โคโยตี้สาวร้อนรัก
เมื่อความต้องตาต้องใจในแรกพบเกิดขึ้น ‘อติภพ’ เจ้าพ่อหนุ่มรูปหล่อแห่งสถานบังเทิงหรูจึงไม่รอช้า งัดหากระบวนท่าเพื่อหวังพิชิตและครอบครองสาวน้อยหน้าใสหัวใจโคโยตี้ที่มีนามว่า 'เภตรา' แต่จากที่คิดว่า 'ง่าย' กลับมีสารพัดเรื่องราวของความรัก พ่อแง่แม่งอน รวมถึงความเข้าใจผิดที่ชวนให้เจ้าพ่อหนุ่มต้องปวดหัว
.
ติดตามกันดูนะคะ
.
ลียาอัพทั้งหมด 50% ของเรื่องค่ะ ^_^
.
ติดตามกันดูนะคะ
.
ลียาอัพทั้งหมด 50% ของเรื่องค่ะ ^_^
Tags: อติภพเภตรา โคโยตี้ โคโยตี้สาวร้อนรัก
ตอน: บทที่ 4 จุดอ่อน? (100%)
หลังจากที่ให้ศรุดา ผู้จัดการไนต์คลับรีบจัดการโทรนัดหมายให้โคโยตี้สาวออกมาคอยที่หน้าปากซอยในเวลาบ่ายโมงตรงแล้ว สันต์ก็ต้องระบายลมหายใจอย่างอดทนทันทีที่มาถึงจุดนัดพบตามเวลา
“ฉันจะไม่ยอมไปไหนกับนายทั้งนั้น!” เภตราในชุดเสื้อยืดลายการ์ตูนกับกางเกงขาสั้นตัวเก่าหากสะอาดสะอ้านปฏิเสธเสียงแข็ง
“เธอขัดคำสั่งท่านไม่ได้หรอกเภตรา”
“คำสั่งบ้าบออะไร เจ้านายบ้ากามของนายมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ฉันไปหาไม่ทราบ อ๋อ...นี่คงจะได้ใจสินะที่ฉันยังเฉยที่เรื่องยังเงียบ ได้...พวกนายจะไม่ต้องรอนานหรอก รับรองว่าเมื่อไรที่ฉันได้พบกับคุณอติภพ ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังแล้วก็จะขอความยุติธรรมให้กับตัวเองอย่างถึงที่สุดด้วย”
“อยากพบคุณอติภพมากงั้นหรือ” สันต์หยั่งเชิง
“ก็พอๆ กับที่พวกแกคงไม่อยากจะให้ถึงเวลานั้นนั่นล่ะ”
“ใครบอกเธอ นี่จะกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือว่าจะไปทั้งอย่างนี้”
“เอ๊ะ! นายนี่พูดไม่รู้ภาษา ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ไปๆ”
“แต่เธอรับปากกับผู้จัดการแล้วนะ” อีกฝ่ายอ้างถึงศรุดา ซึ่งเภตราถือว่าเธอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยรับเข้าทำงาน แม้อยากจะแว้ดกลับยังไง เธอเลยต้องพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ก่อน
“ก็...เอ่อ...ฉันไม่รู้นี่ว่าจะต้องไปกับนาย ฉันเข้าใจว่าเป็นธุระของไนต์คลับถึงได้รับปากผู้จัดการไป”
“เหมือนกันนั่นล่ะ”
“เหมือนกันตรงไหน ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะ พวกนายมันภัยสังคม ไปให้ห่างๆ เลย แล้วอย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก”
“อย่ามากปัญหา ขึ้นรถได้แล้วเภตรา ท่านรออยู่ เธอทำให้เสียเวลาไปมากแล้วนะ”
“ไม่!” คราวนี้เด็กสาวสะบัดหน้าพร้อมวิ่งกลับเข้าไปในตรอกเล็กๆ อันคุ้นเคย เธออาศัยช่องทางเล็กๆ ซึ่งแบ่งย่อยออกไปซิกแซ็กทะลุซอยเล็กซอยน้อยอย่างไม่เป็นระเบียบ และความไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ก็ทำให้สันต์เองยากที่จะตามติดไปบังคับเอาตัวเธอมาได้ ไอ้ครั้นจะไปดักรอที่บ้านก็น่ากลัวว่าเด็กสาวจะกบดานแกล้งให้เขาต้องแกร่วรอเป็นวันๆ แบบนั้นก็ไม่ได้ความ สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปรายงานผู้เป็นเจ้านายมือเปล่า นี่ถ้าหากว่าอติภพไม่กำชับว่าห้ามใช้กำลัง สันต์คงมีหวังได้โจนเข้าแบกร่างเล็กๆ บางๆ ของเภตรามามัดมือมัดปากแล้วยัดใส่ไปในรถให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปแล้ว
/////////////////////////
กระทั่งคืนนั้น...เภตราที่จงใจหลบลี้หนีหน้า ทว่าได้แรงส่งจากภาระหนักอึ้งก็ทำให้เธอกล้าพอที่จะดอดขึ้นเต้นโชว์ในเลิฟเว่อร์คลับอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง และไม่ว่าจะกี่คืนต่อกี่คืนก็ดูเหมือนความนิยมชมชอบในตัวของเธอจะเพิ่มพูนทบทวีขึ้นทุกที คืนนี้มีลูกค้าที่จับจ้องสายตามายังเรือนร่างอรชรที่โยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเสียงดนตรีของเธอแทบตาไม่กระพริบอยู่มากมายหลายโต๊ะ และหนึ่งในนั้นก็คือพายัพ ชายหนุ่มนัยน์ตาโศกแต่สีหน้าคล้ายกำลังแค้นเคืองคนทั้งโลกตลอดเวลานั่งรวมอยู่ด้วย
“นี่น่ะหรือ เด็กที่มาแรงที่สุดของเลิฟเว่อร์คลับตอนนี้”
คำทักทายนั้นหากฟังเผินๆ อาจดูปกติธรรมดา แต่ถ้าสำหรับคนที่ชื่อพายัพแล้ว ศรุดาต้องระแวดระวังทั้งวาจาและท่าทีของเขาทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้า ช่วงเวลาแบบนี้อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่นี่ก็หนที่สามในรอบปีเข้าให้แล้ว คนอะไรทั้งหยาบคายและหัวดื้ออย่างที่สุด
“ใช่ค่ะ เธอชื่อน้องผึ้ง ทั้งสวยทั้งเก่ง แขกชื่นชอบเธอทุกคน”
“ได้ข่าวว่าอติภพกลับมาแล้ว” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องแบบปัจจุบันทันด่วน แก้วเหล้าในมือพร่องไปเกือบครึ่ง ขณะเจ้าตัวยกชูประกายแปลบของมันให้ล้อกับแสงไฟด้วยอาการนิ่งลึกที่ใครก็อ่านความรู้สึกไม่ได้ง่ายๆ
“ค่ะ”
“อยู่ไหน?”
“ไม่ทราบสิคะ ดิฉันเป็นลูกน้อง”
“อวดดีทั้งนายทั้งขี้ข้า!” เสียงห้วนตวาดดังกว่าเดิม ตาขวางๆ นั่นฉายประกายโกรธแค้นชัดเจน หากศรุดาผู้ดูจะเคยคุ้นกับอาการแบบนี้อยู่บ้างยังคงข่มใจให้เย็นอยู่ได้
“กรุณาใช้คำพูดที่สุภาพกว่านี้ดีกว่านะคะคุณพายัพ”
“เหอะ! ทำไม ไอ้ภพมันวิเศษมาจากไหน นั่น...” เท้าที่ไขว่ห้างพาดวางไว้บนเข่าอีกข้างของคนพูดถูกเหวี่ยงลงแล้วทรงตัวขึ้นยืน ตาคู่เดิมมองแน่วไปยังมุมหนึ่งของไนต์คลับ
“ไอ้สันต์นี่ มีไอ้สันต์ก็ต้องมีนายของมันแถวนี้ ไปบอกเจ้านายของเธอ ว่าฉันต้องการจะคุยด้วย”
“เสียใจค่ะ ถ้าไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ดิฉันคิดว่าคงจะไม่...”
“นี่เธออยากให้มีปัญหามากนักใช่ไหมศรุดา!” ร่างสูงหนาย่างเท้าเข้าหาผู้จัดการสาว ศรุดาถอยหลังอย่างระวัง เธอส่งสัญญาณผ่านอาการระวังเต็มที่ให้ทีมรักษาความปลอดภัยของไนต์คลับเตรียมพร้อม
“มิได้ค่ะ และดิฉันก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าคุณมาในฐานะของนักเที่ยวและลูกค้า คุณจะได้รับทั้งความบันเทิงและบริการที่ดีเยี่ยมที่สุดจากทางเรา แต่ถ้าคุณมาในฐานะแขกของเจ้านาย นั่นก็หมายความว่าต้องได้รับเชิญ หรือไม่ก็ต้องมีการติดต่อนัดหมายไว้ล่วงหน้า แต่ถ้าไม่ ดิฉันก็จนปัญญาค่ะ”
“เพล้ง!!” แก้วใบที่อยู่ในมือกร้านนั้นถูกปากระทบกับพื้นแตกกระจุย
“จนปัญญางั้นหรือ!”
“ถ้าคุณคิดจะเข้ามาหาเรื่องหรือสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายในนี้ เห็นทีดิฉันคงจะต้องเรียกการ์ด”
“อยากมีเรื่องก็เอาสิ” พายัพร้องท้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
“มันคงจะไม่สวยนักหรอกมั้ง ถ้าไนต์คลับที่ทั้งโด่งดังและหรูหราอย่างเลิฟเว่อร์คลับจะมีข่าวนักเลงหัวไม้ตีกันรายวันขึ้นหน้าหนึ่งพรุ่งนี้และอีกหลายๆ เช้าติดน่ะ”
“ดิฉันขอเรียนย้ำอีกครั้งนะคะ ถ้าคุณต้องการจะพบบอส ก็ขอความกรุณาติดต่อนัดหมายล่วงหน้าค่ะ” คำพูดของศรุดายังคงเป็นคล้ายแผ่นเสียงตกร่องสำหรับอีกฝ่าย ซึ่งนั่นมันทำให้เขายิ่งโมโห
“นี่เตือนแล้วไม่ฟังเองนะ”
“เพล้ง เพล้ง เพล้ง!” คราวนี้ทั้งแก้วทั้งขวดที่อยู่ใกล้มือถูกกวาดลงมาตกกระจุยจนลูกค้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงบางกลุ่มหันมามองอย่างระวัง
“ฉันเองก็เตือนคุณแล้วเหมือนกันนะคะคุณพายัพ การ์ด...”
“ไม่ต้อง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นราวระฆังห้ามมวย ทีมรักษาความปลอดภัยที่เตรียมปรี่เข้าหาพายัพชะงักไป ศรุดาเองรีบหันไปรายงาน
“บอสคะ คือว่าคุณพายัพ...” หากผู้เป็นนายโบกมือห้าม แล้วว่า
“เชิญคุณพายัพไปที่ห้องรับรอง”
“แต่ว่า...”
“ทำตามที่ผมสั่ง”
“ค่ะ เชิญทางนี้ค่ะคุณพายัพ” ศรุดาจำต้องปฏิบัติตามบัญชา แต่ถึงกระนั้นคู่กรณีก็ยังออกอาการฮึดฮัดไม่พอใจ
“ไม่จำเป็น พูดกันตรงนี้ก็ได้ ธุระของฉันมันไม่ยาวเลยสักนิด ถ้าแกจะยอมให้ความร่วมมือด้วยดี”
“ถ้าเป็นเรื่องเดิมๆ ฉันก็มีแค่คำตอบเดิมให้แก” อติภพมองสบคู่สนทนาตรงๆ ไม่หลบตา อีกฝ่ายย่างเท้าเข้ามาใกล้เขาอีกนิดพร้อมกับเค้นเสียงถามชัดถ้อยชัดคำ
“แกเอาตัวนิสาไปไว้ที่ไหน”
“บอกกี่หนแล้ว นิสาไม่ได้อยู่กับฉัน”
“โกหก! แกโกหก”
“พายัพ เมื่อไรแกจะหัดยอมรับความจริงเสียทีวะ” อติภพพยายามจะใจเย็น
“ความจริงก็คือแกมันหักหลังเพื่อน แกลักเอาตัวว่าที่เจ้าสาวของฉันไปซ่อนไว้ไง นี่ไงล่ะความจริง!”
“ฉันจะทำไปเพื่ออะไร” แม้จะย้อนให้อย่างคำนึงถึงเหตุและผล หากนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้พายัพลดระดับของโมหะและความเชื่อฝังใจเดิมๆ ลงไปได้ แน่ล่ะ เพราะก่อนจะมาตกลงปลงใจกับเขา พายัพรู้ดี นิสา...ว่าที่เจ้าสาวของเขานั้นเคยมีใจให้กับอติภพมาก่อน
“นั่นคือคำถามที่แกจะต้องตอบฉัน!”
“ถ้าแกจะมาเพราะเรื่องเก่าๆ เรื่องนี้ ฉันว่าแกกลับไปซะเถอะพายัพ” อติภพตัดบท ท่าทางเหมือนคนที่ทั้งกำลังเก็บและข่มอารมณ์อย่างที่สุด ไม่บ่อยนักหรอกที่คนอย่างเขาจะยอมให้สถานการณ์งี่เง่าแบบนี้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ ถ้าไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่เขาเองพยายามอย่างมากที่จะรักษาเอาไว้ ก็มีหวังว่าพายัพได้ลงไปจมกองเลือดไม่ก็คางเหลืองไปนานแล้ว และแทนที่จะยอมถอยกลับไป ร่างสูงใกล้เคียงกับเขาคงเดินเซเข้ามาหา ระยะไม่ห่างมากทำให้เจ้าพ่อแห่งเลิฟเว่อร์คลับได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาเตะปลายจมูกได้แผ่วๆ ถ้าเขาจำไม่ผิด พายัพดูจะขยันดื่มหัวราน้ำนับตั้งแต่วันที่นิสาหายไปจนกระทั่งวันนี้ มันครึ่งปีเข้าไปแล้ว
“ทำไมวะ ในเมื่อแกก็มีทุกอย่างเหนือกว่าฉัน ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ ทำไมกับแค่ผู้หญิงที่ฉันรักแค่คนเดียวแกถึงจะยอมให้ฉันสมหวังไม่ได้ ทำไมวะไอ้ภพ!” ไม่พูดเปล่า พายัพยังปราดเข้ามากระชากคอเสื้อคนที่เขาเคยเรียกว่าเพื่อนรักเข้าอย่างแรง หากแต่ฝ่ายนี้ยังปักหลักยืนเฉย
“วันนี้พอก่อนเถอะ แกเมาแล้ว กลับไปซะ ฉันจะให้คนไปส่ง”
“ไม่ต้อง! ฉันไม่ต้องการน้ำใจจอมปลอมจากไอ้เพื่อนทรยศอย่างแก” เสียงนั้นคงตวาดดัง
“ฉันทรยศอะไร”
“ก็เรื่องนิสาไง ยังจะทำไขสือ!”
“ฉันยังยืนยันคำพูดเดิมที่เคยบอกแกไป” อติภพระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะให้คำมั่นกับอีกฝ่ายอีกครั้ง
“เมื่อไรที่คนของฉันหาตัวนิสาเจอ แกจะเป็นคนแรกที่ได้ฟังข่าวดีนี้”
“ถุย! ข่าวดีอะไรวะ ข่าวดีที่ว่าแกเบื่อนิสาแล้ว และกำลังจะโยนเศษซากที่เหลือเดนคืนมาให้ฉันอย่างนั้นเหรอวะ นี่เหรอที่เรียกว่าข่าวดีน่ะ ห๊ะ!”
“ที่แกพูด มันไม่ใช่แค่ดูถูกฉันเท่านั้นนะ แต่แกยังดูถูกแล้วก็ไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของแกอีกด้วยพายัพ คืนนี้เลิกดื่ม หยุดหาเรื่องแล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อนตั้งสติให้ดี มีสำนึกรู้ตัวขึ้นมาเมื่อไรค่อยมาคิดหาทางตามหาตัวนิสากันใหม่ ฉันยังยินดีช่วยเหลือแกในเรื่องนี้เสมอ จนกว่าจะเจอตัวผู้หญิงที่แกรัก”
“ไม่ ฉันจะยังไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่า...”
“สันต์ ส่งแขก!”
“ครับนาย” สันต์รับคำ หากยังไม่ทันจะได้ ‘เชิญตัว’ พายัพกลับออกไป เสียงเอะอะที่ดังขึ้นบริเวณด้านข้างเวทีก็เรียกความสนใจจากทุกคนอย่างพร้อมเพรียง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ศรุดาสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปถาม ภาพที่เห็นคือเภตราที่เพิ่งลงมาจากเวทีหลังหมดเวลาเต้นโชว์กำลังถูกลูกค้าที่เธอเริ่มจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่งยื้อยุดฉุดท่อนแขนเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“เธอเป็นใคร?” หนุ่มร่างหนามาดกวนซึ่งเป็นลูกค้าผู้ก่อปัญหาหันมาถามอย่างหัวเสีย
“ดิฉันศรุดาค่ะ เป็นผู้จัดการไนต์คลับนี้”
“อ้อ ผู้จัดการงั้นเรอะ ดีเลย ผมอยากได้เด็กคนนี้ ทางไนต์คลับคิดชั่วโมงเท่าไร ขอเป็นชั่วโมงก่อนนะ เพราะเด็กคุณสวยก็จริง แต่...” คนพูดกราดสายตาโลมเลียไปยังร่างของเภตรานับแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“แต่ไม่รู้ว่าลีลานี่คุ้มค่าพอจะค้างคืนหรือเปล่า ขอทดลองดูก่อนแล้วกัน”
“ไม่นะคะผู้จัดการ” เด็กสาวสั่นหน้าปฏิเสธระรัว ศรุดานั้นเข้าใจและออกจะชินกับสถานการณ์ทำนองนี้ดี จะบอกว่าเธอเคยรับมือและจัดการให้คลี่คลายมานักต่อนักแล้วก็ว่าได้ ท่าทีของเธอถึงยังดูขรึมและสุขุมในยามที่เริ่มเจรจาฉะฉาน
“คงต้องขออภัยนะคะ คุณคงจะเข้าใจผิด ดิฉันจะอธิบาย...”
“ถ้าคุณอยากจะอธิบายอะไรผมไม่ว่านะ แต่ต้องไม่ใช่เวลานี้ บอกแล้วไงว่าผมต้องการเด็กคนนี้!”
“หน้าที่ของเภตราคือขึ้นโชว์อย่างเดียวเท่านั้นค่ะ เธอจะไม่ออกไปไหนกับลูกค้าทั้งนั้น”
“ใช่ ฉันไม่ไปไหนกับใครทั้งนั้น ปล่อยนะ!” เด็กสาวสะบัดข้อมือแรงจนหลุดแล้วรีบกระโดดมาแอบหลังเพื่อหวังยึดศรุดาเป็นที่พึ่ง
“อ้อ นี่หมายความว่าคุณผู้จัดการสนับสนุนให้เด็กในร้านปฏิเสธการให้บริการลูกค้าอย่างนั้นเรอะ ทำไม เงินฉันไม่มีความหมายหรือยังไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ บอกแล้วว่าดิฉันกำลังจะอธิบาย”
“อธิบาย อธิบายอะไรไม่ทราบคุณผู้จัดการ ไม่เคยมีใครบอกคุณหรือไงว่าอะไรที่ลูกค้าอยากได้ มันก็ต้องหามาประเคนให้ได้ทั้งนั้นน่ะ” ทั้งสำเนียงและอาการนั้นพาลเต็มที่ ศรุดาคิดหาวิธีประนีประนอม
“ได้ค่ะ ถ้าคุณต้องการการบริการแบบนั้น เดี๋ยวดิฉันจะเรียกเด็กคนอื่น...”
“แต่ผมต้องการโคโยตี้คนนี้เท่านั้น!”
“ถ้าอย่างนั้นทางเราก็เสียใจจริงๆ ค่ะ ที่คงให้บริการตามที่คุณต้องการไม่ได้ เภตราไม่ได้มีหน้าที่นี้”
“มีอะไรที่คนอย่างฉันอยากได้แล้วไม่ได้” สายตาคนพูดวับวาบท้าทาย รวดเร็วที่มือขาวเกินชายเอื้อมมากระชากเรียวแขนของเด็กสาวที่ตนหมายมาดโดยแรง เมื่อมีการใช้กำลัง ในฐานะผู้จัดการ ศรุดาจึงตัดสินใจเรียกการ์ดที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วให้เข้ามาระงับสถานการณ์ แต่แทนที่ลูกค้าผู้เอาแต่ใจจะยอมจบ เขากลับโวยวายหนักขึ้น กระทั่งสองในทีมรักษาความปลอดภัยปราดเข้าถึงตัว อาวุธปืนกระบอกเหมาะมือที่เจ้าตัวคงแอบพกพาจนเล็ดลอดหูตาหน้างานเข้ามาก็ถูกนำออกมาใช้ การ์ดชะงักเมื่อเห็นอาวุธหนัก ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มี แต่การจะใช้กำลังและอาวุธอันตรายขนาดนี้จะทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ ผวา และในที่สุดก็จะมีผลกระทบกับชื่อเสียงของเลิฟเว่อร์คลับ
“เอาสิ เข้ามา หน้าไหนกล้าแตะกูวะ!”
“คุณกำลังจะทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ ตกใจนะคะ” ศรุดาปรามเสียงเข้ม แต่เห็นปืนผาหน้าไม้เธอเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยหรอก
“ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจนี่คุณผู้จัดการ”
“แต่นอกจากจะผิดกฎของไนต์คลับ คุณก็กำลังทำผิดกฎหมายอยู่ด้วยนะคะ ฉันขอล่ะค่ะ พูดจากันดีๆ อย่าทำอะไรแบบนี้ มันอันตราย”
“พูดดีๆ งั้นเหรอ ก็คุณไม่ใช่เหรอที่จะให้ไอ้ลูกกระจ๊อกพวกนี้มารุมทำร้ายผมน่ะ!”
“อุ๊ย!” ศรุดาอุทาน ผู้จัดการสาวใหญ่เซไปหลายก้าว เมื่อถูกอีกฝ่ายป่ายมือมาผลักโดนแรงๆ เภตราพลอยถอยหลังกรูด ทว่ามือที่กำปืนเล็งส่ายไปมาของลูกค้าจอมพาลนั้นพลันถูกมือใหญ่ที่ฉกไวมาตะปบแน่นตามด้วยบิดสวนโดยแรง เจ้าตัวสะดุ้งเจ็บแปลบกะทันหันจนต้องปล่อยอาวุธร้ายแรงชิ้นนั้นหลุดร่วงจากมืออย่างหมดท่า ครั้นสบช่องสะบัดจนหลุดได้ก็ทะยานเข้ากระชากคอเสื้อผู้อาจหาญ มือข้างถนัดกำหมัดง้างเตรียมจะชกหน้าคมๆ นั่นให้สมแค้น ทีมรักษาความปลอดภัยอาจพุ่งเข้าชาร์จอีกครั้งถ้า ‘ผู้เป็นนาย’ จะไม่ตีเข่าเข้าจังๆ ยังลิ้นปี่อีกฝ่ายจนจุกตัวงอไปเสียก่อน ถึงตอนนี้บรรดาไทยมุงซึ่งรวมถึงนักเที่ยวหลายคนคงยืนลอบยิ้มด้วยความสาใจ เพราะธรรมดาคนมาเที่ยวย่อมอยากหาความสำราญ ไม่ใช่ต้องมาคอยระวังคนพาลจนเป็นอันหมดสนุก คืนนี้อย่างหนึ่งที่ไอ้หนุ่มมุทะลุคนนี้คงได้รับรู้ อติภพไม่เพียงเป็นเลิศแค่ด้านบุ๋น หากเรื่องพะบู๊หรือในเชิงมวย เจ้าพ่อเลิฟเว่อร์คลับก็ใช่จะเป็นสองรองใครในวงการนักเลงเลยจริงๆ
“เอาตัวออกไป แล้วอย่าให้กลับเข้ามาก่อความวุ่นวายในนี้ได้อีก” อติภพสั่ง กระทั่งเห็นว่าคนของตนยึดอาวุธ หิ้วปีกประกบลูกค้าเจ้าปัญหาที่ยังมีทีท่าฮึดอัดแค้นเคืองห่างออกไปแล้ว เขาถึงหันมาทางเภตรา
“เธอเป็นยังไงบ้าง” ถามพร้อมกวาดสายตาสำรวจไปทั่วตัวของเด็กสาว เภตราสั่นหน้า ยังอกสั่นขวัญแขวนกับเรื่องตรงหน้าไม่หาย สาวน้อยกลืนน้ำลาย แอบคิดว่านี่คือการหนีเสือแล้วกำลังจะปะจระเข้อย่างเขาอีกหรือเปล่า ที่จริงเธอก็นึกอยากขอบคุณเขา...ผู้ชายที่เคยรังแก แต่ครั้งนี้ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ยังไงเขาก็อุตส่าห์เข้ามาช่วยยุติสถานการณ์ที่ทำท่าจะเลวร้ายลงไว้ได้ทัน แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรได้อย่างที่คิด เสียงห้าวๆ ก็ชิงทวงขึ้นเสียก่อน
“ไม่คิดจะขอบคุณสักคำหรือ”
“คุณจะต้องการไปทำไมไม่ทราบคะ”
“หนูผึ้ง!” ศรุดาตาโตยกมือทาบอก คิดไม่ถึงว่าเด็กอย่างเภตราจะกล้าตีฝีปากกับเจ้านายได้ร้ายอย่างนี้ มันน่าตี
“ก็ผึ้งพูดเรื่องจริงนี่คะผู้จัดการ แล้วหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของไนต์คลับก็อยู่ในความดูแลของการ์ด ใครคนไหนที่อยาก...เสนอตัวเข้ามายุ่งเอง ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องขอบอกขอบใจเขาไม่ใช่หรือคะ ในเมื่อ...มันเป็นเรื่องของความสมัครใจล้วนๆ”
“ฟังดูไม่น่ารัก แล้วก็ไม่ค่อยฉลาดเท่าไรเลยนะหนูผึ้ง” คราวนี้ผู้จัดการสาวใหญ่ขยับเข้าไปกระซิบใกล้ๆ แต่เด็กดื้อก็ยังตีมุกนิ่งเงียบ ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าใครเป็นใคร นี่ถ้าอติภพไม่ส่งสัญญาณเป็นเชิงห้ามเข้าอีก นาทีนี้เภตราคงหน้าหงายเพราะคำเฉลยของทุกคนในไนต์คลับไปแล้ว
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คืนนี้ฉันอนุญาตให้เธอเลิกงานก่อนเวลาโดยที่ไม่หักค่าจ้าง เดี๋ยวสันต์จะไปส่งเธอที่บ้าน”
“อะไรนะคะ” เภตราเลิกคิ้วหัวเราะ นายนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มาใช้คำว่า อนุญาต กับเธอ
“ฉันบอกว่า อนุญาตให้เธอกลับบ้านไปพักผ่อนได้เลย ไม่ต้องรอเวลาเลิกงาน” เสียงเข้มยังเน้นชัดขึ้นอีก
“นี่คุณคิดว่าคุณเป็นใครไม่ทราบ ถึงได้เที่ยวมาออกคำสั่งให้ฉันทำโน่นทำนี่ตามอย่างที่คุณต้องการน่ะ ขอโทษนะคะ พอดีว่าฉันยังไม่อยากตกงานตอนนี้ ปากท้องของฉันกับแม่สำคัญกว่าคำว่าหน้าตาและเวลาพักผ่อนอย่างมากมาย มากจนเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการออก”
“เธอจะไม่มีทางตกงาน ฉันรับประกัน” คนว่าย้ำอย่างมั่นใจ เภตราไหวไหล่ไม่เชื่อถือ แน่สิ ก็เขาเป็นใคร เจ้าของคลับรึก็ไม่ใช่ เขาแค่ใช้เงินทองออกมาตระเวนหาความสุขสำราญยามค่ำคืนตามประสานักเที่ยวเท่านั้น ยังจะมีหน้ามาบอกให้เธอหยุดงาน แถมออกปากรับประกันอย่างนั้นอย่างนี้แบบเต็มที่ นี่ไม่ใช่เชื่อยาก แต่มันเชื่อไม่ได้เลยต่างหากล่ะ
“รับประกัน คุณนี่นะจะรับประกันหน้าที่การงานของฉัน หึๆ นี่ถ้าตะกี้เป็นคุณที่โดนต่อย ฉันคงคิดว่าคุณน่ะเมาหมัดจนประสาทเสียไปแล้วแน่ๆ”
“ประสาทฉันไม่ได้เสีย และเธอก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปากท้องหรือความอิ่มอดอะไรทั้งนั้น” เขายังบอกเรื่อยๆ อย่างใจเย็น เป็นสาวน้อยนี่ล่ะที่ชักจะอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ หน้าตาท่าทางก็ดี แต่นายนี่ช่างพูดจาไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
“ฉันไม่มีเวลามาฟังคุณพูดจาไม่มีสาระนะคะ ได้ยินว่าคืนนี้คุณอติภพจะเข้ามาด้วย ใช่ไหมคะผู้จัดการ” คำถามนั้นสาวน้อยหันมาหาเพื่อให้ศรุดายืนยันอีกครั้ง แต่ดูเหมือนสีหน้าของผู้จัดการไนต์คลับอยากจะบอกอะไรกับเธอสักอย่างมากกว่าที่จะแค่พยักรับกับคำถามนั้น เภตราเองก็ไม่ทันได้สังเกต
“เจ้าของไนต์คลับนี้ หรือจะพูดให้ถูกอีกทีก็คือบอสของฉัน จะเข้ามาดูความเรียบร้อยของไนต์คลับในคืนนี้ ทางที่ดีฉันว่าคุณเลิกคิดที่จะอวดเบ่งหรือสวมรอยแบบไม่เนียนอย่างนี้เสียทีนะคะ จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง เพราะถึงแม้ว่าคุณจะมีความดีความชอบอยู่บ้างจากการที่เข้ามาช่วยจัดการเรื่องยุ่งๆ เมื่อครู่นี้ แต่มันก็คงจะไม่ดีแน่ ถ้าคุณอติภพรู้ว่าคุณพยายามจะวางอำนาจบาตรใหญ่ในที่ซึ่งเป็นอาณาจักรของเขา นี่ฉันเตือนคุณด้วยความหวังดีนะคะ”
“หนูผึ้ง” เสียงเรียกของศรุดาฟังดูแปร่งๆ
“พี่ว่าพอเถอะ เราน่ะไปเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็...กลับบ้านไปพักเถอะ”
“กลับบ้าน? นี่ผู้จัดการก็เป็นไปกับหมอนี่ด้วยหรือคะ ไม่ล่ะคะ ผึ้งยังอยากทำงานต่อ ที่สำคัญคือผึ้งก็อยากจะมีโอกาสได้พบกับคุณอติภพสักครั้ง นี่ทำงานในไนต์คลับของท่านมาก็นานแล้ว แต่ยังไม่เคยได้เจอตัวเจ้านายเลย มันยังไงอยู่นะคะผู้จัดการ”
“ถ้าพูดไม่ฟัง ผึ้งจะมาว่าพี่ทีหลังไม่ได้นะ” ศรุดาถอนใจเอือมๆ
“อะไรกันคะพี่ พูดแบบนี้ผึ้งงงไปหมดแล้วนะ”
“ผึ้งอยากพบคุณอติภพใช่ไหม”
“ค่ะ” เสียงตอบนั้นหนักแน่นเสมอต้นเสมอปลาย แถมสายตายังเหลือบแลมาคล้ายจะ ‘ข่ม’ คู่กรณีอยู่นิดๆ เสียอีกด้วย
“ถ้าพบ แล้วถึงจะยอมกลับบ้านใช่ไหม”
“ก็ตั้งใจว่าอย่างนั้นค่ะ”
สาวน้อยยืนยัน และเหมือนจังหวะในสถานการณ์ตรงนั้นช่างเป็นใจ เมื่อใครสักคนที่คงเป็นคนสนิทของ ‘คู่กรณี’ ขยับเข้ามาแล้วเอ่ยแทรกขึ้น
“รัฐมนตรีอำนาจจะขอพูดสายกับนายครับ” คนที่ได้ฟังมองตามแล้วอ้าปากค้างก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เภตราที่ยืนกอดอกเป็นเด็กดื้อหันขวับไปมองแล้วหายใจสะดุด ทำไมคนระดับรัฐมนตรีถึงต้องโทรศัพท์มาคุยกับนายคนนี้ด้วย แต่ยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องราวอะไรไปกว่านั้น
“บอกไปว่าฉันกำลังคุยเรื่องสำคัญ ไม่ว่างรับสาย” สำเนียงนั้นคล้ายจะตัดรำคาญมากกว่าจะเกรงใจ
“เอ่อ...รัฐมนตรีอำนาจบอกว่า กำลังจะเข้ามาพบนายที่นี่ในอีกครึ่งชั่วโมงนี้ด้วยครับ” แม้จะรู้ว่างานนี้อาจ ‘มีเรื่อง’ แต่คนพูดยังมีสีหน้านิ่งสงบ คงเพราะเขามั่นใจ ถ้านายอย่างอติภพยังอยู่ ต่อให้อีกกี่ผู้มีอิทธิพล เลิฟเว่อร์คลับก็พร้อมเสมอที่จะให้การ ‘ต้อนรับ’
“จะเข้ามางั้นหรือ” นาย หลุบตาลงนิดคล้ายใช้ความคิดครู่หนึ่ง
“หลังเสร็จจากการเปิดงานที่โรงแรมใกล้ๆ คงรีบมา จะเกี่ยวกับ...เรื่องของลูกชายเมื่อสักครู่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนะครับ”
“ถ้าอยากมาก็ให้เข้ามา” วาจานั้นหนักแน่นตามแบบฉบับของคนที่เด็ดขาดเสมอเมื่อต้องตัดสินใจหรือสั่งการ คนเป็นลูกน้องยืดตัวขึ้นพร้อมรับคำสั่งแล้วเดินเลี่ยงไป ศรุดาขยับเข้ามาแทนที่ เธอถามผู้เป็นเจ้านายด้วยความไม่แน่ใจบ้าง
“เอ่อ...นี่หมายความว่า ลูกค้าคนที่ก่อเรื่องเมื่อครู่นี้ เป็น...”
“ศาสตรา ลูกชายคนเล็กของรัฐมนตรีอำนาจ”
“บอสทราบอยู่แล้ว!” ท่าทางของผู้จัดการสาวออกจะตกใจ ไม่บ่อยนักหรอกที่เจ้านายของเธอจะจบปัญหาด้วยการใช้กำลังในไนต์คลับแห่งนี้ นี่มันเพราะสาวน้อยที่ชื่อเภตราหรือเปล่า ทำให้เจ้าพ่อหนุ่มใจร้อนขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนได้
“ก็เห็นตั้งแต่เดินเข้ามา”
“แล้วแบบนี้ จะมีปัญหาอะไรตามมาอีกไหมคะ” ศรุดากังวล ลูกคนใหญ่คนโตแถมยังนิสัยนักเลงอันธพาลแบบนั้น เรื่องมันจะจบง่ายๆ ล่ะหรือ นี่ก็คงแล่นไปฟ้องพ่อละมัง ถึงได้มีสายตรงมาถึงเจ้านายของเธอได้รวดเร็วขนาดนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอกศรุดา ให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป จะไม่มีใครมาก่อเรื่องอะไรในนี้ได้อีกทั้งนั้น ถ้าผมยังอยู่”
“เอ่อ...ค่ะบอส” ตลอดเวลาราวหนึ่งนาทีที่สองคนสนทนากันข้ามหัวเภตรา สาวน้อยก็ทำสีหน้าลำบาก
“บะ...บอส งั้นหรือคะ เมื่อกี้ผึ้งได้ยินผู้จัดการเรียกผู้ชายคนนี้ว่า...”
“ใช่...คุณอติภพไงน้องผึ้ง นี่คือคุณอติภพ ภูชิตบดินทร์ บอสของทุกคนในนี้ บอสที่น้องผึ้งพร่ำบอกนักหนาว่าอยากพบอยากเจอยังไงล่ะ น้องผึ้งได้ยินถูกแล้ว หูไม่ได้เพี้ยน พี่ยืนยัน” ผู้จัดการคนเก่งถือโอกาสบอกรวบรัดด้วยสีหน้าและท่าทีตำหนิเด็กหัวดื้ออย่างอดไม่ไหว ไม่สนแล้วว่าผู้เป็นนายจะยอมให้เฉลยปมนี้กับเภตราในเวลานี้ไหม แต่ที่หลายเรื่องมันวุ่นวายก็เพราะ ‘บอส’ ไม่ยอมบอกความจริงกับสาวน้อยคนนี้เสียทีด้วยล่ะ
“เอ่อ...นี่มัน เรื่องจริงหรือคะ...แล้วทำไม” ทั้งที่ในนี้ไม่ใช่ที่โล่งแจ้ง แต่ไหงเภตราถึงกำลังรู้สึกว่าถูกฟ้าผ่าลงมากลางแสกหน้าแบบนี้ล่ะ เด็กสาวหันมองรอบตัว เห็นพนักงานที่เลียบๆ เคียงๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมองมาอย่างเห็นใจแกมขอโทษขอโพยแล้ว สาวน้อยก็ไม่รู้ว่าจะโมโหพวกเขาหรือว่าจะโกรธกับอาการของคนมีตาแต่หาแววไม่ได้ของตัวเองดี
“ดิฉันขออนุญาตนะคะบอส ขอไปดูความเรียบร้อยทางด้านโน้นหน่อยค่ะ” ศรุดาหันไปทางผู้เป็นเจ้านาย พร้อมค้อมตัวเดินผ่านออกไป ทิ้งให้เภตรายืนนิ่งอยู่ข้างหลังราวกับคนต้องคาถานะจังงังอยู่เพียงคนเดียว สาวน้อยอยากเรียกให้ศรุดาอยู่ด้วยกันก่อนแต่ก็ไม่กล้าพอ นานๆ ทีจะได้เห็นผู้จัดการแสนใจดีมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจเธอเอามากๆ อย่างตอนนี้ เจ้าของความคิดกลืนน้ำลายลงคอ หน้านวลที่ลอยเด่นในความสลัวของแสงไฟซับสีระเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาการอายขายขี้หน้าในความไม่ประสาและไม่ดูหน้าดูหลังอย่างที่ศรุดาว่า ทำให้เลือดในกายฉีดขึ้นหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ ทำไมนะ ทำไมถึงไม่มีใครบอกเธอสักคนว่านายคนนี้คืออติภพ ภูชิตบดินทร์น่ะ!
“ส่วนเธอ...” อติภพยังไม่ทันจะได้พูดต่อ
“ค่ะ” เภตราฝืนเชิดหน้ากระแทกเสียง เธอพลาดแล้วก็จริง แต่จะไม่ยอมก้มหน้าให้ใครเยอะเย้ยง่ายๆ
“ค่ะ อะไร?” คนตัวสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างขมวดคิ้วถาม ในท่าทีนั้นมีแววขันเล็กๆ กับอาการหน้าแตกหมอไม่รับเย็บของคนตรงหน้าเจืออยู่ด้วย ทำไมอติภพจะไม่รู้ ตอนนี้สาวน้อยกำลังพยายามวางท่าปั้นปึ่งกลบเกลื่อนความโก๊ะโป๊ะแตกของตัวเองเอาไว้อย่างเต็มที่
“ก็...ค่ะ คือ...คุณไม่ต้องมาเปลืองน้ำลายไล่ฉันออกยังไงล่ะคะ ฉัน...เข้าใจทุกอย่าง และจะพิจารณาพาตัวเองออกไปจากที่นี่”
“งั้นเดี๋ยวสันต์จะไปส่งเธอที่บ้าน” คนฟังใจห่อเหี่ยว เพราะยิ่งฟัง ยิ่งตีความวาจานั้นเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ แหงสิ เขาก็ต้องไล่เธอออกจากงานอยู่แล้ว มีเจ้านายที่ไหนจะเก็บลูกน้องที่แสนจะจองหองแถมปากดีแบบนี้เอาไว้ให้ขุ่นเคืองลูกกะตาเล่า
“ขอบพระคุณในความกรุณาค่ะ แต่ดิฉันกลับเองได้”
“ดิฉัน”
“ใช่ค่ะ” รับพร้อมเชิดคางอย่างน่าหมั่นไส้เหลือเกินในสายตาอีกฝ่าย
“แก่แดด”
“เอ๊ะ!” เด็กสาวทำเสียงไม่พอใจ ตาคู่สวยตวัดขึ้นมองคนตัวสูงอย่างขุ่นอารมณ์ ดูเถอะ อติภพหลอกด่าเธอหน้าตาเฉย เขาเห็นเธอเป็นตัวตลกหรือยังไง ไหนจะเรื่องปิดบังสถานะของตัวเอง แล้วไหนจะคำพูดคำจาที่ไม่น่าสนทนาด้วยยาวๆ แบบนี้อีก
“ฉันจะไม่ยอมไปไหนกับนายทั้งนั้น!” เภตราในชุดเสื้อยืดลายการ์ตูนกับกางเกงขาสั้นตัวเก่าหากสะอาดสะอ้านปฏิเสธเสียงแข็ง
“เธอขัดคำสั่งท่านไม่ได้หรอกเภตรา”
“คำสั่งบ้าบออะไร เจ้านายบ้ากามของนายมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ฉันไปหาไม่ทราบ อ๋อ...นี่คงจะได้ใจสินะที่ฉันยังเฉยที่เรื่องยังเงียบ ได้...พวกนายจะไม่ต้องรอนานหรอก รับรองว่าเมื่อไรที่ฉันได้พบกับคุณอติภพ ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังแล้วก็จะขอความยุติธรรมให้กับตัวเองอย่างถึงที่สุดด้วย”
“อยากพบคุณอติภพมากงั้นหรือ” สันต์หยั่งเชิง
“ก็พอๆ กับที่พวกแกคงไม่อยากจะให้ถึงเวลานั้นนั่นล่ะ”
“ใครบอกเธอ นี่จะกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือว่าจะไปทั้งอย่างนี้”
“เอ๊ะ! นายนี่พูดไม่รู้ภาษา ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ไปๆ”
“แต่เธอรับปากกับผู้จัดการแล้วนะ” อีกฝ่ายอ้างถึงศรุดา ซึ่งเภตราถือว่าเธอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยรับเข้าทำงาน แม้อยากจะแว้ดกลับยังไง เธอเลยต้องพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ก่อน
“ก็...เอ่อ...ฉันไม่รู้นี่ว่าจะต้องไปกับนาย ฉันเข้าใจว่าเป็นธุระของไนต์คลับถึงได้รับปากผู้จัดการไป”
“เหมือนกันนั่นล่ะ”
“เหมือนกันตรงไหน ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะ พวกนายมันภัยสังคม ไปให้ห่างๆ เลย แล้วอย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก”
“อย่ามากปัญหา ขึ้นรถได้แล้วเภตรา ท่านรออยู่ เธอทำให้เสียเวลาไปมากแล้วนะ”
“ไม่!” คราวนี้เด็กสาวสะบัดหน้าพร้อมวิ่งกลับเข้าไปในตรอกเล็กๆ อันคุ้นเคย เธออาศัยช่องทางเล็กๆ ซึ่งแบ่งย่อยออกไปซิกแซ็กทะลุซอยเล็กซอยน้อยอย่างไม่เป็นระเบียบ และความไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ก็ทำให้สันต์เองยากที่จะตามติดไปบังคับเอาตัวเธอมาได้ ไอ้ครั้นจะไปดักรอที่บ้านก็น่ากลัวว่าเด็กสาวจะกบดานแกล้งให้เขาต้องแกร่วรอเป็นวันๆ แบบนั้นก็ไม่ได้ความ สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปรายงานผู้เป็นเจ้านายมือเปล่า นี่ถ้าหากว่าอติภพไม่กำชับว่าห้ามใช้กำลัง สันต์คงมีหวังได้โจนเข้าแบกร่างเล็กๆ บางๆ ของเภตรามามัดมือมัดปากแล้วยัดใส่ไปในรถให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปแล้ว
/////////////////////////
กระทั่งคืนนั้น...เภตราที่จงใจหลบลี้หนีหน้า ทว่าได้แรงส่งจากภาระหนักอึ้งก็ทำให้เธอกล้าพอที่จะดอดขึ้นเต้นโชว์ในเลิฟเว่อร์คลับอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง และไม่ว่าจะกี่คืนต่อกี่คืนก็ดูเหมือนความนิยมชมชอบในตัวของเธอจะเพิ่มพูนทบทวีขึ้นทุกที คืนนี้มีลูกค้าที่จับจ้องสายตามายังเรือนร่างอรชรที่โยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเสียงดนตรีของเธอแทบตาไม่กระพริบอยู่มากมายหลายโต๊ะ และหนึ่งในนั้นก็คือพายัพ ชายหนุ่มนัยน์ตาโศกแต่สีหน้าคล้ายกำลังแค้นเคืองคนทั้งโลกตลอดเวลานั่งรวมอยู่ด้วย
“นี่น่ะหรือ เด็กที่มาแรงที่สุดของเลิฟเว่อร์คลับตอนนี้”
คำทักทายนั้นหากฟังเผินๆ อาจดูปกติธรรมดา แต่ถ้าสำหรับคนที่ชื่อพายัพแล้ว ศรุดาต้องระแวดระวังทั้งวาจาและท่าทีของเขาทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้า ช่วงเวลาแบบนี้อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่นี่ก็หนที่สามในรอบปีเข้าให้แล้ว คนอะไรทั้งหยาบคายและหัวดื้ออย่างที่สุด
“ใช่ค่ะ เธอชื่อน้องผึ้ง ทั้งสวยทั้งเก่ง แขกชื่นชอบเธอทุกคน”
“ได้ข่าวว่าอติภพกลับมาแล้ว” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องแบบปัจจุบันทันด่วน แก้วเหล้าในมือพร่องไปเกือบครึ่ง ขณะเจ้าตัวยกชูประกายแปลบของมันให้ล้อกับแสงไฟด้วยอาการนิ่งลึกที่ใครก็อ่านความรู้สึกไม่ได้ง่ายๆ
“ค่ะ”
“อยู่ไหน?”
“ไม่ทราบสิคะ ดิฉันเป็นลูกน้อง”
“อวดดีทั้งนายทั้งขี้ข้า!” เสียงห้วนตวาดดังกว่าเดิม ตาขวางๆ นั่นฉายประกายโกรธแค้นชัดเจน หากศรุดาผู้ดูจะเคยคุ้นกับอาการแบบนี้อยู่บ้างยังคงข่มใจให้เย็นอยู่ได้
“กรุณาใช้คำพูดที่สุภาพกว่านี้ดีกว่านะคะคุณพายัพ”
“เหอะ! ทำไม ไอ้ภพมันวิเศษมาจากไหน นั่น...” เท้าที่ไขว่ห้างพาดวางไว้บนเข่าอีกข้างของคนพูดถูกเหวี่ยงลงแล้วทรงตัวขึ้นยืน ตาคู่เดิมมองแน่วไปยังมุมหนึ่งของไนต์คลับ
“ไอ้สันต์นี่ มีไอ้สันต์ก็ต้องมีนายของมันแถวนี้ ไปบอกเจ้านายของเธอ ว่าฉันต้องการจะคุยด้วย”
“เสียใจค่ะ ถ้าไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ดิฉันคิดว่าคงจะไม่...”
“นี่เธออยากให้มีปัญหามากนักใช่ไหมศรุดา!” ร่างสูงหนาย่างเท้าเข้าหาผู้จัดการสาว ศรุดาถอยหลังอย่างระวัง เธอส่งสัญญาณผ่านอาการระวังเต็มที่ให้ทีมรักษาความปลอดภัยของไนต์คลับเตรียมพร้อม
“มิได้ค่ะ และดิฉันก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าคุณมาในฐานะของนักเที่ยวและลูกค้า คุณจะได้รับทั้งความบันเทิงและบริการที่ดีเยี่ยมที่สุดจากทางเรา แต่ถ้าคุณมาในฐานะแขกของเจ้านาย นั่นก็หมายความว่าต้องได้รับเชิญ หรือไม่ก็ต้องมีการติดต่อนัดหมายไว้ล่วงหน้า แต่ถ้าไม่ ดิฉันก็จนปัญญาค่ะ”
“เพล้ง!!” แก้วใบที่อยู่ในมือกร้านนั้นถูกปากระทบกับพื้นแตกกระจุย
“จนปัญญางั้นหรือ!”
“ถ้าคุณคิดจะเข้ามาหาเรื่องหรือสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายในนี้ เห็นทีดิฉันคงจะต้องเรียกการ์ด”
“อยากมีเรื่องก็เอาสิ” พายัพร้องท้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
“มันคงจะไม่สวยนักหรอกมั้ง ถ้าไนต์คลับที่ทั้งโด่งดังและหรูหราอย่างเลิฟเว่อร์คลับจะมีข่าวนักเลงหัวไม้ตีกันรายวันขึ้นหน้าหนึ่งพรุ่งนี้และอีกหลายๆ เช้าติดน่ะ”
“ดิฉันขอเรียนย้ำอีกครั้งนะคะ ถ้าคุณต้องการจะพบบอส ก็ขอความกรุณาติดต่อนัดหมายล่วงหน้าค่ะ” คำพูดของศรุดายังคงเป็นคล้ายแผ่นเสียงตกร่องสำหรับอีกฝ่าย ซึ่งนั่นมันทำให้เขายิ่งโมโห
“นี่เตือนแล้วไม่ฟังเองนะ”
“เพล้ง เพล้ง เพล้ง!” คราวนี้ทั้งแก้วทั้งขวดที่อยู่ใกล้มือถูกกวาดลงมาตกกระจุยจนลูกค้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงบางกลุ่มหันมามองอย่างระวัง
“ฉันเองก็เตือนคุณแล้วเหมือนกันนะคะคุณพายัพ การ์ด...”
“ไม่ต้อง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นราวระฆังห้ามมวย ทีมรักษาความปลอดภัยที่เตรียมปรี่เข้าหาพายัพชะงักไป ศรุดาเองรีบหันไปรายงาน
“บอสคะ คือว่าคุณพายัพ...” หากผู้เป็นนายโบกมือห้าม แล้วว่า
“เชิญคุณพายัพไปที่ห้องรับรอง”
“แต่ว่า...”
“ทำตามที่ผมสั่ง”
“ค่ะ เชิญทางนี้ค่ะคุณพายัพ” ศรุดาจำต้องปฏิบัติตามบัญชา แต่ถึงกระนั้นคู่กรณีก็ยังออกอาการฮึดฮัดไม่พอใจ
“ไม่จำเป็น พูดกันตรงนี้ก็ได้ ธุระของฉันมันไม่ยาวเลยสักนิด ถ้าแกจะยอมให้ความร่วมมือด้วยดี”
“ถ้าเป็นเรื่องเดิมๆ ฉันก็มีแค่คำตอบเดิมให้แก” อติภพมองสบคู่สนทนาตรงๆ ไม่หลบตา อีกฝ่ายย่างเท้าเข้ามาใกล้เขาอีกนิดพร้อมกับเค้นเสียงถามชัดถ้อยชัดคำ
“แกเอาตัวนิสาไปไว้ที่ไหน”
“บอกกี่หนแล้ว นิสาไม่ได้อยู่กับฉัน”
“โกหก! แกโกหก”
“พายัพ เมื่อไรแกจะหัดยอมรับความจริงเสียทีวะ” อติภพพยายามจะใจเย็น
“ความจริงก็คือแกมันหักหลังเพื่อน แกลักเอาตัวว่าที่เจ้าสาวของฉันไปซ่อนไว้ไง นี่ไงล่ะความจริง!”
“ฉันจะทำไปเพื่ออะไร” แม้จะย้อนให้อย่างคำนึงถึงเหตุและผล หากนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้พายัพลดระดับของโมหะและความเชื่อฝังใจเดิมๆ ลงไปได้ แน่ล่ะ เพราะก่อนจะมาตกลงปลงใจกับเขา พายัพรู้ดี นิสา...ว่าที่เจ้าสาวของเขานั้นเคยมีใจให้กับอติภพมาก่อน
“นั่นคือคำถามที่แกจะต้องตอบฉัน!”
“ถ้าแกจะมาเพราะเรื่องเก่าๆ เรื่องนี้ ฉันว่าแกกลับไปซะเถอะพายัพ” อติภพตัดบท ท่าทางเหมือนคนที่ทั้งกำลังเก็บและข่มอารมณ์อย่างที่สุด ไม่บ่อยนักหรอกที่คนอย่างเขาจะยอมให้สถานการณ์งี่เง่าแบบนี้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ ถ้าไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่เขาเองพยายามอย่างมากที่จะรักษาเอาไว้ ก็มีหวังว่าพายัพได้ลงไปจมกองเลือดไม่ก็คางเหลืองไปนานแล้ว และแทนที่จะยอมถอยกลับไป ร่างสูงใกล้เคียงกับเขาคงเดินเซเข้ามาหา ระยะไม่ห่างมากทำให้เจ้าพ่อแห่งเลิฟเว่อร์คลับได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาเตะปลายจมูกได้แผ่วๆ ถ้าเขาจำไม่ผิด พายัพดูจะขยันดื่มหัวราน้ำนับตั้งแต่วันที่นิสาหายไปจนกระทั่งวันนี้ มันครึ่งปีเข้าไปแล้ว
“ทำไมวะ ในเมื่อแกก็มีทุกอย่างเหนือกว่าฉัน ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ ทำไมกับแค่ผู้หญิงที่ฉันรักแค่คนเดียวแกถึงจะยอมให้ฉันสมหวังไม่ได้ ทำไมวะไอ้ภพ!” ไม่พูดเปล่า พายัพยังปราดเข้ามากระชากคอเสื้อคนที่เขาเคยเรียกว่าเพื่อนรักเข้าอย่างแรง หากแต่ฝ่ายนี้ยังปักหลักยืนเฉย
“วันนี้พอก่อนเถอะ แกเมาแล้ว กลับไปซะ ฉันจะให้คนไปส่ง”
“ไม่ต้อง! ฉันไม่ต้องการน้ำใจจอมปลอมจากไอ้เพื่อนทรยศอย่างแก” เสียงนั้นคงตวาดดัง
“ฉันทรยศอะไร”
“ก็เรื่องนิสาไง ยังจะทำไขสือ!”
“ฉันยังยืนยันคำพูดเดิมที่เคยบอกแกไป” อติภพระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะให้คำมั่นกับอีกฝ่ายอีกครั้ง
“เมื่อไรที่คนของฉันหาตัวนิสาเจอ แกจะเป็นคนแรกที่ได้ฟังข่าวดีนี้”
“ถุย! ข่าวดีอะไรวะ ข่าวดีที่ว่าแกเบื่อนิสาแล้ว และกำลังจะโยนเศษซากที่เหลือเดนคืนมาให้ฉันอย่างนั้นเหรอวะ นี่เหรอที่เรียกว่าข่าวดีน่ะ ห๊ะ!”
“ที่แกพูด มันไม่ใช่แค่ดูถูกฉันเท่านั้นนะ แต่แกยังดูถูกแล้วก็ไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของแกอีกด้วยพายัพ คืนนี้เลิกดื่ม หยุดหาเรื่องแล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อนตั้งสติให้ดี มีสำนึกรู้ตัวขึ้นมาเมื่อไรค่อยมาคิดหาทางตามหาตัวนิสากันใหม่ ฉันยังยินดีช่วยเหลือแกในเรื่องนี้เสมอ จนกว่าจะเจอตัวผู้หญิงที่แกรัก”
“ไม่ ฉันจะยังไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่า...”
“สันต์ ส่งแขก!”
“ครับนาย” สันต์รับคำ หากยังไม่ทันจะได้ ‘เชิญตัว’ พายัพกลับออกไป เสียงเอะอะที่ดังขึ้นบริเวณด้านข้างเวทีก็เรียกความสนใจจากทุกคนอย่างพร้อมเพรียง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ศรุดาสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปถาม ภาพที่เห็นคือเภตราที่เพิ่งลงมาจากเวทีหลังหมดเวลาเต้นโชว์กำลังถูกลูกค้าที่เธอเริ่มจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่งยื้อยุดฉุดท่อนแขนเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“เธอเป็นใคร?” หนุ่มร่างหนามาดกวนซึ่งเป็นลูกค้าผู้ก่อปัญหาหันมาถามอย่างหัวเสีย
“ดิฉันศรุดาค่ะ เป็นผู้จัดการไนต์คลับนี้”
“อ้อ ผู้จัดการงั้นเรอะ ดีเลย ผมอยากได้เด็กคนนี้ ทางไนต์คลับคิดชั่วโมงเท่าไร ขอเป็นชั่วโมงก่อนนะ เพราะเด็กคุณสวยก็จริง แต่...” คนพูดกราดสายตาโลมเลียไปยังร่างของเภตรานับแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“แต่ไม่รู้ว่าลีลานี่คุ้มค่าพอจะค้างคืนหรือเปล่า ขอทดลองดูก่อนแล้วกัน”
“ไม่นะคะผู้จัดการ” เด็กสาวสั่นหน้าปฏิเสธระรัว ศรุดานั้นเข้าใจและออกจะชินกับสถานการณ์ทำนองนี้ดี จะบอกว่าเธอเคยรับมือและจัดการให้คลี่คลายมานักต่อนักแล้วก็ว่าได้ ท่าทีของเธอถึงยังดูขรึมและสุขุมในยามที่เริ่มเจรจาฉะฉาน
“คงต้องขออภัยนะคะ คุณคงจะเข้าใจผิด ดิฉันจะอธิบาย...”
“ถ้าคุณอยากจะอธิบายอะไรผมไม่ว่านะ แต่ต้องไม่ใช่เวลานี้ บอกแล้วไงว่าผมต้องการเด็กคนนี้!”
“หน้าที่ของเภตราคือขึ้นโชว์อย่างเดียวเท่านั้นค่ะ เธอจะไม่ออกไปไหนกับลูกค้าทั้งนั้น”
“ใช่ ฉันไม่ไปไหนกับใครทั้งนั้น ปล่อยนะ!” เด็กสาวสะบัดข้อมือแรงจนหลุดแล้วรีบกระโดดมาแอบหลังเพื่อหวังยึดศรุดาเป็นที่พึ่ง
“อ้อ นี่หมายความว่าคุณผู้จัดการสนับสนุนให้เด็กในร้านปฏิเสธการให้บริการลูกค้าอย่างนั้นเรอะ ทำไม เงินฉันไม่มีความหมายหรือยังไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ บอกแล้วว่าดิฉันกำลังจะอธิบาย”
“อธิบาย อธิบายอะไรไม่ทราบคุณผู้จัดการ ไม่เคยมีใครบอกคุณหรือไงว่าอะไรที่ลูกค้าอยากได้ มันก็ต้องหามาประเคนให้ได้ทั้งนั้นน่ะ” ทั้งสำเนียงและอาการนั้นพาลเต็มที่ ศรุดาคิดหาวิธีประนีประนอม
“ได้ค่ะ ถ้าคุณต้องการการบริการแบบนั้น เดี๋ยวดิฉันจะเรียกเด็กคนอื่น...”
“แต่ผมต้องการโคโยตี้คนนี้เท่านั้น!”
“ถ้าอย่างนั้นทางเราก็เสียใจจริงๆ ค่ะ ที่คงให้บริการตามที่คุณต้องการไม่ได้ เภตราไม่ได้มีหน้าที่นี้”
“มีอะไรที่คนอย่างฉันอยากได้แล้วไม่ได้” สายตาคนพูดวับวาบท้าทาย รวดเร็วที่มือขาวเกินชายเอื้อมมากระชากเรียวแขนของเด็กสาวที่ตนหมายมาดโดยแรง เมื่อมีการใช้กำลัง ในฐานะผู้จัดการ ศรุดาจึงตัดสินใจเรียกการ์ดที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วให้เข้ามาระงับสถานการณ์ แต่แทนที่ลูกค้าผู้เอาแต่ใจจะยอมจบ เขากลับโวยวายหนักขึ้น กระทั่งสองในทีมรักษาความปลอดภัยปราดเข้าถึงตัว อาวุธปืนกระบอกเหมาะมือที่เจ้าตัวคงแอบพกพาจนเล็ดลอดหูตาหน้างานเข้ามาก็ถูกนำออกมาใช้ การ์ดชะงักเมื่อเห็นอาวุธหนัก ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มี แต่การจะใช้กำลังและอาวุธอันตรายขนาดนี้จะทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ ผวา และในที่สุดก็จะมีผลกระทบกับชื่อเสียงของเลิฟเว่อร์คลับ
“เอาสิ เข้ามา หน้าไหนกล้าแตะกูวะ!”
“คุณกำลังจะทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ ตกใจนะคะ” ศรุดาปรามเสียงเข้ม แต่เห็นปืนผาหน้าไม้เธอเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยหรอก
“ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจนี่คุณผู้จัดการ”
“แต่นอกจากจะผิดกฎของไนต์คลับ คุณก็กำลังทำผิดกฎหมายอยู่ด้วยนะคะ ฉันขอล่ะค่ะ พูดจากันดีๆ อย่าทำอะไรแบบนี้ มันอันตราย”
“พูดดีๆ งั้นเหรอ ก็คุณไม่ใช่เหรอที่จะให้ไอ้ลูกกระจ๊อกพวกนี้มารุมทำร้ายผมน่ะ!”
“อุ๊ย!” ศรุดาอุทาน ผู้จัดการสาวใหญ่เซไปหลายก้าว เมื่อถูกอีกฝ่ายป่ายมือมาผลักโดนแรงๆ เภตราพลอยถอยหลังกรูด ทว่ามือที่กำปืนเล็งส่ายไปมาของลูกค้าจอมพาลนั้นพลันถูกมือใหญ่ที่ฉกไวมาตะปบแน่นตามด้วยบิดสวนโดยแรง เจ้าตัวสะดุ้งเจ็บแปลบกะทันหันจนต้องปล่อยอาวุธร้ายแรงชิ้นนั้นหลุดร่วงจากมืออย่างหมดท่า ครั้นสบช่องสะบัดจนหลุดได้ก็ทะยานเข้ากระชากคอเสื้อผู้อาจหาญ มือข้างถนัดกำหมัดง้างเตรียมจะชกหน้าคมๆ นั่นให้สมแค้น ทีมรักษาความปลอดภัยอาจพุ่งเข้าชาร์จอีกครั้งถ้า ‘ผู้เป็นนาย’ จะไม่ตีเข่าเข้าจังๆ ยังลิ้นปี่อีกฝ่ายจนจุกตัวงอไปเสียก่อน ถึงตอนนี้บรรดาไทยมุงซึ่งรวมถึงนักเที่ยวหลายคนคงยืนลอบยิ้มด้วยความสาใจ เพราะธรรมดาคนมาเที่ยวย่อมอยากหาความสำราญ ไม่ใช่ต้องมาคอยระวังคนพาลจนเป็นอันหมดสนุก คืนนี้อย่างหนึ่งที่ไอ้หนุ่มมุทะลุคนนี้คงได้รับรู้ อติภพไม่เพียงเป็นเลิศแค่ด้านบุ๋น หากเรื่องพะบู๊หรือในเชิงมวย เจ้าพ่อเลิฟเว่อร์คลับก็ใช่จะเป็นสองรองใครในวงการนักเลงเลยจริงๆ
“เอาตัวออกไป แล้วอย่าให้กลับเข้ามาก่อความวุ่นวายในนี้ได้อีก” อติภพสั่ง กระทั่งเห็นว่าคนของตนยึดอาวุธ หิ้วปีกประกบลูกค้าเจ้าปัญหาที่ยังมีทีท่าฮึดอัดแค้นเคืองห่างออกไปแล้ว เขาถึงหันมาทางเภตรา
“เธอเป็นยังไงบ้าง” ถามพร้อมกวาดสายตาสำรวจไปทั่วตัวของเด็กสาว เภตราสั่นหน้า ยังอกสั่นขวัญแขวนกับเรื่องตรงหน้าไม่หาย สาวน้อยกลืนน้ำลาย แอบคิดว่านี่คือการหนีเสือแล้วกำลังจะปะจระเข้อย่างเขาอีกหรือเปล่า ที่จริงเธอก็นึกอยากขอบคุณเขา...ผู้ชายที่เคยรังแก แต่ครั้งนี้ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ยังไงเขาก็อุตส่าห์เข้ามาช่วยยุติสถานการณ์ที่ทำท่าจะเลวร้ายลงไว้ได้ทัน แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรได้อย่างที่คิด เสียงห้าวๆ ก็ชิงทวงขึ้นเสียก่อน
“ไม่คิดจะขอบคุณสักคำหรือ”
“คุณจะต้องการไปทำไมไม่ทราบคะ”
“หนูผึ้ง!” ศรุดาตาโตยกมือทาบอก คิดไม่ถึงว่าเด็กอย่างเภตราจะกล้าตีฝีปากกับเจ้านายได้ร้ายอย่างนี้ มันน่าตี
“ก็ผึ้งพูดเรื่องจริงนี่คะผู้จัดการ แล้วหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของไนต์คลับก็อยู่ในความดูแลของการ์ด ใครคนไหนที่อยาก...เสนอตัวเข้ามายุ่งเอง ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องขอบอกขอบใจเขาไม่ใช่หรือคะ ในเมื่อ...มันเป็นเรื่องของความสมัครใจล้วนๆ”
“ฟังดูไม่น่ารัก แล้วก็ไม่ค่อยฉลาดเท่าไรเลยนะหนูผึ้ง” คราวนี้ผู้จัดการสาวใหญ่ขยับเข้าไปกระซิบใกล้ๆ แต่เด็กดื้อก็ยังตีมุกนิ่งเงียบ ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าใครเป็นใคร นี่ถ้าอติภพไม่ส่งสัญญาณเป็นเชิงห้ามเข้าอีก นาทีนี้เภตราคงหน้าหงายเพราะคำเฉลยของทุกคนในไนต์คลับไปแล้ว
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คืนนี้ฉันอนุญาตให้เธอเลิกงานก่อนเวลาโดยที่ไม่หักค่าจ้าง เดี๋ยวสันต์จะไปส่งเธอที่บ้าน”
“อะไรนะคะ” เภตราเลิกคิ้วหัวเราะ นายนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มาใช้คำว่า อนุญาต กับเธอ
“ฉันบอกว่า อนุญาตให้เธอกลับบ้านไปพักผ่อนได้เลย ไม่ต้องรอเวลาเลิกงาน” เสียงเข้มยังเน้นชัดขึ้นอีก
“นี่คุณคิดว่าคุณเป็นใครไม่ทราบ ถึงได้เที่ยวมาออกคำสั่งให้ฉันทำโน่นทำนี่ตามอย่างที่คุณต้องการน่ะ ขอโทษนะคะ พอดีว่าฉันยังไม่อยากตกงานตอนนี้ ปากท้องของฉันกับแม่สำคัญกว่าคำว่าหน้าตาและเวลาพักผ่อนอย่างมากมาย มากจนเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการออก”
“เธอจะไม่มีทางตกงาน ฉันรับประกัน” คนว่าย้ำอย่างมั่นใจ เภตราไหวไหล่ไม่เชื่อถือ แน่สิ ก็เขาเป็นใคร เจ้าของคลับรึก็ไม่ใช่ เขาแค่ใช้เงินทองออกมาตระเวนหาความสุขสำราญยามค่ำคืนตามประสานักเที่ยวเท่านั้น ยังจะมีหน้ามาบอกให้เธอหยุดงาน แถมออกปากรับประกันอย่างนั้นอย่างนี้แบบเต็มที่ นี่ไม่ใช่เชื่อยาก แต่มันเชื่อไม่ได้เลยต่างหากล่ะ
“รับประกัน คุณนี่นะจะรับประกันหน้าที่การงานของฉัน หึๆ นี่ถ้าตะกี้เป็นคุณที่โดนต่อย ฉันคงคิดว่าคุณน่ะเมาหมัดจนประสาทเสียไปแล้วแน่ๆ”
“ประสาทฉันไม่ได้เสีย และเธอก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปากท้องหรือความอิ่มอดอะไรทั้งนั้น” เขายังบอกเรื่อยๆ อย่างใจเย็น เป็นสาวน้อยนี่ล่ะที่ชักจะอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ หน้าตาท่าทางก็ดี แต่นายนี่ช่างพูดจาไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
“ฉันไม่มีเวลามาฟังคุณพูดจาไม่มีสาระนะคะ ได้ยินว่าคืนนี้คุณอติภพจะเข้ามาด้วย ใช่ไหมคะผู้จัดการ” คำถามนั้นสาวน้อยหันมาหาเพื่อให้ศรุดายืนยันอีกครั้ง แต่ดูเหมือนสีหน้าของผู้จัดการไนต์คลับอยากจะบอกอะไรกับเธอสักอย่างมากกว่าที่จะแค่พยักรับกับคำถามนั้น เภตราเองก็ไม่ทันได้สังเกต
“เจ้าของไนต์คลับนี้ หรือจะพูดให้ถูกอีกทีก็คือบอสของฉัน จะเข้ามาดูความเรียบร้อยของไนต์คลับในคืนนี้ ทางที่ดีฉันว่าคุณเลิกคิดที่จะอวดเบ่งหรือสวมรอยแบบไม่เนียนอย่างนี้เสียทีนะคะ จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง เพราะถึงแม้ว่าคุณจะมีความดีความชอบอยู่บ้างจากการที่เข้ามาช่วยจัดการเรื่องยุ่งๆ เมื่อครู่นี้ แต่มันก็คงจะไม่ดีแน่ ถ้าคุณอติภพรู้ว่าคุณพยายามจะวางอำนาจบาตรใหญ่ในที่ซึ่งเป็นอาณาจักรของเขา นี่ฉันเตือนคุณด้วยความหวังดีนะคะ”
“หนูผึ้ง” เสียงเรียกของศรุดาฟังดูแปร่งๆ
“พี่ว่าพอเถอะ เราน่ะไปเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็...กลับบ้านไปพักเถอะ”
“กลับบ้าน? นี่ผู้จัดการก็เป็นไปกับหมอนี่ด้วยหรือคะ ไม่ล่ะคะ ผึ้งยังอยากทำงานต่อ ที่สำคัญคือผึ้งก็อยากจะมีโอกาสได้พบกับคุณอติภพสักครั้ง นี่ทำงานในไนต์คลับของท่านมาก็นานแล้ว แต่ยังไม่เคยได้เจอตัวเจ้านายเลย มันยังไงอยู่นะคะผู้จัดการ”
“ถ้าพูดไม่ฟัง ผึ้งจะมาว่าพี่ทีหลังไม่ได้นะ” ศรุดาถอนใจเอือมๆ
“อะไรกันคะพี่ พูดแบบนี้ผึ้งงงไปหมดแล้วนะ”
“ผึ้งอยากพบคุณอติภพใช่ไหม”
“ค่ะ” เสียงตอบนั้นหนักแน่นเสมอต้นเสมอปลาย แถมสายตายังเหลือบแลมาคล้ายจะ ‘ข่ม’ คู่กรณีอยู่นิดๆ เสียอีกด้วย
“ถ้าพบ แล้วถึงจะยอมกลับบ้านใช่ไหม”
“ก็ตั้งใจว่าอย่างนั้นค่ะ”
สาวน้อยยืนยัน และเหมือนจังหวะในสถานการณ์ตรงนั้นช่างเป็นใจ เมื่อใครสักคนที่คงเป็นคนสนิทของ ‘คู่กรณี’ ขยับเข้ามาแล้วเอ่ยแทรกขึ้น
“รัฐมนตรีอำนาจจะขอพูดสายกับนายครับ” คนที่ได้ฟังมองตามแล้วอ้าปากค้างก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เภตราที่ยืนกอดอกเป็นเด็กดื้อหันขวับไปมองแล้วหายใจสะดุด ทำไมคนระดับรัฐมนตรีถึงต้องโทรศัพท์มาคุยกับนายคนนี้ด้วย แต่ยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องราวอะไรไปกว่านั้น
“บอกไปว่าฉันกำลังคุยเรื่องสำคัญ ไม่ว่างรับสาย” สำเนียงนั้นคล้ายจะตัดรำคาญมากกว่าจะเกรงใจ
“เอ่อ...รัฐมนตรีอำนาจบอกว่า กำลังจะเข้ามาพบนายที่นี่ในอีกครึ่งชั่วโมงนี้ด้วยครับ” แม้จะรู้ว่างานนี้อาจ ‘มีเรื่อง’ แต่คนพูดยังมีสีหน้านิ่งสงบ คงเพราะเขามั่นใจ ถ้านายอย่างอติภพยังอยู่ ต่อให้อีกกี่ผู้มีอิทธิพล เลิฟเว่อร์คลับก็พร้อมเสมอที่จะให้การ ‘ต้อนรับ’
“จะเข้ามางั้นหรือ” นาย หลุบตาลงนิดคล้ายใช้ความคิดครู่หนึ่ง
“หลังเสร็จจากการเปิดงานที่โรงแรมใกล้ๆ คงรีบมา จะเกี่ยวกับ...เรื่องของลูกชายเมื่อสักครู่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนะครับ”
“ถ้าอยากมาก็ให้เข้ามา” วาจานั้นหนักแน่นตามแบบฉบับของคนที่เด็ดขาดเสมอเมื่อต้องตัดสินใจหรือสั่งการ คนเป็นลูกน้องยืดตัวขึ้นพร้อมรับคำสั่งแล้วเดินเลี่ยงไป ศรุดาขยับเข้ามาแทนที่ เธอถามผู้เป็นเจ้านายด้วยความไม่แน่ใจบ้าง
“เอ่อ...นี่หมายความว่า ลูกค้าคนที่ก่อเรื่องเมื่อครู่นี้ เป็น...”
“ศาสตรา ลูกชายคนเล็กของรัฐมนตรีอำนาจ”
“บอสทราบอยู่แล้ว!” ท่าทางของผู้จัดการสาวออกจะตกใจ ไม่บ่อยนักหรอกที่เจ้านายของเธอจะจบปัญหาด้วยการใช้กำลังในไนต์คลับแห่งนี้ นี่มันเพราะสาวน้อยที่ชื่อเภตราหรือเปล่า ทำให้เจ้าพ่อหนุ่มใจร้อนขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนได้
“ก็เห็นตั้งแต่เดินเข้ามา”
“แล้วแบบนี้ จะมีปัญหาอะไรตามมาอีกไหมคะ” ศรุดากังวล ลูกคนใหญ่คนโตแถมยังนิสัยนักเลงอันธพาลแบบนั้น เรื่องมันจะจบง่ายๆ ล่ะหรือ นี่ก็คงแล่นไปฟ้องพ่อละมัง ถึงได้มีสายตรงมาถึงเจ้านายของเธอได้รวดเร็วขนาดนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอกศรุดา ให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป จะไม่มีใครมาก่อเรื่องอะไรในนี้ได้อีกทั้งนั้น ถ้าผมยังอยู่”
“เอ่อ...ค่ะบอส” ตลอดเวลาราวหนึ่งนาทีที่สองคนสนทนากันข้ามหัวเภตรา สาวน้อยก็ทำสีหน้าลำบาก
“บะ...บอส งั้นหรือคะ เมื่อกี้ผึ้งได้ยินผู้จัดการเรียกผู้ชายคนนี้ว่า...”
“ใช่...คุณอติภพไงน้องผึ้ง นี่คือคุณอติภพ ภูชิตบดินทร์ บอสของทุกคนในนี้ บอสที่น้องผึ้งพร่ำบอกนักหนาว่าอยากพบอยากเจอยังไงล่ะ น้องผึ้งได้ยินถูกแล้ว หูไม่ได้เพี้ยน พี่ยืนยัน” ผู้จัดการคนเก่งถือโอกาสบอกรวบรัดด้วยสีหน้าและท่าทีตำหนิเด็กหัวดื้ออย่างอดไม่ไหว ไม่สนแล้วว่าผู้เป็นนายจะยอมให้เฉลยปมนี้กับเภตราในเวลานี้ไหม แต่ที่หลายเรื่องมันวุ่นวายก็เพราะ ‘บอส’ ไม่ยอมบอกความจริงกับสาวน้อยคนนี้เสียทีด้วยล่ะ
“เอ่อ...นี่มัน เรื่องจริงหรือคะ...แล้วทำไม” ทั้งที่ในนี้ไม่ใช่ที่โล่งแจ้ง แต่ไหงเภตราถึงกำลังรู้สึกว่าถูกฟ้าผ่าลงมากลางแสกหน้าแบบนี้ล่ะ เด็กสาวหันมองรอบตัว เห็นพนักงานที่เลียบๆ เคียงๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมองมาอย่างเห็นใจแกมขอโทษขอโพยแล้ว สาวน้อยก็ไม่รู้ว่าจะโมโหพวกเขาหรือว่าจะโกรธกับอาการของคนมีตาแต่หาแววไม่ได้ของตัวเองดี
“ดิฉันขออนุญาตนะคะบอส ขอไปดูความเรียบร้อยทางด้านโน้นหน่อยค่ะ” ศรุดาหันไปทางผู้เป็นเจ้านาย พร้อมค้อมตัวเดินผ่านออกไป ทิ้งให้เภตรายืนนิ่งอยู่ข้างหลังราวกับคนต้องคาถานะจังงังอยู่เพียงคนเดียว สาวน้อยอยากเรียกให้ศรุดาอยู่ด้วยกันก่อนแต่ก็ไม่กล้าพอ นานๆ ทีจะได้เห็นผู้จัดการแสนใจดีมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจเธอเอามากๆ อย่างตอนนี้ เจ้าของความคิดกลืนน้ำลายลงคอ หน้านวลที่ลอยเด่นในความสลัวของแสงไฟซับสีระเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาการอายขายขี้หน้าในความไม่ประสาและไม่ดูหน้าดูหลังอย่างที่ศรุดาว่า ทำให้เลือดในกายฉีดขึ้นหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ ทำไมนะ ทำไมถึงไม่มีใครบอกเธอสักคนว่านายคนนี้คืออติภพ ภูชิตบดินทร์น่ะ!
“ส่วนเธอ...” อติภพยังไม่ทันจะได้พูดต่อ
“ค่ะ” เภตราฝืนเชิดหน้ากระแทกเสียง เธอพลาดแล้วก็จริง แต่จะไม่ยอมก้มหน้าให้ใครเยอะเย้ยง่ายๆ
“ค่ะ อะไร?” คนตัวสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างขมวดคิ้วถาม ในท่าทีนั้นมีแววขันเล็กๆ กับอาการหน้าแตกหมอไม่รับเย็บของคนตรงหน้าเจืออยู่ด้วย ทำไมอติภพจะไม่รู้ ตอนนี้สาวน้อยกำลังพยายามวางท่าปั้นปึ่งกลบเกลื่อนความโก๊ะโป๊ะแตกของตัวเองเอาไว้อย่างเต็มที่
“ก็...ค่ะ คือ...คุณไม่ต้องมาเปลืองน้ำลายไล่ฉันออกยังไงล่ะคะ ฉัน...เข้าใจทุกอย่าง และจะพิจารณาพาตัวเองออกไปจากที่นี่”
“งั้นเดี๋ยวสันต์จะไปส่งเธอที่บ้าน” คนฟังใจห่อเหี่ยว เพราะยิ่งฟัง ยิ่งตีความวาจานั้นเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ แหงสิ เขาก็ต้องไล่เธอออกจากงานอยู่แล้ว มีเจ้านายที่ไหนจะเก็บลูกน้องที่แสนจะจองหองแถมปากดีแบบนี้เอาไว้ให้ขุ่นเคืองลูกกะตาเล่า
“ขอบพระคุณในความกรุณาค่ะ แต่ดิฉันกลับเองได้”
“ดิฉัน”
“ใช่ค่ะ” รับพร้อมเชิดคางอย่างน่าหมั่นไส้เหลือเกินในสายตาอีกฝ่าย
“แก่แดด”
“เอ๊ะ!” เด็กสาวทำเสียงไม่พอใจ ตาคู่สวยตวัดขึ้นมองคนตัวสูงอย่างขุ่นอารมณ์ ดูเถอะ อติภพหลอกด่าเธอหน้าตาเฉย เขาเห็นเธอเป็นตัวตลกหรือยังไง ไหนจะเรื่องปิดบังสถานะของตัวเอง แล้วไหนจะคำพูดคำจาที่ไม่น่าสนทนาด้วยยาวๆ แบบนี้อีก
ลียา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2560, 13:53:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2560, 13:53:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 1131
<< บทที่ 3 ไม่อยากพบเจออีกต่อไป (100%) | บทที่ 5 แกล้ง (สนพ. Siriaksorn book ตีพิมพ์) >> |