สูตรลับจับรัก
เรื่องรักของคุณพ่อลูกติดมาดเซอรกับครูสาวสุดเปิ่น ผู้ถูกความรักผลักไสให้หลงทางมาเจอกันในวันบอบช้ำ สองหนุ่มสาวต่างวัยกับกาวใจลูกสาวตัวเล็กและชีวิตที่พลิกผัน
Tags: สูตรลับจับรัก ทักษ์ปิ่น คุณพ่อนักเล่านิทาน รักดราม่า

ตอน: บทที่ 2 : 50%

ประตูห้องเปิดออก ปิ่นมณีถึงกับแปลกใจที่เห็นถุงพลาสติกใสใส่ห่อข้าวแขวนไว้ที่ลูกบิดประตูด้านนอกมีกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กเหน็บกับสายยางรัดห่ออาหาร หล่อนหยิบมาอ่านแล้วถึงกับนิ่วหน้า

พ่อซื้อข้าวมาฝากแต่ไม่ให้น้ำหอมกวนครูค่ะ

ลายมือโย้เย้ของเด็กน้อยทำให้ปิ่นมณียิ้มออก ห่อข้าวยังอุ่นๆ มีนมพ่วงมาอีกหนึ่งกล่อง แต่ลายมือในกระดาษโน้ตสีเหลืองอีกแผ่นที่เหน็บหนังยางติดกล่องนมไม่ใช่ลายมือของน้ำหอม

น้ำหอมบอกว่าอย่าลืมกินนมก่อนนอนด้วยนะครับ... ครูปิ่นแรงเยอะ

เชอะ!

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ตกลงว่าหล่อนกลายเป็นมนุษย์จอมพลังในสายตาของทุกคนไปตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้น จนทำให้น้ำหอมติดภาพจำมาเพราะพวกผู้ใหญ่เอามาพูดต่อๆ กัน

จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว มิน่า!

สิรภพคงอาย ถึงไม่พอใจในกีฬาที่หล่อนนิยม แต่ไม่ยอมบอกตรงๆ นึกหน้าสิรภพลอยมาแล้วหล่อนก็โมโหอีกรอบจนลืมตัวปิดประตูห้องเสียงดัง

ห้องพักขนาดกะทัดรัด มีระเบียงเล็กหันหน้าออกทะเล พอสะดวกสบาย ถึงความสะอาดพอประมาณแต่ก็สมกับราคาไม่กี่ร้อยบาท ปิ่นมณีได้ที่พักห้องสุดท้ายติดกับห้องของสองพ่อลูกพอดีทำให้พออุ่นใจ เพราะเสียงหยอกล้อหัวเราะคิกคักยังลอยลมมาให้ได้ยิน

เข้าห้องแล้วหล่อนก็ปิดล็อคลูกบิด หิ้วถุงข้าว หยิบขวดน้ำเปล่าหัวเตียงเปิดประตูออกไปนั่งเก้าอี้ริมระเบียง ข้าวผัดทะเลหอมฉุยห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ดูไม่ค่อยถูกสุขลักษณะแต่ดีที่มีแผ่นพลาสติกขนาดใหญ่รองอาหารผูกจุกอย่างดีเอาไว้อีกชั้น เมื่อแกะออกมามีช้อนพลาสติกอยู่ด้านใน

ปิ่นมณีได้แต่มองด้วยความรู้สึกแปลกๆ หล่อนไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดีมาจากไหนก็จริง แต่ก็ไม่ชิน ไม่เคยชินกับอะไรแบบนี้เลย!
สิรภพติดหรูทุกอย่างต้องดูดี แม้แต่มื้ออาหารธรรมดายังไม่ยอมกินร้างข้างทาง แทบไม่ต้องพูดกันถึงอาหารห่อแบบนี้ เขาได้แต่ให้เหตุผลว่าไม่สะอาด ไม่สมฐานะ หล่อนไม่พอใจที่เขาใช้จ่ายเงินค่าอาหารในแต่ละมื้อแบบมือเติบ แต่ไม่เคยคิดจะขัดใจเพราะเข้าข้างตัวเองว่ารักก็เลยยอมรับในตัวคู่หมั้น

ผิดกับสองพ่อลูกติดดินคู่นี้ลิบลับ...

ปิ่นมณีตักข้าวติดปลายช้อนชิมคำแรกถึงกับขมวดคิ้ว ยิ้มน้อยพอใจก่อนจะตามมาด้วยคำที่สองที่สามเรื่อยๆ จนไม่ทันได้สนใจว่าทักษ์ยืนอยู่ริมระเบียงห้องข้างๆ ชายหนุ่มกระแอมเบาๆ แต่หล่อนก็ยังไม่รู้ตัว

“ท่าทางอร่อยมากนะคุณ” ทักษ์ยิ้มมุมปาก “ผมได้ยินเสียงปิดประตูก็รู้ว่าคุณคงได้ข้าวแล้ว”

เขายืนเกาะราวคั่นกลางระหว่างห้อง ปิ่นมณีอ้าปากค้างยังไม่ทันหมดห่อก็รวบช้อนเก็บห่อข้าวใส่ถุงจะลุกหนี ทักษ์รีบเรียกไว้

“เดี๋ยวสิครับ”

หล่อนยืนค้างอยู่หน้าประตูยังไม่ทันเข้าด้านในเพราะเสียงหัวเราะขบขันของพ่อน้ำหอมทำให้หงุดหงิด

“มีอะไรคะ” หล่อนตอบเสียงขุ่นอย่างเสียไม่ได้ “อ๋อ! ค่าข้าวใช่ไหม”

ทักษ์หุบยิ้ม คิ้วขมวดทันทีที่ปิ่นมณีล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบธนบัตรใบละร้อยมานับๆ แล้วกรีดนิ้วหยิบให้หนึ่งใบ

“นี่ค่ะ ไม่ต้องทอน”

ทักษ์กอดอกมองธนบัตรสีแดงที่หล่อนยื่นส่งให้สีหน้าเรียบเฉย จนหล่อนโบกเงินไปมาเป็นเชิงบอกให้ชายหนุ่มรับไว้เมื่อเห็นท่าทางเหม่อ แต่เขาปัดมือเล็กออกห่าง

“เก็บเงินคุณคืนไปเถอะ”

“อ้าว ทำไมล่ะ ก็คุณอุตส่าห์ซื้อมา ฉันก็ต้องคืนเงินคุณสิคะ” ปิ่นมณีทำเสียงขึ้นจมูก ทักษ์ไม่ตอบแต่หัวเราะหยันแล้วหันหลังให้จะเดินเข้าไป ปิ่นมณีถลาเข้าหาระเบียงราวคั่นแล้วร้องถาม “คุณหัวเราะทำไม ฉันน่าขำตรงไหน!”

“เปล่า คุณไม่ได้น่าขำอะไรหรอก”

“งั้นถ้าไม่มีอะไร ทำไมไม่รับเงินล่ะ”

ทักษ์หันกลับมามอง แววตามีรอยสมเพชประหลาด “น้ำหอมเป็นห่วงครู ก็เลยซื้อมาฝากแต่คุณคงไม่ชอบรับน้ำใจจากใคร”

“น้ำหอมหรือคะ” หล่อนทวนคำ “ทำไมฉันจะไม่ชอบ ของที่มาจากน้ำใจ”

“ก็นั่นสิครับ คราวหน้าคราวหลังจะได้จำไว้ว่าอย่าใช้เงินฟาดหัวใคร” ทักษ์เขม้นมอง “ถ้าเขาไม่ร้องขอ”

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะคะ” หล่อนรีบปฏิเสธ หน้าถอดสี “ฉันติดหนี้ค่าข้าวคุณ ก็ต้องจ่ายสิ”

ทักษ์ส่ายหน้ามองเงินในมือหล่อนแล้วเบนสายตามาสบ “ไม่เป็นไรครับ”

“แต่ว่า”

ไม่ทันที่หล่อนจะพูดต่อ ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มมุมปาก ปิ่นมณีถอนหายใจแล้วยิ้มตอบจำนนต่อชายหนุ่ม

“ก็ได้ค่ะ คุณพ่อนักเล่านิทานช่างค่อน” ปิ่นมณีล้อเลียนเสียงยานคาง ทักษ์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินสมญานามใหม่ที่หล่อนตั้งให้ ตั้งท่าจะถามต่อแต่หล่อนตัดบท “ฉันไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้อยากจะรีบกลับแต่เช้า”

“นึกว่าจะมีเพื่อนคุยซะอีก” ทักษ์หยุดหัวเราะแล้วยิ้มตาเป็นประกายอ่อนโยน “ฝันดีนะครับ”

ผู้ชายหน้าหนวด ติสได้ใจคนนี้มีอะไรแปลกๆ

ปิ่นมณีได้แต่นึกในใจ พยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าห้อง แต่เมื่อหันไปมองเห็นชายหนุ่มท่าทางเหงามองออกไปนอกทะเลมืดมิดแล้วเหมือนสะกดสายตาให้หล่อนต้องมอง

ท่าทางเฉยเมยของผู้ชายธรรมดา ติดจะโทรมเพราะเสื้อผ้าหน้าผมไม่เนี๊ยบเหมือนคู่หมั้นของหล่อน แต่ใบหน้าด้านข้างของเขากลับงดงามราวรูปสลัก สันกรามคมรับกับจมูกโด่งเป็นสันสะกดสายตาหล่อนจนแทบละสายตาไม่ได้ มือเรียวดังลำเทียนยกเสยผมปรกหน้าเพราะแรงลมแล้วมัดจุกครึ่งหัว ผู้ชายคนนี้เหมาะจะเป็นศิลปินจำพวกนักวาดภาพหรือไม่ก็น่าจะเป็นนักดนตรี

ปิ่นมณีพินิจเผลอมองชายหนุ่มแล้วเดินเข้ามายืนใกล้ๆ ห่างกันเพียงราวกั้น เคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้ หรือจะเพราะว่าเคยมารับน้ำหอมทำให้หล่อนเห็นผ่านตา

“คุณคงคิดถึงแม่น้ำหอมมากนะคะ”

“ครับ”

ทักษ์เบนสายตามามองชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองทะเลต่อ

“เธอเสียไปนานรึยังคะ” หล่อนเสียงอ่อย “ขอโทษค่ะ คุณไม่ต้องตอบก็ได้”

ปิ่นมณีหน้าเสียเมื่อทักษ์เหลือบตามองอีกครั้ง ดวงตาสีเทาสลดวูบจนหล่อนแทบจะตบปากตัวเอง รู้ว่าละลาบละล้วงเหมือนคนไม่มีกาลเทศะ แต่ทักษ์ส่ายหน้าเผยลักยิ้มข้างเดียวสดใสขัดกับดวงหน้าครึ้มไรหนวดเศร้าหมอง

“หลังจากน้ำหอมเกิดได้หกเดือนครับ”

“คุณต้องเลี้ยงแกตั้งแต่แบเบาะเลยหรือคะ” ปิ่นมณีหน้าตื่น “ทำได้ยังไง น้ำหอมเป็นเด็กน่ารักมากดูไม่เหมือนกับแกขาดแม่เลยค่ะ”

“ผมก็ไม่ใช่พ่อที่ดีนักหรอก” ทักษ์หันมาสบตา “แกขาดแต่ผมต้องสอนให้แกเรียนรู้โลก”

“คุณมีสูตรลับอะไร บอกฉันบ้างสิคะ เป็นวิทยาทานให้ครูอนุบาลอย่างฉันด้วย”

ทักษ์เสยผมปลิวไสวปรกหน้าตา ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้เอนหน้าประตู มองหล่อนผ่านซี่กรงราว แล้วทวนความจำให้

“ก็คงสูตรลับแบบที่สอนผู้หญิงขี้แยเมื่อกลางวันมั้งครับ”

“นิทานหรือคะ” หล่อนนึกได้แล้วก็หน้าร้อนผ่าวชี้มือมาที่เปลือกตาตัวเอง “หรือว่าเพราะ...”

พูดไม่จบหล่อนก็กระดากเสียเอง...

ทักษ์ไม่ตอบแต่โปรยยิ้มตาใสมาให้ ปิ่นมณีชะงัก รอยวูบไหวในดวงตาสีหม่นเทาทำให้หล่อนรู้สึกหลากหลาย น่าสนใจ น่าสงสาร น่าเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน

“คุณเลี้ยงลูกมาได้ขนาดนี้ก็นับว่าเก่งแล้ว ฉันซะอีกเป็นครูแต่ไม่เข้าใจเด็กๆ เท่าไหร่เลย”

บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร หล่อนไม่เคยคิดถึงแง่มุมนี้จากผู้ปกครองของเด็ก ถึงแม้พิทักษ์รักวิทยาจะเป็นโรงเรียนเอกชนที่ไม่ได้ใหญ่โต หล่อนไม่เคยเห็นเจ้าของโรงเรียนมาปรากฏกายแม้สักครั้ง นอกจากผู้บริหารที่เขาว่ากันว่าเป็นเพียงญาติใกล้ชิด
ปัญหาของเด็กในโรงเรียนก็มีมากมาย เพราะนโยบายใครใคร่เรียนเรียนไม่เน้นค่าเทอมแพงผิดแผกโรงเรียนเอกชนทั่วไป แต่หล่อนไม่เคยใส่ใจเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัว

บางทีอาจต้องศึกษาวิธีคิดจากชายหนุ่มคนนี้ดูสักทีว่าน่าสนใจแค่ไหน เผื่อจะได้เอาไว้เป็นกรณีศึกษา

“ผมว่าจะไปมินิมาร์ทปากซอย คุณจะเอาอะไรรึเปล่า”

“แล้วน้ำหอมไปด้วยรึเปล่าคะ”

ทักษ์ส่ายหน้าแทนคำตอบ ปิ่นมณีเลิกคิ้ว เอี้ยวตัวมองลอดช่องหน้าต่างไปที่ห้องทักษ์

“แกนอนแล้วนี่ คุณจะทิ้งแกไว้แล้วออกไปหรือคะ”

“แกอยู่ได้ครับ ผมว่าจะไปหาอะไรมาให้แกกินตอนเช้า ไม่งั้นงอแงเพราะหิวแล้วลำบากแน่นอน”

“ลั่งร้านอาหารบังกะโลก็ได้นี่คะ” หล่อนแย้ง “หรือไม่มี”

“มี แต่ผมกลัวว่าเปิดสายไม่เสี่ยงดีกว่า” เขาตอบแล้วหันมองลูกสาวหลับสนิทบนเตียง ก่อนจะหันมายิ้มให้หล่อน “ว่าแต่คุณจะไปด้วยไหม”

หญิงสาวคิดหนัก ใจจริงก็อยากได้ของใช้ส่วนตัวอย่างน้อยก็เสื้อผ้ากับชั้นในสักชุดเพราะกระเป๋าเสื้อผ้าโดนใช้เป็นอาวุธทุ่มอดีตคู่หมั้นไปเมื่อตอนกลางวัน คิดแล้วยิ่งโมโห

“ว่าไง จะไปไหม” เขาถามย้ำอีก

“ไปสิคะ ฉันอยากได้ของใช้บางอย่าง” หล่อนอิดออดนิดๆ สีหน้ายุ่งยากแล้วบ่นกระปอดกระแปด “คุณนี่เลี้ยงลูกแปลกๆ เป็นฉันจะไม่ทิ้งลูกออกไปนอกบ้านแน่”

. “ผมไม่เคยทิ้งแกไปไกลๆ หรอก ถ้าไม่จำเป็น แต่ผมต้องสอนให้แกช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด”

“ฉันเข้าใจค่ะ คุณเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวนี่เนอะ” หล่อนพยักหน้ารับรู้แล้วรีบบอก “งั้นเจอกันหน้าห้อง ขอฉันทำธุระแป๊บค่ะ”

พอกลับเข้าห้องมองไปรอบๆ แล้วหล่อนก็ถอนหายใจ ทั้งเนื้อทั้งตัวนอกจากกระเป๋าสตางค์ใบเดียว หล่อนไม่มีอะไรเหลือติดตัวสักอย่าง แม้แต่แปรงสีฟันยังไม่มี ของอย่างอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ป่านนี้กระเป๋าใบนั้นคงถูกโยนทิ้งขยะไปแล้ว
หรือจะแอบไปดู... เผื่อยายนั่นจะทิ้งเอาไว้นอกห้อง แต่คิดไปคิดมาก็ได้แต่ส่ายหน้า

ช่างมัน!

แม้แต่สิรภพ หล่อนก็ตัดใจทิ้งตั้งแต่ก้าวขาออกจากบ้านพักหลังนั้นแล้ว นับประสาอะไรกับกระเป๋า

ปิ่นมณีหย่อนกายลงนั่งปลายเตียงหมดอาลัยตายอยาก ก้มสูดกลิ่นเสื้อที่ตรากตรำมาพอๆ กันทั้งวันแล้วถึงกับหน้าเบ้ หล่อนควรจะไปหาเสื้อผ้าสักชุดให้รอดกลับฝั่งได้แบบคนไม่เหม็นกันทั้งเรือน่าจะดีเหมือนกัน



ระยะทางจากร้านสะดวกซื้อถึงที่พักไม่ไกลมาก แต่ดูเหมือนไกลเพราะปิ่นมณีรู้สึกอึดอัดเหมือนใครมองจ้องตลอดเวลา หล่อนอาจรู้สึกไปเอง ถ้าไม่บังเอิญเห็นเงาคนหลบวูบเข้าหลังกำแพงนั่น

“คุณ! ฉันเห็นเหมือนใครไม่รู้ตามเรามา” ปิ่นมณีเรียกไว้พร้อมดึงเสื้อด้านหลังชายหนุ่ม ทักษ์ชะงักเหลียวขวับไปมองด้านหลัง แต่ไม่เห็นใคร

“ตาฝาดไปรึเปล่า อาจคนผ่านไปมาก็ได้”

“ไม่นะ” หล่อนส่ายหน้าดิก “ฉันรู้สึกตั้งแต่ออกมาจากมินิมาร์ทแล้ว”

“แต่ผมไม่ยักรู้สึก” ทักษ์เหลียวมองรอบๆ ไม่เห็นความผิดปกติ “คุณอาจจะคิดไปเอง ถึงแล้ว เข้าห้องพักเถอะ”

ทักษ์ยืนส่งอยู่หน้าห้อง ปิ่นมณีไขกุญแจเหลือบมองซ้ายขวาระแวดระวังไปด้วย แต่หล่อนก็ชะงักเมื่อลูกบิดคลายล็อคออกง่ายดายโดยที่ยังไม่ทันบิดลูกกุญแจ แค่ขยับลูกบิดก็เปิดออกเองหน้าตาเฉย

“มีอะไรรึเปล่า” ทักษ์ท้วง

“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร คุณกลับไปดูน้ำหอมเถอะค่ะ”

“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”

“แน่ใจสิคะ”

ทักษ์รีรอชั่วครู่ แต่ปิ่นมณีหันมาพยักหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไร

“อย่าลืมสิคะ ฉันคือครูปิ่นแรงเยอะไม่พอยังเป็นวันเดอร์วูแมนผู้พิทักษ์น้ำหอมด้วย” หล่อนพูดเองหัวเราะเอง
ทักษ์ฟังแล้วอมยิ้มถอยออกห่างให้หล่อนเปิดประตูเข้าห้องไป

ในห้องมืดสลัวมีแสงไฟจากระเบียงเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องให้พอได้งมทางเดิน ปิ่นมณีกวาดมือสะเปะสะปะเปิดไฟ วางถุงของใช้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วมาหย่อนตัวนั่งปลายเตียง

อันที่จริงก็ไม่ควรซื้ออะไรมากมายนักหรอก แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้เมื่อเห็นแท็กติดกระเป๋าเรซินรูปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเกาะ วางขายอยู่เกลื่อน เอาไปฝากที่บ้านให้รู้ว่าหล่อนมาเที่ยว จะได้ไม่ต้องซักไซ้เรื่องสิรภพที่ไม่รู้จะตอบพ่อว่าอย่างไรก็คงดีเหมือนกัน

แต่ไม่มีเวลาได้ผ่อนคลายนานก็ต้องตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นประตูระเบียงเปิดแง้มทั้งที่ก่อนออกจากห้องหล่อนสำรวจตรวจตราดีแล้วว่าปิดเรียบร้อย คว้าด้ามไม้กวาดหน้าประตูห้องน้ำได้ก็ย่องเงียบเข้าใกล้เงาวูบวาบหลังผ้าม่านริมระเบียง

เสร็จแน่! ไอ้ขโมยบ้า!

ขนาดหล่อนไม่มีสมบัติอะไรติดตัวมา ยังจะกล้ามาแหยม ได้เห็นดีกันแน่! ตั้งท่าเงื้อมือหมายจะฟาด แล้วหล่อนก็ต้องสะดุ้งเมื่อแง้มม่านออกไปเจอแมวดำตัวเขื่องตาสีเหลืองทองแวววาวขู่ฟ่อเข้าให้ก่อนจะโดดผลุงหนีไปนอกระเบียง เห็นเงายาววูบผ่าน
เสียงโครมครามจากห้องติดกันทำให้ทักษ์ถึงกับสะดุ้งลุกพรวดจากเตียงหลังจากเพิ่งเอนกายไปได้ไม่กี่นาที ร่างสูงผอมรวบผมเคลียไหล่ขึ้นผูกลวกๆ แล้วกระโจนออกจากห้องไปเคาะประตูห้องหญิงสาวเสียงดัง

“เป็นอะไรรึเปล่า... คุณ!” ทักษ์ตะโกนถามและเคาะเรียกไม่หยุด

สักพักประตูก็เปิดออกพร้อมปิ่นมณีหน้าเหยเกยืนคาประตูพร้อมด้ามไม้กวาดในมือ

“เปล่าค่ะ” หล่อนโคลงหัว “ฉันแค่ตกใจ”

“แล้วเมื่อกี้เสียงอะไร ผมได้ยินดังโครม”

หล่อนไม่ตอบ ท่าทางตกใจจนหน้าซีด ชี้มือสั่นเทาไปด้านใน ทักษ์ชะเง้อมองผ่านเข้าไป แล้วสบตาปิ่นมณีที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ยืนแข็งทื่อจนชายหนุ่มต้องดันตัวหล่อนให้หลบข้างประตู ส่วนตัวเขาค่อยๆ ย่องเข้าไปแต่ไม่เห็นใคร

“ไม่เห็นมีอะไรเลย” ทักษ์กระซิบ “หรือว่ามันหนีไปแล้ว”

“ฉันไม่อยากอยู่ห้องนี้แล้ว ขอเขาเปลี่ยนห้องได้ไหม”

“แต่ตอนนี้ห้องเต็มหมดแล้วนะ” ชายหนุ่มมองหน้าหล่อน “หรือว่าคุณกลัวมันย้อนกลับมา”

“ถ้ามันย้อนกลับมาก็ดีนะสิ ฉันจะได้อัดให้น่วม” หล่อนค้อนตากลับ “แต่นี่... ฉันไม่รู้ว่าผีหรือคน”

ทักษ์ฟังแล้วถึงกับคิ้วขมวดก่อนจะหัวเราะใส่หน้าหล่อนเสียงดังลั่น ปิ่นมณีหน้ามุ่ยนึกโมโหพ่อหนวดมาดเซอร์ ใครจะคิดว่าแค่ความรู้สึกของหล่อนจะน่าขำ

“ครูปิ่นนี่เป็นคนตลกนะครับ”

“ตลกตรงไหนกัน” หล่อนมองค้อน สีหน้าซีดเผือด

“ก็ตรงที่ช่างมโน”

“ไม่นะ!” ปิ่นมณีแหวใส่ “ฉันเห็นแมวดำจริงๆ มันหลบอยู่หลังผ้าม่านไหวๆ พอเปิดประตูออกไปมันก็หันมาทำตาวาวใส่ น่ากลัวมาก แล้วฉันก็เห็นเงาที่ไม่รู้ว่าคนหรืออะไรด้วย”

หล่อนยืนยัน สีหน้าเหยเก นึกแขยงถ้าหากสิ่งที่คิดไว้เป็นอย่างที่จินตนาการ แต่ทักษ์ส่ายหน้าท่าทางเหมือนเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ

“งั้นถ้าตอนนี้เงาที่ไม่รู้ว่าคนหรือ... มันไปแล้ว ผมก็ขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า”

“อย่าไปนะ! ขอฉันไปด้วย”

“จะไปด้วยได้ไงล่ะ คุณ!” ทักษ์หันมองแต่หล่อนเกาะแน่น

“ไม่รู้แล้ว ฉันไม่อยู่ที่นี่คนเดียวแน่ๆ ให้ฉันไปด้วยนะคุณ”

ปิ่นมณียื้อชายเสื้อทักษ์ไว้จนเสื้อยืดออกสุดตามแรงดึง งานนี้ไม่หยุดก็ต้องหยุด

“แต่ผมว่า”

ทักษ์ถอนหายใจระอาหันกลับมามองโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้หน้าหล่อนชนเข้ากับแผงอกล่ำของเขาอย่างแรง ทักษ์เซเท้าหลังถอยชนกับขอบเตียงจนหงายหลังไปบนที่นอน เท้าเกี่ยวคนชนล้มคว่ำตามกัน


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.พ. 2560, 11:45:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มิ.ย. 2560, 14:43:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1106





<< บทที่ 1 : 100%   บทที่ 2 : 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account