สูตรลับจับรัก
เรื่องรักของคุณพ่อลูกติดมาดเซอรกับครูสาวสุดเปิ่น ผู้ถูกความรักผลักไสให้หลงทางมาเจอกันในวันบอบช้ำ สองหนุ่มสาวต่างวัยกับกาวใจลูกสาวตัวเล็กและชีวิตที่พลิกผัน
Tags: สูตรลับจับรัก ทักษ์ปิ่น คุณพ่อนักเล่านิทาน รักดราม่า
ตอน: บทที่ 2 : 100%
“ว้าย!” ปิ่นมณีร้องลั่นทันทีตั้งสติว่าล้มทับชายหนุ่มไปทั้งตัว หล่อนถึงกับผงะเมื่อจ้องมองดวงตาสีหม่นเทาใต้ร่างที่ใบหน้าห่างกันแค่คืบแล้วถึงกับตัวแข็งทื่อ
ทักษ์ไม่พูดอะไรสักคำ มีเพียงดวงตาตระหนกจ้องตอบหล่อน ก่อนที่ปิ่นมณีจะผุดลุกออกจากตัวชายหนุ่มขึ้นยืนด้วยท่าทางประดักประเดิด
“ขะ... ขอโทษ ขอโทษค่ะ”
หนุ่มผมยาวลุกนั่งปลายเตียง ลูบผมเคลียไหล่ของตัวเองก่อนจะผุดลุกยืนตรงข้ามหล่อน ความสูงที่ต่างกันเกือบศอกทำให้ต้องก้มมองหน้าหล่อนเต็มตา
“ไม่เป็นไร ผมกลับห้องดีกว่า”
“ค่ะ” หล่อนอ้อมแอ้มหลบตา ไม่มีทีท่าหวาดกลัวแบบเมื่อครู่อีกเพราะความขัดเขินเข้ามาแทนที่
ทักษ์ยิ้มเล็กน้อยเบี่ยงตัวจะเดินออกไปพลันสายตาเหลือบเห็นแสงวูบที่ริมระเบียงฝั่งทางเดิน ชายหนุ่มกระโจนพรวดออกไปทางระเบียง ปิ่นมณีวิ่งตามติด แต่ไม่ทันได้เห็นเพราะเงานั้นหายวับไปกับความมืดเสียแล้ว
“ตกลงฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมคุณ ว่ามีอะไรผิดปกติในห้องจริงๆ” ปิ่นมณีระล่ำระลักถามหน้าซีดเผือด
“ผมว่างานนี้คนหลอกมากว่าผีหลอกแล้วละ” ทักษ์หันมาสบตา “ถ้าเดาไม่ผิด ผมว่าแสงที่เห็นเมื่อกี้เป็นแสงแฟลชกล้องถ่ายรูปมากกว่า”
”แล้วทำไม” หล่อนนิ่วหน้า “ฉันไม่มีศัตรูที่ไหนนะ!”
“ใครจะรู้ละ อาจเป็นคนที่คุณเพิ่งไปมีเรื่องมาก็ได้”
ปิ่นมณีเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น สองมือกำแน่นบีบจนทักษ์ได้แต่ส่ายหน้า
“ฉันจะไปเอาคืน” หล่อนทุบโต๊ะดังปัง ดวงตาเรียวฉายแววเด็ดเดี่ยวก่อนจะนึกได้ “ต้องนังนั่นแน่ๆ กล้ามากนะที่มาแกล้งฉัน ทนไม่ไหวแล้ว”
“ผมว่าคุณพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคิด บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้”
“ฉันนอนไม่ได้ จะหลับตาลงได้ไงถ้าไม่รู้ความจริงว่าไอ้ที่หลอกฉันมันคนหรือผี” พูดจบหล่อนก็ตาโต ปรายตามอง ส่งเสียงเบาหวิว “คุณให้ฉันไปนอนกับน้ำหอมได้ไหมคะ”
“ได้ยังไง คุณเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชายนะ”
“ฉันหมายถึงว่า ให้ฉันไปนอนกับน้ำหอม ส่วนคุณมานอนห้องนี้แทน”
“คุณนี่พูดง่าย เรายังไม่ทันรู้จักกันข้ามวันเลย” ทักษ์กลอกตามองหล่อนสีหน้าประหลาดใจแล้วเอ่ยเสียงเกรี้ยว “ผมคงยอมให้คุณอยู่กับลูกสาวผมตามลำพังหรอก”
ปิ่นมณีอ้าปากค้าง ยกมือโบกปฏิเสธพัลวัน
“ฉันไม่ใช่พวกทำอนาจารเด็กนะคุณ! ไม่ต้องกลัวฉันหรอก”
“คุณคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ทักษ์ส่ายหน้าพรืด “งั้นเอางี้ ถ้าคุณไม่กลัวผม ก็ไปนอนที่ห้องได้ มีเตียงเล็กอีกเตียง”
“จริงนะคะ!” หญิงสาวสีหน้าดีขึ้นทันตา “ขอบคุณมากค่ะ คุณหนวด”
ทักษ์ถอนหายใจหนักหน่วง สะกดกลั้นอารมณ์ ริมฝีปากกระจับใต้ไรหนวดเม้มแน่นขุ่นใจที่หล่อนเรียกแบบนั้น
“ถามจริง คุณไม่กลัวผมหรือไงถึงได้กล้าเสนอตัวไปนอนห้องผม”
“คุณพูดซะสิบแปดบวกเชียว แต่อย่างน้อยก็มีน้ำหอมอยู่” หล่อนอ้อมแอ้มแล้วฉีกยิ้มฝืดเฝือ “ฉันถึงได้ไม่กลัวไง คุณออกจะใจดี”
ทักษณ์หรี่ตามองชั่งใจ ผู้หญิงคนนี้ปะเหลาะเก่ง สมกับเป็นครูอนุบาล แต่หล่อนคงลืมไปว่าเขาเป็นพ่อเด็กไม่ใช่เด็กอนุบาล ถึงจะได้รู้ไม่ทัน
ปิ่นมณีหน้าซีด หล่อนกลัวจริงจังในสิ่งที่ไม่รู้ว่าคนหรือสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น แต่มันทำให้คนอวดเก่งเป็นแม่ยักษ์เมื่อตอนกลางวันกลายเป็นแมวเชื่องไปได้ นึกถึงตอนนี้ทักษ์ก็หัวเราะขันเล็กน้อยโดยไม่หันมา
“ผมเพิ่งรู้ว่าครูปิ่นแรงเยอะของน้ำหอมกลัวผีมากกว่าคน ถึงได้ตามติดผมขนาดนี้”
เสียฟอร์มอะไรอย่างนี้! ปิ่นมณีหน้าเบ้ แต่หล่อนก็จะไม่ทนอยู่ในห้องนี้เหมือนกัน
“คุณอย่าย้ำมากได้ไหม ความกลัวห้ามกันได้หรือไงคะ”
“แล้วถ้าเกิดคนอย่างผมแปลงร่างเป็นไอ้หื่นขึ้นมา คุณจะทำยังไง กลัวหรือไม่กลัว”
ทักษ์หันกลับมา ทำท่าขึงขังจ้องหล่อนแววตาเจ้าเล่ห์ ปิ่นมณีชะงักเมื่อคนพูดแทนที่จะออกไปนอกห้องกลับหันมาเผชิญหน้า ได้กลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ จากร่างชายหนุ่ม ทำให้หล่อนถึงกับอึกอัก
“กลัว แต่ฉันคงเสยปลายคางไอ้หื่นก่อนจะทำอะไรฉันน่ะสิคะ” หล่อนถลึงตาใส่แสยะยิ้มมุมปาก “ไม่เห็นจะยากตรงไหน”
พูดจบหล่อนก็ดันตัวเองออกจากห้องก่อน ทิ้งให้ทักษ์ที่ถูกผลักจนเซไปชนประตูด้านในถึงกับงง ชายหนุ่มหันกลับไปมองทาง
ระเบียงอีกครั้งแล้วหันมาทางประตูและหัวเราะเสียงดัง ส่ายหน้ากับความกล้าบ้าบิ่นของหญิงสาว
น้ำหอมนอนหงายกางแขนขาขวางเต็มเตียงเป็นที่ขยาดเมื่อปิ่นมณีได้เห็น ทักษ์ตามเข้ามาหยุดยืนเคียงมองลูกสาวอย่างเอ็นดู แล้วถอนหายใจ
“คุณแน่ใจนะครับว่าจะนอนกับแก”
“แน่ใจค่ะ” ปิ่นมณีเงยหน้าสบตา “ถ้าคุณอนุญาต”
“ได้อยู่แล้ว”
ทักษ์ยิ้มมุมปาก แล้วก้มมองหน้าหญิงสาวที่พอสบตาเขาแล้วเมินไปอีกทาง ท่าทางเงอะงะของหล่อนทำให้ชายหนุ่มนึกขำในใจ ปิ่นมณีนั่งริมเตียงยกแขนน้ำหอมวางข้างตัว แล้วเอื้อมไปยกแขนอีกข้าง แต่เด็กน้อยพลิกตัวด้วยความรำคาญ ขาป้อมๆ วาดตะแคงฟาดเข้าให้ที่สะบักหลังปิ่นมณีจนล้มคว่ำบนเตียง
“โอ๊ย! น้ำหอมทำไมนอนดิ้นจัง”
หล่อนตั้งสติได้ตะแคงข้างมาทางน้ำหอม เจอขาเล็กๆ ชี้เด่มาตรงหน้าแล้วตวัดคีบเอวหล่อนราวกับหมอนข้าง ปิ่นมณีหน้าเหยเกจะยกขาอวบเล็กออกจากตัว แต่แล้วก็ต้องตกใจนิ่งขึงเพราะได้ยินเด็กน้อยละเมอ
“คุณแม่ขา... น้ำหอมคิดถึงคุณแม่ น้ำหอมอยากกอดคุณแม่”
“เอ่อ น้ำหอมจ๊ะ นี่ครูไม่ใช่แม่นะ”
ปิ่นพยายามเบี่ยงตัวออก แต่มือน้อยยังกอดเอวหล่อนแน่นและละเมอ
“มาให้น้ำหอมกอดนะคะคุณแม่”
“คุณหนวดทำไงดี” ปิ่นมณีถามเสียงเบาขอความช่วยเหลือ “ช่วยฉันด้วย”
ทักษ์เผลอลูบหนวดหรอมแหรมเบาๆ แล้วบอก “เดี๋ยวผมจัดการเอง”
พูดจบลงนั่งคุกเข่าบนเตียง ยกขาแขนลูกสาวออกจากตัวหล่อน แล้วจัดท่าทางให้หันนอนตรงหัวนอนก่อนจะยกตัวอวบป้อมลากขึ้นไปนอนหนุนหมอนด้วยความชำนาญ
ปิ่นมณีเท้าสองแขนโก้งโค้งลุกขึ้นนั่งคลำสะโพกตัวเองป้อยๆ หน้ามุ่ย “อีกหน่อยฉันว่าน้ำหอมไปเรียนต่อยมวยดีกว่า ดูมีแวว”
“หืม” ทักษ์หันมามองเมื่อลงนั่งข้างเตียง “ลูกสาวผมออกจะเรียบร้อย”
“ร้อยเรียบมากกว่าสิคะ” หล่อนค้อน “จระเข้ฟาดหางฉันซะจุกเลย”
“ผมว่าถ้าไม่อยากจุกกว่านี้ คุณควรจะไปนอนเตียงเล็กนั่น”
ทักษ์จัดแจงห่มผ้าให้ลูกสาวไม่สนใจมองคนเจ็บ จนหญิงสาวมองค้อนอีกรอบ
“สุภาพบุรุษเขาไล่ผู้หญิงลงจากเตียงแบบนี้หรือคะ”
“ถ้ายังอยากรอดกลับบ้านพรุ่งนี้” เขามองสบตาหล่อนตรงๆ “ผมว่าคุณทำตามที่บอกดีกว่า”
“พูดซะน่ากลัว” ปิ่นมณีหน้าแดงก่ำ อดวูบไหวในคำพูดสองแง่สองง่ามของชายหน้าหนวดไม่ได้ “ฉันขอโทษนะคะ ที่มากวนคุณ มันค่อนข้างเป็นเหตุผลงี่เง่ายังไงก็ไม่รู้”
หล่อนเสียงอ่อยลุกย้ายไปนั่งเตียงเล็กริมประตูระเบียง มองทักษ์หย่อนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนข้างลูกสาว
“ไม่เป็นไรครับ” เขาเหลือบมองหล่อน “แต่คราวหน้าอย่าทำแบบนี้กับใคร”
“ทำไมคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก คุณอาจจะไม่โชคดีถ้าเป็นคนอื่น” ทักษ์ขยิบตาซ้ายใส่หล่อนจนหนวดกระดิก
“ผมขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน คุณก็พักเถอะ”
พูดจบก็ผละเข้าห้องน้ำไป ปิ่นมณีมองตามนึกถึงคำพูดแล้วรู้สึกว่าหล่อนไว้ใจคนมากไป ถ้าหากเขาไม่ใช่คนดี มีหวังหล่อนคงไม่รอด ยังดีที่มีน้ำหอมอยู่ด้วย และอย่างน้อยนายหนวดมาดเซอร์ก็ยังน่าจะเป็นสุภาพบุรุษพอ... จากที่มองเห็นและได้สัมผัสแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ทักษ์ลูบไรหนวดครึ้ม มองผมหยักศกนิดๆ เปียกลู่ไม่เป็นทรงของตัวเองหน้ากระจกแล้วได้แต่ถอนใจ เขาปล่อยตัวจนดูมอมแมมเกินกว่าจะดูได้จริงอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นบอก
ตั้งแต่มีน้ำหอม ชีวิตที่ดูจะรุ่งโรจน์ก็ดับวูบ ยิ่งไม่มีแม่ของลูกด้วยแล้ว ภาระทุกอย่างก็ตกเป็นของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าภาระการเลี้ยงดูจิตใจและให้การศึกษา ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ต้องทำงานอยู่ในทะเลนานๆ อย่างเขามาก ถึงแม้จะมีต้นทุนมากพอไม่ลำบากแต่เขาก็อยากให้น้ำหอมรู้อยู่ ในเมื่อมันเป็นไปแล้ว ชีวิตที่ขาดแม่ก็ยังต้องดำเนินต่อไปโดยมีแม่นวลคอยดูแลระหว่างที่เขาต้องลงทำงานในทะเล
ออกจากห้องน้ำมา ทักษ์ก็ต้องแปลกใจที่เห็นลูกสาวตัวน้อยนั่งคุกเข่าเท้าคางสองข้างมองหน้าปิ่นมณีที่หลับปุ๋ยไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ เด็กน้อยหันมาถามทันทีที่ทักษ์เดินมาหยุดยืนข้างๆ
“ทำไมครูปิ่นถึงมานอนนี่ได้คะ”
“แล้วน้ำหอมตื่นมาทำอะไรคะ” ทักษ์ค้อมตัวมองหน้า “ดึกแล้วนะมานอนกันดีกว่า”
เด็กน้อยส่ายหน้าพรืด ตาใสไม่หายข้องใจ “น้ำหอมอยากเข้าห้องน้ำ ก็เลยตื่น เจอครูปิ่นตกใจหมดเลยค่ะ”
“งั้นตอนนี้หายตกใจแล้วก็มานอนค่ะ”
ทักษ์ก้าวขึ้นเตียงฝั่งห้องน้ำแล้วตบที่นอนเรียกลูกสาว แต่เด็กน้อยยังคงอิดออด
“เมื่อกี้น้ำหอมฝันว่าได้กอดแม่ พอเห็นครูก็เลยคิดถึงแม่ค่ะ”
“งั้นเอาไว้เราค่อยมาเยี่ยมแม่ใหม่ในปีหน้านะ”
ทักษ์ยื่นนิ้วก้อยให้ น้ำหอมทำตาม สองพ่อลูกหัวเราะให้กันเป็นสัญญา ก่อนที่เด็กน้อยจะทำปากยื่น ลุกขึ้นบอกพ่อ
“ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยมานอน”
ทักษ์พยักหน้ารับรู้ พอคล้อยหลังร่างป้อมๆ ของลูกสาว ก็จ้องมองหญิงสาวบนเตียงเล็กแล้วส่ายหน้า หล่อนเข้ามาในเวลาที่เขาและลูกหวนรำลึกถึงคนสำคัญพอดี
ครูปิ่นแรงเยอะเก่งแต่ท่าทางขี้กลัวคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เจอคนแบบไหนทำให้เจ็บช้ำมากัน
ทักษ์เหม่อมองจนน้ำหอมที่ออกจากห้องน้ำมายืนตรงหน้า บังสายตาจากภาพครูสาวร่างเล็กที่นอนคุดคู้อยู่ ทักษ์ยิ้มแหยให้ลูกสาวก่อนจะเปิดผ้าห่ม ตบเบาๆ ให้ขึ้นมา
น้ำหอมขึ้นที่นอนได้ โอบแขนป้อมรอบคอพ่อ แล้วหอมเบาๆ อ้อน
“คุณพ่อขา เล่านิทานให้ฟังหน่อย”
“สามทุ่มแล้วนะ” ทักษ์ดูนาฬิกาข้อมือ “พรุ่งนี้เรากลับเรือเที่ยวแรกนะคะ”
“กลับสายหน่อยก็ได้นี่คะ น้ำหอมปิดเทอมแล้วนี่นา”
“แต่มันผิดข้อตกลงของเรานะคะ อย่าลืมสิว่าพรุ่งนี้คุณยายกลับมาจากวัดแล้ว”
“น้ำหอมคิดถึงคุณยาย”เด็กน้อยทำปากยู่ หน้าง้ำแต่เสียงอ้อนไม่เลิก “ไม่มีทางลืมหรอกค่ะ แต่ตอนนี้อยากฟังนิทานมากกว่า”
ทักษ์ยิ้มพลางลูบหัวด้วยความเอ็นดู ยื่นแขนให้หนุนเป็นการบอกใบ้ว่าอนุญาต เด็กน้อยยิ้มกว้างตาเป็นประกายซบหน้าลงกับอกพ่อรอฟัง
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง มันลื่นตกลงไปในบ่อน้ำซึ่งลึกมาก แต่มันตะเกียกตะกายเกาะขอบบ่อไว้ได้ ไม่นานก็มีหมาป่าผ่านมาเจอ หมาจิ้งจอกจึงร้องขอความช่วยเหลือ”
”ท่านผู้กรุณา ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ข้าจะพยุงตัวไม่ไหวแล้ว”
ทักษ์ทำเสียงเล็กแบบหมาจิ้งจอกน่าสงสาร แล้วเหลือบมองลูกสาวที่นอนเงียบเอามือปิดปากด้วยความลุ้นระทึกแต่ตายังแป๋วอยู่ ก็หลุดยิ้มออกมา มองเลยไปทางปิ่นมณีนอนหลับตะแคงหันหน้ามาซุกตัวผ้าห่มแล้วก็สงสาร
หล่อนคงเหมือนหมาจิ้งจอกตัวน้อยที่หลงอยู่ในบ่อมืด หาทางขึ้นไม่เจอ
“เล่าต่อสิคะคุณพ่อ”
“จ้ะๆ” ลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ แล้วเล่าต่อ
“หมาป่าชะโงกดู แล้วบอกว่า โอ! เจ้าช่างน่าเวทนาจริงๆ เจ้าน่าสงสารเหลือเกินที่มีสภาพเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเศร้าเพียงใด ส่งขาหน้ามาให้ข้าจะดึงเจ้าขึ้นเอง”
ทักษ์เล่าทำเสียงใหญ่แหบแบบคนแก่ น้ำหอมซุกหน้าแนบอกพ่อ เกลี่ยนิ้วป้อมๆ ข้างไรหนวด
“เหมือนเรากับครูปิ่นเลย” น้ำหอมหัวเราะคิกคัก “ครอบครัวหมาป่ากับครูจิ้งจอกน้อย”
“จะฟังต่อไหมคะ” ทักษ์ขยี้ผมหยิกลอนเล็กเบาๆ “พ่อว่าน้ำหอมหลับก่อนนิทานจบอีกแน่ๆ”
“ไม่หรอกค่ะ” เด็กน้อยกอดเอวพ่อแน่น “เล่าต่อๆ ค่ะ”
“ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณมากจริงๆ หมาจิ้งจอกขึ้นมาได้ หมอบราบกับพื้นแสดงความขอบคุณหมาป่าแก่ด้วยความจริงใจ ถึงแม้หมาป่ากับหมาจิ้งจอกจะไม่ถูกกันแต่ด้วยความมีเมตตา ทำให้หมาจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ร้องไห้ออกมาอย่างจริงใจ”
ทักษ์เล่าจบก็ถามทั้งที่ตามองเพดานครุ่นคิด มือลูบผมน้ำหอมเบาๆ
“นิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไร น้ำหอมบอกพ่อสิคะ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ
“หลับอีกแล้ว คนปากเก่งของพ่อ”
ทักษ์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะปิดไฟหัวเตียงแล้วตะแคงกอดลูกสาวตัวน้อยไว้ในอ้อมอก มองหญิงสาวอีกคนผ่านความมืดเห็นเพียงเงาสลัวรางจากไฟดวงเล็กริมระเบียงที่สาดแสงผ่านม่านเข้ามารำไร
หวั่นไหว... ความรู้สึกนี้กำลังแล่นเข้ามาจู่โจมหัวใจเข้าให้แล้ว
คุณพ่อนักเล่านิทานลูบผมลูกน้อยในอ้อมกอดแล้วถอนหายใจหนักหน่วง ดวงตายังคงไม่ละไปจากร่างบอบบางบนเตียงเล็กตรงหน้าไปแม้แต่วินาทีเดียว...
“ไอ้กุ๊ยนี่เป็นใคร!”
สิรภพจ้องเขม็งภาพในจอแล้วถามเจ้าของโทรศัพท์ นิยุตายักไหล่ยังคงกรีดปลายนิ้วเคลือบสีเล็บสดเลื่อนหน้าจอไปทีละภาพอย่างใจเย็น
“ดูซะนะคะ คู่หมั้นสุดที่รักของผอ. นี่ถ้าเมื่อคืนไม่ออกไปซื้อยาละก็ คงไม่ได้เห็นอะไรดีๆ แน่”
“ปิ่นไปอยู่มันได้ยังไง” สิรภพเสียงขุ่นมองจ้องหน้าจอ
“จะไปรู้ได้ยังไงละคะ” หล่อนจีบปากจีบคอ “อุตส่าห์ตามไปจนถึงที่ มันดันรู้ตัวซะก่อน”
ภาพหลายอิริยาบถจากหน้ากล้องโทรศัพท์ตั้งแต่มินิมาร์ท ตลอดทางเดินกลับที่พักจนถึงภาพสุดท้ายของคู่หมั้นที่ชายหนุ่มไม่ทันรู้ตัวว่าหล่อนเทเขาเป็นอดีตไปแล้ว ทำให้สิรภพถึงกับฉุนจัด ปัดโทรศัพท์ออกห่างจนหลุดมือหญิงสาวลงไปกองอยู่กับพื้น นิยุตาถึงกับตะลึงส่งเสียงตวาดลั่น
“จะบ้ารึไง! นี่มันแพงนะคะ ผอ.”
หล่อนกระโจนก้มเก็บชิ้นส่วนโทรศัพท์กับฝาหลังที่กระเด็นกระจัดกระจาย มือสั่นเทากลัวมือถือเครื่องแพงพังเพราะความโมโหของชายหนุ่ม
“พรุ่งนี้ผมให้เงินไปซื้อใหม่ก็แล้วกัน”
สิรภพหน้าเครียด ไม่ใช่เพราะต้องเสียเงิน แต่เพราะเจ็บใจกับภาพบาดตามากกว่า
“นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ผอ.ก็คงจะไปตามง้อมันสินะ”
“ผมจะไปหา เธอพักที่ไหนบอกมา!”
“จะไปทำไมคะ” หญิงสาวค้อนขวับ “แค่นี้ซึ้งไม่พอใช่ไหม”
“ผมถาม ไม่ได้ต้องการคำถากถาง!” สิรภพขึ้นเสียงฮึดฮัด เตะปลายเตียงเต็มแรงด้วยความโมโห
นิยุตามองด้วยแววตาสมเพช “ดูสารรูปตัวเองสิคะ มันทำร้ายผอ.จนแขนหัก ต้องเข้าเฝือกไม่ต่างอะไรกับมัมมี่แบบนี้ ยังคิดจะไปอีก”
“คุณก็พูดเกินไป” สิรภพกำหมัดแน่น “เพราะผมผิดเองถึงได้โดนแบบนี้”
“ฉันพูดเกินไปตรงไหน” นิยุตากัดฟันกรอด เบ้ปาก เมื่อสิรภพมีท่าทีแคร์คู่หมั้น “ผู้หญิงคนนั้นป่าเถื่อนมาก ใครได้เป็นเมียมีหวังตบตีกันทุกวันแน่”
“ก็แล้วใครใช้ให้คุณไปพูดยั่วแฟนผมเล่า” สิรภพปรายตามอง ตาเขียวปัด “คุณควรอยู่ในที่ของคุณ ผมบอกก็ไม่ฟัง หาเรื่องจนโดนต่อย”
“อ้าว! โทษกันหน้าตาเฉยเลยหรือคะ” หล่อนเท้าสะเอว เดินเข้าหา “แมนมากนะคะ ผอ.”
สิรภพชันกายลุกยืนเต็มสองเท้า แล้วจ้องหน้าหล่อนเขม็ง
“ผมจะไปดูให้เห็นกับตา ว่าปิ่นจงใจพาผู้ชายไปค้างที่ห้องจริงรึเปล่า”
“เอ๊า! ก็เห็นอยู่เต็มสองตา ว่ามันนอนทับกับอยู่ขนาดนั้น” นิยุตาทำท่าทางขยะแขยง “อะไรไม่ว่า แต่นี่ดูในรูปสิคะ มันทำท่าเหมือนจะปล้ำผู้ชาย”
“ไม่ดู! พอกันที!”
สิรภพบ่ายหน้าหนี นิยุตายื่นโทรศัพท์หน้าจอแตกแต่ยังมีภาพค้างอยู่ให้ ชายหนุ่มปัดมือหล่อนอีกรอบ แต่คราวนี้หลบทัน
“คุณนี่มันซื่อบื้อ เสียแรงจริงๆ”
นิยุตาเดินไปเปิดประตูหน้าห้อง เท้าเอว ชี้มือมาทางชายหนุ่ม
“งั้นก็ไปเลย! ไปซะไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก” นิยุตายื่นคำขาดหน้าตาถมึงทึง “กลับไปกินน้ำพริกถ้วยเก่าของคุณเลย ไป๊!”
สิรภพหน้าจ๋อยเปลี่ยนท่าทีไปทันที เดินกะเผลกเข้าสวมกอดเอวหล่อนทั้งที่แขนข้างหนึ่งเข้าเฝือก สาวหุ่นเพรียวเบะปากใส่ก่อนจะค้อนเข้าให้แต่ท่าทีอ่อนลง
“ทำไมไม่ไป”
“โธ่! ผมชอโทษ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยไปดูดีกว่า” สิรภพซบหน้ากับไหล่หญิงสาว“มานอนกันเถอะ ผมไม่ไปแล้ว”
“ก็แค่นั้น เชอะ!” หล่อนค้อน ยิ้มเยาะ “ถ้าคุณเมินฉัน เราจบกัน”
นิยุตาเดินนำกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้สิรภพโคลงหัวด้วยความหงุดหงิด เวลานี้ตอนนี้สาวสูงเพรียวสุดเซ็กซี่คนนี้คือแรงกระตุ้นขับเคลื่อนสัญชาติญาณดิบในกาย ส่วนปิ่นมณีคือของตายที่ต้องยกเอาไว้เชิดชู
เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะ เขาจะทำให้หล่อนต้องน้ำตาตกที่ทำให้เขาต้องเจ็บ อยากเล่นตัวดีนัก รับรองว่าจะทำให้หล่อนไม่มีทางโต้แย้งแม้แต่คำเดียว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทักษ์ไม่พูดอะไรสักคำ มีเพียงดวงตาตระหนกจ้องตอบหล่อน ก่อนที่ปิ่นมณีจะผุดลุกออกจากตัวชายหนุ่มขึ้นยืนด้วยท่าทางประดักประเดิด
“ขะ... ขอโทษ ขอโทษค่ะ”
หนุ่มผมยาวลุกนั่งปลายเตียง ลูบผมเคลียไหล่ของตัวเองก่อนจะผุดลุกยืนตรงข้ามหล่อน ความสูงที่ต่างกันเกือบศอกทำให้ต้องก้มมองหน้าหล่อนเต็มตา
“ไม่เป็นไร ผมกลับห้องดีกว่า”
“ค่ะ” หล่อนอ้อมแอ้มหลบตา ไม่มีทีท่าหวาดกลัวแบบเมื่อครู่อีกเพราะความขัดเขินเข้ามาแทนที่
ทักษ์ยิ้มเล็กน้อยเบี่ยงตัวจะเดินออกไปพลันสายตาเหลือบเห็นแสงวูบที่ริมระเบียงฝั่งทางเดิน ชายหนุ่มกระโจนพรวดออกไปทางระเบียง ปิ่นมณีวิ่งตามติด แต่ไม่ทันได้เห็นเพราะเงานั้นหายวับไปกับความมืดเสียแล้ว
“ตกลงฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมคุณ ว่ามีอะไรผิดปกติในห้องจริงๆ” ปิ่นมณีระล่ำระลักถามหน้าซีดเผือด
“ผมว่างานนี้คนหลอกมากว่าผีหลอกแล้วละ” ทักษ์หันมาสบตา “ถ้าเดาไม่ผิด ผมว่าแสงที่เห็นเมื่อกี้เป็นแสงแฟลชกล้องถ่ายรูปมากกว่า”
”แล้วทำไม” หล่อนนิ่วหน้า “ฉันไม่มีศัตรูที่ไหนนะ!”
“ใครจะรู้ละ อาจเป็นคนที่คุณเพิ่งไปมีเรื่องมาก็ได้”
ปิ่นมณีเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น สองมือกำแน่นบีบจนทักษ์ได้แต่ส่ายหน้า
“ฉันจะไปเอาคืน” หล่อนทุบโต๊ะดังปัง ดวงตาเรียวฉายแววเด็ดเดี่ยวก่อนจะนึกได้ “ต้องนังนั่นแน่ๆ กล้ามากนะที่มาแกล้งฉัน ทนไม่ไหวแล้ว”
“ผมว่าคุณพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคิด บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้”
“ฉันนอนไม่ได้ จะหลับตาลงได้ไงถ้าไม่รู้ความจริงว่าไอ้ที่หลอกฉันมันคนหรือผี” พูดจบหล่อนก็ตาโต ปรายตามอง ส่งเสียงเบาหวิว “คุณให้ฉันไปนอนกับน้ำหอมได้ไหมคะ”
“ได้ยังไง คุณเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชายนะ”
“ฉันหมายถึงว่า ให้ฉันไปนอนกับน้ำหอม ส่วนคุณมานอนห้องนี้แทน”
“คุณนี่พูดง่าย เรายังไม่ทันรู้จักกันข้ามวันเลย” ทักษ์กลอกตามองหล่อนสีหน้าประหลาดใจแล้วเอ่ยเสียงเกรี้ยว “ผมคงยอมให้คุณอยู่กับลูกสาวผมตามลำพังหรอก”
ปิ่นมณีอ้าปากค้าง ยกมือโบกปฏิเสธพัลวัน
“ฉันไม่ใช่พวกทำอนาจารเด็กนะคุณ! ไม่ต้องกลัวฉันหรอก”
“คุณคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ทักษ์ส่ายหน้าพรืด “งั้นเอางี้ ถ้าคุณไม่กลัวผม ก็ไปนอนที่ห้องได้ มีเตียงเล็กอีกเตียง”
“จริงนะคะ!” หญิงสาวสีหน้าดีขึ้นทันตา “ขอบคุณมากค่ะ คุณหนวด”
ทักษ์ถอนหายใจหนักหน่วง สะกดกลั้นอารมณ์ ริมฝีปากกระจับใต้ไรหนวดเม้มแน่นขุ่นใจที่หล่อนเรียกแบบนั้น
“ถามจริง คุณไม่กลัวผมหรือไงถึงได้กล้าเสนอตัวไปนอนห้องผม”
“คุณพูดซะสิบแปดบวกเชียว แต่อย่างน้อยก็มีน้ำหอมอยู่” หล่อนอ้อมแอ้มแล้วฉีกยิ้มฝืดเฝือ “ฉันถึงได้ไม่กลัวไง คุณออกจะใจดี”
ทักษณ์หรี่ตามองชั่งใจ ผู้หญิงคนนี้ปะเหลาะเก่ง สมกับเป็นครูอนุบาล แต่หล่อนคงลืมไปว่าเขาเป็นพ่อเด็กไม่ใช่เด็กอนุบาล ถึงจะได้รู้ไม่ทัน
ปิ่นมณีหน้าซีด หล่อนกลัวจริงจังในสิ่งที่ไม่รู้ว่าคนหรือสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น แต่มันทำให้คนอวดเก่งเป็นแม่ยักษ์เมื่อตอนกลางวันกลายเป็นแมวเชื่องไปได้ นึกถึงตอนนี้ทักษ์ก็หัวเราะขันเล็กน้อยโดยไม่หันมา
“ผมเพิ่งรู้ว่าครูปิ่นแรงเยอะของน้ำหอมกลัวผีมากกว่าคน ถึงได้ตามติดผมขนาดนี้”
เสียฟอร์มอะไรอย่างนี้! ปิ่นมณีหน้าเบ้ แต่หล่อนก็จะไม่ทนอยู่ในห้องนี้เหมือนกัน
“คุณอย่าย้ำมากได้ไหม ความกลัวห้ามกันได้หรือไงคะ”
“แล้วถ้าเกิดคนอย่างผมแปลงร่างเป็นไอ้หื่นขึ้นมา คุณจะทำยังไง กลัวหรือไม่กลัว”
ทักษ์หันกลับมา ทำท่าขึงขังจ้องหล่อนแววตาเจ้าเล่ห์ ปิ่นมณีชะงักเมื่อคนพูดแทนที่จะออกไปนอกห้องกลับหันมาเผชิญหน้า ได้กลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ จากร่างชายหนุ่ม ทำให้หล่อนถึงกับอึกอัก
“กลัว แต่ฉันคงเสยปลายคางไอ้หื่นก่อนจะทำอะไรฉันน่ะสิคะ” หล่อนถลึงตาใส่แสยะยิ้มมุมปาก “ไม่เห็นจะยากตรงไหน”
พูดจบหล่อนก็ดันตัวเองออกจากห้องก่อน ทิ้งให้ทักษ์ที่ถูกผลักจนเซไปชนประตูด้านในถึงกับงง ชายหนุ่มหันกลับไปมองทาง
ระเบียงอีกครั้งแล้วหันมาทางประตูและหัวเราะเสียงดัง ส่ายหน้ากับความกล้าบ้าบิ่นของหญิงสาว
น้ำหอมนอนหงายกางแขนขาขวางเต็มเตียงเป็นที่ขยาดเมื่อปิ่นมณีได้เห็น ทักษ์ตามเข้ามาหยุดยืนเคียงมองลูกสาวอย่างเอ็นดู แล้วถอนหายใจ
“คุณแน่ใจนะครับว่าจะนอนกับแก”
“แน่ใจค่ะ” ปิ่นมณีเงยหน้าสบตา “ถ้าคุณอนุญาต”
“ได้อยู่แล้ว”
ทักษ์ยิ้มมุมปาก แล้วก้มมองหน้าหญิงสาวที่พอสบตาเขาแล้วเมินไปอีกทาง ท่าทางเงอะงะของหล่อนทำให้ชายหนุ่มนึกขำในใจ ปิ่นมณีนั่งริมเตียงยกแขนน้ำหอมวางข้างตัว แล้วเอื้อมไปยกแขนอีกข้าง แต่เด็กน้อยพลิกตัวด้วยความรำคาญ ขาป้อมๆ วาดตะแคงฟาดเข้าให้ที่สะบักหลังปิ่นมณีจนล้มคว่ำบนเตียง
“โอ๊ย! น้ำหอมทำไมนอนดิ้นจัง”
หล่อนตั้งสติได้ตะแคงข้างมาทางน้ำหอม เจอขาเล็กๆ ชี้เด่มาตรงหน้าแล้วตวัดคีบเอวหล่อนราวกับหมอนข้าง ปิ่นมณีหน้าเหยเกจะยกขาอวบเล็กออกจากตัว แต่แล้วก็ต้องตกใจนิ่งขึงเพราะได้ยินเด็กน้อยละเมอ
“คุณแม่ขา... น้ำหอมคิดถึงคุณแม่ น้ำหอมอยากกอดคุณแม่”
“เอ่อ น้ำหอมจ๊ะ นี่ครูไม่ใช่แม่นะ”
ปิ่นพยายามเบี่ยงตัวออก แต่มือน้อยยังกอดเอวหล่อนแน่นและละเมอ
“มาให้น้ำหอมกอดนะคะคุณแม่”
“คุณหนวดทำไงดี” ปิ่นมณีถามเสียงเบาขอความช่วยเหลือ “ช่วยฉันด้วย”
ทักษ์เผลอลูบหนวดหรอมแหรมเบาๆ แล้วบอก “เดี๋ยวผมจัดการเอง”
พูดจบลงนั่งคุกเข่าบนเตียง ยกขาแขนลูกสาวออกจากตัวหล่อน แล้วจัดท่าทางให้หันนอนตรงหัวนอนก่อนจะยกตัวอวบป้อมลากขึ้นไปนอนหนุนหมอนด้วยความชำนาญ
ปิ่นมณีเท้าสองแขนโก้งโค้งลุกขึ้นนั่งคลำสะโพกตัวเองป้อยๆ หน้ามุ่ย “อีกหน่อยฉันว่าน้ำหอมไปเรียนต่อยมวยดีกว่า ดูมีแวว”
“หืม” ทักษ์หันมามองเมื่อลงนั่งข้างเตียง “ลูกสาวผมออกจะเรียบร้อย”
“ร้อยเรียบมากกว่าสิคะ” หล่อนค้อน “จระเข้ฟาดหางฉันซะจุกเลย”
“ผมว่าถ้าไม่อยากจุกกว่านี้ คุณควรจะไปนอนเตียงเล็กนั่น”
ทักษ์จัดแจงห่มผ้าให้ลูกสาวไม่สนใจมองคนเจ็บ จนหญิงสาวมองค้อนอีกรอบ
“สุภาพบุรุษเขาไล่ผู้หญิงลงจากเตียงแบบนี้หรือคะ”
“ถ้ายังอยากรอดกลับบ้านพรุ่งนี้” เขามองสบตาหล่อนตรงๆ “ผมว่าคุณทำตามที่บอกดีกว่า”
“พูดซะน่ากลัว” ปิ่นมณีหน้าแดงก่ำ อดวูบไหวในคำพูดสองแง่สองง่ามของชายหน้าหนวดไม่ได้ “ฉันขอโทษนะคะ ที่มากวนคุณ มันค่อนข้างเป็นเหตุผลงี่เง่ายังไงก็ไม่รู้”
หล่อนเสียงอ่อยลุกย้ายไปนั่งเตียงเล็กริมประตูระเบียง มองทักษ์หย่อนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนข้างลูกสาว
“ไม่เป็นไรครับ” เขาเหลือบมองหล่อน “แต่คราวหน้าอย่าทำแบบนี้กับใคร”
“ทำไมคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก คุณอาจจะไม่โชคดีถ้าเป็นคนอื่น” ทักษ์ขยิบตาซ้ายใส่หล่อนจนหนวดกระดิก
“ผมขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน คุณก็พักเถอะ”
พูดจบก็ผละเข้าห้องน้ำไป ปิ่นมณีมองตามนึกถึงคำพูดแล้วรู้สึกว่าหล่อนไว้ใจคนมากไป ถ้าหากเขาไม่ใช่คนดี มีหวังหล่อนคงไม่รอด ยังดีที่มีน้ำหอมอยู่ด้วย และอย่างน้อยนายหนวดมาดเซอร์ก็ยังน่าจะเป็นสุภาพบุรุษพอ... จากที่มองเห็นและได้สัมผัสแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ทักษ์ลูบไรหนวดครึ้ม มองผมหยักศกนิดๆ เปียกลู่ไม่เป็นทรงของตัวเองหน้ากระจกแล้วได้แต่ถอนใจ เขาปล่อยตัวจนดูมอมแมมเกินกว่าจะดูได้จริงอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นบอก
ตั้งแต่มีน้ำหอม ชีวิตที่ดูจะรุ่งโรจน์ก็ดับวูบ ยิ่งไม่มีแม่ของลูกด้วยแล้ว ภาระทุกอย่างก็ตกเป็นของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าภาระการเลี้ยงดูจิตใจและให้การศึกษา ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ต้องทำงานอยู่ในทะเลนานๆ อย่างเขามาก ถึงแม้จะมีต้นทุนมากพอไม่ลำบากแต่เขาก็อยากให้น้ำหอมรู้อยู่ ในเมื่อมันเป็นไปแล้ว ชีวิตที่ขาดแม่ก็ยังต้องดำเนินต่อไปโดยมีแม่นวลคอยดูแลระหว่างที่เขาต้องลงทำงานในทะเล
ออกจากห้องน้ำมา ทักษ์ก็ต้องแปลกใจที่เห็นลูกสาวตัวน้อยนั่งคุกเข่าเท้าคางสองข้างมองหน้าปิ่นมณีที่หลับปุ๋ยไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ เด็กน้อยหันมาถามทันทีที่ทักษ์เดินมาหยุดยืนข้างๆ
“ทำไมครูปิ่นถึงมานอนนี่ได้คะ”
“แล้วน้ำหอมตื่นมาทำอะไรคะ” ทักษ์ค้อมตัวมองหน้า “ดึกแล้วนะมานอนกันดีกว่า”
เด็กน้อยส่ายหน้าพรืด ตาใสไม่หายข้องใจ “น้ำหอมอยากเข้าห้องน้ำ ก็เลยตื่น เจอครูปิ่นตกใจหมดเลยค่ะ”
“งั้นตอนนี้หายตกใจแล้วก็มานอนค่ะ”
ทักษ์ก้าวขึ้นเตียงฝั่งห้องน้ำแล้วตบที่นอนเรียกลูกสาว แต่เด็กน้อยยังคงอิดออด
“เมื่อกี้น้ำหอมฝันว่าได้กอดแม่ พอเห็นครูก็เลยคิดถึงแม่ค่ะ”
“งั้นเอาไว้เราค่อยมาเยี่ยมแม่ใหม่ในปีหน้านะ”
ทักษ์ยื่นนิ้วก้อยให้ น้ำหอมทำตาม สองพ่อลูกหัวเราะให้กันเป็นสัญญา ก่อนที่เด็กน้อยจะทำปากยื่น ลุกขึ้นบอกพ่อ
“ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยมานอน”
ทักษ์พยักหน้ารับรู้ พอคล้อยหลังร่างป้อมๆ ของลูกสาว ก็จ้องมองหญิงสาวบนเตียงเล็กแล้วส่ายหน้า หล่อนเข้ามาในเวลาที่เขาและลูกหวนรำลึกถึงคนสำคัญพอดี
ครูปิ่นแรงเยอะเก่งแต่ท่าทางขี้กลัวคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เจอคนแบบไหนทำให้เจ็บช้ำมากัน
ทักษ์เหม่อมองจนน้ำหอมที่ออกจากห้องน้ำมายืนตรงหน้า บังสายตาจากภาพครูสาวร่างเล็กที่นอนคุดคู้อยู่ ทักษ์ยิ้มแหยให้ลูกสาวก่อนจะเปิดผ้าห่ม ตบเบาๆ ให้ขึ้นมา
น้ำหอมขึ้นที่นอนได้ โอบแขนป้อมรอบคอพ่อ แล้วหอมเบาๆ อ้อน
“คุณพ่อขา เล่านิทานให้ฟังหน่อย”
“สามทุ่มแล้วนะ” ทักษ์ดูนาฬิกาข้อมือ “พรุ่งนี้เรากลับเรือเที่ยวแรกนะคะ”
“กลับสายหน่อยก็ได้นี่คะ น้ำหอมปิดเทอมแล้วนี่นา”
“แต่มันผิดข้อตกลงของเรานะคะ อย่าลืมสิว่าพรุ่งนี้คุณยายกลับมาจากวัดแล้ว”
“น้ำหอมคิดถึงคุณยาย”เด็กน้อยทำปากยู่ หน้าง้ำแต่เสียงอ้อนไม่เลิก “ไม่มีทางลืมหรอกค่ะ แต่ตอนนี้อยากฟังนิทานมากกว่า”
ทักษ์ยิ้มพลางลูบหัวด้วยความเอ็นดู ยื่นแขนให้หนุนเป็นการบอกใบ้ว่าอนุญาต เด็กน้อยยิ้มกว้างตาเป็นประกายซบหน้าลงกับอกพ่อรอฟัง
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง มันลื่นตกลงไปในบ่อน้ำซึ่งลึกมาก แต่มันตะเกียกตะกายเกาะขอบบ่อไว้ได้ ไม่นานก็มีหมาป่าผ่านมาเจอ หมาจิ้งจอกจึงร้องขอความช่วยเหลือ”
”ท่านผู้กรุณา ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ข้าจะพยุงตัวไม่ไหวแล้ว”
ทักษ์ทำเสียงเล็กแบบหมาจิ้งจอกน่าสงสาร แล้วเหลือบมองลูกสาวที่นอนเงียบเอามือปิดปากด้วยความลุ้นระทึกแต่ตายังแป๋วอยู่ ก็หลุดยิ้มออกมา มองเลยไปทางปิ่นมณีนอนหลับตะแคงหันหน้ามาซุกตัวผ้าห่มแล้วก็สงสาร
หล่อนคงเหมือนหมาจิ้งจอกตัวน้อยที่หลงอยู่ในบ่อมืด หาทางขึ้นไม่เจอ
“เล่าต่อสิคะคุณพ่อ”
“จ้ะๆ” ลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ แล้วเล่าต่อ
“หมาป่าชะโงกดู แล้วบอกว่า โอ! เจ้าช่างน่าเวทนาจริงๆ เจ้าน่าสงสารเหลือเกินที่มีสภาพเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเศร้าเพียงใด ส่งขาหน้ามาให้ข้าจะดึงเจ้าขึ้นเอง”
ทักษ์เล่าทำเสียงใหญ่แหบแบบคนแก่ น้ำหอมซุกหน้าแนบอกพ่อ เกลี่ยนิ้วป้อมๆ ข้างไรหนวด
“เหมือนเรากับครูปิ่นเลย” น้ำหอมหัวเราะคิกคัก “ครอบครัวหมาป่ากับครูจิ้งจอกน้อย”
“จะฟังต่อไหมคะ” ทักษ์ขยี้ผมหยิกลอนเล็กเบาๆ “พ่อว่าน้ำหอมหลับก่อนนิทานจบอีกแน่ๆ”
“ไม่หรอกค่ะ” เด็กน้อยกอดเอวพ่อแน่น “เล่าต่อๆ ค่ะ”
“ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณมากจริงๆ หมาจิ้งจอกขึ้นมาได้ หมอบราบกับพื้นแสดงความขอบคุณหมาป่าแก่ด้วยความจริงใจ ถึงแม้หมาป่ากับหมาจิ้งจอกจะไม่ถูกกันแต่ด้วยความมีเมตตา ทำให้หมาจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ร้องไห้ออกมาอย่างจริงใจ”
ทักษ์เล่าจบก็ถามทั้งที่ตามองเพดานครุ่นคิด มือลูบผมน้ำหอมเบาๆ
“นิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไร น้ำหอมบอกพ่อสิคะ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ
“หลับอีกแล้ว คนปากเก่งของพ่อ”
ทักษ์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะปิดไฟหัวเตียงแล้วตะแคงกอดลูกสาวตัวน้อยไว้ในอ้อมอก มองหญิงสาวอีกคนผ่านความมืดเห็นเพียงเงาสลัวรางจากไฟดวงเล็กริมระเบียงที่สาดแสงผ่านม่านเข้ามารำไร
หวั่นไหว... ความรู้สึกนี้กำลังแล่นเข้ามาจู่โจมหัวใจเข้าให้แล้ว
คุณพ่อนักเล่านิทานลูบผมลูกน้อยในอ้อมกอดแล้วถอนหายใจหนักหน่วง ดวงตายังคงไม่ละไปจากร่างบอบบางบนเตียงเล็กตรงหน้าไปแม้แต่วินาทีเดียว...
“ไอ้กุ๊ยนี่เป็นใคร!”
สิรภพจ้องเขม็งภาพในจอแล้วถามเจ้าของโทรศัพท์ นิยุตายักไหล่ยังคงกรีดปลายนิ้วเคลือบสีเล็บสดเลื่อนหน้าจอไปทีละภาพอย่างใจเย็น
“ดูซะนะคะ คู่หมั้นสุดที่รักของผอ. นี่ถ้าเมื่อคืนไม่ออกไปซื้อยาละก็ คงไม่ได้เห็นอะไรดีๆ แน่”
“ปิ่นไปอยู่มันได้ยังไง” สิรภพเสียงขุ่นมองจ้องหน้าจอ
“จะไปรู้ได้ยังไงละคะ” หล่อนจีบปากจีบคอ “อุตส่าห์ตามไปจนถึงที่ มันดันรู้ตัวซะก่อน”
ภาพหลายอิริยาบถจากหน้ากล้องโทรศัพท์ตั้งแต่มินิมาร์ท ตลอดทางเดินกลับที่พักจนถึงภาพสุดท้ายของคู่หมั้นที่ชายหนุ่มไม่ทันรู้ตัวว่าหล่อนเทเขาเป็นอดีตไปแล้ว ทำให้สิรภพถึงกับฉุนจัด ปัดโทรศัพท์ออกห่างจนหลุดมือหญิงสาวลงไปกองอยู่กับพื้น นิยุตาถึงกับตะลึงส่งเสียงตวาดลั่น
“จะบ้ารึไง! นี่มันแพงนะคะ ผอ.”
หล่อนกระโจนก้มเก็บชิ้นส่วนโทรศัพท์กับฝาหลังที่กระเด็นกระจัดกระจาย มือสั่นเทากลัวมือถือเครื่องแพงพังเพราะความโมโหของชายหนุ่ม
“พรุ่งนี้ผมให้เงินไปซื้อใหม่ก็แล้วกัน”
สิรภพหน้าเครียด ไม่ใช่เพราะต้องเสียเงิน แต่เพราะเจ็บใจกับภาพบาดตามากกว่า
“นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ผอ.ก็คงจะไปตามง้อมันสินะ”
“ผมจะไปหา เธอพักที่ไหนบอกมา!”
“จะไปทำไมคะ” หญิงสาวค้อนขวับ “แค่นี้ซึ้งไม่พอใช่ไหม”
“ผมถาม ไม่ได้ต้องการคำถากถาง!” สิรภพขึ้นเสียงฮึดฮัด เตะปลายเตียงเต็มแรงด้วยความโมโห
นิยุตามองด้วยแววตาสมเพช “ดูสารรูปตัวเองสิคะ มันทำร้ายผอ.จนแขนหัก ต้องเข้าเฝือกไม่ต่างอะไรกับมัมมี่แบบนี้ ยังคิดจะไปอีก”
“คุณก็พูดเกินไป” สิรภพกำหมัดแน่น “เพราะผมผิดเองถึงได้โดนแบบนี้”
“ฉันพูดเกินไปตรงไหน” นิยุตากัดฟันกรอด เบ้ปาก เมื่อสิรภพมีท่าทีแคร์คู่หมั้น “ผู้หญิงคนนั้นป่าเถื่อนมาก ใครได้เป็นเมียมีหวังตบตีกันทุกวันแน่”
“ก็แล้วใครใช้ให้คุณไปพูดยั่วแฟนผมเล่า” สิรภพปรายตามอง ตาเขียวปัด “คุณควรอยู่ในที่ของคุณ ผมบอกก็ไม่ฟัง หาเรื่องจนโดนต่อย”
“อ้าว! โทษกันหน้าตาเฉยเลยหรือคะ” หล่อนเท้าสะเอว เดินเข้าหา “แมนมากนะคะ ผอ.”
สิรภพชันกายลุกยืนเต็มสองเท้า แล้วจ้องหน้าหล่อนเขม็ง
“ผมจะไปดูให้เห็นกับตา ว่าปิ่นจงใจพาผู้ชายไปค้างที่ห้องจริงรึเปล่า”
“เอ๊า! ก็เห็นอยู่เต็มสองตา ว่ามันนอนทับกับอยู่ขนาดนั้น” นิยุตาทำท่าทางขยะแขยง “อะไรไม่ว่า แต่นี่ดูในรูปสิคะ มันทำท่าเหมือนจะปล้ำผู้ชาย”
“ไม่ดู! พอกันที!”
สิรภพบ่ายหน้าหนี นิยุตายื่นโทรศัพท์หน้าจอแตกแต่ยังมีภาพค้างอยู่ให้ ชายหนุ่มปัดมือหล่อนอีกรอบ แต่คราวนี้หลบทัน
“คุณนี่มันซื่อบื้อ เสียแรงจริงๆ”
นิยุตาเดินไปเปิดประตูหน้าห้อง เท้าเอว ชี้มือมาทางชายหนุ่ม
“งั้นก็ไปเลย! ไปซะไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก” นิยุตายื่นคำขาดหน้าตาถมึงทึง “กลับไปกินน้ำพริกถ้วยเก่าของคุณเลย ไป๊!”
สิรภพหน้าจ๋อยเปลี่ยนท่าทีไปทันที เดินกะเผลกเข้าสวมกอดเอวหล่อนทั้งที่แขนข้างหนึ่งเข้าเฝือก สาวหุ่นเพรียวเบะปากใส่ก่อนจะค้อนเข้าให้แต่ท่าทีอ่อนลง
“ทำไมไม่ไป”
“โธ่! ผมชอโทษ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยไปดูดีกว่า” สิรภพซบหน้ากับไหล่หญิงสาว“มานอนกันเถอะ ผมไม่ไปแล้ว”
“ก็แค่นั้น เชอะ!” หล่อนค้อน ยิ้มเยาะ “ถ้าคุณเมินฉัน เราจบกัน”
นิยุตาเดินนำกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้สิรภพโคลงหัวด้วยความหงุดหงิด เวลานี้ตอนนี้สาวสูงเพรียวสุดเซ็กซี่คนนี้คือแรงกระตุ้นขับเคลื่อนสัญชาติญาณดิบในกาย ส่วนปิ่นมณีคือของตายที่ต้องยกเอาไว้เชิดชู
เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะ เขาจะทำให้หล่อนต้องน้ำตาตกที่ทำให้เขาต้องเจ็บ อยากเล่นตัวดีนัก รับรองว่าจะทำให้หล่อนไม่มีทางโต้แย้งแม้แต่คำเดียว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.พ. 2560, 14:35:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มิ.ย. 2560, 15:04:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 1071
<< บทที่ 2 : 50% | บทที่ 3 : 50% >> |