The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S
ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ
ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...
ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...
...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...
สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?
- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery
ตอน: Episode 7 : || งานเลี้ยงล่ม ||
EPISODE 7
งานเลี้ยงล่ม
ปัง!
เสียงพลุดังขึ้นอีกท่ามกลางเสียงร้องเฮของชาวเมือง ภาพแห่งความสุขในเวลานี้จะถูกจดบันทึกลงบนหนังสือประวัติศาสตร์เป็นความทรงจำอันสวยงาม
แต่มุมหนึ่งของงานรื่นเริงกลับมีบรรยากาศน่าขยะแขยงจนคนรอบข้างรู้สึกได้ เพราะแรงอาฆาตจากจิตสังหารนั้นเพิ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลกระทบกับคนธรรมดา เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังลั่นมาจากหญิงสาวคนหนึ่งเมื่อหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องของคนอื่นๆ
พวกเขาเห็นโครงกระดูกในสภาพถูกยิงทะลุหน้าผากแต่กลับลุกขึ้นมายืนหัวเราะเสียงแหลมกรีดแทงเข้าไปในหู เรียกเสียงร้องลั่นจากผู้คนพร้อมกับอาการแตกตื่นวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทางจนเกิดเป็นความโกลาหล ยิ่งเสียงประกาศจากลำโพงบอกให้หนียิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิม
จากที่เคยมีผู้คนแออัดกันอยู่บนถนน กลายเป็นบริเวณว่างโล่งในเวลาไม่นาน มีทหารจำนวนหนึ่งยืนประจำตำแหน่งเตรียมพร้อมต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังคงลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าศัตรูมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ในเมื่อมีใครอีกคนยืนอยู่ใกล้ๆ เจ้าปีศาจนั่น
เด็กสาวในชุดคลุมสีน้ำตาลเปิดให้เห็นใบหน้าสวยน่ารักยืนมองร่างผอมแห้งตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนจะก้มมองปืนสีเงินสองกระบอกในมือทั้งสองข้างอย่างไม่เข้าใจ
เมื่อกี้เธอยิงมันแล้วนี่นา...
...แล้วทำไม?
มิเวลสังเกตเห็นว่ามีร้านขายอาวุธอยู่ข้างๆ ร้านขายของกินก่อนหน้านี้เข้าพอดี เด็กสาวจึงรีบวิ่งเข้าไปคว้าของใกล้มือมาทันควัน ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าในร้านมีคนอยู่หรือไม่ เธอเคยเห็นอาวุธประเภทเดียวกันกับทั้งสองชิ้นนี้มาก่อนในหนังสือ ไม่ก็ตามร้านขายอาวุธในเมือง มันคือปืน เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของคนธรรมดา เพราะคุณภาพดีเยี่ยมจึงทำให้ราคาของมันแพงลิ่วจนไม่ค่อยมีใครมีอาวุธชนิดนี้เอาไว้ในครอบครอง ส่วนเธอก็ใช้ดาบจึงไม่ค่อยสนใจมันสักเท่าไหร่ แต่ดาบใช้ต่อสู้ได้แค่ระยะกลางกับระยะประชิดตัวเท่านั้น และเธอก็มักจะเจอปัญหาเรื่องการต่อสู้ระยะไกลอยู่เรื่อยๆ
เหมือนอย่างครั้งนี้...
แต่นี่มันอะไรกัน ทำไมเจ้าโครงกระดูกนี่ถึงไม่เป็นอะไรเลย
ไม่รอให้คิดอะไรมากมาย ร่างผอมแห้งพุ่งตรงเข้าใส่เด็กสาวด้วยความเร็วสูง มือกระดูกทั้งสองบีบไหล่ของอีกฝ่ายแน่นพร้อมกับยิ้มแสยะหัวเราะเยาะอย่างสะใจ
“...ข้าไม่ตายด้วยปืนกระจอกนั่นหรอก ข้าบอกเจ้าแล้วนี่ว่าอย่าทำให้พวกมันแตกตื่น” เสียงแหบกระซิบเบาๆ มันเว้นระยะอยู่ครู่หนึ่งพลางหัวเราะเสียงแหลมก่อนจะพูดต่อว่า “...เป้าหมายข้ากำลังหนีแล้ว...ไม่ไหว ไม่ไหว...”
มิเวลรู้สึกขยะแขยงตรงบริเวณไหล่ทั้งสอง แต่เจ้าโครงกระดูกมันแรงเยอะจนเธอดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดเสียที เธอจึงได้แต่จ้องดวงตาโบ๋ทั้งสองข้างของมันกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ พร้อมกับยกปืนในมือทั้งสองกระบอกขึ้นกระหน่ำยิงใส่มันไม่หยุด
แก๊ก แก๊ก
...ลูกกระสุนหมด!
“...ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีน้า...” ร่างผอมแห้งไม่สะทกสะท้านใดๆ แม้ว่าทั่วร่างจะมีรูอยู่เต็มไปหมดเพราะโดนกระสุนปืนทะลวงก็ตาม
“ทิ้งไว้แถวนั้นแล้วหันมาให้ข้าฆ่าซะ”
เสียงเย็นชาเอ่ยบอกก่อนร่างกระดูกประหลาดจะถูกแรงอัดอากาศผ่ากลางด้วยความเร็วสูง เมื่อร่างถูกแบ่งครึ่งมือโครงกระดูกสองข้างจึงปล่อยเหยื่อหลุดหนีไป มิเวลหันไปค้อนขวับใส่เจ้าคนชอบใส่เกือก เด็กหนุ่มมีสีหน้านิ่งสนิท สายตาเย็นชามองโครงกระดูกตรงหน้าค่อยๆ ประสานร่างแยกเข้าหากัน
พอเห็นร่างผอมแห้งกลับมารวมกันได้ใหม่เด็กสาวก็ต้องล้มเลิกความคิดที่จะจัดการมันโดยไม่ยอมให้เอเวนเข้ามายุ่งทันที
“เมื่อกี้ข้าไม่ขอบคุณหรอกนะ”
“ไม่อยากได้อยู่แล้ว”
มิเวลยิ้มอย่างพอใจแล้วหันขวับไปยืนประจันหน้ากับเจ้าโครงกระดูกที่รวมร่างกลับเป็นเหมือนเดิมเรียบร้อย ในใจคิดอย่างหงุดหงิดว่าปืนสองกระบอกในมือช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี เด็กสาวเก็บอาวุธสองชิ้นลงในกระเป๋าคาดเอวแล้วใช้มือขวาชักดาบคู่กายออกมาแทน
โครงกระดูกมองสำรวจมนุษย์ทั้งสองอยู่พักใหญ่ แม้ว่ามันจะไม่มีดวงตาทั้งสองข้าง แต่มันสามารถรับความรู้สึกถึงพลังชีวิตและการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ รอบกายได้อย่างดีเยี่ยม
และมีพลังการได้ยินที่สูงกว่าคนปกติถึงสามร้อยเท่า
‘...สถานการณ์ตอนนี้ล่ะ’
‘มีรายงานเข้ามาว่ามีผู้ระบุค่าซีไม่ได้สองคนอยู่กับปีศาจนั่นขอรับ’
‘มันต้องเป็นพวกเดียวกันแน่! เตรียมเครื่องต้านพลังเวทให้พร้อม เปิดเครื่องเต็มพิกัด!’
‘ข้าน้อยรับบัญชา...แต่องค์ราชาขอรับ มีรายงานเข้ามาก่อนหน้านี้ว่าเครื่องตรวจสอบพลังเวทบริเวณหนึ่งใช้การไม่ได้’
‘เรียกผู้เชี่ยวชาญไปดู แล้วเรเน่ล่ะ’
‘เตรียมพร้อมแล้วขอรับ...ทางนี้...’
ร่างผอมแห้งแสยะยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ต้องการ มันกระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนเสาไฟฟ้าอีกครั้งก่อนจะออกแรงดีดตัวเองพุ่งฝ่าอากาศไปยังทิศที่มาของเสียงด้วยความเร็วสูง
เสียงหัวเราะพร่าอย่างสะใจดังก้องไปทั่วจนน่าขนลุก
มิเวลมองร่างของศัตรู ‘บิน’ หายไปด้วยความตกใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโครงกระดูกไร้ปีกจะสามารถบินบนฟ้าได้ ตอนนี้เธอไม่ต้องการปืนหรืออาวุธยิงระยะไกล แต่เธอต้องการปีกเสียมากกว่า
เด็กสาวรู้สึกร้อนใจพร้อมทั้งโกรธตัวเองที่ดันปล่อยตัวอันตรายให้หนีหายไป เมื่อกี้เจ้าโครงกระดูกนั่นก็พูดๆ อยู่ว่าจะจัดการเป้าหมาย แต่เป้าหมายของมันคือใครกันล่ะ แม้ว่าเธอค่อนข้างมั่นใจว่าคงเป็นกษัตริย์เพอราลหรือไม่ก็เจ้าหญิงเรเน่แน่นอน ถึงได้เลือกมาออกอาละวาดในตอนที่ทั้งเมืองกำลังเบนความสนใจไปยังงานเลี้ยงฉลอง แต่เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสองคนนั้นอยู่ที่ไหน เกิดเหตุวุ่นวายขนาดนี้คงไม่อยู่ในวังล่อให้ศัตรูมาจัดการหรอก
“ให้ตายสิ เจ้าบ้านั่นต้องไปหาองค์ราชากับเจ้าหญิงแน่ๆ” น้ำเสียงร้อนรนบ่นกับตัวเอง
“...เงียบก่อน”
“เจ้าทำอะไรน่ะ” มิเวลหันไปถามเอเวนซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับอะไรสักอย่าง
“จับความรู้สึกไอเวทของตัวกระดูกเมื่อกี้......เจอตัวแล้ว” พูดจบเด็กหนุ่มก็รีบร่ายเวทปรากฏบาเรียใสๆ ครอบตัวเองและมิเวลทันที ก่อนจะร่ายเวทบังคับให้ลอยไปบนอากาศ ตามไอเวทของเป้าหมายไป
มิเวลตั้งใจจะแย้งเรื่องการใช้มนตราของอีกฝ่าย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าทั้งเขาและเธอกำลังสวมกำไลทองอยู่เด็กสาวจึงเปลี่ยนใจ เวทบาเรียเป็นเวทแรกๆ ที่เธอโดนบังคับให้ฝึกแต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เธอยังจำคุณสมบัติเหมือนเวทหายตัวของมันได้ดี ผู้อยู่ด้านนอกจะไม่สามารถมองเห็นคนข้างในได้ เคยคิดอยู่ว่าจะใช้เวทนี้ไปหลอกคนอื่นๆ แต่ก็ต้องล้มเลิกไปอย่างน่าเสียดายเพราะเธอห่วยแตกเรื่องการใช้เวทมนตร์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“นี่พี่สาว ข้าล่ะสงสัยว่าทำไมถึงเรียกคนรักษาว่าอัลเคอร์ล่ะ” ใบหน้าหวานน่ารักเอียงคอน้อยๆ มองหญิงสาวในชุดขาวบริสุทธิ์คนหนึ่งซึ่งเข้ามาในห้องเพื่อนำอาหารว่างมาให้
เธอแทบอยากจะร้องกรี๊ดดังๆ ให้กับความน่ารักของเด็กหนุ่มตรงหน้า รวมทั้งอยากดึงร่างบอบบางเข้ามากอดแนบแน่นพร้อมกับสูดกลิ่นหอมจากเส้นผมสีเงินสว่างให้ชื่นใจ แต่น่าเศร้าตรงที่มีกระจกใสๆ ของแคปซูลขวางกั้นความรักระหว่างเธอกับเขานี่น่ะสิ หญิงสาวจึงได้แต่ยืนมองหนุ่มน้อยนั่งตักขนมหวานเข้าปาก เธอถึงกับอึ้งเมื่อเห็นเขาตักน้ำตาลใส่ลงในขนมหวานของตัวเองช้อนแล้วช้อนเล่า
“เป็นข้อกำหนดของทางรัฐบาลน่ะจ้ะ แล้วอยู่คนเดียวในนี้ไม่เบื่อเหรอ”
“เบื่อมันก็เบื่ออยู่นะ ตื่นมาทุกคนก็หายไปหมดเลย” เด็กหนุ่มหน้างอทำแก้มป่องด้วยความน้อยใจ ดูแล้วน่ารักยิ่งกว่าเดิม เรียกเสียงกรี๊ดในใจจากหญิงสาวผู้โหยหารักแท้ให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
หนุ่มหล่อมาดน้ำแข็งก่อนหน้าคนนั้นก็ดี หนุ่มน้อยหน้าหวานดูบอบบางคนนี้ก็ดี
เลือกไม่ถูกแล้ว~
หลังจากวี้ดว้ายอยู่กับตัวพักใหญ่ หญิงสาวก็กลับมาทำสีหน้าปกติพร้อมเป็นคู่สนทนาให้เด็กหนุ่มแสนน่ารักน่าหยิก
“คงอยู่แถวนี้แหละ เมื่อกี้มีประกาศบอกให้ทุกคนหลบอยู่แต่ในตึกเพราะมีตัวประหลาดอาละวาดอยู่ในเมือง” หนุ่มน้อยหน้าหวานกลับมาทำหน้าไร้เดียงสาอีกครั้งแล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความสนใจ
“ตัวประหลาดเหรอ แล้วในเมืองอยู่ไกลจากที่นี่ประมาณเท่าไหร่เหรอพี่สาว”
“ไม่มากหรอก แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ทหารที่นี่ฝีมือดีแถมยังมีเครื่องมืออุปกรณ์มากมาย พวกปีศาจต้องโดนจับตัวหมดแน่นอน” น้ำเสียงนุ่มนวลพูดอย่างมั่นใจ เธอคิดว่าหนุ่มน้อยตรงหน้าคงหวาดกลัวตัวประหลาด พอเห็นใบหน้าหวานกลับมายิ้มสดใสอีกครั้งเธอก็รู้สึกดีใจ แล้วยืนมองเขานั่งจัดการขนมหวานต่อไปอย่างอารมณ์ดี
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บาเรียเวทค่อยๆ เคลื่อนห่างจากตัวเมืองออกไปทุกที แล้วมิเวลก็มองเห็นด่านตรวจคนเข้าเมืองอยู่ไกลๆ เคลื่อนผ่านสายตาไป รวมทั้งทหารยามหน้าประตูเมืองซึ่งมีจำนวนมากขึ้นกว่าเมื่อตอนเช้าจนเห็นได้ชัด
นี่เจ้าโครงกระดูกนั่นบินมาเกือบสุดเขตเมืองถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ
มิเวลก้มมองกำไลทองบนข้อมือซ้ายด้วยความฉงนน้อยๆ เพราะความรู้สึกร้อนผ่าวผ่านผิวเนื้อจากเครื่องประดับชิ้นนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเริ่มตั้งแต่ตอนอยู่ในเมืองเมื่อครู่แล้ว
“กำไลของเจ้าน่ะ ข้ารู้สึกว่ามันร้อนๆ อยู่ตลอดเวลาเลย”
“เพราะเครื่องมือตรวจพลังเวทของที่นี่น่ะ” เอเวนตอบ แต่เขาไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะเครื่องต้านพลังเวทด้วยหรือเปล่า
ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องจากเบื้องล่างก็เรียกให้ทั้งสองก้มลงไปมอง เห็นผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังวิ่งหนีตายจากอะไรสักอย่าง พอมองไกลออกไป ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังใช้มีดในมือไล่ฟันคนอื่นๆ พร้อมหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง
ผู้หญิงคนนั้น...
หนึ่งในห้าคนที่อยู่หน้าร้านขายของกินในตอนนั้นนี่!
ไม่รอฟังเสียงร้องห้ามใดๆ ทั้งสิ้น มิเวลรีบกระโดดออกจากบาเรียเวทลงไปข้างล่างพร้อมกับร่ายเวทให้ตัวเองไปปรากฏตรงหน้าของหญิงเสียสติคนนั้น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ว่าเธอเป็นศัตรู ใบหน้าเหม่อลอยหันมาแสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันแหลมคมซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่ฟันของมนุษย์แน่นอน
ให้ตายสิ เจอตัวอะไรอีกล่ะเนี่ย
เสียงอะไรบางอย่างกระทบกับพื้นด้านหลังทำให้มิเวลรีบหันขวับไปมอง ร่างไร้สติของอีกสี่คนที่เธอเคยไปถามเรื่องงานเลี้ยงฉลองก่อนหน้านี้ค่อยๆ เขยิบก้าวเข้ามาใกล้
เด็กสาวหันกลับมามองหญิงสาวตรงหน้าเช่นเดิม มือจับดาบแน่นมองศัตรูด้วยสายตาเย็นชา ก่อนร่างเล็กจะพุ่งเข้าไปพร้อมกับตวัดดาบในมือหมายปลิดชีวิตของคนตรงหน้าโดยไม่ลังเล ร่างของหญิงสาวเคลื่อนหลบได้อย่างว่องไวแล้วกระโดดลอยตัวขึ้นสูง สายตาเยาะเย้ยมองบุคคลเบื้องล่าง ใช้พลังให้ปรากฏคลื่นลูกใหญ่บนพื้นดิน
มิเวลรีบร่ายเวทสร้างหมอกควันปกคลุมรอบๆ ปลายดาบก่อนจะมีไฟลุกโชนขึ้นทั่วทั้งดาบยาว สองมือเงื้อดาบขึ้นสูงแล้วเหวี่ยงมันกระแทกพื้นสุดแรง เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมด้วยเพลิงลูกยักษ์โหมกระหน่ำไปตามรอยแยกของพื้นดิน พุ่งทะลวงคลื่นน้ำเป็นทางตรงผ่านไปยังศัตรูที่อยู่ด้านหลัง
สายตาอาฆาตจ้องมิเวลอย่างเกลียดชังก่อนทั้งร่างจะแหลกสลายจากการรับไฟลูกยักษ์เข้าไปเต็มๆ แต่มิเวลก็ไม่ได้มีเวลาพักหายใจเมื่อถูกหนึ่งในสี่คนที่เหลือกระโจนเข้าใส่พร้อมด้วยกรงเล็บแหลมคม เด็กสาวใช้ดาบป้องกันเอาไว้ได้ทัน แต่แล้วอีกสามคนก็พุ่งเข้าหาเธอพร้อมๆ กัน มิเวลจำต้องสะบัดดาบให้หลุดจากการเกาะกุมแล้วรีบกระโดดหนีไปอีกทาง ศัตรูคนหนึ่งใช้พลังทำให้ปรากฏวงแหวนสายฟ้าที่พื้นดิน ก่อนจะปล่อยกระแสไฟฟ้าไปทั่วทุกทิศทุกทาง มิเวลใช้ดาบต้านกระแสไฟฟ้าทั้งหมดเอาไว้แล้วเหวี่ยงมันกลับใส่เจ้าของเวท พร้อมกับรีบพุ่งตัวเข้าไปหามนุษย์กรงเล็บ ดาบในมือร่ายลวดลายเป็นฝ่ายบุกอย่างชำนาญ
เจ้ากรงเล็บนี่...ก็แค่งั้นๆ
มือขวาตวัดดาบฉัวะเดียวผ่าร่างของศัตรูในแนวตั้งออกเป็นสองส่วน เด็กสาวรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นร่างตรงหน้ามีเลือดเป็นสีดำสนิท แต่เธอก็ต้องทิ้งข้อสงสัยให้ค้างเอาไว้อย่างนั้นเมื่อถูกอีกสามคนโจมตีใส่
ดาบแห่งไฟแผลงฤทธิ์ร้ายกาจอีกครั้งหลังจากมิเวลร่ายเวทเรียกลาวาออกมาจากดาบพร้อมด้วยลูกไฟนับร้อยกลางอากาศ เกิดแรงลมกระแทกลูกไฟให้พุ่งเข้าใส่ศัตรูทั้งสามคน ลาวามหาศาลไหลกองรวมกันอยู่บนพื้นดินราวกับทะเลเดือดทำให้ไม่มีที่ยืน ครั้นจะลอยตัวอยู่บนฟ้าก็ถูกสกัดโดยลูกไฟจำนวนมาก มิเวลขยับเข้าไปประชิดตัวของแต่ละคน แล้วใช้ดาบห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงทะลวงร่างของทั้งสามอย่างรวดเร็ว
ฉัวะ!
อะไรกัน!?
เด็กสาวรีบกระโดดหนี หันขวับไปเผชิญหน้ากับศัตรูด้านหลัง มือขวากุมบาดแผลบนต้นแขนซ้ายยืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตางุนงง ร่างของหญิงสาวที่เธอจัดการไปก่อนหน้านี้ตรงหน้ายังคงเป็นปกติเหมือนเดิมทุกประการ
ใบหน้าเหม่อลอยแสยะยิ้มเยาะเย้ยด้วยความสะใจ สายตารังเกียจเหลือบมองเลือดสีแดงจำนวนหนึ่งบนมือซ้ายที่เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นใบมีดแหลมคม ก่อนจะตวัดสายตากลับไปยังร่างเล็กของเด็กสาวเช่นเดิมโดยไม่สนใจควันจากการเผาไหม้บนมือใบมีดของตนเอง
ร่างแหลกสลายของอีกสี่คนค่อยๆ กลับมามีสภาพเดิมด้วยเช่นกัน รอยยิ้มน่าขยะแขยงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งสี่คนพลางมองศัตรูผู้โดดเดี่ยวด้วยสายตาเย้ยหยัน
มิเวลยังคงยิ้มสู้ แม้จะเริ่มท้อถอยเพราะเธอไม่รู้ว่าทำไมเจ้าพวกนี้ถึงกลับมามีชีวิตได้อีก
ดาบในมือเตรียมพร้อมอีกครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากมิเวลกระโดดหายออกไปจากบาเรียของเขาแล้ว เอเวนก็รีบบังคับพาตัวเองตามคนเลือดร้อนไปทันที เขาไม่รู้ว่าเพราะความเป็นห่วงหรือเพราะกลัวว่ามิเวลจะไปอาละวาดจนหาเรื่องใส่ตัวกันแน่
ร่างเล็กปรากฏให้เห็นห่างออกไปไกลพอสมควร แต่ยังพอมองออกว่ามิเวลถูกคนยืนล้อมรอบอยู่ประมาณสี่ถึงห้าคน เขาไม่แน่ว่าเป็นศัตรูหรือเปล่า ในตอนนั้นเอง พอเอเวนสลายเวทบาเรียแล้วตั้งใจจะวิ่งเข้าไปสมทบกับเด็กสาว ความรู้สึกเย็นวูบทั่วทั้งหลังก็ทำให้เขาหยุดยืนนิ่ง เด็กหนุ่มเหล่สายตามองคมดาบยาวเล่มหนึ่งซึ่งกำลังจ่ออยู่ที่ต้นแขนขวาของเขา
“...พวกปีศาจ” เสียงต่ำเอ่ยเล็ดรอดไรฟันด้วยความรังเกียจ
เด็กหนุ่มหันไปมองเจ้าของดาบโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนสีหน้าทั้งสิ้น
ชายชราอายุราวหกสิบในชุดเครื่องประดับสีทองกำลังกำดาบจ่อตรงมาที่เขา ห่างออกไปเป็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีครีมกำลังถือปืนกระบอกหนึ่งเล็งตรงมา เอเวนเหลือบมองแหวนเพชรสีทองสลักเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวบนนิ้วชี้ของเจ้าของดาบ รูปสลักพระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์แห่งยูรา เพราะฉะนั้นชายชราผู้นี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์
กษัตริย์เพอราลแห่งยูรา...และเจ้าหญิเรเน่
ทั้งสองกำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเกลียดชัง
“เหตุใดแกถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งๆ ที่ข้าเดินเครื่องต้านพวกปีศาจเต็มกำลัง แล้วยังเครื่องมือตรวจสอบพลังปีศาจของพวกแกอีก มีบางส่วนใช้งานไม่ได้ก็จริง แต่ข้ามั่นใจว่าเครื่องมือของข้าแถวนี้ใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมแน่ แต่ทำไมมันถึงไม่มีผลกับแก” ดาบในมือกดลึกเข้าไปบนผ้าคลุมตรงบริเวณต้นแขนของอีกฝ่ายลึกขึ้นอีก แต่คนตรงหน้าก็ยังคงมีสีหน้านิ่งสนิท กษัตริย์เพอราลจึงกัดฟันกรอดด้วยด้วยความฉุนเฉียว กดดาบให้ลึกมากกว่าเดิมจนทำให้ผ้าสีดำเริ่มชุ่มไปด้วยเลือด
“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องตอบเจ้า” เสียงเย็นชาบอก ก่อนร่างสูงจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหายไปจากสายตาของสองพ่อลูก
เวทตาข่ายสายฟ้าปรากฏขึ้นครอบสองเชื้อพระวงศ์พร้อมกับเสียงเปรี๊ยะดังลั่นไม่หยุด เอเวนไม่สนเสียงร้องจากสองคนนั่น แล้วดีดนิ้วดังเป๊าะ พื้นรอบๆ ตาข่ายเวทยวบลงทันควันแล้วระเบิดออกเป็นวงกว้าง
เรเน่กรีดร้องเสียงดังหลังจากลืมตามองรอบกายว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างสูงเข้ามาประชิดตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สายตาเย็นชาเหลือบมองก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า
“พวกเจ้าไม่ใช่เป้าหมายข้า ถือว่าโชคดีไปก็แล้วกัน ...แต่ในอนาคตมันก็ไม่เสมอไป เมื่อถึงตอนนั้นข้าฆ่าทิ้งแน่”
เจ้าหญิงแห่งยูราค่อยๆ ทรุดนั่งลงกับพื้นด้วยความกลัวสุดขีด ตั้งแต่เกิดมาเธอก็อยู่แต่ในวังมาโดยตลอด เคยร่ำเรียนเกี่ยวกับพวกปีศาจมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน เธอถูกสอนให้เกลียด ให้ดูถูกเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างพวกมัน จริงๆ เธอรู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำเมื่อได้ยินเสียงประกาศบอกว่ามีปีศาจอาละวาด เพราะในที่สุดเธอก็จะได้เห็นสิ่งมีชีวิตน่าอันแสนรังเกียจตัวเป็นๆ เสียที
แต่...
พลังปีศาจของมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
กษัตริย์เพอราลถือดาบประจันหน้ากับปีศาจอีกครั้ง สะดุ้งน้อยๆ เมื่อสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้น แต่จ้าวผู้ครองแคว้นก็ไม่ยอมหลบสายตาก่อน แม้การกระทำจะขัดแย้งกับความรู้สึกก็ตามที
เขานึกเป็นห่วงลูกสาวหลังจากเห็นเรเน่ดูหวาดกลัวเจ้าปีศาจเหลือเกิน รู้สึกดีขึ้นพอตาข่ายแปลกประหลาดมีไฟฟ้าวิ่งไปวิ่งมาหายไป แม้จะเคยเห็นพวกปีศาจมาก่อน ทั้งเข้าต่อสู้ สั่งกำจัดทิ้ง หรือแม้แต่ทำลายซากของพวกมันหลังจากโดนฆ่าทิ้งเขาก็ผ่านมาหมดแล้ว แต่กลับไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อนทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกเท่านั้น น้อยกว่าเรเน่ร่วมหกเจ็ดปี
เพราะอะไรกัน...?
ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารแรงกล้าแผ่ออกมาจากคนตรงหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กอายุแค่นี้จะมีจิตสังหารรุนแรงขนาดทำให้กษัตริย์อย่างเขาต้องหวาดหวั่น
เจ้าปีศาจนี่เป็นใครกันแน่!?
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนีสองนาที” เสียงเย็นชากล่าวขึ้นอีกครั้ง แล้วเพยิดหน้าไปทางด้านหลังของอีกฝ่าย เพอราลหันมองตาม แล้วสายตาตกตะลึงก็ต้องมองค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนจะพยายามเรียกสติตนเองให้กลับคืนมา จากนั้นจึงค่อยๆ หันขวับกลับมายังปีศาจเด็กหนุ่มตรงหน้า
ใบหน้าเย็นชาปรากฏรอยยิ้มเย็นขึ้นที่มุมปากนิดๆ
“พวกเจ้าไม่ใช่เป้าหมายข้าก็จริง แต่สำหรับเจ้าโครงกระดูกนั่นมันก็ไม่แน่ ข้าขอเล่นกับมันสักสองนาที ในระหว่างนั้น ...หนีตายให้สนุกล่ะ”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
||-- Talk to the characters ZONE --||
ณ ห้องประชุมโรงแรมไม่ออกนาม
โฮปนั่งอยู่กับแขกรับเชิญพิเศษของเรา ทาด๊า หนุ่มน้อยเลือดเย็...เอ้ย หนุ่มน้อยหน้าตาย เอเวน นั่นเอง ขอเสียงปรบมือต้อนรับเอเวนฮับบบบ
แปะๆๆ
เอเวน: ....
โฮป: กล่าวทักทายท่านผู้ชมหน่อยสิฮับ
เอเวนกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาที่โฮปดังเดิม
เอเวน: ...
โฮป: เอ่อ... โอเค เมื่อกี้คือทักทายแล้วสินะ งั้นมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า คุณอายุเท่าไหร่ฮับ
ไม่มีเสียงตอบจากคนถูกถาม
โฮป: เอ่อ... (เหงื่อแตก) งั้น...ทำไมคุณถึงตัดสินใจร่วมเดินทางไปพวกมิเวลล่ะฮับ ทั้งที่ฝีมืออย่างคุณ ฉกแผนที่ไปเลยก็ได้นี่นา
เงียบ
โฮป: (เหงื่อแตกหนักกว่าเดิม) เอ่อ... (กลอกตาอย่างร้อนรน) งั้นเปลี่ยนคำถามก็ได้ คุณอุตส่าห์ใช้พลังช่วยชีวิตวอลซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา ทั้งที่คุณดูเกลี๊ยดเกลียดพวกเราซะขนาดนั้น เรียกได้ว่าความจริงแล้วคุณเป็นคนมีเมตตาหรือเปล่าฮับ
นัยน์ตาสีอำพันวาวโรจน์อย่างน่ากลัว
เอเวน: อยากจะลิ้มรสความมีเมตตาของข้าด้วยตัวเองมั้ยล่ะ
โฮป: (อึก) เอ่อ...ไม่ดีกว่าฮับ ข้า เอ้ย โฮปเกรงใจ งั้น งั้น งั้น... คำถามสุดท้าย... คุณอยากใช้แผนที่ต้องคำสาปเพื่อไปที่ไหนเหรอฮับ
เสียงแกร๊กดังเบาๆ ทันใดนั้นเองโฮปก็เหลือบไปเห็นว่ามือขวาของคนตรงหน้ากำลังจับดาบเงินที่เหน็บอยู่ข้างเอว
เฮือก!
โฮปลุกพรวดจากเก้าอี้โดยพลัน
โฮป: (หันไปยิ้มกว้างให้กับเหล่าผู้ชม) หมดเวลาแล้วฮับ! โฮปกับเอเวนคงต้องขอตัวลาไปก่อน ขอขอบคุณแขกรับเชิญของเราในวันนี้มากฮับบบ!!
แปะๆๆ
โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.พ. 2560, 10:38:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.พ. 2560, 10:38:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 754
<< Episode 6 : || เฟรเนร่า || | Episode 8 : || ตุ๊กตาปีศาจ || >> |