สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"

หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย

ตอน: บทที่ ๖

สองวันมาแล้วที่เขาได้ยินแต่คำถามที่ว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าไปข้างในหมู่บ้าน แรกทีได้ยิน สินธุ์นทีก็เทียวหาเรื่องมาปลอบใจสารพัด แต่บ่อยครั้งเข้า เขาก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินบ้าง ทำเป็นยุ่งอยู่กับงานบ้าง จนพลอยชีวันจับไต๋ได้ จึงเล่นไม้แข็งด้วยการลากเก้าอี้มานั่งเท้าคางจ้องหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย จนท้ายที่สุดป่าไม้หนุ่มหน้าเข้มก็ยอมแพ้

“ตามผมมา”

“จะพาฉันเข้าไปข้างในแล้วใช่ไหม”

“หึ พอถึงเวลาเข้าไปจริงๆ อย่าร้องกลับออกมาก็แล้วกัน” เขาไม่ได้เดินออกไปจากสำนักงาน แต่กลับเดินผ่านโต๊ะทำงานเข้ามาอีกหลายโต๊ะ ตรงไปยังโถงบริเวณกลางสำนักงานที่มีแบบจำลองอาณาเขตของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐแบบสามมิติสูงราวเอวตั้งเอาไว้

“นี่คือสำนักงาน... และตรงนี้ คือหมู่บ้านลังกา เราเข้าไปได้ทางเดียวด้วยการขับรถไปจุดที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาหกชั่วโมง แล้วเดินเท้าต่อไปอีก แต่ออกได้สองทาง คือทางเดินเท้าและทางแม่น้ำ เพราะต้นกำเนิดของแม่น้ำแม่สาอยู่ตรงนั้น ขากลับผมจะพาล่องแพลงมา จากจุดสกัดทางน้ำแล้วขับรถกลับเข้ามาในที่ทำการเขตก็อีกครึ่งชั่วโมงน่าจะได้ มันไม่ใกล้นะ เตรียมใจไว้เลย” แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่พลอยชีวันก็กลืนน้ำลายดังเอื้อกลงไปแล้ว “มีใครจะไปกับเราบ้างคะ”

“คงมีแค่ผมกับพี่สมหมาย เพราะแกอยู่มานาน เดินป่าเส้นนั้นบ่อยกว่าผม ขับรถก็ชินทางมากกว่า ภาวนาอย่าให้รถติดหล่ม ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องลงไปช่วยเข็นรถด้วย” จะอ้าปากโวยวายก็ไม่กล้า เพราะการที่เขายอมช่วยนำทางให้ก็มากเกินหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาแล้ว

“แล้วฉันต้องเตรียมอะไรไปบ้างคะ”

“เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว มียารักษาโรคประจำตัวไหม”

“ไม่มีค่ะ”

สินธุ์นทีพยักหน้ารับ

“ถ้าอย่างนั้นเท่านี้ก็พอแล้ว”

“ฉันไม่เคยเข้าไปนอนป่าเลย... หมายถึง นอนในป่าจริงๆ ไม่รวมกางเต็นท์พักแรมในอุทยานอะไรแบบนี้” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก คล้ายจะเยาะว่า ไม่บอกก็พอจะเดาออก “ไม่ต้องห่วงหรอก... ยังไงก็ลำบากแน่ๆ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว ลองเข้าป่าช่วงมีประจำเดือน บันเทิงกันล่ะทีนี้”

“นี่จะไม่ช่วยให้กำลังใจกันหน่อยหรือไง!”

“ไม่ใช่นิสัยผมหรอก”

นาทีนั้นถ้ามีก้อนหินใกล้มือ พลอยชีวันมั่นใจว่าหล่อนต้องเขวี้ยงใส่หน้าเขาไปแน่ๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างมั่นใจคือตอนนี้ใบหน้าของหล่อนต้องแดงจัดเพราะความโกรธผสมกับความอาย ภายหลังจากที่เขาทำให้หล่อนโมโหได้แล้ว สินธุ์นทีก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานเพื่อตอบรับวิทยุประจำตัว

ภาษาวิทยุเป็นสิ่งที่หญิงสาวไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย หากมีอย่างเดียวที่หล่อนรับรู้ได้คือต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ เห็นได้จากสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดของชายหนุ่มที่เมื่อการสื่อสารจบลง เขาก็เดินไปคว้ากุญแจรถแม้จะดูรีบร้อนเพียงไรยังมีแก่ใจหันมาถามหล่อน

“จะรออยู่ที่นี่หรือจะไปด้วยกัน”

“ไปค่ะ”

ไปไหนไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งมองคนอื่นทำงานเหมือนอย่างที่ผ่านมาตลอด ๒ วันก็แล้วกัน

------------------------------------------------------------------------

ในสภาวะปกติที่ฝนไม่ตก หรือตกปรอยๆสินธุ์นทีจะใช้เวลาขับรถจากที่ทำการเขตฯ เข้ามาในหมู่บ้าน ไม่เกิน ๒ ชั่วโมงครึ่ง แต่ในวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเร่งด่วนเอามากๆ จึงทำให้เขาสามารถเข้ามาถึงหมู่บ้านหินกองได้ในเวลาไม่ถึง ๒ ชั่วโมงดี ทันที่ที่รถกระบะตอนเดียวแล่นเข้ามาเหยียบถนนปูด้วยปูนซีเมนต์ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดดักรอเขาอยู่แล้ว ชายหนุ่มหักพวงมาลัยเข้าไปจอดเทียบแล้วหมุนกระจกลงจนเห็นหน้าอีกฝ่าย

“ไอ้อ๊อดเป็นยังไงบ้างน้าเหลิม”

“จะตายท่าเดียวเลยผู้ช่วยฯ ผมปลอบก็แล้วขู่ก็แล้ว พ่อแม่มันก็ไม่อยู่ด้วย”

“แล้วลูกล่ะ”

“ก็อยู่กับมันนั่นแหละ”

“พาผมไปบ้านอ๊อดเลยน้า นำทางผมไปเลยเดี๋ยวผมขับรถตาม” เฉลิมรับคำ สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ ๑๒๕ ซีซีกลางเก่ากลางใหม่แล้วขับนำออกไปก่อน ไม่ถึงสามนาที สินธุ์นทีก็มาจอดหน้าบ้านชั้นเดียวท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมของเมฆฝนที่เริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกล

พลอยชีวันตัดสินใจที่จะลงจากรถแต่ไม่ตามเข้าไปในบ้านด้วย หล่อนยืนรออยู่ประตูทางเข้าบ้านที่ก่อด้วยอิฐบล็อคสีเทายังฉาบปูนไม่เรียบร้อยดีนัก หากเท่าที่สอดสายตาเข้าไปในบ้านกลับมีข้าวของเครื่องใช้เหมือนใช้ชีวิตที่บ้านหลังนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ไม่นานนักเสียงของชายหนุ่มหน้าเข้มก็ดังขึ้น

“อ๊อด ตั้งสติ มาคุยกันก่อน”

“ผมไม่อยากอยู่แล้วผู้ช่วยฯ ผมจะทำงานไปทำไม ทำไปเพื่อใครถ้าทำแล้วเมียหนีไปมีชู้แบบนี้”

“ถ้าเอ็งมีสติ เอ็งคงไม่ถามข้าแบบนี้” เสียงเขาราบเรียบ แต่ฟังดูสงบเยือกเย็นในที “เราทำงานกันมากี่ปีแล้ววะ ตอนมาสมัครงานเอ็งบอกข้าเองไม่ใช่หรือว่าอยากดูแลป่าบ้านเรา ไม่อยากเข้าในเมือง ไม่ชอบชีวิตในเมือง แล้วเอ็งก็มีความสุขกับชีวิตแบบนี้ หรือเอ็งจะลาออกแล้วไปปรับความเข้าใจกับเมีย นั่นก็สุดแล้วแต่เอ็งจะพิจารณา แต่ส่งปืนมา อย่าทำแบบนี้ มันจะเป็นภาพติดตาลูก”

“ปืน...?” พลอยชีวันพึมพำเบาๆ แอบชะเง้อคอมองบรรยากาศภายในบ้านที่มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ มัดผมจุกนั่งอยู่ใกล้ๆ ผู้เป็นพ่อซึ่งยืนเอามือทั้งสองข้างกุมกระบอกปืนสั้นพกพาเอาไว้ ห่างออกไปมีชายหนุ่มอีกหลายคนยืมล้อมอยู่ รวมถึงสินธุ์นทีเองด้วย

“ทำไมเขาทำแบบนี้กับผมผู้ช่วยฯ ... ผมทำงาน หาเงินมาเลี้ยงดูเขาไม่ขาดตกบกพร่อง แต่จู่ๆ เขากลับมาบอกว่ารับไม่ได้กับงานที่ผมทำ”

“อ๊อด... ถ้าเขารับไม่ได้กับสิ่งที่เราเป็น ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็จะต้องจากไป ลองคิดในทางกลับกัน หากให้เอ็งเลิกทำงานกับป่าไม้ เอ็งจะรับได้ไหม”อ๊อดนิ่งไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยต่อ “ถ้าเขารับไม่ได้ในสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น แล้วเราก็ทำเต็มที่แล้วแต่เขาก็ยังไม่พอใจ มันก็หมดหนทางจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้แล้วล่ะ”

“ผู้ช่วยฯ ... ผมจะอยู่ยังไง” น้ำเสียงเริ่มสั่นพอๆ กับมือที่ถือกระบอกปืนไว้

“ก็อยู่อย่างที่เราอยู่ตลอดมานั่นแหละ แต่เปลี่ยนจากอยู่เพื่อเขา เป็นอยู่เพื่อลูก เพื่อพ่อแม่ เพื่อตัวเอง เราทำดีที่สุดแล้วว่ะ ถ้ามันไม่พอ ก็ปล่อยเถอะ รั้งไว้มีแต่เราที่เจ็บ” น้ำตาหยดแรกของอ๊อดร่วงผล็อยลงมา เกือบพร้อมๆ กับที่พลอยชีวันรู้สึกว่ากระบอกตาของตนเองเริ่มร้อนผ่าว “เอ็งอายุเท่านี้ ยังมีอนาคตอีกไกล พ่อแม่ยังไม่สบาย ลูกยังเล็ก จะรีบตายไปทำไมวะ”

“มันหักหลังผม ผู้ช่วยฯ ...” ร่างผอมสูงทรุดลงกับพื้น วางกระบอกปืนไว้ข้างตัว แล้วคว้าลูกสาวมากอดก่อนจะพร่ำเพ้ออย่างคนขาดสติ “เมียผมมันหนีไปกับชู้เพราะมันบอกว่าผมไม่มีเวลาให้ เอาแต่เข้าป่าทำงาน”

สินธุ์นทีใช้ปลายเท้าเขี่ยกระบอกปืนให้ห่างจากระยะมือลูกน้องจะเอื้อมถึง แล้วนั่งขัดสมาธิใกล้ๆ กัน คราวนี้เขาไม่พูดอะไร ตั้งใจจะรับฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าตอนนี้อ๊อดคงมีสติมากขึ้นแล้ว คงผิดหวังในความรักไม่ได้ต้องการคำปลอบใจที่สวยหรูหรอก พวกเขาเพียงแค่ต้องการการระบายเพื่อรอวันตัดใจลืมความรักครั้งนี้ให้ได้เท่านั้นเอง

ตั้งแต่สินธุ์นทีเข้ารับราชการ กรณีของอ๊อดไม่ใช่กรณีแรกที่ทำงานอยู่ในป่าและไม่ค่อยได้กลับบ้านจนมีปัญหาเรื่องครอบครัว ส่วนมากจะพอมีเค้าลางและทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลิกราขึ้นมาจริงๆ จึงทำใจได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่อ๊อดอายุเพียงยี่สิบสอง และภรรยาหนีตามชายคนใหม่ไปโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อย ความกดดันจากการใช้ชีวิตที่งานหนัก สวัสดิการน้อย ซ้ำยังต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของครอบครัวก็คงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้อ๊อดน้อยใจในชีวิตจนเกือบคิดสั้นเกือบฆ่าตัวตาย

เขาก็เคยผ่านจุดนี้มาก่อน ทำไมจะไม่รู้ว่ามันเจ็บเจียนตายแค่ไหน กับการที่เราทำหน้าที่เฝ้าป่าแทนคนไทย ทำงานหนักไม่ต่างอะไรกับรั้วของชาติ มิหนำซ้ำค่าตอบแทนในแต่ละเดือนแทบไม่พอยาไส้ ตัวเขาเองเป็นข้าราชการเวลาเจ็บป่วยขึ้นมายังพอเบิกค่ารักษาได้ แต่ลูกน้องของเขาที่ยังไม่ได้บรรจุ ตำแหน่งเป็นเพียงเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าปฏิบัติงานชั่วคราวกลับไม่มีใครเหลียวแล ต้องควักเงินจ่ายเองทั้งที่มีความเสี่ยงในชีวิตในการเข้าป่าแต่ละครั้งยังไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสามารถกลับออกมาเจอหน้าลูกเมียได้อีกหรือไม่ เมื่อต้องมาเจอการหักทรยศหลังครั้งใหญ่ มันก็อดน้อยใจในโชคชะตาไม่ได้

เข้าทำนอง ‘งานก็หนัก รักก็พัง ตังก็ไม่มี’ อะไรแบบนั้น...

สินธุ์นทีไม่เคยมองว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระ สำหรับเขาแล้ว ความรู้สึก ความคิด ทัศคติของเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การมีครอบครัวดี ก็จะทำให้ความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้น แล้วความรู้สึกดีๆ ย่อมนำพามาซึ่งค่านิยม ทัศคติดีๆ งานก็จะออกมาดีตามไปด้วย แม้ต้องเหนื่อยกับงาน แต่กำลังใจดี ก็ทำให้มีแรงใจที่จะลุกขึ้นมาทำงานในวันต่อไป

เขาก็ทำได้เท่านี้... สร้างแรงใจให้ลูกน้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องเงินทอง หากอะไรที่ช่วยได้เขาก็จะช่วย เพราะเขามีอำนาจช่วยได้เท่านี้ ถ้าทำได้ เขาก็หวังจะให้ลูกน้องมีสวัสดิการดีๆ มีเงินเดือนดีๆ ตอบแทนให้คุ้มค่ากับแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทลงไปเพื่อดูแลป่าไม้ของบ้านเราเช่นกัน

“ถ้าไปทำงานไม่ไหวก็พักก่อน ให้จิตใจดีขึ้นแล้วค่อยกลับไปทำงาน” อ๊อดปาดน้ำตา ยกมือขึ้นไหว้ ไม่ลืมจะให้ลูกสาวไหว้สินธุ์นทีด้วย“มีอะไรก็ให้น้าเหลิมไปบอกได้ ช่วยได้ก็จะช่วย ทำใจให้สบาย ข้ากลับก่อนล่ะ”

“ครับ”

ก่อนจะกลับออกมาเขาตบบ่าลูกน้องหนักๆอีกครั้งแทนการให้กำลังใจ โดยไม่คิดว่าเมื่อก้าวพ้นประตูออกมาแล้วจะต้องมาออกแรงคิดคำปลอบอีกรอบให้กับหญิงสาวที่เขาเพิ่งรู้จักเมื่อไม่กี่วันก่อนซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตเขาแม้แต่นิดเดียว

“ตาแดงๆ นี่อย่าบอกนะว่าร้องไห้?”

“ก็เขาน่าสงสารอ่ะ” พูดจบน้ำตาก็ทำท่าว่าจะร่วงอีกรอบ “ทำงานหนักเพื่อครอบครัวขนาดนี้เมียยังไม่เข้าใจอีก”

“ก็เพราะงานหนักไม่มีเวลาให้เมียนั่นแหละ เมียเลยหนี... เฮ้ยๆ อย่าร้องสิ ผมปลอบผู้หญิงไม่เป็นนะบอกไว้ก่อน”

“ไม่ได้จะให้ปลอบซะหน่อย” พลอยชีวันยกสองมือขึ้นระดมปาดน้ำตา เดินหน้าคว่ำตามหลังสินธุ์นทีขึ้นรถ
แต่ยังไม่ทันได้สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยซ้ำ เสียงร้องเรียก “ผู้ช่วยฯ น้ำ” แหลมปรี๊ดเสียดหูคนฟังก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของสองหนุ่มสาวได้เป็นอย่างดี

“มาทำอะไรคะ ทานข้าวเที่ยงกันก่อนสิคะ แล้วนั่นใครคะ”

เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่หล่อนเห็นผู้ช่วยฯ หนุ่มหน้าดุมีท่าทางกระอักกระอวนใจ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างเห็นได้ชัด แล้วมันชวนให้ขำทั้งน้ำตาอย่างไรบอกไม่ถูก

“ผมมาทำธุระ ต้องรีบกลับ หัวหน้าไม่อยู่ ไม่มีใครดูแลสำนักงาน”

“ทานข้าวเที่ยงแป๊บเดียวเองค่ะ พ่อบ่นๆ คิดถึงผู้ช่วยฯ กับหัวหน้าอยู่นะคะ”

“ไว้วันหลังนะ”

“คราวก่อนผู้ช่วยฯ ก็พูดแบบนี้ มะตูมก็รอแล้วรออีก” เจ้าหล่อนไม่น่าจะอายุถึงยี่สิบดี ดวงหน้าขาวผ่องตัดกับผมสีน้ำตาลไหม้ รูปร่างออกไปทางอวบอัดนิดๆ

ครั้นเห็นว่าสินธุ์นทีเริ่มจนแต้ม มะตูมก็หันมาหาขวัญจันทร์ “สวัสดีค่า หนูชื่อมะตูมนะคะ พี่เพิ่งมาทำงานเหรอคะ”

“เพื่อนผมเอง” สินธุ์นทีตอบให้โดยทันที

“ไปเถอะนะคะผู้ช่วยฯ ขา” มะตูมทำเสียงอ้อนอ่อนหวาน

หล่อนอ่านสีหน้าสินธุ์นทีไม่ออก มันดูนิ่ง สงบ อย่างน่าเหลือเชื่อทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนคนที่ถูกบังคับให้ซัดยาขมไปทั้งโอ่ง แต่แล้วเขาก็ทำให้ประหลาดใจด้วยการพยักหน้าตอบรับ

“ได้ครับ เดี๋ยวไปเจอกันที่บ้านกำนันนะครับมะตูม”

มะตูมพยายามเก็บอาการดีใจแต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก “เจอกันที่บ้านนะคะ”


------------------------------------------------------------------------

ระหว่างทางจากบ้านอ๊อดมาถึงบ้านกำนัน สินธุ์นทีเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่านอกจากกำนันประสงค์จะมีอำนาจทางการเมืองในฐานะกำนันตำบลวารีราชแล้ว ยังเป็นที่เคารพนับหน้าถือตาในฐานะผู้มีอันจะกิน เป็นคนใหญ่คนโตทั้งตระกูลมาแต่ไหนแต่ไร

“ถ้าเป็นเรื่องงานเขาก็ให้ความร่วมมือดีตลอดนะ แต่เรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนี่ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไร”

“ทำไมคะ”

“ลักลอบตัดไม้ ล่าสัตว์ตามใบสั่ง” ว่าพลางถอนหายใจ “ที่มาของเงินพวกเขาก็มาจากของผิดกฏหมายพวกนี้เสียส่วนใหญ่เลยล่ะ ที่จับได้ก็ไม่ยอมซัดทอด บอกว่าทำเอง แต่สายในหมู่บ้านยืนยันตรงกันว่าพรานจะรับใบสั่งจากกำนันอีกที ส่วนใบสั่งกำนันก็รับออเดอร์มาจากเศรษฐีจีนบ้าง ฝรั่งบ้าง ไทยก็มีเยอะ อย่างล่าสุดที่จับได้ก็อ้างว่ามาหาของป่า แต่พอค้นตัว เจอทั้งนกทั้งกระรอกกระแต ตัวลิ่น ตัวเหี้ยยังมีเลย”

“ลิ่น?”

“ลิ่นหรือนิ่ม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ถูกจัดอยู่ในบัญชี CITES 1 ห้ามมีการซื้อขายโดยเด็ดขาด แต่มักถูกลักลอบล่าเพื่อนำเอาไปทำเป็นยา เพราะเชื่อว่ามันมีสรรพคุณในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศบ้าบออะไรนั่น... การกินเกล็ดลิ่นมันก็ไม่ต่างอะไรกับแทะเล็บตัวเองหรอก นอแรด อะไรพวกนี้ก็เหมือนกัน มันไม่มีสรรพคุณอะไรทั้งนั้น มีเงิน แต่ไม่มีสมองคิดเอง”

หญิงสาวยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางโกรธจัด ดูท่าเขาจะเหลืออดจริงๆ กับปัญหาการลักลอบล่าสัตว์ป่า

“เข้าไปไม่ต้องพูดอะไรนะ ยิ้มลูกเดียว บอกว่าเป็นเพื่อนผมก็พอ”

เขาหันมาย้ำอีกรอบเมื่อรถจอดนิ่งสนิทแล้ว บ้านของกำนันประสงค์มีอาณาเขตกว้างใหญ่โอ่อ่าตามประสาคนมีฐานะของตำบล เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงซึ่งสินธุ์นทีหันมากระซิบว่าเป็นค่านิยมของคนในพื้นที่แถบนี้ที่ยิ่งบ้านมีเสาไม้สักต้นใหญ่มากเท่าไรก็จะยิ่งบ่งบอกว่าเป็นผู้มีฐานะมากเท่านั้น เมื่อเดินลงไปก็มีชายร่างหนาบึกบึนตัดผมสกินเฮด หนวดเคราตกแต่งได้รูปอย่างดี เช่นเดียวกับการแต่งกายบ่งบอกว่าเป็นคนมีอันจะกิน

ครั้นเห็นชายหนุ่มยกมือไหว้ พลอยชีวันก็รีบทำตาม และยิ้มหวานอย่างที่เขาบอก

ยิ้มลูกเดียว...

อาหารมื้อเที่ยงค่อนไปทางบ่ายก็หรูหราสมฐานะเจ้าของบ้าน ตลอดทางเดินจากประตูบ้าน มีอาวุธปืนยาว เขาสัตว์ ประดับอยู่ ซึ่งพลอยชีวันเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามันต้องรบกวนประสาทสายตาของสินธุ์นทีมากแน่ๆ แต่ที่เห็นแค่เขาเดินคอแข็งตามหลังกำนันไปยังห้องรับประทานอาหารเท่านั้น

“มะตูม กินข้าวเสร็จแล้วพาพี่สาวเขาออกไปเดินชมบ้านหน่อยสิลูก”

จู่ๆ กำนันประสงค์ก็เอ่ยคำสั่งออกมกาแบบที่ไม่มีใครสามารถขัดได้ โดยเฉพาะตอนที่มะตูมรีบกุลีกุจอฉุดให้พลอยชีวันลุกขึ้นตาม หญิงสาวครั้นหันไปหาสินธุ์นทีเขาก็พยักหน้าให้หล่อนยอมทำตาม คล้อยหลังสองสาวแล้ว ลูกน้องลิ่วล้อของกำนันจึงค่อยๆ ทยอยเดินออกไป พร้อมกับไม่ลืมที่จะปิดประตูไล่หลังให้ด้วย

“สบายดีไหม ผู้ช่วยฯ”

“ครับ”

“เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ” เขาลอบถอนหายใจ แต่ยังปั้นสีหน้าได้คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ตะกอนในใจเริ่มลอยฟุ้งขึ้นมาทีละน้อยๆ “คือ... เอาอย่างนี้ดีกว่าผู้ช่วยฯ พูดกันดีๆ ตกลงกันง่ายๆนะ ถึงตอนนี้ผู้ช่วยฯ ยังไม่มีลูกมีเมีย แต่พ่อแม่ก็ยังไม่สบายถ้าเทียบกับพ่อแม่บ้านอื่นใช่ไหม... ผมทำให้พ่อแม่ผู้ช่วยฯ ได้สบายๆ เทียบเท่าบ้านอื่นๆ ได้เลยนะ เป็นรายเดือนหรือเป็นก้อนทีเดียวดีล่ะ”

สีหน้าของผู้ช่วยฯ หนุ่มในตอนนี้ไม่มีใครอ่านออกว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่ สิ่งที่เขาทำก็คือเพียงการนั่งฟัง และดวงตาคมกริบทำเพียงจ้องมองไปยังคู่สนทนา ไม่มีท่าทีจะต่อต้าน หรือตื่นเต้นกับข้อเสนอนั้น จึงทำให้คนพูดต้องลุ้นไปเสียทุกอย่างกับการกระทำของเขา

อาการนิ่งไปนานของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ขวามือสร้างกระแสความปั่นป่วนในใจกำนันประสงค์อย่างมาก เพราะตลอดเวลาที่พยายามเจรจาหาข้อสรุปเกี่ยวกับใบเบิกทางในการทำงานพิเศษของตน ป่าไม้หนุ่มผู้นี้มักจะมีท่าที่ก้าวร้าวกับตนเสมอ ทว่าครั้งนี้ นอกจากจะไม่ก้าวร้าวแล้ว สินธุ์นทีกลับยังมีท่าทีคิดหนัก มันจึงทำให้ผู้มีอำนาจได้ใจ

“ผมให้ได้มากกว่าเงินบำเหน็จผู้ช่วยฯ หลายเท่าเลยนะ”

“ผมขอคิดดูก่อนแล้วกันครับ”

คำตอบของสินธุ์นทีทำให้กำนันประสงค์ยิ้มกว้าง สลับกับการถอนหายใจด้วยความโล่ง แม้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ซ้ำยังนำมาซึ่งความยินดียิ่งนัก

“มันต้องอย่างนี้สิ!”

กำนันตบไหล่ป่าไม้หนุ่มหนักๆ พลางหัวเราะชอบใจ

แล้วสินธุ์นทีก็ทำให้ผู้มีอำนาจแปลกใจอีกครั้งด้วยการลุกขึ้นยืนทันที ทำเอากำนันประสงค์ร้องถามเสียงหลง

“อ้าว จะกลับเลยรึ”

“ครับ มีเอกสารต้องเคลียร์อีกเยอะ”

“เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ เท่านี้ผมก็รบกวนกำนันมากพอแล้ว”

“เฮ้ย ไม่รบกวน คนกันเองทั้งนั้น ไป เดี๋ยวไปไปส่งที่รถ” สินธุ์นทีพยักหน้า คอยให้กำนันประสงค์ก้าวออกจากห้องอาหารไปก่อน เขาจึงเดินตามหลังออกไปบ้าง และพบว่าพลอยชีวันยืนชมกุหลาบอยู่ใกล้ๆ ที่รถจอดอยู่นั่นเอง

“ผู้ช่วยฯ ยังไม่ได้กินของหวานเลยนะคะ” มะตูมวิ่งเข้ามาหาทันทีที่เห็นว่าเขาไขกุญแจประตูรถยนต์
ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด “ผมต้องกลับไปทำงานครับ”

“เดี๋ยวมะตูมตักใส่ปิ่นโตให้นะคะ เอากลับไปกินที่โน่น”

“อย่าดีกว่าครับ” ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงและท่าทางสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ไปกันคุณ”

“ค่ะ”

หญิงสาวมุดเข้าไปในรถก่อน สินธุ์นทีทำท่าจะก้าวตามเข้ามาจากฝั่งคนขับ กลับรถภายในอาณาเขตบ้าน และเมื่อกำลังจะขับผ่านกำนันประสงค์ เขาห็หยุดรถแล้วใช้มือข้างหนึ่งท้าวขอบกระจกรถยนต์เอาไว้

“ผมให้คำตอบกำนันได้แล้วนะครับ เรื่องความช่วยเหลือเป็นเงินก้อนหรือเป็นงวดนั่น ... ผมขอปฏิเสธไม่รับอะไรทั้งนั้นแล้วกันครับ”

จบคำเขาก็ออกรถทันที ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควัน และความโกรธขึ้งในสีหน้าดวงตาของกำนันประสงค์ที่แสดงออกมาอย่างไม่ยอมเก็บงำอาการเลยแม้แต่น้อย


------------------------------------------------------------------------

กว่าจะกลับมาถึงสำนักงานที่ทำการเขตฯ ก็เป็นเวลาบ่ายเกือบเย็นแล้ว และฝนยังโปรยลงมาอย่างไม่ขาดสายหนักกว่าช่วงเช้าเสียด้วย เมื่อเดินเข้ามาข้างในก็พบว่าการันต์กลับมาจากการลาดตระเวนร่วมกับทีมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอีกห้านายและกำลังนั่งเขียนรายงานอยู่ นอกจากดารยาหรือผู้ช่วยฯ ป๊อบซึ่งเป็นหญิงสาวคนเดียวในทีม และเป็นผู้ใจดียอมให้หล่อนแชร์บ้านพักซึ่งยังมีห้องว่างอยู่อีกหนึ่งห้อง การันต์ก็เป็นอีกคนที่แวะเวียนมาชวนหล่อนพูดคุยบ่อยๆ เขาดูเป็นผู้ชายเข้าถึงง่าย มองโลกในแง่ดี ยิ้มและหัวเราะให้กับทุกๆ เรื่อง

“ผมดูเป็นคนยิ้มง่ายอย่างนั้นเหรอครับ?” การันต์ทวนคำ ไม่วายจะหัวเราะ

“อย่างน้อยก็น่าจะยิ้มง่ายกว่าคุณน้ำ... มั้งคะ”

คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้นไปอีก “คุณเพลินทราบไหมครับว่าฉายาพี่น้ำคืออะไร”

“มีฉายาด้วยเหรอคะ”

“ไม่สิ เขาเรียกสโลแกนประจำตัว”

“ว่ายังไงคะ?”

“ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยมครับ”

“อื้อหือ... ดีๆ ทั้งนั้น” ชายหนุ่มหัวเราะลั่นสำนักงาน เพราะตอนนี้มีเพียงสองหนุ่มสาวอยู่กันตามลำพัง ส่วนคนที่กำลังถูกนินทานั้นยังวุ่นวายอยู่กับการเช็คปืนที่เพิ่งกลับมาจากการลาดตระเวนซึ่งมีปัญหาขัดลำกล้องยิงไม่ออก จากสภาพการใช้งานที่นานกว่ายี่สิบปีมาแล้ว จนถูกเคยนำขึ้นมาพูดเป็นมุกตลกเชิงเสียดสีอยู่บ่อยๆว่า ของหลวงนี่ไม่รู้ใช้ทนหรือต้องทนใช้กันแน่

“แต่จริงๆ แกใจดีครับ ป่าไม้ส่วนมากเป็นแบบนี้ทุกคน ไม่รู้คัดมาตั้งแต่สมัยเรียนหรือไง ไอ้พวกหน้าโหดๆ หนวดเคราเฟิ้มๆเนี่ยเป็นพวกใจแลกใจครับ ดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายกลับ ลูกน้องรักแกจะตาย”

“ใจดีไม่เห็นต้องหน้าโหดเลยนี่คะ โหดขนาดนี้ยังมีสาวๆ มาชวนไปกินข้าวเที่ยงด้วยนะคะ”

“น้องมะตูมแน่ๆ”

“คุณกานต์รู้ได้ยังไง?!” คนถามทำตาโต

“สาวๆ ชอบแกเยอะครับ เขาบอกนิ่งๆ น่าค้นหาดี ส่วนมากมากรี้ดกร๊าดกันแล้วก็แล้วไป เข้าหมู่บ้านไปหาชุมชนทีก็ได้ของฝากมาเป็นกะละมัง แต่ถ้าจะมีหวังผลก็น้องมะตูม ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านนี่แหละฮะ”

“แล้วเขาไม่ชอบเหรอคะ”

“แกชอบผู้หญิงเรียบร้อยครับ แฟนแต่ละคนนี่ยังกับผ้าพับไว้ แกบอกว่าเจอแบบไอ้ป๊อบเยอะแล้ว แกเอียน นี่ไปพูดให้ไอ้ป๊อบได้ยิน มันตวาดแว้ดเลยครับ บอกว่าขอแช่งให้ได้แฟนขาลุยยิ่งกว่ามัน ไอ้เราก็ขำ ลุยกว่าป่าไม้นี่จะเป็นอะไรได้วะ”

“อยากเห็นหน้าแฟนคุณน้ำจัง...”

“โห แกโสดมาสี่ห้าปีแล้วมั้งครับ แต่ละคนทนความสันโดษของแกไม่ไหว หายไปดื้อๆ ก็มี บอกเลิกดีๆ ก็เยอะ แกบอกขี้เกียจหาแล้ว จะมาก็มา ไม่มาก็นอนกอดปืนตายคาป่าแบบนี้ก็เท่ดี”

ผู้ชายคนนี้มีตรรกะความคิดประหลาดๆ หญิงสาวคิดในใจ รักสันโดษแบบนี้มิน่าเล่า... ถึงอยู่ในป่าได้

“ถามถึงพี่น้ำบ่อยๆ อย่าบอกนะว่าคุณเพลินก็หลงเสน่ห์ความนิ่งแบบดิบเถื่อนของพี่น้ำไปแล้ว”

เหมือนถูกการันต์ฟาดด้วยหมอนใบใหญ่ ไม่เจ็บ... แต่ มันเหวอๆ มึนๆ บอกไม่ถูก “ก็ฉันไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรนี่คะ อีกอย่าง ต้องเข้าป่ากับเขา ไปตามหาวาสะอีก... คิดว่ารู้จักนิสัยใจคอกันไว้ก็ดีน่ะค่ะ”

คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะกว้างกว่าเดิม “ผมล้อเล่นน่ะครับ... ผมยังยืนยันคำเดิมนะ พี่น้ำเป็นคนดุ แต่ใจดีครับ ไม่ต้องกังวลหรอก แกไม่พาลูกสาวชาวบ้านไปลำบากแน่ๆ”

ถึงจะว่าอย่างนั้น... แต่พลอยชีวันกลับรู้สึกหวั่นใจลึกๆ อย่างไรไม่รู้ ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ราบรื่นอย่างที่คิด


------------------------------------------------------------------------



อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.พ. 2560, 21:03:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2560, 21:03:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1031





<< บทที่ ๕   บทที่ ๗ >>
พอใจ 22 ก.พ. 2560, 22:49:04 น.
ตอนหนูพลอยไปหาวาสะ ขอให้มีคุณน้ำติดตามตลอดด้วยเถอะ ดูแล้วว่าหนูพลอยต้องเจอปัญหาเยอะแน่ๆ สู้ๆน๊าาาา


แว่นใส 23 ก.พ. 2560, 07:25:44 น.
คู่กันแล้ว ไม่แคล้วกันน่า


goldensun 2 มี.ค. 2560, 19:07:47 น.
ตอนมะตูมแนะนำตัวกับพลอยชีวัน กลายเป็นขวัญจันทร์ค่ะ
ชีวิตป่าไม้น่าเห็นใจค่ะ ขาดคนช่วยเหลือจริงจัง ทั้งที่งานเสียสละอย่างมาก


Zephyr 25 มี.ค. 2560, 18:43:47 น.
ส่องกระจกค่ะ เพลิน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account