สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"
หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย
ตอน: บทที่ ๕
บทที่ ๕
๒ ชั่วโมงโดยประมาณ พลอยชีวันคลำทางมาจนถึงด่านจุดสกัดป่าไม้ ซึ่งมีป้ายชี้บอกว่า ‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉลองรัฐ ๖๐ กิโลเมตร’ ความเหนื่อยล้าสะสมจากพักผ่อนไม่เพียงพอรวมกับการตึงเครียดจากการขับรถทำให้หล่อนตัดสินใจแวะเลี้ยวรถเข้ามาพักในจุดสกัดซึ่งมีเจ้าหน้าที่แต่งกายด้วยชุดลายพรางป่าไม้ยืนประจำอยู่ในป้อมยามลดกระจกลงทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับ” ตะเบ๊ะพร้อมเอ่ยทักทาย “เข้ามาหลบฝนข้างในก่อนครับ”
หญิงสาวยิ้มรับ จอดรถไว้ใต้ร่มต้นไทรขนาดใหญ่ แล้ววิ่งฝ่าสายฝนเข้ามายืนใต้อาณาเขตหลังคาป้อมยามมุงกระเบื้องสีแดงซีด “ขอบคุณค่ะ”
“จะไปไหนครับเนี่ย”
“จะเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉลองรัฐค่ะพี่”
ใบหน้ากร้านแดดดูตะลึงงันไปเล็กน้อย “จะเอารถเก๋งเข้าไปหรือครับ”
“ไม่อนุญาตให้เอารถเก๋งเข้าไปเหรอคะ”
“อนุญาตครับ แต่ช่วงนี้ฝนตกรถเก๋งไม่น่าไปถึง เพราะเส้นทางหฤโหดมากนะครับ รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อบางคันยังไปไม่ถึงเลย ยิ่งฝนตกถนนเละแน่นอนครับ”
“แต่มันมีถนนลาดยางนี่คะ”
“ถึงแค่ในท้ายหมู่บ้านกองหินเท่านั้นครับ จากนั้นก็ไม่มีถนนลาดยางแล้วครับ”
“อ้าว... แล้ว...” หญิงสาวถึงกับอึ้ง ไปต่อไม่ถูก สมองว่างเปล่า นานโขกว่าจะเอ่ยออกมาได้ “ฉันมีธุระต้องเข้าไปในนั้นน่ะค่ะ จะเข้าไปได้ยังไงคะ”
“ธุระกับใครหรือครับ รู้จักใครในเขตฯ ไหมฮะ”
“ไม่รู้จักใครเลยนอกจากคุณวาสะ”
“วาสะ?”
“เอ่อ...” หล่อนไม่แน่ใจว่าคู่สนทนาจะรู้จักผู้นำหมู่บ้านผู้นี้หรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าอย่างน้อยวันนี้หล่อนจะยังมีโชคอยู่บ้าง เมื่อรถกระบะตอนเดียวสีซีดคันเก่าเก็บ อายุการใช้งานไม่น่าจะต่ำกว่า ๑๐ ปีก็วิ่งมาหยุดรอบริเวณหน้าไม้กั้น เจ้าหน้าที่เฝ้ายามขยับออกจากป้อมเพื่อปลดเชือกปล่อยให้ไม้กั้นดีดลอยขึ้น เพื่อให้รถขยับเข้ามาจนมองเห็นหน้าคนขับ
“ผู้ช่วยฯ กลับมาแล้วเหรอครับ”
“ครับ พี่”
“พอดีเลยครับ นี่มีน้องเขาจะขอเข้าไปในเขตฯ น่ะครับ บอกว่าจะไปหาคนชื่อวาสะ” ชายที่นั่งด้านซ้ายมือดูมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด จนต้องหันไปปรึกษาสารถี
ครู่หนึ่งหญิงสาวใจแป้ว เพราะจู่ๆ รถก็เคลื่อนตัวออกไปดื้อๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นการขยับรถไปจอดข้างๆ รถเก๋งของหล่อนแล้วคนขับก็ลงมาจากรถวิ่งฝ่าฝนที่เบาลงกว่าเมื่อครู่มายืนใต้หลังคาป้อมยามในระยะที่ไม่ไกลจากหล่อนมากนัก
ภายหลังทักทายคนในป้อมยามเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม หนวดครึ้ม ผมยาวระต้นคอ ที่มองดูแล้วเขาดูคุ้นตาหล่อนอย่างน่าประหลาด ทว่าหญิงสาวกลับคิดไม่ออกว่าเคยพบกันที่ไหน... ก็หันมาหาหล่อน
“รู้จักวาสะได้ยังไง”ถามเสียงเรียบ แต่คนฟังรู้สึกว่ากำลังถูกสอบสวนอย่างไรชอบกล
“คุณรู้จักคุณวาสะหรือคะ”
“ใช่ แล้วคุณล่ะ รู้จักวาสะได้ยังไง มีธุระอะไรกับเขา”
“คุณวาสะกับชาวบ้านอีกสี่คนเข้าไปตามหาฉันในเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน เขาบอกว่าในหมู่บ้านเกิดเรื่องขึ้น แล้วมีฉันคนเดียวที่จะช่วยแก้ปัญหาได้” สีหน้าเขาดูไม่เชื่อถือนัก ขณะเดียวกันยังมองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกด้วย “คุณดูถูกฉันหรือ?”
“ตัวเล็กแค่นี้จะช่วยอะไรเขาได้”
“เขาบอกว่าฉันจะช่วยให้หมู่บ้านพ้นจากคำสาปแช่งและการล่มสลายได้”
“ขนาดนั้นเชียว?” ชายหนุ่มทำตาโต เห็นได้ชัดว่ามีความแฝงอยู่ในดวงตาล้อเลียน
ถ้ามีก้อนหินในมือ พลอยชีวันมั่นใจว่าหล่อนต้องเขวี้ยงใส่หน้าผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกแน่ๆ
แต่ที่ทำได้คือการล้วงกระเป๋ากางเกง หาจดหมายแล้วส่งให้ชายหนุ่ม
“นี่เป็นจดหมายที่วาสะส่งมาให้ ท้ายจดหมายเขาบอกว่าให้ไปหาผู้ช่วยฯ น้ำ”
“ถามถึงผมทำไม?”
“คุณคือผู้ช่วยฯ น้ำ?”
“ใช่สิ”
“ฉันนึกว่าเป็นผู้หญิงเสียอีก” ผู้ชายอะไรชื่อน้ำ... หล่อนนึกในใจ แถมหน้าโหดอีกต่างหาก
“ผมนี่แหละชื่อน้ำ” ยืนยันเสียงหนักแน่น “นอกจากจดหมาย... มีอะไรอีกไหมที่วาสะส่งให้คุณ”
“ไม่มีค่ะ คุณลองอ่านจดหมายดูสิ”
“ผมไม่ได้รับอนุญาตให้อ่าน มันเป็นเรื่องของคุณกับคนในหมู่บ้าน”
หญิงสาวขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นฉันเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม”
“แล้วแต่คุณสิ ผมไม่ได้ขอ”
“โอเค!” กัดฟัดกรอด พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ “เขาบอกว่าเริ่มมีคนในหมู่บ้านป่วยหลายบ้านแล้ว และถ้าฉันเข้าไปไม่ทันฝนสุดท้าย หมู่บ้านของพวกเขาจะต้องพบเจอกับหายนะ และฉันเป็นคนเดียวที่ช่วยไม่ให้เกิดเรื่องร้ายๆ กับหมู่บ้านได้”
สินธุ์นทีถอนหายใจ ยกมือขึ้นเท้าสะเอว หรี่ตามองผ่านสายฝนคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“อ๋อ ผมจำได้แล้ว ที่วาสะบอกว่ามีธระในเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน คงเกี่ยวกับคุณสินะ”
“ใช่ค่ะ เมื่อสองเดือนมาแล้ว”
“แล้วทำไมคุณถึงเพิ่งโผล่มา”
“ก็...” พูดไปก็คงจะเหมือนคนเห็นแก่ตัว หล่อนจึงเลี่ยงประเด็นดังกล่าวเสีย “ฉันเพิ่งมีเวลาว่างน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้
“คุณจะพาฉันไปเจอคุณวาสะได้ใช่ไหมคะ” พลอยชีวันทำเสียงออดอ้อนที่สุดในชีวิต ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ต้องลองไม้อ่อน
ซึ่งมันก็ได้ผล เมื่อชายหนุ่มยอมพยักหน้าในที่สุด แต่กระนั้นน้ำเสียงที่ใช้ก็ยังไม่วายเข้มจัดจนหล่อนต้องแอบเบ้ปากล้อเลียนเมื่ออยู่ลับหลังเขา
“ไปเอาสัมภาระมา เอาเท่าที่จำเป็นนะ เครื่องสำอางไม่ต้องขนไปให้เปลืองพื้นที่กระเป๋า อยู่ในป่าได้อาบน้ำก็ดีถมไปแล้ว”
-----------------------------------
ต่อให้มีรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อคันโต พลอยชีวันก็ไม่แน่ใจว่าหล่อนจะมีทักษะความสามารถในการขับรถมากพอที่จะพาตัวเองเข้ามาถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้หรือไม่ เพราะนอกจากถนนที่เป็นดินโคลนสลับกับดินแดงเป็นหลุมเป็นบ่อ บางครั้งยังเจอถนนลื่น ข้างทางยังเป็นหุบเหวสลับกับป่าทึบ ระยะทาง ๖๐ กิโลเมตรขับโดยชายหนุ่มผู้ชำนาญเส้นทางยังต้องใช้เวลากว่า ๒ ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเป็นหล่อน... ๖ ชั่วโมงก็คงไม่น่าจะถึง
“รอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวสัก ๖ โมงเย็นหัวหน้าจะมากินข้าว มีอะไรจะได้ปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อ” ‘ตรงนี้’ ที่ชายหนุ่มบอกหมายถึงโรงครัว ซึ่งกว่าทั้งสามจะมาถึงก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว
ความไม่เคยนอนค้างกลางป่ามาก่อน ไม่นับรวมการกางเต็นท์นอนตามอุทยานแห่งชาติในตอนลงพื้นที่ทำข่าว นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่หล่อนต้องใช้ชีวิตตามลำพังท่ามกลางป่าใหญ่ที่ความมืดค่อยๆ โรยตัวลงมาปกคลุม นำพาอากาศเย็นยะเยือกทวีความหนาวขึ้นเรื่อยๆ แม้บอกตัวเองให้เข้มแข็ง แต่ร่างกายเจ้ากรรมกลับไม่ฟังสิ่งที่สมองสั่งเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับสั่นน้อยๆ ไม่ว่าจะด้วยความหนาวหรือเพราะความน่ากลัวของบรรยากาศก็ตาม
“เดี๋ยวผมนั่งรอเป็นเพื่อนแล้วกันครับ คุณเพลินไม่เคยเข้าป่า อยู่คนเดียวคงกลัว” ประโยคดังกล่าวของชายหนุ่มอีกคนคล้ายแสงสว่างที่ฉายส่องลงมาจากฟากฟ้า หล่อนยิ้มกว้างด้วยความดีใจ และหุบยิ้มไม่ได้จนถูกคนหน้าโหดค่อนแคะเข้าให้
“แล้วแต่เอ็งละกัน บอกเขาให้ดูแลตัวเองด้วยล่ะ ในป่านั่นไม่มีใครตามดูแลได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอกนะ”
สินธุ์นทีไหวไหล่เบาๆ ก่อนเดินจากไป
“ผมชื่อการันต์นะครับ ส่วนท่าทางตึงๆ ของพี่น้ำนั่นก็ไม่ต้องไปเก็บมาใส่ใจ แกก็แบบนี้แหละครับ พวกปากร้ายแต่ใจดี”
หญิงสาวทำหน้าบอกบุญไม่รับ กระนั้นยังฝืนยิ้ม
“ผมกับพี่น้ำเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันตั้งแต่สมัยเรียนวนศาสตร์แล้วครับ หัวหน้าก็ด้วย แต่ตอนเรียนผมเข้าไม่ทันหัวหน้า พี่น้ำจะทัน ตอนผมเข้าปีหนึ่งพี่น้ำอยู่ปีสี่ พี่น้ำเลยมีศักดิ์เป็นซีเนียร์ผม เอาจริงๆ กับคนที่ไม่สนิทกันแกก็จะดูตึงๆ แบบนี้แหละครับ เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว จริงๆ พี่น้ำเป็นคนพูดจาด้วยเหตุผลได้ครับ แต่ออกจะโผงผางหน่อย” นั่นเป็นคำตอบยาวเหยียดที่ได้รับเมื่อถามถึงนิสัยใจคอของสินธุ์นที
“ไม่แน่เสมอไปมั้งคะ”
การันต์หัวเราะลั่น
“เหนื่อยมั้ยครับนั่งรถมาตั้งไกล”
“นิดหน่อยค่ะ ว่าแต่คุณการันต์...”
“เรียกกานต์ก็ได้ครับ”
“อ๋อ” พึมพำในลำคอเบาๆ “เมื่อกี้ออกไปไหนมากันเหรอคะ”
“ไปประชุมครับ หัวหน้าไปประชุมกรุงเทพเพิ่งกลับมาถึงก่อนหน้าเราเมื่อกี้นี่เอง วันนี้แกเลยส่งผมกับพี่น้ำไปประชุมกับชุมชนแทน ถือโอกาสแวะซื้อของสดมาด้วยเลย พี่น้ำทำกับข้าวอร่อยนะครับ เข้าป่ากับแกไม่มีอด มีแต่อิ่ม”
“ดูสนุกกันจังเลยนะคะ เพลินจินตนาการว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะอยู่กันแบบลำบาก ดูไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี”
“ความสุขของคนเราไม่เหมือนกันมั้งครับ ไอ้ที่ลำบากมันก็มี ช่วงเข้าป่าตากฝนเปียกยันเนื้อใน ก่อไฟก็ไม่ได้ ตอนนั้นก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันแล้วคุยกันขำๆ ว่าเรามาทำอะไรที่นี่กันวะเนี่ย กลับไปทำไร่ทำนาที่บ้านยังได้พักผ่อนเป็นเวลา แต่นี่ทุ่มนึงยังต้องมานั่งกอดปืนเฝ้าป่ากันอยู่เลย ดูเหมือนไม่มีทางเลือกกันใช่ไหมครับ แต่จริงๆ เรามีทางเลือก บางคนมีไร่นาเป็นของตัวเอง อย่างผมก็เลือกไปทำงานนั่งโต๊ะก็ได้ไม่เห็นต้องออกมาประจำที่เขตฯไกลๆ แบบนี้ แต่นี่เราเลือกแล้วครับ เลือกที่จะทำงานป่าไม้ เลือกที่จะเป็นยามเฝ้าป่าแทนคนไทยทุกคน แหม พูดไปก็เหมือนยอตัวเอง” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน ทำเอาคนฟังอดยิ้มตามไม่ได้ “อยู่ไกลแบบนี้ครอบครัวไม่ห่วงแย่หรือคะ”
“พ่อแม่ก็ห่วงตามประสาพ่อแม่ล่ะครับ ผมโชคดีหน่อยไม่มีแฟนไม่มีภรรยา แต่หัวหน้านี่ลำบากเลยครับ งานก็รัก ลูกเมียก็รัก ดีหน่อยที่เมียแกเข้าใจ... แต่เรามี Wi-Fi นะฮะ ฮ่าๆ” หญิงสาวหัวเราะร่วนเพราะคำสุดท้ายของการันต์
ทว่ารอยยิ้มที่มีบนใบหน้ากลับอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา เมื่อหล่อนมองเห็นร่างของหญิงผมยาวแต่งกายเหมือนหญิงสาวที่เคยปรากฎในฝันหล่อนมาตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีนี้ ยืนมองหล่อนอยู่ใต้ร่มชมพู่น้ำริมธารที่ไหลผ่านด้านหลังโรงครัว บริเวณตีนสะพานเตี้ยๆ เชื่อมระหว่างโรงครัว ที่พักของพนักงานป่าไม้ทั้งหลาย กับสำนักงานที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ
ผู้หญิงคนนั้นคือคนเดียวกันกับที่อยู่ในฝันของหล่อนแน่นอน พลอยชีวันมั่นใจ หญิงสาวยกมือขึ้นทาบอก ไม่ตั้งใจแต่มือก็แตะเข้ากับจี้สร้อยคอเข้า และดูเหมือนทุกอย่างจะร้ายแรงขึ้นเมื่อร่างดังกล่าวนั้นทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาหล่อน
“กรี๊ดดด!” หญิงสาวหวีดร้องสุดเสียง หลับตา ผงะถอยหลังหนีด้วยความกลัว
การันต์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน เขาถลาเข้าใกล้หล่อน หันซ้ายหันขวาหาสาเหตุที่ทำให้หล่อนกรีดร้องลั่นป่าแบบนี้ แต่เขากลับมองไม่เห็นอะไร ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว!
“คุณ! เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น!”
ไม่ใช่เสียงการันต์ แต่เป็นชายหนุ่มอีกคน ซึ่งเขาเดินกลับมาทานข้าวหลังจากตั้งใจว่าเปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อยแล้วจะรีบกลับมาเพื่อไม่ให้เสียเวลาให้คนอื่นคอย อีกใจหนึ่งก็นึกห่วงคนที่ไม่เคยอยู่ป่าอย่างที่การันต์บอก แล้วทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องเขาก็รีบวิ่งห้อมายังโรงอาหาร
ภาพที่เห็นคือหล่อนนั่งหันหลังให้สะพานข้ามลำธาร ยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา ร่างสั่งงันงกเหมือนคนถูกผีหลอก
“คุณ! เงยหน้าขึ้น พูดกับผม!”
อาการสาวลมหายใจเข้าออกลึกๆ ถี่ๆ เป็นอาการของคนกลั่วอะไรบางอย่างสุดขีด ชายหนุ่มมั่นใจ และด้วยเจตนาดี เขานั่งลงข้างๆ พลอยชีวัน วางมือลงบนต้นแขนหล่อนเบาๆ ทันใดนั้น หล่อนก็รีบคว้าเข้าที่มือของเขา บีบเอาไว้แรงๆ
“ตั้งสติ คุยกับผม”
ผ่านไปนานหลายอึดใจ กว่าอาการสั่นจะค่อยๆ คลายลง และหญิงสาวเองก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมากวาดตามองไปรอบๆ ดูระแวดระวัง ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสๆ
“เป็นอะไร”
“ฉัน...” หล่อนทำท่าจะพูด แต่ครู่เดียวก็ปิดปากลง ฟันบนกัดริมฝีปากล่างแรงๆ “ไม่เป็นไรค่ะ...”
“ไม่เป็นไรและเมื่อกี้จะร้องทำไม... เสียงดังจนป่าแทบแตก”
“ฉันขอโทษค่ะ”
เห็นท่าทางสำนึกแกมหงอยๆ มันก็ทำให้เขาใจร้ายไม่ลง “ไม่เป็นไรแน่นะ”
“ค่ะ...”
“เอาๆ ถ้าอย่างนั้นบอกแม่บ้านเอากับข้าวออกมาเลย กานต์ ไปเรียกคนอื่นมากินข้าวไป หกโมงกว่าแล้ว”
ไข่เจียว น้ำพริก ผัดผักหน้าตาประหลาดๆ กับต้มจืดกระดูกหมูผักกาดดอง คือเมนูต้อนรับแขกผู้มาเยือนในวันนี้ ทุกอย่างดูคุ้นตาหมดเว้นเสียแต่ผัดผักที่พลอยชีวันได้แต่นั่งมองป่าไม้ชายหนุ่มทั้งห้าคนตักใส่จานตนเองด้วยสีหน้าชอบอกชอบใจ
“นี่... ผักอะไรหรือคะ”
“ผักกูดครับ หากินยากนะฮะ ลองดู” ไม่พูดเปล่า การันต์ยังกุลีกุจอใช้ช้อนกลางตักให้ “ในเมืองขายจานละร้อยกว่าบาทเลยนะครับ”
“เอ่อ...”
“กินยากขนาดนี้เข้าป่าไม่น่ารอด” เสียงทุ้มห้าวลึกดังขึ้นจากคนที่นั่งตรงกันข้าม พลอยชีวันตวัดสายตาขึ้นมอง แม้จะยังอยู่ในอาการขวัญเสียอยู่ แต่ประโยคดังกล่าวไม่ว่าใครได้ฟังก็คงไม่พอใจในคำสบประมาทของเขานัก จึงใช้ช้อนคลุกน้ำผัด ตลบผักกับข้าวเข้าด้วยกัน แล้วตักเข้าปาก ซึ่งพบว่ารสชาติค่อนข้างดีเลยทีเดียวกับผักกูดสดกรอบหวานผัดกับน้ำมันหอยรสชาติกลมกล่อม
การได้กินอะไรอร่อยๆ มันก็ทำให้หล่อนอารมณ์ดีขึ้นอีกเล็กน้อย
“ตกลงนี่เข้ามาทำข่าวหรือมาทำอะไรครับ เห็นน้ำบอกว่าเป็นนักข่าว ชื่ออะไรนะ?”
“จริงๆ ชื่อเล่นที่พ่อแม่เรียกคือเพลินค่ะ แต่ส่วนมากจะเรียกว่าเพลิน” หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะรีบออกตัว “แต่ไม่ต้องเรียกคุณนะคะ เรียกเพลินเฉยๆ ก็ได้ จะเรียกไอ้เพลินยังได้เลยค่ะ พี่ๆ ที่สำนักข่าวชอบเรียกแบบนั้น”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำรายคนเลยแล้วกันตามอายุงาน นี่ผู้ช่วยฯ น้ำครับ อยู่กับผมมาเจ็ดปีแล้ว ส่วนนั่นผู้ช่วยฯ การันต์ นั่งใกล้ๆ เพลินก็อาทิตย์ กับ อำนาจ ผมชื่ออนุสรณ์ เป็นหัวหน้าที่นี่ คราวนี้มีอะไรให้ผมช่วย”
หญิงสาวเลียริมฝีปากด้วยความประหม่า สอดสายตามองด้วยความเกรงใจ “มันอาจจะฟังดูประหลาดหน่อยนะคะ แต่ เมื่อสองเดือนก่อนมีผู้ชายชื่อวาสะกับเพื่อนๆ ของเขาไปตามหาทายาทของผู้นำจิตวิญญาณคนหนึ่งซึ่งเคยทำผิดประเพณีด้วยการหนีตามผู้ชายออกไปจากหมู่บ้าน ทำให้หมู่บ้านต้องคำสาป ถ้ายังไม่สามารถหาทายาทของผู้หญิงคนนั้นได้ หมู่บ้านของเขาต้องล่มสลาย เขาบอกฉันว่าให้มาที่นี่ ถามหาผู้ช่วยฯ น้ำ แล้วผู้ช่วยฯ น้ำจะเป็นคนพาฉันไปพบเขาเอง”
“แล้ววาสะได้บอกไหมว่าครั้งล่าสุดที่มีคนนอกเข้าไปได้น่ะเมื่อไหร่”
พลอยชีวันนิ่งไป ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “นานจนคุณคิดไม่ถึงเชียวล่ะ...”
คนฟังกลืนน้ำลายลงคอเบาๆ “แล้วมีใครทราบที่อยู่ของหมู่บ้านไหมคะ”
“หมู่บ้านลังกา เป็นชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเกอ ที่มีอายุมานานกว่า ๒๐๐ ปี ซึ่งมีวัฒนธรรม ประเพณี ที่ถูกรุกรานจากคนนอกน้อยที่สุด โดยวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตของพวกเขาได้รับอิทธิพลมาจากมอญ ผสมพม่า บ้างก็ว่าบรรพบุรุษเป็นคนมอญที่อพยพมาอยู่พม่า แล้วพอเจอสภาวะสงครามจึงอพยพออกจากพม่ามาอยู่ที่ไทยอีกที แล้วถูกทำให้มีอัตลักษณ์ของเกอด้วยกาลเวลาและการส่งผ่านจากรุ่นต่อรุ่น พวกเขาอยู่อาศัยมาก่อนที่เราจะประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออีกนัยยะหนึ่งคือพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ห้ามบุกรุกหรือใช้พื้นที่ แต่อย่างที่บอก พวกเขาอยู่มาก่อน จึงมีสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ตามกฎหมาย ตามประกาศคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๑
โดยจากการเก็บข้อมูล พวกเขามีการทำกินด้วยการทำไร่แบบหมุนเวียน ทำให้พื้นที่ไม่ขยายออกไปจากที่เดิม คือ ทำตรงนี้ได้
หนึ่งปี ก็ทิ้งไว้ห้าปี แล้วระหว่างนั้นก็ไปใช้ที่อื่น ครบห้าปีจึงกลับมาใช้ที่เดิม ทำให้การบุกรุกไม่มากไปกว่า ๒๐๐ ปีที่แล้วเลย ถามว่าพวกผมทราบที่อยู่ของหมู่บ้านไหม ทราบครับ แต่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป พวกผมจะไม่มีสิทธิ์กระทั่งเหยียบเข้าไปขอบหมู่บ้าน”
“ทำไมคะ”
“หมู่บ้านแห่งนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ครับ เขาเชื่อว่าคนแปลกหน้าจะนำพาโรคร้าย หรือ ภูตผีปีศาจเข้าไปทำลายพวกเขา พวกเขามีสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญไทยทุกอย่างนะครับ แต่ก็ปฏิเสธความช่วยเหลือจากทางเราหากไม่จำเป็นจริงๆ พวกเขาจะไม่ติดต่ออะไรกับเราเลย จะมีปีละครั้งที่วาสะออกมาประชุมกับทางเขตฯ นอกจากนั้นก็ไม่มีใครได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านอีกเลยครับ ล่าสุดที่ไปลาดตระเวนกันเฉียดๆ ไปยังโดนยิงขู่มาแล้ว คราวนี้ถ้าถามผมว่า ผมอนุญาตให้ไปไหม ต้องถามคนพาไปครับ ถ้าเกี่ยวกับวาสะ อย่างไรต้องเป็นเหตุจำเป็นอย่างรุนแรงแน่นอน ไม่เช่นนั้นวาสะจะไม่ก้าวออกมาจากหมู่บ้าน อย่างกรณี ๗ ปีที่แล้ววาสะก็ออกมาเพราะชาวบ้านเป็นอหิวาต์ จึงต้องพาหมอเข้าไปรักษาครับ”
เอ่ยถึงเรื่องเจ็บป่วย หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ รีบหยิบจดหมายขึ้นมากวาดตามอง “วาสะบอกว่าคนในหมู่บ้านเริ่มล้มป่วยแล้วด้วยค่ะ... เราต้องพาหมอเข้าไปด้วยไหมคะ”
“ถ้าต้องการหมอ วาสะจะออกมาหาเราเองครับ ถ้าเขาไม่ขอร้อง เราคงไม่สามารถจะจัดหมอเข้าไปรักษาได้ พวกเขามียาสมุนไพรรักษากันเองครับ”
“เราจะเดินทางได้เมื่อไหร่คะ เพราะวาสะบอกว่าเราต้องเดินทางเข้าไปก่อนฝนสุดท้ายจะมา” หล่อนเริ่มร้อนใจ
“เรื่องนี้ให้คุณคุยกับผู้ช่วยฯ น้ำดีกว่า” พลอยชีวันกำลังจะหันไปปรึกษา แต่แล้วความสนใจทั้งหมดก็ถูกรถกระบะคันใหญ่ที่วิ่งฝ่าความมืดเข้ามาจอดตรงหน้าโรงอาหารพอดี ก่อนที่จะมีร่างที่มองผ่านแสงไฟสลัวก็พอทำให้เดาได้ว่าเป็นผู้หญิงกระโดดลงมาจากกระบะท้ายในสภาพคล้ายไปคลุกโคลนตมมาไม่มีผิด แล้วตามมาด้วยเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางนกพิราบอีกหลายนาย
“ผู้ช่วยฯ ป๊อบครับ ผู้ช่วยหัวหน้าที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในเขตฯ แต่ทำได้ทุกอย่างเหมือนผู้ชายเลยครับ เละแบบนี้คงลงไปเข็นรถติดหล่มช่วยเขามา”
แล้ว ‘ผู้ช่วยฯ ป๊อบ’ ก็เป็นผู้หญิงที่หน้าหวานมาก แถมผิวยังขาวมากอีกด้วย ไม่เหมือนผู้หญิงที่ต้องทำงานบุกป่าฝ่าดงเลยสักนิดเดียว แต่ขณะเดียวกันก็ห้าวหาญชาญชัยมากเสียด้วย
“กินข้าวมาหรือยัง” การันต์ถามเป็นคนแรกเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้ๆ “ยังดิ่พี่ แต่ขอไปอาบน้ำล้างตัวก่อน ไม่ไหวว่ะ ดินเต็มหัวเต็มปากหมดแล้วเนี่ย”
“บอกกี่ครั้งแล้วให้อยู่บนรถ เป็นผู้หญิงลงไปเข็นรถยังไงวะ เดี๋ยวรถก็ไหลมาทับหรอก”สินธุ์นทีดุเสียงเข้ม
“โอ้ย ไม่ได้ไปช่วยเข็นเลยพี่น้ำ ป๊อบไปยืนดูเฉยๆ พี่หมายก็เหยียบคันเร่งซะดินกระจุยหมด ขนาดยืนไกลๆ นะเนี่ย”
“ไม่เหยียบก็ไม่พ้นสิครับผู้ช่วยฯ ” สมหมายซึ่งเป็นสารถีขับรถมือฉมังของเขตฯ รีบแก้ตัวเสียงดัง พร้อมดึงถุงยาเส้นและกระดาษออกมาม้วน จุดไฟแช็คสูดอัดเอาควันเข้าปอดลึกๆ ระยะห่างระหว่างคนสูบยาเส้นไม่ห่างจากโต๊ะอาหารนัก พลอยชีวันจึงได้กลิ่นฉุนบาดคอลอยมากระทบปลายจมูก พร้อมกันนั้นยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากคนขับ “หลุมนี้ดึงกันอยู่ครึ่งชั่วโมง นึกว่าจะต้องเดินกลับกันซะแล้ว”
“ทางข้างในเละมากเหรอสมหมาย” หัวหน้าอนุสรณ์ถาม
“ก็เอาเรื่องอยู่ครับ ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าเพิ่งเข้าไปเลย รอให้ถนนกลับสภาพเดิมก่อน”
สินธุ์นทีหันหามองพลอยชีวันโดยอัตโนมัติ ต่อประโยคของสมหมายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่คนฟังกลับรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างไรชอบกล “หรือไม่... ฝนก็ตกซ้ำ ทางเละกว่าเดิมจนไปไหนไม่ได้เลย...”
---------------------------------------
มา ๓ ตอนรวด ชเชยที่หาย (หัว) ไปนานหลายสัปดาห์เลยค่ะ ทั้งงานสอบงานสอน
นวนิยายเรื่องนี้เขียนไว้แล้วน่าจะเกิน ๖๐ เปอร์เซ็นแล้วค่ะ มีสตอกอีกหลายตอน ฮ่าๆ
ฝากเพจ 'อนัญชนินทร์' ด้วยนะคะ :3
๒ ชั่วโมงโดยประมาณ พลอยชีวันคลำทางมาจนถึงด่านจุดสกัดป่าไม้ ซึ่งมีป้ายชี้บอกว่า ‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉลองรัฐ ๖๐ กิโลเมตร’ ความเหนื่อยล้าสะสมจากพักผ่อนไม่เพียงพอรวมกับการตึงเครียดจากการขับรถทำให้หล่อนตัดสินใจแวะเลี้ยวรถเข้ามาพักในจุดสกัดซึ่งมีเจ้าหน้าที่แต่งกายด้วยชุดลายพรางป่าไม้ยืนประจำอยู่ในป้อมยามลดกระจกลงทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับ” ตะเบ๊ะพร้อมเอ่ยทักทาย “เข้ามาหลบฝนข้างในก่อนครับ”
หญิงสาวยิ้มรับ จอดรถไว้ใต้ร่มต้นไทรขนาดใหญ่ แล้ววิ่งฝ่าสายฝนเข้ามายืนใต้อาณาเขตหลังคาป้อมยามมุงกระเบื้องสีแดงซีด “ขอบคุณค่ะ”
“จะไปไหนครับเนี่ย”
“จะเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉลองรัฐค่ะพี่”
ใบหน้ากร้านแดดดูตะลึงงันไปเล็กน้อย “จะเอารถเก๋งเข้าไปหรือครับ”
“ไม่อนุญาตให้เอารถเก๋งเข้าไปเหรอคะ”
“อนุญาตครับ แต่ช่วงนี้ฝนตกรถเก๋งไม่น่าไปถึง เพราะเส้นทางหฤโหดมากนะครับ รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อบางคันยังไปไม่ถึงเลย ยิ่งฝนตกถนนเละแน่นอนครับ”
“แต่มันมีถนนลาดยางนี่คะ”
“ถึงแค่ในท้ายหมู่บ้านกองหินเท่านั้นครับ จากนั้นก็ไม่มีถนนลาดยางแล้วครับ”
“อ้าว... แล้ว...” หญิงสาวถึงกับอึ้ง ไปต่อไม่ถูก สมองว่างเปล่า นานโขกว่าจะเอ่ยออกมาได้ “ฉันมีธุระต้องเข้าไปในนั้นน่ะค่ะ จะเข้าไปได้ยังไงคะ”
“ธุระกับใครหรือครับ รู้จักใครในเขตฯ ไหมฮะ”
“ไม่รู้จักใครเลยนอกจากคุณวาสะ”
“วาสะ?”
“เอ่อ...” หล่อนไม่แน่ใจว่าคู่สนทนาจะรู้จักผู้นำหมู่บ้านผู้นี้หรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าอย่างน้อยวันนี้หล่อนจะยังมีโชคอยู่บ้าง เมื่อรถกระบะตอนเดียวสีซีดคันเก่าเก็บ อายุการใช้งานไม่น่าจะต่ำกว่า ๑๐ ปีก็วิ่งมาหยุดรอบริเวณหน้าไม้กั้น เจ้าหน้าที่เฝ้ายามขยับออกจากป้อมเพื่อปลดเชือกปล่อยให้ไม้กั้นดีดลอยขึ้น เพื่อให้รถขยับเข้ามาจนมองเห็นหน้าคนขับ
“ผู้ช่วยฯ กลับมาแล้วเหรอครับ”
“ครับ พี่”
“พอดีเลยครับ นี่มีน้องเขาจะขอเข้าไปในเขตฯ น่ะครับ บอกว่าจะไปหาคนชื่อวาสะ” ชายที่นั่งด้านซ้ายมือดูมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด จนต้องหันไปปรึกษาสารถี
ครู่หนึ่งหญิงสาวใจแป้ว เพราะจู่ๆ รถก็เคลื่อนตัวออกไปดื้อๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นการขยับรถไปจอดข้างๆ รถเก๋งของหล่อนแล้วคนขับก็ลงมาจากรถวิ่งฝ่าฝนที่เบาลงกว่าเมื่อครู่มายืนใต้หลังคาป้อมยามในระยะที่ไม่ไกลจากหล่อนมากนัก
ภายหลังทักทายคนในป้อมยามเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม หนวดครึ้ม ผมยาวระต้นคอ ที่มองดูแล้วเขาดูคุ้นตาหล่อนอย่างน่าประหลาด ทว่าหญิงสาวกลับคิดไม่ออกว่าเคยพบกันที่ไหน... ก็หันมาหาหล่อน
“รู้จักวาสะได้ยังไง”ถามเสียงเรียบ แต่คนฟังรู้สึกว่ากำลังถูกสอบสวนอย่างไรชอบกล
“คุณรู้จักคุณวาสะหรือคะ”
“ใช่ แล้วคุณล่ะ รู้จักวาสะได้ยังไง มีธุระอะไรกับเขา”
“คุณวาสะกับชาวบ้านอีกสี่คนเข้าไปตามหาฉันในเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน เขาบอกว่าในหมู่บ้านเกิดเรื่องขึ้น แล้วมีฉันคนเดียวที่จะช่วยแก้ปัญหาได้” สีหน้าเขาดูไม่เชื่อถือนัก ขณะเดียวกันยังมองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกด้วย “คุณดูถูกฉันหรือ?”
“ตัวเล็กแค่นี้จะช่วยอะไรเขาได้”
“เขาบอกว่าฉันจะช่วยให้หมู่บ้านพ้นจากคำสาปแช่งและการล่มสลายได้”
“ขนาดนั้นเชียว?” ชายหนุ่มทำตาโต เห็นได้ชัดว่ามีความแฝงอยู่ในดวงตาล้อเลียน
ถ้ามีก้อนหินในมือ พลอยชีวันมั่นใจว่าหล่อนต้องเขวี้ยงใส่หน้าผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกแน่ๆ
แต่ที่ทำได้คือการล้วงกระเป๋ากางเกง หาจดหมายแล้วส่งให้ชายหนุ่ม
“นี่เป็นจดหมายที่วาสะส่งมาให้ ท้ายจดหมายเขาบอกว่าให้ไปหาผู้ช่วยฯ น้ำ”
“ถามถึงผมทำไม?”
“คุณคือผู้ช่วยฯ น้ำ?”
“ใช่สิ”
“ฉันนึกว่าเป็นผู้หญิงเสียอีก” ผู้ชายอะไรชื่อน้ำ... หล่อนนึกในใจ แถมหน้าโหดอีกต่างหาก
“ผมนี่แหละชื่อน้ำ” ยืนยันเสียงหนักแน่น “นอกจากจดหมาย... มีอะไรอีกไหมที่วาสะส่งให้คุณ”
“ไม่มีค่ะ คุณลองอ่านจดหมายดูสิ”
“ผมไม่ได้รับอนุญาตให้อ่าน มันเป็นเรื่องของคุณกับคนในหมู่บ้าน”
หญิงสาวขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นฉันเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม”
“แล้วแต่คุณสิ ผมไม่ได้ขอ”
“โอเค!” กัดฟัดกรอด พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ “เขาบอกว่าเริ่มมีคนในหมู่บ้านป่วยหลายบ้านแล้ว และถ้าฉันเข้าไปไม่ทันฝนสุดท้าย หมู่บ้านของพวกเขาจะต้องพบเจอกับหายนะ และฉันเป็นคนเดียวที่ช่วยไม่ให้เกิดเรื่องร้ายๆ กับหมู่บ้านได้”
สินธุ์นทีถอนหายใจ ยกมือขึ้นเท้าสะเอว หรี่ตามองผ่านสายฝนคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“อ๋อ ผมจำได้แล้ว ที่วาสะบอกว่ามีธระในเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน คงเกี่ยวกับคุณสินะ”
“ใช่ค่ะ เมื่อสองเดือนมาแล้ว”
“แล้วทำไมคุณถึงเพิ่งโผล่มา”
“ก็...” พูดไปก็คงจะเหมือนคนเห็นแก่ตัว หล่อนจึงเลี่ยงประเด็นดังกล่าวเสีย “ฉันเพิ่งมีเวลาว่างน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้
“คุณจะพาฉันไปเจอคุณวาสะได้ใช่ไหมคะ” พลอยชีวันทำเสียงออดอ้อนที่สุดในชีวิต ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ต้องลองไม้อ่อน
ซึ่งมันก็ได้ผล เมื่อชายหนุ่มยอมพยักหน้าในที่สุด แต่กระนั้นน้ำเสียงที่ใช้ก็ยังไม่วายเข้มจัดจนหล่อนต้องแอบเบ้ปากล้อเลียนเมื่ออยู่ลับหลังเขา
“ไปเอาสัมภาระมา เอาเท่าที่จำเป็นนะ เครื่องสำอางไม่ต้องขนไปให้เปลืองพื้นที่กระเป๋า อยู่ในป่าได้อาบน้ำก็ดีถมไปแล้ว”
-----------------------------------
ต่อให้มีรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อคันโต พลอยชีวันก็ไม่แน่ใจว่าหล่อนจะมีทักษะความสามารถในการขับรถมากพอที่จะพาตัวเองเข้ามาถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้หรือไม่ เพราะนอกจากถนนที่เป็นดินโคลนสลับกับดินแดงเป็นหลุมเป็นบ่อ บางครั้งยังเจอถนนลื่น ข้างทางยังเป็นหุบเหวสลับกับป่าทึบ ระยะทาง ๖๐ กิโลเมตรขับโดยชายหนุ่มผู้ชำนาญเส้นทางยังต้องใช้เวลากว่า ๒ ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเป็นหล่อน... ๖ ชั่วโมงก็คงไม่น่าจะถึง
“รอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวสัก ๖ โมงเย็นหัวหน้าจะมากินข้าว มีอะไรจะได้ปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อ” ‘ตรงนี้’ ที่ชายหนุ่มบอกหมายถึงโรงครัว ซึ่งกว่าทั้งสามจะมาถึงก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว
ความไม่เคยนอนค้างกลางป่ามาก่อน ไม่นับรวมการกางเต็นท์นอนตามอุทยานแห่งชาติในตอนลงพื้นที่ทำข่าว นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่หล่อนต้องใช้ชีวิตตามลำพังท่ามกลางป่าใหญ่ที่ความมืดค่อยๆ โรยตัวลงมาปกคลุม นำพาอากาศเย็นยะเยือกทวีความหนาวขึ้นเรื่อยๆ แม้บอกตัวเองให้เข้มแข็ง แต่ร่างกายเจ้ากรรมกลับไม่ฟังสิ่งที่สมองสั่งเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับสั่นน้อยๆ ไม่ว่าจะด้วยความหนาวหรือเพราะความน่ากลัวของบรรยากาศก็ตาม
“เดี๋ยวผมนั่งรอเป็นเพื่อนแล้วกันครับ คุณเพลินไม่เคยเข้าป่า อยู่คนเดียวคงกลัว” ประโยคดังกล่าวของชายหนุ่มอีกคนคล้ายแสงสว่างที่ฉายส่องลงมาจากฟากฟ้า หล่อนยิ้มกว้างด้วยความดีใจ และหุบยิ้มไม่ได้จนถูกคนหน้าโหดค่อนแคะเข้าให้
“แล้วแต่เอ็งละกัน บอกเขาให้ดูแลตัวเองด้วยล่ะ ในป่านั่นไม่มีใครตามดูแลได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอกนะ”
สินธุ์นทีไหวไหล่เบาๆ ก่อนเดินจากไป
“ผมชื่อการันต์นะครับ ส่วนท่าทางตึงๆ ของพี่น้ำนั่นก็ไม่ต้องไปเก็บมาใส่ใจ แกก็แบบนี้แหละครับ พวกปากร้ายแต่ใจดี”
หญิงสาวทำหน้าบอกบุญไม่รับ กระนั้นยังฝืนยิ้ม
“ผมกับพี่น้ำเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันตั้งแต่สมัยเรียนวนศาสตร์แล้วครับ หัวหน้าก็ด้วย แต่ตอนเรียนผมเข้าไม่ทันหัวหน้า พี่น้ำจะทัน ตอนผมเข้าปีหนึ่งพี่น้ำอยู่ปีสี่ พี่น้ำเลยมีศักดิ์เป็นซีเนียร์ผม เอาจริงๆ กับคนที่ไม่สนิทกันแกก็จะดูตึงๆ แบบนี้แหละครับ เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว จริงๆ พี่น้ำเป็นคนพูดจาด้วยเหตุผลได้ครับ แต่ออกจะโผงผางหน่อย” นั่นเป็นคำตอบยาวเหยียดที่ได้รับเมื่อถามถึงนิสัยใจคอของสินธุ์นที
“ไม่แน่เสมอไปมั้งคะ”
การันต์หัวเราะลั่น
“เหนื่อยมั้ยครับนั่งรถมาตั้งไกล”
“นิดหน่อยค่ะ ว่าแต่คุณการันต์...”
“เรียกกานต์ก็ได้ครับ”
“อ๋อ” พึมพำในลำคอเบาๆ “เมื่อกี้ออกไปไหนมากันเหรอคะ”
“ไปประชุมครับ หัวหน้าไปประชุมกรุงเทพเพิ่งกลับมาถึงก่อนหน้าเราเมื่อกี้นี่เอง วันนี้แกเลยส่งผมกับพี่น้ำไปประชุมกับชุมชนแทน ถือโอกาสแวะซื้อของสดมาด้วยเลย พี่น้ำทำกับข้าวอร่อยนะครับ เข้าป่ากับแกไม่มีอด มีแต่อิ่ม”
“ดูสนุกกันจังเลยนะคะ เพลินจินตนาการว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะอยู่กันแบบลำบาก ดูไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี”
“ความสุขของคนเราไม่เหมือนกันมั้งครับ ไอ้ที่ลำบากมันก็มี ช่วงเข้าป่าตากฝนเปียกยันเนื้อใน ก่อไฟก็ไม่ได้ ตอนนั้นก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันแล้วคุยกันขำๆ ว่าเรามาทำอะไรที่นี่กันวะเนี่ย กลับไปทำไร่ทำนาที่บ้านยังได้พักผ่อนเป็นเวลา แต่นี่ทุ่มนึงยังต้องมานั่งกอดปืนเฝ้าป่ากันอยู่เลย ดูเหมือนไม่มีทางเลือกกันใช่ไหมครับ แต่จริงๆ เรามีทางเลือก บางคนมีไร่นาเป็นของตัวเอง อย่างผมก็เลือกไปทำงานนั่งโต๊ะก็ได้ไม่เห็นต้องออกมาประจำที่เขตฯไกลๆ แบบนี้ แต่นี่เราเลือกแล้วครับ เลือกที่จะทำงานป่าไม้ เลือกที่จะเป็นยามเฝ้าป่าแทนคนไทยทุกคน แหม พูดไปก็เหมือนยอตัวเอง” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน ทำเอาคนฟังอดยิ้มตามไม่ได้ “อยู่ไกลแบบนี้ครอบครัวไม่ห่วงแย่หรือคะ”
“พ่อแม่ก็ห่วงตามประสาพ่อแม่ล่ะครับ ผมโชคดีหน่อยไม่มีแฟนไม่มีภรรยา แต่หัวหน้านี่ลำบากเลยครับ งานก็รัก ลูกเมียก็รัก ดีหน่อยที่เมียแกเข้าใจ... แต่เรามี Wi-Fi นะฮะ ฮ่าๆ” หญิงสาวหัวเราะร่วนเพราะคำสุดท้ายของการันต์
ทว่ารอยยิ้มที่มีบนใบหน้ากลับอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา เมื่อหล่อนมองเห็นร่างของหญิงผมยาวแต่งกายเหมือนหญิงสาวที่เคยปรากฎในฝันหล่อนมาตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีนี้ ยืนมองหล่อนอยู่ใต้ร่มชมพู่น้ำริมธารที่ไหลผ่านด้านหลังโรงครัว บริเวณตีนสะพานเตี้ยๆ เชื่อมระหว่างโรงครัว ที่พักของพนักงานป่าไม้ทั้งหลาย กับสำนักงานที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ
ผู้หญิงคนนั้นคือคนเดียวกันกับที่อยู่ในฝันของหล่อนแน่นอน พลอยชีวันมั่นใจ หญิงสาวยกมือขึ้นทาบอก ไม่ตั้งใจแต่มือก็แตะเข้ากับจี้สร้อยคอเข้า และดูเหมือนทุกอย่างจะร้ายแรงขึ้นเมื่อร่างดังกล่าวนั้นทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาหล่อน
“กรี๊ดดด!” หญิงสาวหวีดร้องสุดเสียง หลับตา ผงะถอยหลังหนีด้วยความกลัว
การันต์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน เขาถลาเข้าใกล้หล่อน หันซ้ายหันขวาหาสาเหตุที่ทำให้หล่อนกรีดร้องลั่นป่าแบบนี้ แต่เขากลับมองไม่เห็นอะไร ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว!
“คุณ! เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น!”
ไม่ใช่เสียงการันต์ แต่เป็นชายหนุ่มอีกคน ซึ่งเขาเดินกลับมาทานข้าวหลังจากตั้งใจว่าเปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อยแล้วจะรีบกลับมาเพื่อไม่ให้เสียเวลาให้คนอื่นคอย อีกใจหนึ่งก็นึกห่วงคนที่ไม่เคยอยู่ป่าอย่างที่การันต์บอก แล้วทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องเขาก็รีบวิ่งห้อมายังโรงอาหาร
ภาพที่เห็นคือหล่อนนั่งหันหลังให้สะพานข้ามลำธาร ยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา ร่างสั่งงันงกเหมือนคนถูกผีหลอก
“คุณ! เงยหน้าขึ้น พูดกับผม!”
อาการสาวลมหายใจเข้าออกลึกๆ ถี่ๆ เป็นอาการของคนกลั่วอะไรบางอย่างสุดขีด ชายหนุ่มมั่นใจ และด้วยเจตนาดี เขานั่งลงข้างๆ พลอยชีวัน วางมือลงบนต้นแขนหล่อนเบาๆ ทันใดนั้น หล่อนก็รีบคว้าเข้าที่มือของเขา บีบเอาไว้แรงๆ
“ตั้งสติ คุยกับผม”
ผ่านไปนานหลายอึดใจ กว่าอาการสั่นจะค่อยๆ คลายลง และหญิงสาวเองก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมากวาดตามองไปรอบๆ ดูระแวดระวัง ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสๆ
“เป็นอะไร”
“ฉัน...” หล่อนทำท่าจะพูด แต่ครู่เดียวก็ปิดปากลง ฟันบนกัดริมฝีปากล่างแรงๆ “ไม่เป็นไรค่ะ...”
“ไม่เป็นไรและเมื่อกี้จะร้องทำไม... เสียงดังจนป่าแทบแตก”
“ฉันขอโทษค่ะ”
เห็นท่าทางสำนึกแกมหงอยๆ มันก็ทำให้เขาใจร้ายไม่ลง “ไม่เป็นไรแน่นะ”
“ค่ะ...”
“เอาๆ ถ้าอย่างนั้นบอกแม่บ้านเอากับข้าวออกมาเลย กานต์ ไปเรียกคนอื่นมากินข้าวไป หกโมงกว่าแล้ว”
ไข่เจียว น้ำพริก ผัดผักหน้าตาประหลาดๆ กับต้มจืดกระดูกหมูผักกาดดอง คือเมนูต้อนรับแขกผู้มาเยือนในวันนี้ ทุกอย่างดูคุ้นตาหมดเว้นเสียแต่ผัดผักที่พลอยชีวันได้แต่นั่งมองป่าไม้ชายหนุ่มทั้งห้าคนตักใส่จานตนเองด้วยสีหน้าชอบอกชอบใจ
“นี่... ผักอะไรหรือคะ”
“ผักกูดครับ หากินยากนะฮะ ลองดู” ไม่พูดเปล่า การันต์ยังกุลีกุจอใช้ช้อนกลางตักให้ “ในเมืองขายจานละร้อยกว่าบาทเลยนะครับ”
“เอ่อ...”
“กินยากขนาดนี้เข้าป่าไม่น่ารอด” เสียงทุ้มห้าวลึกดังขึ้นจากคนที่นั่งตรงกันข้าม พลอยชีวันตวัดสายตาขึ้นมอง แม้จะยังอยู่ในอาการขวัญเสียอยู่ แต่ประโยคดังกล่าวไม่ว่าใครได้ฟังก็คงไม่พอใจในคำสบประมาทของเขานัก จึงใช้ช้อนคลุกน้ำผัด ตลบผักกับข้าวเข้าด้วยกัน แล้วตักเข้าปาก ซึ่งพบว่ารสชาติค่อนข้างดีเลยทีเดียวกับผักกูดสดกรอบหวานผัดกับน้ำมันหอยรสชาติกลมกล่อม
การได้กินอะไรอร่อยๆ มันก็ทำให้หล่อนอารมณ์ดีขึ้นอีกเล็กน้อย
“ตกลงนี่เข้ามาทำข่าวหรือมาทำอะไรครับ เห็นน้ำบอกว่าเป็นนักข่าว ชื่ออะไรนะ?”
“จริงๆ ชื่อเล่นที่พ่อแม่เรียกคือเพลินค่ะ แต่ส่วนมากจะเรียกว่าเพลิน” หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะรีบออกตัว “แต่ไม่ต้องเรียกคุณนะคะ เรียกเพลินเฉยๆ ก็ได้ จะเรียกไอ้เพลินยังได้เลยค่ะ พี่ๆ ที่สำนักข่าวชอบเรียกแบบนั้น”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำรายคนเลยแล้วกันตามอายุงาน นี่ผู้ช่วยฯ น้ำครับ อยู่กับผมมาเจ็ดปีแล้ว ส่วนนั่นผู้ช่วยฯ การันต์ นั่งใกล้ๆ เพลินก็อาทิตย์ กับ อำนาจ ผมชื่ออนุสรณ์ เป็นหัวหน้าที่นี่ คราวนี้มีอะไรให้ผมช่วย”
หญิงสาวเลียริมฝีปากด้วยความประหม่า สอดสายตามองด้วยความเกรงใจ “มันอาจจะฟังดูประหลาดหน่อยนะคะ แต่ เมื่อสองเดือนก่อนมีผู้ชายชื่อวาสะกับเพื่อนๆ ของเขาไปตามหาทายาทของผู้นำจิตวิญญาณคนหนึ่งซึ่งเคยทำผิดประเพณีด้วยการหนีตามผู้ชายออกไปจากหมู่บ้าน ทำให้หมู่บ้านต้องคำสาป ถ้ายังไม่สามารถหาทายาทของผู้หญิงคนนั้นได้ หมู่บ้านของเขาต้องล่มสลาย เขาบอกฉันว่าให้มาที่นี่ ถามหาผู้ช่วยฯ น้ำ แล้วผู้ช่วยฯ น้ำจะเป็นคนพาฉันไปพบเขาเอง”
“แล้ววาสะได้บอกไหมว่าครั้งล่าสุดที่มีคนนอกเข้าไปได้น่ะเมื่อไหร่”
พลอยชีวันนิ่งไป ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “นานจนคุณคิดไม่ถึงเชียวล่ะ...”
คนฟังกลืนน้ำลายลงคอเบาๆ “แล้วมีใครทราบที่อยู่ของหมู่บ้านไหมคะ”
“หมู่บ้านลังกา เป็นชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเกอ ที่มีอายุมานานกว่า ๒๐๐ ปี ซึ่งมีวัฒนธรรม ประเพณี ที่ถูกรุกรานจากคนนอกน้อยที่สุด โดยวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตของพวกเขาได้รับอิทธิพลมาจากมอญ ผสมพม่า บ้างก็ว่าบรรพบุรุษเป็นคนมอญที่อพยพมาอยู่พม่า แล้วพอเจอสภาวะสงครามจึงอพยพออกจากพม่ามาอยู่ที่ไทยอีกที แล้วถูกทำให้มีอัตลักษณ์ของเกอด้วยกาลเวลาและการส่งผ่านจากรุ่นต่อรุ่น พวกเขาอยู่อาศัยมาก่อนที่เราจะประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออีกนัยยะหนึ่งคือพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ห้ามบุกรุกหรือใช้พื้นที่ แต่อย่างที่บอก พวกเขาอยู่มาก่อน จึงมีสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ตามกฎหมาย ตามประกาศคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๑
โดยจากการเก็บข้อมูล พวกเขามีการทำกินด้วยการทำไร่แบบหมุนเวียน ทำให้พื้นที่ไม่ขยายออกไปจากที่เดิม คือ ทำตรงนี้ได้
หนึ่งปี ก็ทิ้งไว้ห้าปี แล้วระหว่างนั้นก็ไปใช้ที่อื่น ครบห้าปีจึงกลับมาใช้ที่เดิม ทำให้การบุกรุกไม่มากไปกว่า ๒๐๐ ปีที่แล้วเลย ถามว่าพวกผมทราบที่อยู่ของหมู่บ้านไหม ทราบครับ แต่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป พวกผมจะไม่มีสิทธิ์กระทั่งเหยียบเข้าไปขอบหมู่บ้าน”
“ทำไมคะ”
“หมู่บ้านแห่งนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ครับ เขาเชื่อว่าคนแปลกหน้าจะนำพาโรคร้าย หรือ ภูตผีปีศาจเข้าไปทำลายพวกเขา พวกเขามีสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญไทยทุกอย่างนะครับ แต่ก็ปฏิเสธความช่วยเหลือจากทางเราหากไม่จำเป็นจริงๆ พวกเขาจะไม่ติดต่ออะไรกับเราเลย จะมีปีละครั้งที่วาสะออกมาประชุมกับทางเขตฯ นอกจากนั้นก็ไม่มีใครได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านอีกเลยครับ ล่าสุดที่ไปลาดตระเวนกันเฉียดๆ ไปยังโดนยิงขู่มาแล้ว คราวนี้ถ้าถามผมว่า ผมอนุญาตให้ไปไหม ต้องถามคนพาไปครับ ถ้าเกี่ยวกับวาสะ อย่างไรต้องเป็นเหตุจำเป็นอย่างรุนแรงแน่นอน ไม่เช่นนั้นวาสะจะไม่ก้าวออกมาจากหมู่บ้าน อย่างกรณี ๗ ปีที่แล้ววาสะก็ออกมาเพราะชาวบ้านเป็นอหิวาต์ จึงต้องพาหมอเข้าไปรักษาครับ”
เอ่ยถึงเรื่องเจ็บป่วย หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ รีบหยิบจดหมายขึ้นมากวาดตามอง “วาสะบอกว่าคนในหมู่บ้านเริ่มล้มป่วยแล้วด้วยค่ะ... เราต้องพาหมอเข้าไปด้วยไหมคะ”
“ถ้าต้องการหมอ วาสะจะออกมาหาเราเองครับ ถ้าเขาไม่ขอร้อง เราคงไม่สามารถจะจัดหมอเข้าไปรักษาได้ พวกเขามียาสมุนไพรรักษากันเองครับ”
“เราจะเดินทางได้เมื่อไหร่คะ เพราะวาสะบอกว่าเราต้องเดินทางเข้าไปก่อนฝนสุดท้ายจะมา” หล่อนเริ่มร้อนใจ
“เรื่องนี้ให้คุณคุยกับผู้ช่วยฯ น้ำดีกว่า” พลอยชีวันกำลังจะหันไปปรึกษา แต่แล้วความสนใจทั้งหมดก็ถูกรถกระบะคันใหญ่ที่วิ่งฝ่าความมืดเข้ามาจอดตรงหน้าโรงอาหารพอดี ก่อนที่จะมีร่างที่มองผ่านแสงไฟสลัวก็พอทำให้เดาได้ว่าเป็นผู้หญิงกระโดดลงมาจากกระบะท้ายในสภาพคล้ายไปคลุกโคลนตมมาไม่มีผิด แล้วตามมาด้วยเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางนกพิราบอีกหลายนาย
“ผู้ช่วยฯ ป๊อบครับ ผู้ช่วยหัวหน้าที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในเขตฯ แต่ทำได้ทุกอย่างเหมือนผู้ชายเลยครับ เละแบบนี้คงลงไปเข็นรถติดหล่มช่วยเขามา”
แล้ว ‘ผู้ช่วยฯ ป๊อบ’ ก็เป็นผู้หญิงที่หน้าหวานมาก แถมผิวยังขาวมากอีกด้วย ไม่เหมือนผู้หญิงที่ต้องทำงานบุกป่าฝ่าดงเลยสักนิดเดียว แต่ขณะเดียวกันก็ห้าวหาญชาญชัยมากเสียด้วย
“กินข้าวมาหรือยัง” การันต์ถามเป็นคนแรกเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้ๆ “ยังดิ่พี่ แต่ขอไปอาบน้ำล้างตัวก่อน ไม่ไหวว่ะ ดินเต็มหัวเต็มปากหมดแล้วเนี่ย”
“บอกกี่ครั้งแล้วให้อยู่บนรถ เป็นผู้หญิงลงไปเข็นรถยังไงวะ เดี๋ยวรถก็ไหลมาทับหรอก”สินธุ์นทีดุเสียงเข้ม
“โอ้ย ไม่ได้ไปช่วยเข็นเลยพี่น้ำ ป๊อบไปยืนดูเฉยๆ พี่หมายก็เหยียบคันเร่งซะดินกระจุยหมด ขนาดยืนไกลๆ นะเนี่ย”
“ไม่เหยียบก็ไม่พ้นสิครับผู้ช่วยฯ ” สมหมายซึ่งเป็นสารถีขับรถมือฉมังของเขตฯ รีบแก้ตัวเสียงดัง พร้อมดึงถุงยาเส้นและกระดาษออกมาม้วน จุดไฟแช็คสูดอัดเอาควันเข้าปอดลึกๆ ระยะห่างระหว่างคนสูบยาเส้นไม่ห่างจากโต๊ะอาหารนัก พลอยชีวันจึงได้กลิ่นฉุนบาดคอลอยมากระทบปลายจมูก พร้อมกันนั้นยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากคนขับ “หลุมนี้ดึงกันอยู่ครึ่งชั่วโมง นึกว่าจะต้องเดินกลับกันซะแล้ว”
“ทางข้างในเละมากเหรอสมหมาย” หัวหน้าอนุสรณ์ถาม
“ก็เอาเรื่องอยู่ครับ ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าเพิ่งเข้าไปเลย รอให้ถนนกลับสภาพเดิมก่อน”
สินธุ์นทีหันหามองพลอยชีวันโดยอัตโนมัติ ต่อประโยคของสมหมายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่คนฟังกลับรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างไรชอบกล “หรือไม่... ฝนก็ตกซ้ำ ทางเละกว่าเดิมจนไปไหนไม่ได้เลย...”
---------------------------------------
มา ๓ ตอนรวด ชเชยที่หาย (หัว) ไปนานหลายสัปดาห์เลยค่ะ ทั้งงานสอบงานสอน
นวนิยายเรื่องนี้เขียนไว้แล้วน่าจะเกิน ๖๐ เปอร์เซ็นแล้วค่ะ มีสตอกอีกหลายตอน ฮ่าๆ
ฝากเพจ 'อนัญชนินทร์' ด้วยนะคะ :3
อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2560, 21:30:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.พ. 2560, 21:30:29 น.
จำนวนการเข้าชม : 950
<< บทที่ ๔ | บทที่ ๖ >> |
แว่นใส 10 ก.พ. 2560, 23:44:28 น.
ไปแล้วจะเป็นไงนะ
ไปแล้วจะเป็นไงนะ
goldensun 14 ก.พ. 2560, 20:28:27 น.
สงสัยตอนพลอยชีวันแนะนำตัวค่ะ ชื่อเล่นพ่อแม่เรียกคือเพลิน แต่คนส่วนมากจะเรียกว่าเพลิน ก็ชื่อเดียวกันนี่คะ
จดหมายเขียนว่ายังไง ทำไมเพลินถึงลุยมาแบบไปตายเอาดาบหน้าแบบนี้
สงสัยตอนพลอยชีวันแนะนำตัวค่ะ ชื่อเล่นพ่อแม่เรียกคือเพลิน แต่คนส่วนมากจะเรียกว่าเพลิน ก็ชื่อเดียวกันนี่คะ
จดหมายเขียนว่ายังไง ทำไมเพลินถึงลุยมาแบบไปตายเอาดาบหน้าแบบนี้
Zephyr 25 มี.ค. 2560, 18:30:20 น.
อยากรู้เนื้อตดหมายด้วยคน
นางถึงกะทิ้งทุกสิ่ง แล้ววิ่งเข้าป่ามาเลย
หรือจะเกี่ยวกับตายตอนอายุ 27 ย่าง 28
อยากรู้เนื้อตดหมายด้วยคน
นางถึงกะทิ้งทุกสิ่ง แล้ววิ่งเข้าป่ามาเลย
หรือจะเกี่ยวกับตายตอนอายุ 27 ย่าง 28