จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 11

--- แวะคุยกันก่อน ---

สวัสดีหลังวันแม่เล็กน้อยนะคะ
วันแม่ปีนี้หวังว่าคนอ่านจะเป็นคนดีเพื่อแม่นะคะ
วันนี้เอานิยายมาลง ตอนแรกกะจะวันเว้นวันนะผิดนัดจนได้
บทนี้บอกตามตรงว่าไม่มีบทหวาน มีแต่ดาร์กๆๆๆๆ
อ่านกันไปด้วยความหฤหรรษ์ เดี๋ยวจัดหวานบทหน้าแล้วกันนะคะ
ฝันดีค่ะ
-----------------
บทที่ ๑๑

ขนมชั้นดอกกุหลาบสีหวานบนถาดถูกมือขาวบรรจงวางเรียงจนเต็มจานกระเบื้องสีขาวลายสวยก่อนจะใช้สองมือประคองจานส่งให้หญิงชราที่อยู่เป็นลูกมือคอยช่วยทำขนมถือไว้ แล้วหันไปหยิบส้อมจิ้มขนมที่เหลือป้อนถึงปากพลางเอ่ยถามถึงรสชาติ พออีกฝ่ายพยักหน้าพร้อมยกนิ้วโป้งชูให้ พอคนแสดงฝีมือทำขนมเห็นก็แย้มยิ้มสดใส

“ อร่อยแน่นะคะ ไม่ใช่ยกไปให้แม่พิณแล้ว แม่พิณว่าไม่อร่อย เล็กจะงอนยายจริงๆด้วยนะคะ ” เอ่ยถามสำทับความมั่นใจ การจะยกไปให้ใครต่อต้องหมายความว่า รสชาติดีพอแล้ว

“ อร่อยจริงๆค่ะคุณเล็ก อร่อยจนยายไม่อยากเชื่อว่าคุณเล็กหัดทำครั้งแรก ”

“ ถ้าอย่างนั้นเล็กวานยายช้อยเอาขนมไปให้แม่พิณแล้วฝากบอกด้วยนะคะว่า เล็กจะเอาแวะเอาขนมไปให้แม่ใหญ่ที่บ้านนู้นหน่อยแล้วจะขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนนะคะ ส่วนขนมในถาดที่เหลือทั้งหมดวานยายเป็นธุระให้คนในบ้านชิมด้วยนะคะ ”

“ แล้วขนมที่คุณเล็กแบ่งใส่กล่องทัปเปอร์แวร์นี่ของคุณภาคใช่ไหมคะ ยายจะได้เก็บไว้ในตู้กับข้าวก่อน ”

ศศิวิมลยิ้มเล็กน้อยแทนคำตอบ...หญิงรับใช้สูงวัยก็กุลีกุจอทำตามคำ เก็บขนมส่วนของคุณหนูตนเองไว้เป็นอันดับแรก หยิบฝาชีมาครอบถาดขนม แล้วจึงนำจานขนมชั้นที่ถืออยู่ในมือตลอดขึ้นบันไดไปให้คุณผู้หญิงที่นอนป่วยข้างบน ปล่อยให้คนตัวเล็กนำขนมชั้นในจานกระเบื้องอีกใบออกจากตัวคฤหาสน์ไปเพียงลำพัง

ผลจากการนวดข้อเท้าทุกวันทำให้ไม่ถึงอาทิตย์อาการบวมก็ลดลงจนหายเป็นปกติ บาดแผลเดียวที่หลงเหลือพอให้รู้ว่าหล่อนประสบอุบัติเหตุคือรอยแผลแตกเหนือคิ้วที่ไหมยังไม่ละลายหายเสียที...พอเท้าหายดีกิจวัตรประจำวันก็กลับคืน และเพื่อฉลองในการนี้คนที่นอนบนเตียงมานานเลยนึกสนุกอยากทำขนมไทยแจก

พระพายโชกโบกพาดร่างเล็กในชุดกระโปรงสีฟ้าที่ย่างเท้าไปตามทางเดินผ่านสวนศรีสวยสองข้างทางมุ่งหน้าตรงไปยังคฤหาสน์ตระการตา ทว่าเมื่อนัยน์ตากลมโตเหลือบเห็นแผ่นหลังสูงโปร่งใต้เสื้อเชิ้ตสีเดียวกันกับตนดอมดมดอกมะลิซ้อนขาวพิสุทธิ์ก็หยุดเปลี่ยนทิศทางตรงมาหาเขาแทน

ศิระสะดุ้งโหย่งเผลอเด็ดดอกไม้ทันทีที่มือเย็นทาบลงบนลำแขน ก่อนจะแย้มริมฝีปากกว้าง

“ เล็ก ” เขารำพึงเบาเสียยิ่งกว่าเสียงกระซิบ

“ พี่ใหญ่มาทำอะไรตรงนี้คะ วันนี้ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ทำไมไม่ไปทำงานคะ ” น้ำเสียงทอดความปิติยินดีที่ได้พบกับพี่ชายผู้ที่มัวแต่ทำงานหนักไม่ยอมกลับบ้านเลยเป็นอาทิตย์

“ แม่ใหญ่ให้พี่หยุด ”

“ ทำไมอยู่ๆถึงให้หยุดคะ หรือว่าพี่ใหญ่ไม่สบาย ” เว้นจังหวะพินิจดวงหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดของคนตรงข้ามแล้วเขย่งปลายเท้าเพื่อทาบหลังมือบนหน้าผากหาความร้อนจากอาการป่วยไข้...ความใกล้ชิดอันอ่อนละมุนแลกลิ่นหอมอ่อนจากดอกมะลิจากเรือนกายดังเคยฉุดหัวใจให้เต้นแรงทีละน้อย หากไม่ก้มลงเห็นขนมในจานเสียก่อนคงสูญเสียความควบคุมตนเอง

“ เล็กเอาขนมมาให้แม่ใหญ่หรือจ๊ะ ”

“ ค่ะ...เล็กหัดทำกับยายช้อยหลังจากใส่บาตรเสร็จนะคะ พี่ใหญ่ชิมสิคะว่าฝีมือเล็กเป็นยังไง ” ผู้เป็นน้องหยิบส้อมพลาสติกจิ้มขนมทั้งชิมป้อนใส่ปากพี่ชาย เอียงคอรอผลตอบรับแต่พอเห็นพี่สำลักก็ตกใจรีบเข้าไปลูบหลังให้ขย้อนออกมาเสียให้หมด

ชายหนุ่มแสร้งไอโขลก ทำท่าซวนเซหาที่อาเจียนทั้งที่กลืนขนมลงคอแล้วทั้งชิ้นหวังจะแกล้งน้องให้ตกใจ ทว่าพอคนตัวเล็กตามเข้ามาหมายจะช่วยข้อเท้าข้างที่เพิ่งหายกลับพลิกเกือบล้มลง จังหวะนั้นคนเป็นพี่วิ่งเข้ามากอดใช้หลังตัวเองรองแทนเบาะกระแทกกับพื้นหญ้าเต็มแรง ขนมและจานกระเบื้องหล่นแตกกระจาย

“ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ” เขาเอ่ยถามทั้งที่นอนกอดน้องแน่น พินิจใบหน้างามหมดจดที่แหงนหน้า ก่อนคิ้วจะเลิกสูงยามเหลือบเห็นรอยแผลเย็บตรงศีรษะเหนือคิ้วไปเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถามเสียงสั่นเครือเจือความโกรธ

“ เล็กไปได้แผลนี้มาจากไหน...ไอ้ภาคมันทำร้ายเล็กใช่ไหม ” กล่าวหาศัตรู หวั่นเกรงเหลือเกินว่ามันจะทำให้หญิงสาวที่เทิดไว้เหนือทุกสิ่งชอกช้ำ

“ ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่...พี่ภาคเขาไม่ได้ทำอะไรเล็กนะคะ ” ปฏิเสธพัลวัน

“ แล้วแผลนี้ไปได้มาจากไหน ”

หญิงสาวก้มต่ำหลบสายตาคาดคั้นของผู้เป็นพี่เหมือนไม่อยากกล่าวความจริงให้สาวถึงคนผิด...อีกฝ่ายดึงร่างน้องแผ่วเบาให้ลุกขึ้นนั่งซักไซ้บนพื้นหญ้าไม่หยุดปาก กดดันมากเข้าเลยจำใจต้องคลายเรื่องอุบัติเหตุออกมา

“ เล็กออกไปส่งสาที่หน้าบ้านแล้วประตูรั้วบ้านนู้นมันเปิดอยู่ พอดีรถของคุณวิกานดาเธอเบรกค้างเลยพุ่งเข้ามา แต่เธอไม่ได้ชนเล็กนะคะ เล็กวิ่งหนีแล้วล้มไม่รู้หัวไปกระแทกอะไรเลยแตก”

“ วิกานดา ” เขาเค้นชื่อคู่กรณีทีละคำชัด...พาลคิดถึงวันหมั้นหมายระหว่างกันที่พ้นผ่านไปได้สามสี่วันแล้ว แปลกเหลือเกินที่ไม่มีใครเล่าถึงเรื่องราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นแม่ใหญ่หรือตัวคู่หมั้นสาวสวย ราวกับจงใจจะปิดไม่ให้เขารับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของน้อง

“ คุณวิเธอไม่ได้ตั้งใจนะคะ มันเป็นอุบัติเหตุ เรื่องมันก็นานเป็นอาทิตย์กว่าแล้ว พี่ใหญ่อย่าไปว่าอะไรเธอนะคะ ” หล่อนว่า พยายามใช้น้ำเสียงนุ่มเย็นชโลมพี่มิให้ร้อนแล้วก่ออันตรายกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับว่าที่คู่หมั้น

“ แปลกดีนะ พี่หมั้นกับคุณวิเธอไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่เห็นมีใครพูดเรื่องนี้เลยสักคำ ” รอยยิ้มเหยียดเยาะปรากฏรอยชัดบนหน้า ผิดกับอีกฝ่ายที่กระพริบตาปริบทันทีที่ได้ยินการหมั้นของพี่ชาย

“ พี่ใหญ่หมั้นแล้วเหรอคะ ” เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ...ยินคำตอบรับสั้นแล้วก็ถอนหายใจ แม้จะรู้เรื่องการหมั้นหากไม่ทราบฤกษ์ยามทำให้ยังทำของขวัญให้คู่หมั้นทั้งสองไม่เสร็จ

“ ทางนั้นเขาจัดการทุกอย่าง พี่กับแม่ใหญ่แค่เตรียมของหมั้นไปเท่านั้นเอง ”

“ เร็วจังค่ะ...เล็กอุตส่าห์เตรียมของขวัญวันหมั้นให้พี่กับคุณวิกานดาเธอแล้วแท้ๆ ไม่คิดว่าจะหมั้นกันเร็วเลยไม่ได้เร่งมือทำให้เสร็จ ”

ท่าทางเสียดายจริงจังของหล่อนทำเอาชายหนุ่มรู้สึกราวกับร่วงหล่นลงหุบเหว...ไม่กล้าเอ่ยปากบอกน้องเลยว่า การหมั้นหมายครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงเพื่อจะซ่อนเร้นความรักที่นับวันมีแต่จะขยายใหญ่ใกล้ระเบิด และไม่ทันยับยั้งชั่งใจแขนใหญ่ก็ดึงน้องมาสวมกอด

...น่าสังเวชกับการใช้คนอื่นมาเสมือนตัวแทนของใครอีกคน...

“ พี่เหนื่อยเหลือเกินเล็ก...เหนื่อยจริงๆ ” เขาพร่ำรำพันประโยคนั้นซ้ำไปมา ลงน้ำหนักกายทั้งหมดซบข้างแก้มลงบนไหล่นุ่มอย่างหมดท่า...มีเพียงน้องเท่านั้นที่เขายอมแสดงความอ่อนแอให้ได้เห็น

การสวมกอดแนบแน่นทำให้คนตัวเล็กสัมผัสได้ถึงความผ่ายผอมของร่างกายคล้ายกับคนอดอาหาร ความเหนื่อยล้าทั้งมวลที่แสดงออกชัดเจนดูเหมือนมีเรื่องในใจให้อึดอัดทรมานเกินกว่าจะแบกไหวอีกต่อไป

“ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร ถ้าพี่ใหญ่เหนื่อยก็พัก มีอะไรไม่สบายใจก็บอก อย่าลืมสิคะว่าเล็กอยู่เคียงข้างพี่เสมอ ” ถ้อยความประโลมใจ...ในฐานะน้องสาวถึงคราวพี่เหนื่อยล้าก็ได้เวลาแบ่งเบาทุกข์เข็ญนั้นไว้บ้างมิใช่หรือ

สองพี่น้องปลอบขวัญซึ่งกันและกันเนิ่นนานถ่ายทอดความรักและอบอุ่นระหว่างกัน ฉับพลันนั้นหญิงสาวเพรียวระหงสวมเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงขายาวเอวสูงสีน้ำตาลคาดเข็มขัดสายถักจะมาหยุดยืนห่างออกไปเพียงเล็กน้อย

“ ทำอะไรกันอยู่หรือคะ ” คำถามนั้นผลักดันให้สองพี่น้องแยกจากกันหันไปทางต้นเสียง

วิกานดายิ้มน้อยๆจับจ้องสองหนุ่มสาวที่กำลังลุกจากพื้นหญ้า แล้วจึงเดินเข้าไปควงแขนของศิระอย่างออกหน้าออกตาแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

“ สวัสดีค่ะคุณวิกานดา ” ศศิวิมลยกมือไหว้ อีกฝ่ายก็รับไว้

“ คุณนั่นเอง...แผลหายดีแล้วเหรอคะ ถึงออกมาข้างนอกได้ ” เจ้าหล่อนถามไถ่ แววตาเปล่งประกายแปร่งแปลก

“ ก็ดีขึ้นแล้วค่ะ...วันนั้นเล็กต้องขอโทษแทนพี่ภาคด้วยนะคะ ที่ไปต่อว่าคุณวิเข้า ทั้งที่คุณวิเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ”

“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ วิเข้าใจว่าคนเป็นสามีก็ต้องห่วงภรรยาเป็นธรรมดา ยังไงวิเองก็ผิด วิไม่โกรธหรอกค่ะ ”

วาจานั้นเหมือนจะไม่มีอะไร หากบางคำสะกิดใจให้รู้สึกดังกับคู่หมั้นของพี่ชายยกตัวเองเป็นผู้เสียหายในทุกกรณีมากกว่าจะเป็นตัวต้นเหตุ แม้นเรื่องที่เกิดจะเป็นอุบัติเหตุแต่คนตัวเล็กฟังแล้วก็ไม่ชอบใจ เพียงแต่ไม่ปริปากไปให้รู้

“ แล้วนี่มาเยี่ยมคุณป้าเหรอคะ ” ถามพลางไล้สายตายังข้าวของที่แตกเสียหายบนพื้น

“ ค่ะ...พอดีเล็กทำขนมชั้นไว้ ก็เลยคิดว่าจะเอาฝาก เสียดายที่เล็กซุ่มซ่ามล้ม ขนมก็หกหมดเลย ”

“ อ๋อ มิน่าล่ะ คุณใหญ่ถึงต้องกอดกับคุณ ” หล่อนซบหน้าลงกับต้นแขนของคู่หมั้นหนุ่ม “ โชคดีนะคะที่วันนี้คุณป้าไม่อยู่ ไม่งั้นท่านคงเสียดายที่อดกินขนม ”

น้ำเสียงใจดีกับท่าทางสบายๆของคนตรงข้ามเหมือนไม่มีอะไร ทว่าการเลือกสรรคำมาใช้ในการพูดคล้ายจิกกัดบ่งความไม่พอใจให้รู้สึกได้เป็นอย่างดี

“ เล็กไม่ทราบว่าคุณป้าไม่อยู่นะคะ...ถ้าอย่างนั้นวันนี้เล็กกลับก่อนแล้วกันนะคะ สวัสดีค่ะ ” ยกมือไหว้ลาอีกคน จากนั้นจึงหันมาบอกพี่ชาย “ เล็กกลับก่อนนะคะพี่ใหญ่ ”

ศศิวิมลหมุนตัวเตรียมจะไปให้พ้นจากบ้านอังคพิมาน คนที่ถูกเกาะแน่นแกะมือนั้นออกปราดไปคว้าข้อมือรั้งน้องให้กลับมาเผชิญหน้ากัน ริดดอกมะลิซ้อนออกจากกิ่งทัดลงไปตรงข้างหู

“ พี่ไปส่งเล็กที่หน้าบ้านดีไหมคะ ”

“ อย่าเลยค่ะ...คุณวิเธอมาหาพี่ใหญ่ถึงบ้าน พี่ใหญ่ก็อยู่กับเธอเถอะคะ ” บอกปัดตัดบทความหวังดี หันหลังรีบสาวเท้าออกจากสวนไปตามทาง ทิ้งผู้เป็นพี่ให้ชายตาละห้อยหา...ทุกอารมณ์ความรู้สึกตกอยู่ในความสนใจของคู่หมั้นสาวทั้งสิ้น

ศิระเดินกลับมากวักมือเรียกคนสวนให้ไปตามคนรับใช้มาทำความสะอาด พลันสายตาก็ประสานกับวิกานดาที่ยืนรอคอยเขาอยู่ แม้จะมีรอยยิ้มกว้างอารมณ์ดีอาบทั่วหน้า แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย

“ คุณวิทราบได้ยังไงว่าผมไม่ไปทำงาน ” เลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“ วิโทรไปหาคุณที่ออฟฟิศ คิดว่าจะชวนทานมื้อเที่ยง แต่คุณป้าบอกว่าคุณหยุด” หล่อนเว้นจังหวะกระแอมไอ “ ได้ยินว่าที่ประชุมลงมติเลือกผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่วันคุณใหญ่ก็ต้องลงไปคุมงาน วิกลัวว่าเราสองคนจะไม่มีเวลาพบกันอีก ก็เลยมาหาคุณที่นี่ ” หล่อนบอก...ความเคลื่อนไหวของเขาได้รับการรายงานจากมลธิกาโดยละเอียด

“ หรือครับ...งั้นคุณวิก็เข้าบ้านไปรอผมก่อนนะครับ เดี๋ยวผมช่วยเก็บกวาดตรงนี้เสร็จแล้วจะตามไป ” ออกปากปานจะไล่ให้พ้นหน้าเสียมากกว่า วิกานดายินแล้วจึงยืนนิ่งไม่ขยับเฝ้ามองเขาก้มเงยเก็บเศษกระเบื้องแล้วโพล่งความในใจทั้งหมดออกไป

“ คุณใหญ่ดีกับลูกพี่ลูกน้องตัวเองเหลือเกินนะคะ ” หล่อนพูดคล้ายกับมีนัยยะแอบแฝงเรียกให้คนตัวสูงหันกลับยังคงถือเศษจานชิ้นใหญ่ไว้ในมือ

“ คุณวิว่าอะไรนะครับ ”

“ เมื่อกี้นี้วิเห็นคุณเป็นฝ่ายกอดเด็กคนนั้น ถ้าเป็นคนอื่นเห็นเข้าคงคิดว่าคุณกับเด็กนั้นเป็นคู่รักกัน ดีนะคะที่คุณป้าบอกวิแล้วว่าคุณเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แล้วเขาก็มีสามีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นวิคงเข้าใจผิดไปแล้ว ” เน้นเสียงตรงสถานะ

ชายหนุ่มหยุดยืนนิ่ง ใคร่ครวญถึงคืนวันเก่าที่มลธิกาเพียรแนะนำเขากับคนในวงสังคมเรียกขานเป็นลูกชาย แม้แต่คนรับใช้หน้าใหม่บางคนยังเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องเป็นไปในรูปแบบนั้น จะมีก็เพียงคนใกล้ชิดและคนรับใช้เก่าแก่ไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะรู้ความจริง

“ ลูกพี่ลูกน้องของคุณคนนี้ดูใครๆก็ห่วงเธอเหลือเกินนะคะ ท่าทางบอบบางทำอะไรไม่เป็นแบบนั้น ไม่เหมาะกับมาช่วยงานบริหาร มิน่าคุณป้าถึงไม่ค่อยจะแนะนำเธอให้คนในวงการรู้จัก โชคดีนะคะที่เธอแต่งงานไปแล้ว มีสามีดูแลไม่ต้องเป็นภาระให้ที่นี่เลี้ยงดู ” หล่อนพูดเรื่อยเปื่อยหมิ่นเกียรติ์หญิงสาวที่เพิ่งจากไป

วาจากล่าวร้ายคล้ายกรรไกรตัดเอาเส้นสติให้ขาดผึง ศิระก้มลงเก็บเศษกระเบื้องชิ้นสุดท้ายจากพื้น เหลือบมองหญิงสาวที่ไม่ยอมหยุดปากไว้เพียงเสี้ยววินาทีก็หมุนตัวกลับย่างสามขุมทีละน้อยกระทั่งประชิด

วิกานดาสะดุ้งตกใจสุดขีดในนาทีที่ชายหนุ่มหันคมกระเบื้องจ่อข้างแก้ม สีหน้าแววตาถมึงทึงเยี่ยงพญาเหยี่ยวหิวโหยที่พร้อมโฉบขย้ำเหยื่อด้วยกรงเล็บแข็งแรงให้แดดิ้นสิ้นชีพลงตรงหน้า

“ คุณไม่มีสิทธิ์พูดอย่างนั้นกับน้องสาวผม อย่าลืมว่าคุณกับผมผูกพันกันเฉพาะเรื่องธุรกิจ อย่าได้คิดล้ำเส้นลามปามคนในครอบครัวผม ” เขาเอ่ยเนิบช้าเน้นทีละคำ ดันมือให้เศษกระเบื้องจรดใกล้ขอบตาล่าง...ในเวลานั้นดวงตาดำมืดไร้แววประหนึ่งจิตสำนึกแห่งมนุษย์หลุดลอยเหลือเพียงซากที่ทำได้ทุกอย่างแม้แต่การปลิดชีพมนุษย์ด้วยกัน

ลมหายใจของหญิงสาวติดขัด จ้องเศษกระเบื้องชิ้นนั้นไม่วางวาย ครู่หนึ่งศิระก็ลดมือ ถอยหลังออกไป

“ ถ้าจะอยู่ด้วยกันเพราะผลประโยชน์ให้รอด ก็ขอให้คุณจำคำพูดผมไว้ด้วย ” เขาว่า ทิ้งชิ้นกระเบื้องร่วงสู่พื้นหญ้าเดินกลับเข้าบ้านปล่อยวิกานดาให้มองตามหลังเข้าไปด้วยริมฝีปากสั่นระริกราวกับมิแยแสต่อสิ่งใดในโลกใบนี้อีกแล้ว
************************************

นิ้วเรียวแข็งยกถ้วยกาแฟดำขึ้นจิบขณะอ่านข้อตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทโชเนนฟาวและบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องสำอางรายหนึ่งในไทยในการวิจัยผลิตภัณฑ์เสริมความงามพร้อมกับฟังบทสนทนาผ่านบลูทูธที่เสียบไว้ตรงหูซึ่งเชื่อมต่อกับแท็บแล็ตราคาแพงที่กำลังปรากฏภาพการสนทนาระหว่างชายวัยกลางคนชาวตะวันออกกลางและชายหนุ่มชาวตะวันตกผมทองในห้องรับรองเครื่องนั้นวางอยู่บนโต๊ะหลังกองเอกสาร

เสียงการตอบโต้เป็นภาษาอังกฤษกันรัวเร็วนั้น หากไม่ใช่คนช่ำชองท่วงทำนองการพูดและภาษานี้เป็นอย่างดีคงจับใจความสำคัญเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้

“ อยากซื้อหุ้นอังคพิมานทั้งหมดที่ผมถืออยู่นะหรือ ” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นตามมาด้วยเสียงหัวเราะพอใจก่อนจะตามความอีกว่า “ พักนี้หุ้นอังคพิมาน โฮเต็ลมันน่าลงทุนกว่าหุ้นในกลุ่มโรงแรมอื่นแล้วหรือยังไง ถึงมีคนขยันเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของผมกันจัง ”

“ นอกจากผมแล้วยังมีคนอื่นอยากได้หุ้นตัวนี้ด้วยหรือ ” อีกเสียงหนึ่งแหบแข็งแทรกถามขึ้น

“ มี...เพิ่งติดต่อมาก่อนหน้าคุณเมื่อวานนี้เอง ” น้ำเสียงคนหนุ่มกว่าเจ้าเล่ห์แพรวพราว จบประโยคนั้นคนที่นั่งอยู่ก็คว้าแท็บแล็ตกดตัวอักษรบนหน้าจอเป็นข้อความส่งออกไป

“ ใครเป็นคนติดต่อขอซื้อหุ้นนะ ” หลังส่งข้อความไม่ถึงนาทีก็ได้ยินคำถามนี้

“ เป็นบริษัทการลงทุนในญี่ปุ่น ให้ราคาต่อหน่วยสูงมาก สูงขนาดที่ผมเกือบโทรไปเรียกคณะกรรมการผู้ถือหุ้นกับคณะกรรมการบริหารมาลงมติขายแล้ว ”

“ฝ่ายนั้นเขาให้ราคามากขนาดไหนกันเชียว คุณถึงตัดสินใจเร็วขนาดนั้นนะโคเซ่ ”

ประธานบริษัทการลงทุนหนุ่มหัวเราะเสียงใสอย่างมีความสุขเสียเต็มประดา

“ สิบเท่าจากราคาซื้อ ราคาขนาดนี้ผมยอมขายเอาไปลงทุนในโรงแรมอื่นที่มีศักยภาพพอๆกันในภูมิภาคนี้ได้ตั้งหลายแห่ง เป็นคุณ คุณจะไม่ขายเหรอ ”

“ สิบเท่า...หุ้นตัวนี้ปกติก็ราคาสูงอยู่แล้ว เอาทุนจากตรงไหนมาซื้อ ”

“ เรื่องเงินทุนมาจากไหนไม่สำคัญหรอกครับ มีปัญญาจ่ายให้ก็พอแล้ว ว่าแต่คุณเถอะอูเซน คิดว่าจะเสนอราคาให้ผมสักเท่าไหร่ดี ”

ปลายทางเงียบไปชั่วอึดใจราวกับรอคำตอบจากผู้ที่บัญชาการอยู่เบื้องหลังก่อนจะมีข้อความปรากฏกล่าวถึงสิ่งที่ควรเสนอให้อย่างสมเหตุสมผล

“ ผมให้คุณได้อย่างมากก็สี่เท่าจากราคาซื้อ ”

ทันทีที่เสนออีกฝ่ายแสดงสีหน้าผ่านกล่องที่แอบซ่อนอยู่เห็นความไม่พอใจ

“ เฮ้...นี่คิดจะต่อกันเกินครึ่งราคาเลยเหรอ ถ้าเขี้ยวกับผมขนาดนั้นก็ปิดการเจรจา ผมไม่ขายหุ้นให้คุณแน่นอน ” ร่างสูงลุกพรวดผละออกจากเก้าอี้ที่นั่งหุนหันเตรียมกลับ

“ ถ้าไม่ขายให้ผม ก็เตรียมตัวลงจากตำแหน่งผู้บริหารใหญ่ถาวรได้เลย ”

หลังถ้อยคำนั้นฝ่ายที่ปิดการเจรจาไปแล้วก็หมุนตัวเดินตรงมายังตรงพลางเท้าแขนลงไป

“ นี่คุณคิดจะขู่ผมเหรอ ” เขาหรี่ตาถาม

“ ผมได้ยินมาว่าอีกไม่นานผู้ถือหุ้นจะลงมติเลือกผู้บริหารใหญ่คนใหม่ ถ้าคุณปฏิเสธการซื้อขายครั้งนี้ รับรองได้ว่าฝั่งครอมเวลที่ถือหุ้นสำคัญชี้เป็นชี้ตายผู้บริหารได้ คงไม่ยกมือให้คุณได้ดำรงตำแหน่งนี้อีกสมัยแน่ ”

“ ครอมเวล...ครอมเวลมาเกี่ยวอะไรด้วย หรือว่า ” คราวนี้เสียงจากชายหนุ่มผู้นั้นเงียบลง คนสูงวัยกว่าหยิบกระดาษเขียนบางอย่างลงไปแล้วยื่นส่งให้ อีกฟากหนึ่งที่นั่งอ่านเอกสารสลับกับการดูความเคลื่อนไหวก็ได้เห็นชายหนุ่มผมทองมุ่งหน้าเข้ามาหยุดตรงหน้ากล้องที่ซ่อนไว้

“ โธ่เอ๊ย...ทำไมไม่บอกแต่แรกว่าคุณเป็นนายหน้าให้ใคร ”

“ การซื้อขายครั้งนี้ทางนั้นอยากให้อยู่ในนามของฉันก่อน พอถึงเวลาจะเปลี่ยนเป็นครอมเวลถือแทน คุณก็เลือกเอาแล้วกันนะ ว่าระหว่างขายให้กับฝ่ายที่ไม่รู้จักกับขายให้คนที่มีพระคุณกับคุณ คุณจะขายให้ใคร ”

โคเซ่ลูบคางครุ่นคิด...ตระกูลครอมเวลยิ่งใหญ่ยั่งยืนได้ถึงเพียงนี้ส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากการช่วยเหลือและกุมความลับสำคัญของนักธุรกิจและองค์กรทั้งหลายไว้เป็นจำนวนมาก ครั้นจะขัดกันเพียงเรื่องผลกำไรจากการขายแล้วแลกกับสูญเสียอำนาจทั้งชีวิต มีหรือใครจะเลือกขายให้คนอื่น แต่ในอีกทางหนึ่งหากขายให้อูเซนแล้วกลายเป็นกลลวง มิเท่ากับเสียรู้เลยหรือ

“ เรื่องที่คุณพูดมาจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมจะเชื่อได้ยังไงว่าทางครอมเวลให้มิลเลนเนียม ชาร์จาห์ มาเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นจริง ไม่ใช่พูดไปเพราะหวังจะกดราคาผม ” จ้องหน้ากล้องยังไม่วายต่อรอง คนในห้องนิ่งกันไปพักใหญ่รอว่า อีกฟากหนึ่งจะจัดการยืนยันคำพูดของอูเซนอย่างไร ก็พอดีกับมีอีเมล์เข้ามาในมือถือของประธานบริษัทหนุ่มพอดี

เนื้อหาในอีเมล์เล่าขานถึงการคดีพรากผู้เยาว์ที่เกิดขึ้นในแทบประเทศเอเชียของเขาอย่างละเอียด ความลับระดับท็อปซีเคร็ตที่มีเพียงคนวงในที่ช่วยเหลือรู้เป็นเหมือนเครื่องหมายยืนยันความจริง

โคเซ่หน้าถอดสีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดจะบรรยาย ยกมือลูบหน้าลูบตาแล้วกุมขมับพลางถอนหายใจ ก่อนจะจ้องหน้ากล้องจิ๋วนั้นไว้เขม็ง เปล่งประโยคที่ฝ่ายตรงข้ามรอมาตลอดการเจรจา

“ ตกลง...ผมจะขายให้คุณ”...
****************************

หนังสือพิมพ์เก่าหลายฉบับถูกหญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตลายตารางพับแขนกับกางเกงยีนส์ขายาวสีซีดหยิบออกมาพรมน้ำยาเช็ดกระจก เขย่งเท้าทั้งที่ยืนอยู่บนเก้าอี้ เอื้อมสุดปลายมือเช็ดคราบปกปรกฝังแน่นตรงขอบกระจกด้านบนก่อนจะร้องให้ลูกน้องส่งกระดาษหนังสือพิมพ์มาเพิ่มอีก

เด็กหนุ่มกุลีกุจอส่งหนังสือพิมพ์ทั้งแผ่นส่งถึงมือ รสาฉีดน้ำยาลงไปเกือบจะขย้ำแล้ว แต่บังเอิญเหลือบเห็นภาพข่าวของคนรู้จักจึงคลี่กระดาษชุ่มโชกออกอ่านอย่างระแวดระวัง

…ไฮโซหนุ่ม ศิระ อังคพิมาน หมั้นแล้วกับไฮโซสาวลูกครึ่ง ทายาทโรงแรมดังในญี่ปุ่น...

คำบรรยายนั้นอยู่ใต้ภาพถ่ายของชายหญิงหน้าตาผิวพันธุ์ดีคู่หนึ่งในชุดหมั้นแบบไทยกำลังสวมแหวนหมั้นให้กันท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย จากนั้นคนอ่านก็ไล้สายตามองวันที่บนหัวคอลัมน์สังคมจึงเห็นว่า ข่าวการหมั้นผ่านมาเกือบอาทิตย์ได้

เจ้าของร้านสาวกระโดดลงจากเก้าอี้เปลี่ยนจากยืนเป็นนั่งกางหน้ากระดาษนั้นนิ่งจนลูกน้องที่ยืนเช็ดกระจกใกล้กรูกันเข้ามาล้อมชะโงกมาร่วมดูด้วย

“ ปกติเห็นเจ๊อ่านแต่ข่าวเศรษฐกิจ อยู่ๆอะไรสิงให้เจ๊อ่านข่าวไฮโซ หรือเจ๊จะเปลี่ยนรสนิยมเป็นไฮโซกับเขาบ้าง ”ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถาม

“ ไอ้บ้า ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คนในข่าวเป็นพี่ชายของเพื่อนเจ๊ เจ๊ก็เลยสนใจก็เท่านั้นเอง ”

“ ไหนเจ๊บอกไม่ชอบพวกไฮโซ ดันมีเพื่อนเป็นไฮโซซะอย่างนั้นอ่ะ ” อีกคนเสริมเข้าให้

“ บ๊ะ ไอ้พวกนี้นี่พูดมาก ไปเลยนะกลับไปทำงานให้เสร็จเลย ถ้าวันนี้ทำไม่สะอาดอีกจะหักเงินเดือนกันให้หมดนี้แหละ ” โวยวายใส่ลูกน้องกลบเกลื่อนปมในใจ สั่งงานแล้วก็ผลักประตูเข้าไปในฝั่งผับ ยืนคุยกับคนตรวจบัตรครู่หนึ่งพนักงานตรงเคาน์เตอร์เครื่องดื่มก็ถลาเข้ามาแจ้งเรื่องรถส่งสินค้าที่มาส่งไม่ได้เพราะรถเสียกลางทาง

“ เวร...อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเปิดร้าน ดันรถเสีย แล้วไปเสียอยู่แถวไหน ถ้าไม่ไกลจะออกไปเอาเอง ”

“ ก่อนถึงสาทรนิดเดียวเอง ”

ได้ยินคำตอบดังนั้นก็ตัดสินใจจะไปขนของเอง เรียกลูกน้องให้ไปช่วยกันอีกสองคนได้ก็เดินออกไปยังลานจอดรถหลังร้าน เลือกขับรถกระบะคันใหญ่ใหม่เอี่ยม มุ่งหน้าออกไปตามเส้นทาง ฝากลูกน้องให้ช่วยกันมองหาจนกระทั่งเห็นรถกระบะเก่าคันหนึ่งจอดเสียอยู่ริมฟุตบาธหน้าร้านกาแฟ จึงแล่นเข้าไปจอดข้างหน้ารถคันนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการขนย้ายและไม่เกะกะขวางทางผู้ร่วมสัญจรบนท้องถนนคนอื่น

ฝ่ายยี่ปั้วที่นั่งอยู่ในรถก็เปิดประตูออกมายื่นใบส่งของให้ รสารับไว้แล้วชี้นิ้วให้ลูกน้องช่วยกันยกไปใส่ท้ายรถของตนเองตามรายการสินค้าทั้งหมด ระหว่างการขนตาเจ้ากรรมหรือก็ดันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มสูงโปร่งกำลังนั่งคุยกับชายหน้าตาเหี้ยมเกรียมตรงมุมในสุดของร้านผ่านกระจกใส

เค้าโครงหน้าและเสื้อสูทสีกรมท่าดูผู้ดีทุกระเบียดนิ้วเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เจ้าของร้านสาวจำได้แม่นว่าเป็นพี่ชายเพื่อน ในตอนแรกที่เห็นนั้นก็ไม่คิดสนใจอะไรกระทั่งเขายื่นซองสีน้ำตาลให้แล้วอีกฝ่ายก็รับมันเก็บใส่กระเป๋าเสื้อนั้นแหละต่อมความสงสัยจึงเริ่มทำงาน

“ เจ๊ ขนเสร็จแล้ว จ่ายตังค์แล้วไปกันเหอะ ” เสียงลูกน้องเรียกสะกิดให้หญิงสาวละสายตาจากชายหนุ่มมาสำรวจดูข้าวของ รีบควักเงินตามใบเสร็จยัดส่งมือลูกน้องให้ไปจ่ายแทนแล้วรีบหันกลับมาที่เก่าก็เห็นศิระกำลังผลักประตูกระจกด้านหลังเดินออกไป

“ เฮ้ย พวกแกขับรถเป็นใช่ไหม เจ๊วานแกขับเอาของไปไว้ที่ร้านแทนที่สิ ” ตบบ่าฝากทั้งรถทั้งของแล้วชะเง้อชะแง้วิ่งตามหลังคนที่เพิ่งคล้อยหายไปไม่นาน ความประหลาดใจทำให้อดสะกดรอยตามมาเพื่อหาความกระจ่างในท่าทางลับๆ
ล่อของเขาไม่ได้

รสาพยายามรักษาระยะห่าง หลบวูบเป็นบางคราเมื่อเขาหันกลับมา ตามอยู่เช่นนั้นสักพักช่วงจังหวะที่เขาเลี้ยวหายไปตรงทางแยก ทันทีที่ตามไปทันกลับไม่พบอะไรแม้แต่เงา หล่อนหันรีหันขวางตัดสินใจจะเอาอย่างไร ศิระก็โผล่พรวดออกมาปรากฏตัวตรงหน้า

“สวัสดีค่ะคุณศิระ บังเอิญจังคะที่เจอคุณที่นี่ ” เอ่ยทักทายพลางโบกมือไปมาจ้องมองการหัวเราะเยาะในลำคอและแววตาแข็งกระด้างเขม็ง

“ คุณตามผมมาทำไม ” เขาถามเสียงเย็น

“ ไม่ได้ตามค่ะ แค่เห็นคุณในร้านกาแฟก็เลยอยากมาทักทาย ไม่คิดว่าคุณจะเดินเร็วขนาดนี้ ทำอย่างกับหนีใครมาอย่างนั้นแหละคะ ” ถามพร้อมรอยยิ้ม แล้วขยับถอยหลังทีละนิดทันทีที่ร่างสูงของเขาเริ่มขยับเข้ามา สุดท้ายเมื่อแผ่นหลังแนบกับแนวกำแพงอิฐก็เป็นอันสิ้นสุดการถอยหนีห่างจากเขาเพียงคืบเดียว

“ พวกผู้หญิงกลางคืนไม่จุ้นจ้านก็จับแต่คนรวย คุณเองก็คงไม่ต่างอะไรกันนัก ” เขาว่า เลือกใช้คำส่อเสียดเจ็บแสบกระทบกระเทียบอย่างจงใจทำให้หญิงสาวโกรธเลือดขึ้นหน้า

“ อ้าวคุณศิระ ฉันคุยกับคุณดีๆนะคะ ทำไมต้องมาแขวะกันด้วย ”

“ คนอย่างคุณเคยคุยกับผมดีซะที่ไหน...อย่างว่า เรื่องสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านมันงานถนัดของผู้หญิงกลางคืนอย่างคุณนี้ ”

“ นี่คุณ คำก็ผู้หญิงกลางคืน สองคำก็ผู้หญิงกลางคืน คนทำงานกลางคืนเขาไม่ได้เหมือนที่คุณพูดทุกคนหรอกนะ ถ้าคิดจะดูถูกกัน หัดมองตัวเองก่อนเถอะ คุณนึกว่าตัวเองวิเศษวิโสมาจากไหน ก็แค่พวกลวงโลกแกล้งเป็นสุภาพบุรุษหลอกคนอื่น ที่แท้ในใจก็เป็นแค่โรคจิตคิดอกุศลกระทั่งกับน้องตัวเอง ” หลุดตวาดความในใจออกไป อีกฝ่ายมิได้สะดุ้งสะเทือนเพียงยิ้มเยือกน่ากลัว

“ หึ คุณเองต่างจากผมตรงไหน ทำเป็นกันท่า พูดปกป้องทุกอย่าง แต่ความจริงคุณเองก็รักเล็ก...” ไม่ทันรอให้จบประโยค รสาฟาดมือใส่ข้างแก้มเต็มแรงลั่นเปรี๊ยะจนถึงประสาทหู

“ หยุดพูดจาหมาๆอย่างนั้นเลยนะ ฉันนะรักเล็กในฐานะเพื่อน ไม่เคยคิดเรื่องสกปรกอะไรเลย มีแต่คุณนั้นแหละ อุตส่าห์หลอกคนอื่นมาหมั้นด้วยได้แล้ว ฉันก็นึกว่าจะหยุดพฤติกรรมทรามๆที่ไหนได้กลับพาผู้หญิงที่คล้ายกับน้องตัวเองไปนอนกกกอดด้วย อย่างนี้มันยังเรียกคนได้อีกเหรอ ”

ศิระลูบรอยแดงบนแก้มตวัดสายตาโกรธขึ้งจ้องคนที่พูดจาเหยียดหยามกันซึ่งหน้าไม่วางตา

“ ผู้หญิงกลางคืนอย่างคุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนผม ”

“ ผู้หญิงกลางคืนแล้วยังไง ฉันก็ทำอาชีพสุจริตไม่ได้โกงกินใคร ไม่เคยขายตัวหรือให้ใครมาเลี้ยง ก็ดีกว่าพวกแยกแยะดีชั่วไม่เป็น ลับหลังคนอื่นก็ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไอ้หน้ากากเหล็กที่สวมไว้พอมันหลุดก็เหลือแต่เนื้อแท้ ตัวจริงคุณมันร้ายกาจยิ่งกว่าพวกลิ้นสองแฉกเสียอีก ”

เท่านั้นความอดทนทั้งมวลคล้ายระเบิดออก ชายหนุ่มคว้าแขนของหญิงสาวทั้งสองข้างบีบแรงราวกับจะให้แหลกคามือก่อนจะชะงักในทันทีที่มีของแข็งกระทุ้งตรงท้อง ก้มต่ำลงจึงเห็นปืนกระบอกหนึ่งจ่ออยู่

“ ลองทำร้ายฉันมากกว่านี้ แม่จะยิงให้ไส้ไหลตรงนี้แหละ ”

“ คิดว่าผมกลัวหรือ ” เขาถามสั้นแล้วแสยะยิ้ม

“ แล้วคิดว่าฉันขู่หรือเปล่าล่ะ ” หล่อนถามกลับ ท่าทางการจับปืนเหมือนคนชำนาญการ น้ำเสียงและดวงตาโตเด็ดเดี่ยวไม่มีแววลังเลหรือล้อเล่น จู่ๆก็มีแสงสว่างวาบพร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์ทำให้ทั้งสองเหลียวมองไปทันเห็นใครคนหนึ่งสะพายกระเป๋ากล้องวิ่งพรวดพราดไป

รสาลดปืนเก็บเข้าซองปืนข้างเอวออกไล่ล่าตากล้องเช่นเดียวกับศิระ หมายจะจับเอามาเค้นให้ได้ว่า ถ่ายรูปไปทำไมทั้งสองเกือบจะคว้าตัวได้แล้วหาก ตากล้องนิรนามไม่บ้าระห่ำวิ่งแข่งกับความเร็วรถข้ามหายไปอีกฝั่ง

และเหตุการณ์ในเย็นวันนั้นก็กลายเป็นเรื่องใหญ่สร้างความวุ่นวายให้ตระกูลอังคพิมานอีกครั้ง...






ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ส.ค. 2554, 00:07:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ส.ค. 2554, 00:07:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 2070





<< บทที่ 10   บทที่ 12 >>
ชามาณัฎฐ์ 13 ส.ค. 2554, 00:17:48 น.
จ๊ะเอ๋..55+ มาโพสต์เวลาเดียวกัน พี่รุ้งแวะมาทักตอนครึ่งคืนค่า


violette 13 ส.ค. 2554, 00:45:26 น.
ศิระถ้าหลดจากดาร์คไซค์แล้วสงสัยจะได้คู่รสาแน่ๆเลย(มั้ยคะ)
สงสารพี่ใหญ่จัง สงสัยจริงๆว่าทำไมต้องจ้องจะเอาอังคพิมานด้วยน้า


หมูแพนด้า 13 ส.ค. 2554, 01:07:43 น.
อู้ววววแรงส์ได้อีก คิระกับรสา....มีพิมพ์ผิดตรงผิวพรรณนะคะ ไม่ใช่ผิวพันธุ์ ^^


ปาณณิศา 13 ส.ค. 2554, 01:13:15 น.
อ้อ ขอบคุณมากค่ะสำหรับการแก้ไขคำผิดนะคะ


anOO 13 ส.ค. 2554, 11:28:26 น.
โอ๊ะโอ จะเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะทีนี้


Edelweiss 13 ส.ค. 2554, 16:51:12 น.
พี่ใหญ่น่าสงสารนะเนี่ย


crossbear 14 ส.ค. 2554, 10:51:47 น.
น่าสงสารใหญ่...
พี่ภาคก้อช่างซ่อนความรู้สึกเสียจริง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account