห็น และไม่อยากเชื่อสายตานักว่าจะมีโอกาสได้พบกับกลุ่มคนที่เรียกขานตัวเองว่าอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ด้วยศีลและการบำเพ็ญตน เขาเองก็ไม่เคยเข้าไปในหมู่บ้านเหมือนกัน ซึ่งครั้งแรกที่ได้พบกับวาสะก็ตอนที่เขาสอบบรรจุแล้วย้ายเข้ามาประจำการที่นี่ได้ไม่ถึงสามเดือน นั่นเป็นครั้งแรกที่วาสะเป็นตัวแทนออกมาพบเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ

วาสะเป็นปราชญ์ชาวบ้าน หัวหน้าอนุสรณ์เล่าให้ฟังว่า วาสะออกไปเรียนหนังสือตั้งแต่เด็ก อาศัยนอนวัด หัวหน้าคนก่อนหน้านี้เป็นคนที่ได้คุยกับวาสะเป็นคนแรก เป็นผู้แนะนำวาสะ ตอบคำถามทุกอย่างที่เด็กอายุ ๑๒ ปีสงสัย พาไปฝากฝังกับหลวงพ่อในหมู่บ้าน เพราะเห็นเป็นเรื่องดีที่คนในหมู่บ้านลังกาจะยอมพบปะสมาคมกับหน่วยงานราชการบ้าง วาสะอาศัยเรียนหนังสือที่วัด สอบเทียบเข้าชั้น มศ.๑ ได้ตอนอายุ ๑๔ ปี เรียนช้ากว่าวัยเดียวกัน แต่ก็สอบเทียบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ในวัย ๑๗ ปีเช่นกัน ก่อนจะใช้เวลาเรียน ๓ ปีครึ่ง ก็จบมหาวิทยาลัยในสาขาวิชาเกษตรกรรม

วาสะเคยเล่าให้สินธุ์นทีฟังว่า ตนเองเดินทางมาไกลเหลือเกินในเส้นทางการศึกษา ไกลเสียจนคิดว่าฝันไป เวลากว่า ๑๐ ปีที่ไม่เคยกลับเข้ามาหมู่บ้านอีกเลย ทำให้หลายคนคิดว่าเขาเตลิดกู่ไม่กลับ หรือบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้วด้วยซ้ำ มีเพียงพะปออาจา (คำว่า ‘พะปอ’ นั้นใช้เรียกขานหญิงที่เป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณของหมู่บ้านเท่านั้น) ที่คอยบอกย้ำพ่อกับแม่รวมถึงน้องสาวว่าเขาจะกลับมา

แล้วเขาก็กลับมา... พร้อมสานสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในหมู่บ้านกับราชการให้เป็นไปอย่างราบรื่น และมีเพียงหัวหน้าคนก่อนหน้านี้เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเรียกว่าได้รับเชิญให้เข้าไปในหมู่บ้านอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่เคยมีใครรู้ว่าข้างในหมู่บ้านเป็นอย่างไร มีเพียงเรื่องเล่า จินตนาการ สันนิษฐาน บอกเล่าปากต่อปาก ไม่เคยมีใครทราบความจริง แม้แต่คนที่เคยไปเยือนมาแล้วจริงๆ ก็ทำเพียงยิ้ม แล้วตอบว่า ‘เรื่องบางเรื่อง ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่คนนอกคิดน่ะถูกแล้ว’

“เอ็งสามคน...” สามหนุ่มที่จ้องวาสะเขม็งถึงกับสะดุ้งเฮือก หันมามองผู้ช่วยฯ ด้วยสีหน้าตื่นๆ รอฟังคำสั่ง“เข้าครัวไปหาข้าวหาปลาเตรียมไว้ให้วาสะหน่อยไป อีกหน่อยเดี๋ยวข้ากับวาสะตามไป”

“ไม่เป็นไรครับ” วาสะละล่ำละลักบอกด้วยความเกรงใจ

“ไม่เป็นไรได้ยังไง เมียห่อข้าวมาให้พอกินถึงมื้อเย็นไหม” อาการนิ่งไปคล้ายยอมรับกลายๆ ทำให้ชายหนุ่มตีความเอาว่าคำสันนิษฐานของเขาถูกต้อง

ลูกน้องของเขาเดินจากไปแล้ว และมีการันต์เดินมาแทนที่ แล้วไม่นานก็ถูกไล่ให้ตามเข้าไปในครัวเช่นกัน วาสะไม่คุ้นชินกับใครง่ายๆ มีเพียงแค่หัวหน้ากับสินธุ์นทีเท่านั้นที่ปราชญ์ผู้นี้จะยอมเสวนาด้วย และครั้งนี้เขาเดาว่าต้องเป็นเรื่องร้ายแรงไม่แพ้คนในหมู่บ้านป่วยเป็นโรคระบาด มิเช่นนั้นวาสะจะไม่ออกมาข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ และตัวคนเดียวแบบนี้แน่นอน

ปราชญ์ชาวบ้านผู้นี้มักมีผู้ติดตามเสมอ เพราะวาสะเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่รู้หนังสือ คอยสอนหนังสือภาษาไทยให้คนในหมู่บ้าน เป็นคนที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อย ทั้งกฎหมู่และกฎหมายของราชอาณาจักรไทยซึ่งก็ต้องบังคับใช้ภายในหมู่บ้านเช่นกัน หากไม่มีวาสะ หมู่บ้านลังกาน่าจะระส่ำระสายพอๆ กับขาดผู้นำจิตวิญญาณเลยทีเดียว

ชายหนุ่มแขวนกาต้มน้ำร้อนเข้ากับไม้แล้ววางพาดเหนือกองไฟปล่อยให้เปลวไฟเต้นระริกเลียก้นกาที่ดำพอๆกับท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ ก่อนหันมาหาผู้มาเยือนซึ่งมีสีหน้าผ่อนคลายลงมาก

“ผมพอช่วยอะไรได้บ้างไหม... ความทุกข์ใจของพวกคุณตอนนี้น่ะ”วาสะถอนหายใจ ดวงตาว่างเปล่ามองเข้าไปในกองไฟ “ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร... แต่ขอฝากจดหมายฉบับนี้ไปให้ถึง ผมไม่มีแสตมป์ ไม่มีซองจดหมาย...”

“รอตรงนี้ ผมจะไปหยิบมาให้” ร่างสูงวิ่งฝ่าความมืดกลับไปที่บ้านเพียงครู่เดียวก็ย้อนกลับมาพร้อมสิ่งที่วาสะต้องการ เขาไม่กระทั่งชำเลืองสายตามองชื่อที่อยู่ของปลายทาง เพราะรู้ดีว่าหากคนในหมู่บ้านลังกาต้องการให้เป็นความลับ นั่นคือความลับ เขาไม่มีสิทธิ์ไปสอดรู้สอดเห็น

ทันทีที่ได้รับจดหมาย ชายหนุ่มก็พับครึ่ง เก็บไว้ในอุ้งมือ “พรุ่งนี้ผมจะไปส่งที่ไปรษณีย์ให้แต่เช้า ตอนนี้ไปกินข้าวแล้วนอนพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ”

แม้จะรับคำ กระนั้น เขาก็รู้ดีว่าชาวเกอเป็นกลุ่มคนที่รักษาสัจจะ แม้จะยอมทานข้าวและเข้านอนในบ้านพักของเขา ทว่า เช้าต่อมา วาสะก็หายไปเสียแล้ว สินธุ์นทีเดาว่าปราชญ์หมู่บ้านวัยสามสิบห้าคนนี้คงจะย่องออกมาภายหลังที่เขาดับตะเกียงไปไม่นาน เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกกับเมียว่าจะกลับในเช้าวันต่อมานั่นเอง...

------------------------------------------------

พลอยชีวันคิดถึงกรุงเทพฯ ขึ้นมาจับใจ เมื่อได้พบกับความเงียบเหงา เงียบสงัดของบรรยากาศบ้านสวนในต่างจังหวัด หล่อนคิดว่าบ้านเกิดของหล่อนหลังสองทุ่มนั้นเงียบสงัดปราศจากผู้คนแล้ว ทว่ายังมีตลาดโต้รุ่งให้เดินให้พอคลายเหงา แต่ดูที่นี่เอาเถิด... ดูเหมือนความเคลื่อนไหวของผู้คนในหมู่บ้านจะหายไปพร้อมๆ กับแสงอาทิตย์แล้ว

น้าพริ้ง เมียของน้าทิงจัดโต๊ะอาหารตั้งแต่หกโมงครึ่ง หล่อนใช้เวลาทานอาหารพร้อมๆ กับคุณตาไม่เกินสามสิบนาทีดี ก็ย้ายมานั่งที่ห้องนั่งเล่นซึ่งมีเก้าอี้หวายตั้งล้อมโต๊ะกระจกที่มีกระถางพลูด่างวางอยู่ตรงกลาง ใกล้ๆ มีหนังสือพิมพ์และกาน้ำชาวางไว้ พร้อมสมุดปกหนังสีน้ำตาลเก่าๆ หนึ่งเล่ม สังเกตได้จากหนังที่ปริแตกเป็นขุยๆ พลอยชีวันคาดว่ามันน่าจะมีอายุนานกว่าหล่อนหลายสิบปีแน่ๆ เผลอๆ อาจจะนานกว่าร้อยปีก็ได้

“สมุดนี่ว่างเมื่อไหร่ค่อยเปิดอ่าน เป็นสมุดบันทึกของพระยาสุวรรณชัยชนะ หรือ เขม สุวรรณชัย เจ้าเมืองคนแรกของบ้านเกิดของเจ้านั่นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้นเค้าก็คือคุณตาทวดของทวดของทวดขึ้นไปอีกของเพลินใช่ไหมคะ” หล่อนทำตาโต ส่งผลให้คุณอนุพงศ์ผ่อนคลายความตึงเครียดทางสีหน้าลงเล็กน้อยด้วยการระบายยิ้มออกมาอ่อนๆ “ถามแบบนี้ก็แสดงว่ารู้เรื่องคร่าวๆ แล้วซิ”

“ค่ะ...” ตอบรับเสียงอ่อน “แต่ยังมีหลายอย่างที่สงสัยและยังไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินมามันตรงกันความจริงมากแค่ไหน”

“ไม่มีใครรู้ความจริงหรอกเพลิน... ทุกคนล้วนเล่าเรื่องในแง่มุมของตนเอง ในแง่มุมที่ทำให้เราเป็นคนดี เป็นผู้ถูกกระทำด้วยกันทั้งนั้น ประวัติศาสตร์ล้วนเขียนโดยผู้ชนะศึก มิเคยได้ยินรึ”

“แต่มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ... ที่คุณทวดเขมพาคุณทวดหญิงออกมา” ผู้อาวุโสกดหน้าลงหนึ่งครั้งด้วยความสุขุม “คุณทวดหญิงท่านชื่ออะไรคะ เอ๊ะ แล้วถ้าทวดของทวดเขาเรียกว่าอะไรคะ”

“ไม่มีใครอยู่นานพอให้ได้คิดชื่อเรียกหรอก เอาเป็นว่าเราเรียกว่าคุณทวดเขมกับคุณทวดจันทร์ก็แล้วกัน”

“ท่านชื่อจันทร์หรือคะ”

“ชื่อไทยท่านชื่อนี้นะ... แต่ชื่อเกอนี่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ในบันทึกไม่เห็นเขียนบอก”

“โชคดีจังที่บันทึกเล่มนี้อยู่กับคุณตา”

“ก็ญาติฝั่งแม่เราไม่มีใครมีลูกมากกว่าหนึ่งคนเลยนี่เจ้า ทวดเจ้าก็มีแค่ยายเจ้า ส่วนยายเจ้าก็มีแค่แม่เจ้า ต่อไปคงต้องส่งต่อหนังสือเล่มนี้ให้เจ้า ตาว่าจะส่งให้สิงห์ขรเขา แต่ก็ลืมไปเสียทุกที เพราะไม่เห็นว่ามันจะสลักสำคัญอะไร” ท่านถอนหายใจ เอนหลังพิงเก้าอี้หวาย ประสานมือกันไว้บนตัก “ตอนนี้มันสำคัญแล้วค่ะ สำคัญกับเพลินมากด้วย”

“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“ตั้งแต่เพลินอายุ ๒๗ เพลินฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่งมาตลอด ฝันเห็นตัวเองนอนอยู่ในก้นหลุม มีชายหญิงแต่งตัวเหมือนชาวเกอยืนมองอยู่ แล้วก็มีภาษาแปลกๆ เหมือนสวดมนต์แต่เป็นอีกภาษาหนึ่งที่เพลินไม่เข้าใจ จนเมื่อสองเดือนก่อนเพลินได้เจอกับชาวเกอจริงๆ เขาบอกว่ามาตามหาผู้ว่าฯ เพลินไปได้ยินเข้าพอดี ถึงได้รู้ว่าคนที่เขาตามหาคือเพลินต่างหากไม่ใช่คุณพ่อ”

“แล้วเขาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง? เขาพูดภาษากลางได้รึ” คุณอนุพงศ์ดูมีท่าทีสนใจขึ้นมาทันทีด้วยการขยับกายนั่งหลังตรง

“พูดกลางได้ชัดทีเดียวค่ะคุณตา... เขาบอกว่าคุณทวดเขมพาคุณทวดจันทร์ออกมาทั้งที่รู้ว่าคุณทวดจันทร์จะกลายเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณในอนาคต จึงทำให้คนที่เป็นป้าซึ่งก็คือเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณในตอนนั้นโกรธมากถึงขั้นสาปแช่งหลานตัวเองไม่ให้พบพานกับความสุข พบเจอแต่ความสูญเสียในครอบครัว อะไรแบบนี้น่ะค่ะ แล้วนอกจากนั้นเขาก็ยังแช่งให้หมู่บ้านล่มสลายด้วย และชาวเกอที่คุยกับเพลินเขาบอกว่าเพลินเป็นคนเดียวที่จะช่วยให้หมู่บ้านรอดจากคำสาปแช่งได้”

“เขาเลยมาขอร้องเจ้าให้เข้าไปในหมู่บ้านอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ค่ะ... คุณตาพอจะรู้เรื่องราวในมุมอื่นอีกไหมคะ”

คุณอนุพงศ์ถอนหายใจ ทิ้งน้ำหนักเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หวายสาน ดวงตาครุ่นคิด

“นับขึ้นไปอีก ๗ ขั้น ราวๆ ร้อยปีเกือบสองร้องปีมาแล้ว เจ้าเมืองพระยาสุวรรณชัยชนะ เดินทางเข้าไปในป่าและได้พลัดหลงไปเจอกับหมู่บ้านชาวเกอโดยบังเอิญ ที่นั่น ทำให้ท่านได้พบกับหญิงงาม แม้จะไม่มีการผิดผีกัน แต่ความรักของท่านกับหญิงผู้นั้นก็ถูกขัดขวาง ท่านเข้าไปสู่ขอหญิงผู้นั้นตามธรรมเนียม แต่กลับถูกปฏิเสธและบอกอีกว่าถ้าพาหญิงผู้นี้ออกไปจะสร้างความหายนะให้กับหมู่บ้านและตัวท่านเอง ชีวิตจะไม่สงบสุข จะมีแต่ความสูญเสีย แต่ท่านเจ้าเมืองผู้นั้นกลับฝ่าฝืนทุกอย่างด้วยกันนำตัวเธอออกมา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเหตุบังเอิญ คำสาปแช่ง หรือการผิดธรรมเนียมประเพณีใดๆ ก็ตาม หลังจากให้กำเนิดบุตรสาวคนแรก หญิงชาวเกอหรือนางจันทร์ก็เสียชีวิต และเกิดเหตุการณ์แบบนั้นต่อๆ มากับลูกสาวหลานสาว ทายาทที่สืบเชื้อสายนางจันทร์และพระยาสุวรรณชัยชนะ กล่าวคือมีสองอย่างที่เหมือนกันคือผู้สืบเชื้อสายนางจันทร์นี้จะให้กำเนิดเพียงบุตสาว และจะเสียชีวิตในวันที่ให้กำเนิดบุตรสาวเช่นเดียวกัน รวมถึงยายของเจ้า แม่ของเจ้าก็ด้วย ตาไม่รู้จะโล่งใจหรือรู้สึกอย่างไรดีที่เจ้ายังไม่แต่งงานหรือตั้งครรภ์... ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือจากสิ่งที่ชาวบ้านเรียกว่าหายนะจากการฝ่าฝืนนำพานางจันทร์ออกมา ตาก็ยังดีใจที่หลานตานั่งหน้าซีดอยู่ตรงนี้”

“คุณตาอ้ะ!” ดูทีฤา... หล่อนกลัวแทบตาย ทว่าคุณตากลับยังมองเห็นเป็นเรื่องขำขันเมื่อเห็นว่าหล่อนหน้าซีดเป็นกระดาษ

“มันคงไม่ใช่คำสาปที่ต้องตายตอนคลอดลูกใช่ไหมคะ ถ้าไม่อย่างนั้นเพลินคงใกล้ตายเต็มที่แล้ว”

“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น... แต่เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนะเพลิน... เรื่องนี้ตาขอ เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาดีหรือมาร้าย อย่าไปเจอ อย่าพยายามจะสืบสาวราวเรื่องพวกเขาอีก ตาคงทนไม่ได้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” หล่อนอาจจะเป็นลูกสาวที่ไม่ค่อยเชื่อฟังคำบิดามาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่จำความได้ พี่เลี้ยงทุกคนจะให้นิยามว่าหล่อนเป็นเด็กดื้อรั้นมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ หล่อนจะเชื่อผู้ใหญ่ดูสักครั้ง... แม้ภายในจิตสำนึกลึกๆ มันจะเรียกร้องอยากรู้อยากเห็นมากเพียงไรก็ตาม

“ค่ะคุณตา...” หญิงสาวรับคำแผ่วเบา “แล้วจี้ที่เพลินสวมอยู่ตอนนี้คืออะไรหรือคะ”

“กระดูกคุณทวดจันทร์”

“หา?”

“เห็นคุณทวด แม่ของยายเจ้าเขาว่ามานะ ตอนที่ไปงานศพยายเจ้า คุณทวดชายเขาให้มา บอกว่าเป็นของฝั่งคุณทวดหญิง ตาก็สวมให้แม่เจ้าตั้งแต่เกิด แล้วก็ส่งต่อให้เจ้าวันเจ้าเกิดเช่นกัน สวมไว้นั่นแหละดีแล้ว ท่านจะช่วยปกปักรักษาเจ้า รู้ไหม”

พลอยชีวันยกมือขึ้นจับจี้สร้อยกระดูกโดยอัตโนมัติ แม้ไม่เคยพบกันแต่หล่อนรู้สึกไม่ต่างกับที่คุณอนุพงศ์บอกเลย คือหล่อนรับรู้ได้ว่าท่านคงกำลังดูแลหล่อนจากที่ไกลๆ ที่ใดสักแห่ง สายใยความสัมพันธ์บางครั้งก็มาในรูปแบบที่เรามองไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้


พลอยชีวันใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านคุณตาอนุพงศ์อีกสองสามวันจึงตัดสินใจเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน โดยก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้าบ้าน หางตาเหลือบไปเห็นซองจดหมายเสียบอยู่ที่ตู้รับจดหมายสีแดง สด จ่าหน้าซองถึง ‘คุณพลอยชีวัน’ ด้วยลายมือสวยงามเป็นระเบียบราวชนะเลิศแข่งขันการคัดลายมือภาษาไทยระดับชาติมากระนั้น โดยการไม่ระบุชื่อผู้ส่งทำให้พลอยชีวันรีบฉีกซองเปิดออกอ่าน

...แล้วทันทีที่อ่านข้อความตัวสุดท้ายจบลง หญิงสาวก็ถลากลับเข้าไปในรถ ลืมสิ่งที่สัญญากับคุณตาอนุพงศ์เสียหมดสิ้นด้วยการถอยหลังออกจากรั้วจวนผู้ว่าฯ มุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉลองรัฐโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวอะไรกับคุณสิงห์ขรผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่คำเดียว!




อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2560, 21:24:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.พ. 2560, 21:24:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 852





<< บทที่ ๓   บทที่ ๕ >>
แว่นใส 10 ก.พ. 2560, 23:30:06 น.
อ้าว ไปไม่บอกผู้ใหญ่เลย


Zephyr 25 มี.ค. 2560, 17:42:32 น.
เห้ยย อะไรตะรีบขนาด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account