สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"

หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย

ตอน: บทที่ ๗

“ขอโทษนะที่ต้องเรียกประชุมกลางดึก” หัวหน้าอนุสรณ์ยืนอยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดกลางห้องประชุมที่ถูกจัดโต๊ะเป็นรูปตัวยูซึ่งไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก เพียงพอต่อการรับรองแค่ ๑๒ คน หรือหากมีการประชุมกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ลาดตระเวนก็จะใช้การขยับโต๊ะให้ชิดกับผนังแล้วนั่งพื้นแทน

โดยในตอนนี้มีผู้เกี่ยวข้องกับการประชุมเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และหนึ่งในนั้นคือสินธุ์นที รวมถึงการันต์เองก็ด้วย

“เมื่อตอนเย็นได้รับแจ้งข่าวมาโดยตรง บอกว่ามีความเคลื่อนไหวในกลุ่มพราน กำลังลงขันกันเป็นค่าหัวผม... ผู้ช่วยน้ำ และผู้ช่วยกานต์ ยังไงก็... ให้ระวังตัวกันไว้หน่อย”

การันต์หน้าตื่นใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ขณะที่รุ่นพี่ชั่วโมงบินสูงกว่าอย่างสินธุ์นทีกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการตื่นตระหนกใดๆ คล้ายกับรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้จากการที่เมื่อวานเขาเพิ่งไปทิ้งระเบิดไว้ลูกใหญ่ที่บ้านกำนันประสงค์

“หรือถ้าหากใครอยากย้าย ผมก็ยินดีทำเรื่องให้ เอาความสบายใจตัวเองไว้ก่อนดีกว่า ไอ้กานต์ไอ้ป๊อบด้วยอย่าห้าวให้มันมาก” หัวหน้าเขตฯ ส่ายหน้า ถอนหายใจ “โดยเฉพาะไอ้น้ำ ไอ้มือปืนผีผลัก ยิงแม่นชิบหาย”

ดั่งต้องคำสาป แม้ไม่ได้ตั้งใจลั่นไก แต่ก็แม่นราวจับวาง จนเป็นที่มาของฉายา ‘ปืนโหด’

“ผมมีเรื่องจะแจ้งเท่านี้ อยากให้ระมัดระวังตัวกันเอาไว้ แต่ก็ไม่ต้องตื่นตกใจไป ทำงานให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทนะทุกคน ไปนอนกันได้แล้ว ผู้หญิงอย่าไปไหนมาไหนตามลำพัง เข้าใจไหม ช่วงนี้ก็พยายามหาเพื่อนไปด้วยนะ... เข้าใจหรือเปล่าไอ้ป๊อบ”

“ค่า...” ยานคางรับคำ หน้าตาบอกบุญไม่รับเมื่อถูกหัวหน้าเพ่งเล็งเป็นอันดับต้นๆ ในฐานะผู้ช่วยฯ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความดื้อตาใสมากที่สุดในบรรดาผู้ช่วยฯ ทั้งหมด

“ไป ไปนอนกันได้แล้ว แต่เดี๋ยวน้ำรออยู่ก่อนนะ ผมมีเรื่องจะแจ้ง” เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เริ่มแยกย้ายออกไปทีละคน จนห้องประชุมเหลือเพียงผู้ช่วยหน้าเข้มกับ หัวหน้าฯ

อนุสรณ์ถอนหายใจ นั่งลงใกล้ๆ ลูกน้องที่เป็นรุ่นน้องมากกว่าจะเป็นลูกน้อง “ตอนนี้เรื่องคดีคุณ ทางตำรวจเขากำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ ทางญาติผู้เสียหายเขาก็... นั่นแหละ ยืนยันจะเอาคุณเข้าคุกให้ได้ แต่ตอนนี้คุณยังทำงานได้ปกติจนกว่าจะสรุปได้ว่าทางตำรวจจะส่งสำนวนฟ้องอัยการไหม ... ถ้ายังไง ผมจะย้ายคุณไปที่อื่นก่อน”

“ผมยินดีจะต่อสู้คดีในศาลครับ เพราะผมยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด”

“ได้ๆ” หัวหน้าฯ ตบบ่าผู้ใต้บังคับบัญชาเบาๆ ทั้งเป็นการปรามและปลอบในที “ตามพฤติการเอ็งมันก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ แต่คงต้องรอรายงานผลการพิสูจน์หลักฐานและไปให้การในศาลอีกที”

“ครับ” ชายหนุ่มขบกราม ในใจเต้นแรงทั้งความโกรธและความกลัว... กลัวที่เขาคร่าชีวิตคนหนึ่งคนไป แม้จะทำเพราะหน้าที่ก็ตาม อย่างที่อนุสรณ์บอก ชีวิตเขาเหมือนต้องคำสาป แค่เหนี่ยวไกแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ตายก็เจ็บหนัก เรียกว่ามือปืนผีผลักโดยแท้

เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเพชฆาตพิพากษาชีวิตใคร... เขาแค่อยากดูแลป่าไม้ เขาอยากเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ธรรมดาๆ เท่านั้นเอง...

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถ้าไม่นับรวมความเงียบจนน่ากลัว... ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ตั้งอยู่ใจกลางผืนป่าเขียวห้อมล้อมด้วยต้นไม้สูงเสียดฟ้าแห่งนี้ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เหมาะแก่การพักผ่อนไม่น้อย หล่อนชอบออกไปยืนดูดาวตอนกลางคืน หน้าบ้านพักที่ไม่มีแม้แต่แสงตะเกียง ความรู้สึกคล้ายถูกท้องฟ้ามืดดำรวมถึงบรรยากาศโดยรอบโอบกอดหล่อนเอาผสมกับไอเย็นจนค่อนไปทางหนาว ฝนหยุดตกมาสองสามวันแล้ว ดารยาที่เป็นผู้ใจดียอมให้หล่อนไปพักในบ้านด้วยบอกว่าทางข้างในน่าจะดีขึ้นแล้ว พรุ่งนี้ถ้าฝนไม่ตกน่าจะออกเดินทางไปยังหมู่บ้านลังกาได้

แสงจากไฟฉายทำให้อารมณ์คล้อยตามเพลงรักหวานใสหยุดชะงักลง หญิงสาวหรี่ตามองพบเป็นชายหนุ่มสามนายเดินมาพร้อมๆ กัน น่าจะเป็นหนุ่มข้างบ้าน (สินธุ์นทีและการันต์) กับหนุ่มใหญ่บ้านไกล (หัวหน้าอนุสรณ์) ส่วนรูมเมทของหล่อนเพิ่งออกไปประชุมเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้นี่เอง

“อ้าว เพลินมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ” เสียงอนุสรณ์ดังขึ้นเป็นคนแรก ขณะที่หญิงสาวถอดหูฟังเพลงออกก่อนจะตอบ “ยังไม่ง่วงน่ะค่ะ แล้วทำไมพี่ๆ ยังไม่นอนกันคะ”

“ประชุมเพิ่งเสร็จ ไม่เชิงประชุมหรอก มีเรื่องคุยกันนิดหน่อย ยังไงผมขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องเข้าไปราชการในเมือง”

หัวหน้าเดินหายไปในความมืดขึ้นบ้านบนเนินหลังในสุดในบรรดาบ้านพักฝ่ายพนักงาน ข้าราชการป่าไม้ เหลือเพียงสองหนุ่มซึ่งการันต์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน

“พี่น้ำรอตรงนี้ก่อนก็ได้ คุยกับคุณเพลินไปก่อน ขอผมใช้ห้องน้ำก่อนนะ ปวดท้องอ่ะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ รุ่นน้องก็วิ่งฉิวพาแสงไฟฉายหายไปในบ้านหลังข้างๆ บ้านพักของหล่อน ซึ่งส่องแสงจากหลอดไฟนีออนภายในตัวบ้านในเวทีต่อมา

เกิดความเงียบปกคลุมสองหนุ่มสาวอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายสินธุ์นทีเป็นฝ่ายทลายความเงียบลงก่อนด้วยการ หยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบ

“ผมจะสูบบุหรี่นะ ถ้าคุณรังเกียจก็เขยิบไปไกลๆ”

มันดูเป็นประโยคบอกเล่าแกมคำสั่งมากกว่าประโยคขออนุญาต

“ไปยืนใต้ลมสิ”

“ไหนลม?” คืนนี้ทั้งเงียบ... และสงบเหลือเกิน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงใบไม้ไหว หล่อนได้แต่มองค้อน เขยิบออกไปอีกสองก้าว แต่กระนั้น เมื่อแสงสีแดงส้มจากปลายมวนบุหรี่ถูกจุดขึ้น หล่อนก็ยังได้กลิ่นอยู่ดี มันไม่ฉุนมาก ไม่เหมือนกลิ่นยาเส้น แต่คนไม่สูบบุหรี่ อย่างไรก็ไม่มีทางชอบ

“เราจะออกเดินทางกันได้หรือยังคะ ฉันกลัวว่าจะไม่ทันเวลา”

“ผมขอจัดการธุระอีกสองวัน แล้วผมจะพาไป ผมสัญญา” พลอยชีวันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “ยุงไม่กัดเหรอนั่น แล้วใส่ขาสั้นแบบนี้ ไม่หนาวเหรอถามจริงๆ”

“ก็เย็นๆ อ่ะค่ะ แต่ฉันใส่เสื้อแขนยาวนะ ผู้ช่วยฯ ป๊อบให้ยืม” ชายหนุ่มส่ายหน้า อมยิ้มในความมืด อัดควันบุหรี่เข้าปอดแล้วก้าวพรวดก้าวเดียวก็อยู่ในระยะประชิดกับเจ้าหล่อน ทำเอาอีกฝ่ายร้องเสียงหลง “ทำอะไรน่ะคุณ”

เขาไม่ตอบ ย่อตัวลง แล้วพ่นควันบุหรี่ใส่ท่อนขาช่วงล่าง น่าแปลกที่แม้เป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบาจนแทนไม่รู้สึกแต่กลับทำให้หล่อนขนลุกเกรียว

“จะไล่ยุงให้... ขาสวยๆ จะลายเพราะรอยยุงเอา ไม่รู้เหรอยุงที่นี่ดุยิ่งกว่าเสือ”

“ขอบคุณค่ะ...”

“อืม” ตอบรับ แต่ยังไม่ยอมขยับออกห่าง คราวนี้เขาเงยหน้าส่งควันบุหรี่ขึ้นฟ้า ใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้อยู่ใกล้หล่อนคีบบุหรี่เอาไว้เพื่อควันจะได้ไม่ลอยไปหาพลอยชีวัน

“แล้วการที่คุณต้องเดินทางเข้าไปนี่ มีจุดมุ่งหมายอะไรเหรอ”

“ฉันต้องกลับไปแก้ไขในสิ่งที่คุณทวดหญิงทำเอาไว้ให้ถูกต้องค่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวฉันเอง แต่คนในหมู่บ้านนั่นต่างหากที่กำลังรอความหวังจากฉันอยู่”

“คุณรู้ใช่ไหมว่าในป่ามันมีอันตราย ไม่ใช่แค่จากสัตว์ แต่คน... พรานล่าสัตว์ที่น่ากลัวกว่า” แล้ววันนี้เขาก็เพิ่งได้ทราบข่าวว่าตนเองกลายเป็นคนมีค่าหัว จากการพูดคุยนอกรอบกับหัวหน้าเมื่อครู่ “ผมคงเฝ้าตามดูแลคุณตลอดเวลาไม่ได้ คุณต้องมีสติ ดูแลตัวเองดีๆ แล้วที่เหลือผมจะจัดการเอง”

“ค่ะ...”

“ไปนอนได้แล้ว” ก้นบุหรี่ถูกทิ้งลงพื้นแล้วใช้พื้นรองเท้าขยี้จนไฟดับ “เดี๋ยวผมเดินไปส่ง”

“บ้านอยู่ข้างหลังนี่เอง”

“มองไม่เห็นทางเดี๋ยวก็สะดุดบันไดขึ้นบ้าน เชื่อผม”สาดไฟจากกระบอกไฟฉายส่องทางไปพลางเดินตามหลังหล่อนไปพลาง กระทั่งหญิงสาวขึ้นไปยืนระเบียงหน้าบ้าน เขาก็ยืนแหงนคอตั้งบ่ามอง “ล็อคบ้านดีๆ ล่ะ มีอะไรก็ร้องดังๆ ผมจะวิ่งมาช่วย”

“เอ๊ะ คุณนี่!”

สินธุ์นทีหัวเราะร่วน เดินหันหลังให้หล่อนโดยไม่กล่าวอะไรอีก

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

กลับเข้ามาในบ้าน เขาก็เห็นการันต์นั่งอยู่หน้าจอทีวี มีพัดลมเปิดจ่ออยู่ใกล้ๆ สำหรับเป่าผมให้แห้ง ชายหนุ่มถอดเสื้อไปพลางเดินไปปิดพัดลมโดยใช้นิ้วเท้าอย่างไม่กลัวเสียมารยาท ทำเอาคนที่กำลังนั่งดูข่าวยามดึกเพลินๆ ถึงกับชะงักกึกแหงนมองรุ่นพี่อย่างมีคำถาม

“เปลืองไฟ” สินธุ์นทีตอบในทันที “ผมมึงสะบัดสองทีก็แห้งแล้ว”

“โหพี่”

“อากาศก็เย็นออกขนาดนี้ยังเปิดพัดลมอีก”

“มันร้อนใจจนทำให้ร้อนกายตามไปด้วยน่ะสิ” การันต์บ่นงึมงำ “เป็นข้าราชการป่าไม้อยู่ดีๆ เสือกมีค่าหัวให้พรานตามล่า อ้อนตีนนักเลงเสียอย่างนั้น”

“มึงคนเดียวที่ไหน กู... หัวหน้า คนอื่นก็โดน ไปขวางทางนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล มันก็โดนหมดนั่นแหละ แต่ข้าเชื่อนะ ว่าเราทำดี ความดีต้องคุ้มครองเรา”

“เปลี่ยนความดีคุ้มครองเป็นเสื้อกันกระสุนตอนออกลาดตระเวน กับปืน M-16 สักกระบอกได้ไหมพี่”

“ไม่ใช่ตีนนักเลงหรอกที่มึงจะโดน เจอตีนกูก่อนนี่แหละ”

“แฮ่...” การันต์หัวราะแห้งๆ

“ช่วงนี้จะทำอะไรก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน”

“พี่ก็ด้วยนะ มะรืนผมเข้าป่า กลับออกมาพี่คงพาคุณเพลินเข้าป่าไปแล้ว”

“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ก็ฝากดูน้องคนอื่นด้วย”

“ครับ” การันต์เงียบไปครู่เดียวก่อนจะกล่าวต่อ “พี่น้ำ... ดูแลตัวเองดีๆ นะพี่”

น้ำเสียงที่ใช้แสดงออกถึงความห่วงใยแกมเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด สินธุ์นธีรับรู้ได้ แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ใช่คนช่างพูดนักสิ่งที่เขาทำคือการพยักหน้ารับเงียบๆ และเดินไปตบไหล่รุ่นน้องหนักๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องพักส่วนตัวของตนเองไป

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

โดยปกติ พลอยชีวันจะเห็นหนุ่มๆ รวมถึงสาวแกร่งเพียงหนึ่งเดียวอย่างดารยาสวมชุดลายพรางหรือลายพรางครึ่งท่อนอยู่เสมอ แต่วันนี้ทุกคนดูแปลกตาไป โดยเฉพาะสาวห้าวที่ต้องมาสวมกระโปรงดูเคอะเขินเก้กังอย่างเห็นได้ชัด

“ป๊อบ! เขียนคิ้วด้วยเหรอวะ!”

“เอ็งอย่าไปล้อน้องมันสิกานต์” สินธุ์นทีปรามเสียงเข้ม “ว่าแต่นั่นคิ้วหรือปลิง”

“พี่น้ำ!!!” เจ้าหล่อนตวาดแว้ด

“ล้อเล่น...”

แทนที่จะหายโกรธ ดารยากลับหน้างอหนักขึ้นไปอีก “รีบขึ้นรถมาเร็วๆ จะได้ออกเดินทาง เดี๋ยวไปถวายพระพรไม่ทัน”

เนื่องจากในวันนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ทางหน่วยงานราชการจึงได้จัดพิธีถวายพระพรฯ ขึ้น ณ ที่ว่าการอำเภอ หัวหน้าเขตฯ รวมถึงผู้ช่วยฯ จึงต้องออกเดินทางเข้าไปในอำเภอเพื่อร่วมกิจกรรมนี้ ส่งผลให้รูมเมทอย่างพลอยชีวันต้องพลอยตื่นเช้าไปด้วย

“ผมจะไปในเมือง จะฝากซื้ออะไรไหม” สินธุ์นทีหันมาถามพลอยชีวันที่ยืนคอยส่งอยู่ใกล้ๆ “ไปในตัวอำเภอเมืองเลยเหรอคะ”

“ไม่ๆ แค่อำเภอเรานี่แหละ สักบ่ายโมงน่าจะกลับมาถึง”

“ไม่ฝากอะค่ะ ไม่รู้จะฝากอะไร”

“ถ้าอย่างนั้นผมไปนะ ถ้าไม่มีอะไรทำ ไปนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตที่สำนักงานที่โต๊ะผมก็ได้”

“ค่ะ” ตอบรับก่อนจะถอยมายืนห่างๆ จนกระทั่งรถกระบะสามคันวิ่งห่างออกไป หล่อนจึงหันหลังกลับขึ้นไปบนสำนักงาน นั่งบนโต๊ะทำงานตามที่สินธุ์นทีบอก

ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หล่อนจึงไม่สามารถติดต่อใครได้ แม้กระทั่งบิดา แต่หล่อนหายไปอย่างนี้เป็นประจำอยู่แล้ว เคยไปทำสกู๊ปข่าวติดต่อไม่ได้นานเกือบสองสัปดาห์ ก่อนจะกลับมาในสภาพสะบักสะบอม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณสิงห์ขรก็ไม่เคยโทรศัพท์ตามหล่อนอีกเลย ท่านบอกเพียงแค่ว่าไปไหนให้บอก แล้วรอดตายเมื่อไหร่ก็ให้รายงานตัวกับท่านด้วย

จึงไม่มีบทสนทนาหวานหูระหว่างสองพ่อลูก มีเพียงการพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ พูดคุยหยอกล้อราวกับหล่อนเป็นบุตรชาย แต่หญิงสาวตระหนักรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคุณสิงห์ขรห่วงหล่อนมากกว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้ แม้แต่ตัวท่านเอง แต่ด้วยความเป็นบุรุษเพศ จึงไม่ค่อยแสดงออกในอารมณ์ความอ่อนไหวมากนัก พลอยชีวันชินเสียแล้ว...

การหายมาครั้งนี้ หล่อนทิ้งจดหมายมาฝากไว้กับแม่บ้าน เขียนสั้นๆ ว่า ถูกตามตัวไปต่างจังหวัดเพื่อเก็บข้อมูลทำข่าว อาจจะติดต่อไม่ได้ ไม่ต้องห่วง รอดตายหล่อนจะติดต่อกลับมา และหล่อนจะรอดตายแน่นอน แต่อย่างไร ครั้งนี้หล่อนก็ไม่ประมาท หากเกินสองสัปดาห์ บิดาของหล่อนต้องร้อนรนเป็นแน่แท้ หญิงสาวจึงเขียนอีเมลไปทิ้งไว้ทั้งกับบก.และเพื่อนสนิท หากคุณสิงห์ขรเริ่มระแคะระคายถึงการหายไปจะได้ตอบได้ตรงกัน

หรืออีกนัยหนึ่ง หากหล่อนไม่รอด... พ่อจะได้ตามมารับศพได้ถูกสถานที่…

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

“แวะกินก๋วยเตี๋ยวไก่ป้าจ๋าก่อนดีไหม กว่าจะถึงเขตฯก็คงบ่ายกว่า” หัวหน้าอนุสรณ์เสนอภายหลังพิธีการถวายพระพรผ่านไปเรียบร้อยแล้ว และเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐกำลังเดินทางกลับ และมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนหมู่บ้านหินกองพอดี
“ป๊อบโทรบอกรถคันอื่นด้วยว่าจะไปกินก๋วยเตี๋ยว” ขณะเดียวกัน สมหมายก็บังคับรถมุ่งหน้าไปจอดยังจุดมุ่งหมาย และมีหัวหน้า ดารยา สินธุ์นที มาถึงเป็นอันดับแรก

“อ้าว หัวหน้า สวัสดีค่า เชิญๆ นั่งก่อน มากันกี่คน”

“ยี่สิบน่าจะได้” หัวหน้าอนุสรณ์บอก

สินธุ์นทีมองหาโต๊ะว่างสำหรับสี่คน ขยับเปิดทางให้ดารยาที่ตัวเล็กที่สุดเข้าไปนั่งด้านใน ส่วนเขายืนรอจนกระทั่งหัวหน้าเดินมานั่ง จึงนั่งสมทบตามลงไป

“เอาเส้นอะไรดีจ๊ะ”

“เอาเหมือนกันหมดเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลาจำ เส้นเล็กแล้วกันนะ”

“เส้นเล็กใส่หมดทุกอย่างนะ”

“หนู... ไม่เอากระเทียมเจียวนะป้า”

“จ้ะ เล็กสี่ ไม่เอากระเทียมเจียวหนึ่งชามนะ รอสักครู่นะ”

ไม่นานนัก ก๋วยเตี๋ยวไก่หอมฉุยก็ถูกลำเลียงมาตั้งบนโต๊ะอาหาร พร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่จากรถคันอื่นทยอยหักรถมาจอดหน้าร้าน

“ป้าจ๋า ขอเพิ่มอีกชาม เดี๋ยวเข้าป่าอีกหลายวัน ไม่รู้จะได้กลับมากินเมื่อไหร่” สมหมายตะโกนลั่น

“อ้าว ไปไหนล่ะ ไหงพูดแบบนั้น จะข้ามไปฝั่งโน้นเรอะ ระวังทหารเขาจับเอานา”

“พานักข่าวไปทำข่าวน่ะป้า ถึงหมู่บ้านลังกาโน่น”

“หมู่บ้านที่เขาลือกันว่ากินคนน่ะเหรอ น่ากลัวออกนะตาหมาย ไปกันกี่คนละนั่น”

“ก็สองสามคนนี่แหละ กับผู้ช่วยฯ กับนักข่าว”

“พี่หมาย... ช่วยหยิบน้ำอัดลมในตู้ให้ผมหน่อยครับ” สินธุ์นทีเอ่ยทะลุกลางปล้อง หยุดบทสนทนาให้จบลงเพียงเท่านั้น “พี่เหลิม ไอ้กานต์ รีบกินด้วย จะได้ไปรับเสบียงที่หลวงพ่อท่านแบ่งไว้ให้”

บ่อยครั้งที่ทางวัดสนับสนุนงานลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ด้วยการส่งต่อเสบียง จำพวกข้าวสารอาหารแห้ง ซึ่งได้รับมาจากการทำบุญตักบาตรของญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา เสบียงเหล่านี้สามารถใช้ได้ในยามที่อาหารขาดแคลน งบประมาณยังส่งมาไม่ถึง แบ่งเบาภาระได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งในบางพื้นที่ ลำพังเพียงงานก็หนักหนามากพอแล้ว แต่ด้วยการจัดสรรงบที่ไม่มากพอ ทำให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าบางนายต้องควักกระเป๋านำเงินส่วนตัวซื้อหาเสบียงที่ใช้สำหรับการเดินป่าลาดตระเวน การได้รับความช่วยเหลือจากประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินสด ข้าวของเครื่องใช้สำหรับการลาดตระเวน จึงเป็นการประหยัดงบประมาณได้ส่วนหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ทุกนายกลับไม่เคยนำเอาความลำบากเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างในการผิดกฎหมาย และยืนยันว่างานของพวกเขา ‘น่าสรรเสริญ มากกว่าน่าสงสาร’

“ถ้าอย่างนั้นไปเจอกันที่เขตฯ เลยนะผู้ช่วยฯ น้ำ ผู้ช่วยฯ กานต์”

“ครับหัวหน้า”

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วัดประจำหมู่บ้านแม้ไม่ใช่วัดที่ใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับวัดประจำตำบลหรือประจำอำเภอ แต่เนื่องจากมีพระอาจารย์ชื่อดังจำวัดอยู่ที่นี่ จึงได้นำพาศรัทธาของญาติโยมตามมาร่วมทำบุญ ฟังธรรมะ ปฏิบัติธรรม จำศีลอยู่ด้วย ดูเหมือนวันนี้จะตรงกับวันพระ เพราะเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้วยังเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งเพิ่งทยอยออกมาจากวัด คาดว่าพระอาจารย์น่าจะเพิ่งเทศนาธรรมจบ
จู่ๆ เฉลิมก็แตะที่แขนของผู้ช่วยฯ การันต์ เบาๆ ส่งผลให้สินธุ์นทีที่ยืนข้างๆ มีความสนใจตามไปด้วย จึงกระซิบแจ้งข่าวให้ได้ยินพร้อมๆ กันทั้งสองคน “นั่นแม่สากับเอื้องผึ้ง เมียกับลูกของพรานจอมครับ”

ตั้งแต่สินธุ์นทีย้ายมาประจำการที่นี่ ชื่อพรานจอมถูกจัดให้เป็นผู้ที่อยู่ในการจับตามองของทางการเป็นรายแรกๆ ซึ่งเคยถูกจับกุมในคดีลักหาของป่า แต่ก็ได้รับโทษเป็นการปรับเงินและรอลงอาญาเท่านั้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาและการันต์ได้เจอกับเอื้องผึ้ง หล่อนมาเกาะลูกกรงนั่งร้องไห้รอให้แม่หาเงินมาประกันพ่อ ตอนนั้นยังอยู่ม.ปลาย ถ้าเขาจำไม่ผิด ตอนนี้ดูโตขึ้นสวยแปลกตาขึ้นมาก แต่ยังดูจะประหยัดคำพูดเหมือนก่อนหน้านี้ไม่เปลี่ยน พวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่หาหลักฐานที่จะทำให้พรานจอมไม่สามารถดิ้นหลุดจากข้อกล่าวหาได้ งานเฝ้าระวังจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกนาย

“มีคนบอกว่าช่วงนี้เห็นพรานจอมเข้าป่าถี่ขึ้นครับผู้ช่วยฯ ”

“ถูกจับครั้งที่แล้วโทษคงเบาไป สงสัยจะยังไม่เข็ด...” การันต์พึมพำ สายตาจับจ้องไปยังสองแม่ลูกแม่ลูก ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหันกลับไปหาเฉลิม “ไปเถอะพี่ กว่าจะขนของเสร็จอีก”

แม้จะว่ากระนั้น การันต์ก็ปล่อยให้เฉลิม และสินธุ์นทีเดินออกนำหน้าไปก่อน จงใจเดินอ้อยสร้อยอยู่ข้างหลังราวกับตั้งใจว่าจะเจอใครสักคน เมื่อสองแม่ลูกทำท่าว่าจะเดินเฉียดไป เขาก็แถเข้าหาด้วยรอยยิ้มกว้าง

สินธุ์นทีพยายามเอื้อมมือไปคว้าปกคอเสื้อไว้แต่ก็คว้าได้แค่ลม...

“สวัสดีครับ ผมชื่อการันต์ เรียกว่ากานต์ก็ได้” ขณะที่แม่สายกมือรับไหว้อย่างเป็นมิตร เอื้องผึ้งผู้เป็นบุตรสาวกลับมีท่าทีระแวดระวังอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเขาเองอยู่ในเครื่องแบบป่าไม้เต็มยศ “มาทำบุญเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ... ทำงานที่นี่หรือพ่อกานต์”

“ฮะ... ผมทำงานที่ฉลองรัฐ ว่างๆ แวะเข้าไปเที่ยวนะครับ ข้างในอากาศดีมากเลย”

“อ๋อ... เป็นป่าไม้สินะ”

“ครับ ป่าไม้ใจดีฮะ คุณน้าไม่ต้องกลัว”

ยิ้มแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนจะหันไปหาบุตรสาว “กลับบ้านกันเถอะเอื้อง ป่านนี้พ่อรอกินข้าวแย่แล้ว”

“ผมไปส่งมั้ยครับ” การันต์รีบเสนอตัว แต่สองแม่ลูกก็พร้อมใจกันโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงได้แต่ยืนส่งด้วยสายตา มองเอื้องผึ้งขับรถจักรยานยนต์พาแม่กลับบ้านไป

พึมพำเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน “วันนี้ทักทายเท่านี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ง...”

“แค่นั้นเขาก็กลัวจะแย่แล้วโว้ยไอ้กานต์!”

“ผมน่ากลัวตรงไหนพี่”

“สมมุติว่าเอ็งเป็นตำรวจ แต่พรานจอมเป็นโจร แล้วนั่นลูกสาวโจร เขาควรจะกลัวตำรวจไหมเล่า!?”

แทนที่จะสลด การันต์กลับยิ้มหน้าระรื่น “ผมหล่อออกขนาดนี้ ไม่มีใครกลัวผมหรอกพี่”

“หึ!” แค่นเสียงในลำคอหนักๆ เป็นเชิงประชดประชัน “ไปพี่เหลิม ขนของกัน ปล่อยมันฝันกลางวันไปคนเดียวเถอะ!”

พุทธศาสนิกชนทยอยกลับไปหมดแล้ว ขณะที่สามหนุ่ม และเจ้าหน้าที่อีกสองนายช่วยกันทยอยขนข้าวสารอาหารแห้งไว้ท้ายรถกระบะ ขณะที่ก้มๆ เงยๆ อยู่นั่นเอง หางตาก็สะดุดเข้ากับสีเหลืองของปลายจีวร ทำให้สินธุ์นทีเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็รีบก้มกราบ และนั่งพนมมือคุกเข่าในท่าเทพบุตร เช่นเดียวกับการันต์และเฉลิม

“เข้าป่ากันอีกเมื่อไหร่ล่ะผู้ช่วยฯ”

“ผมไปพรุ่งนี้ครับ ส่วนพี่น้ำไปมะรืน”

“เอ้อ เข้าป่าเข้าดงก็มีสติกันนะ ให้ระวังทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น คิดดีกันเข้าไว้ ผู้ช่วยฯ น้ำกับผู้ช่วยฯ กานต์ ตามหลวงพ่อมาหน่อย”

“ได้ครับ” สองเจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มเดินตามหลังไปอย่างนอบน้อม ถอดรองเท้าเพื่อขึ้นกุฎิ และนั่งคอยบริเวณชานด้านหน้าใต้หลังคาที่รอบข้างเป็นตู้หนังสือบรรจุพระไตรปิฏกปกแข็งรวมถึงหนังสือธรรมมะอื่นๆ

“มานั่งนี่ นั่งพับเพียบตั้งสมาธิดีๆ” หลวงพ่อนั่งลงเบื้องหน้าตู้เก็บหนังสือ ซึ่งอยู่ชั้นที่ยกสูงขึ้นจากพื้นกุฏิเล็กน้อย ขณะที่เขานั่งลงข้างหน้าตามคำบอกของท่าน “ยื่นมือออกมา อันนี้ฝากให้ผู้ช่วยฯ น้ำนะ”

ชายจีวรสีเหลืองเก่า สังเกตได้จากขอบผ้าที่ถูกฉีกออกอย่างไม่ปราณีตนัก แต่กลับถูกพับไว้เป็นรูปสี่เหลียมจัตุรัสเท่ากันๆ ได้อย่างน่าประหลาด วางลงบนมือของชายหนุ่ม

“เราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่เรากำหนดอนาคตได้ว่าจะให้มันเป็นอย่างไรนะ”

“ครับ...” ตอบพร้อมนำเอาผ้าจีวรใส่ลงในกระเป๋าเสื้อชุดสีกากี

“ส่วนนี้ของผู้ช่วยฯ กานต์” ท่านวางพระอัดกรอบองค์เล็กห้อยกับสายสีดำลงบนมือ “หลวงพ่อรู้ว่าคนหนุ่มรุ่นๆ ผู้ช่วยฯ กานต์นี่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพุทธคุณหรอก แต่หากบารมีหลวงพ่อพอจะมีบ้าง หลวงพ่อขอให้ผลบุญที่หลวงพ่อได้ปฎิบัติกรรมฐานมา ตลอดจนการปฎิบัติดีปฎิบัติชอบของข้าราชการป่าไม้อย่างผู้ช่วยฯ ที่ดูแลป่าไม้ไทย รับใช้ประชาชนเป็นข้าของแผ่นดินมาตลอด ขอให้บารมีคุณความดีที่สะสมเอาไว้นี้ปกปักรักษาทั้งผู้ช่วยฯ และทีมงานนะ”

เป็นอย่างที่หลวงพ่อท่านว่า ไอ้เขาสองคนมันคนหนุ่มสมัยใหม่ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องบารมีพุทธคุณอะไรพวกนั้น อีกทั้งหลวงพ่อองค์นี้ท่านก็เป็นพระสายปฎิบัติกรรมฐาน ไม่ใช่สายอวดอ้างพุทธคุณที่เชื่อว่าการกราบไหว้จะพาไปสู่สวรรค์อะไรทำนองนั้น แต่ในครั้งนี้ท่านกลับกล่าวถึงผลบุญในการปฏิบัติกรรมฐานรวมถึงการปฎิบัติงานของเขา เรียกง่ายๆ ว่านำเอาผลบุญเหล่านั้นอวยพรให้ผลความดีปกปักรักษาเขาและเพื่อนร่วมงาน สินธุ์นทีเชื่อว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง และขณะที่กำลังจะเงนหน้าขึ้นถาม ก็พบว่าพระอาจารย์ท่านมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มอยู่ก่อนแล้ว

“หลวงพ่อฝืนชะตากรรมไม่ได้หรอก ไม่มีใครฝืนชะตากรรมได้... มีสตินะ”

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////



อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2560, 12:28:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2560, 12:28:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1004





<< บทที่ ๖   บทที่ ๘ >>
แว่นใส 6 มี.ค. 2560, 19:58:58 น.
จะเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่แน่เลย


goldensun 7 มี.ค. 2560, 20:40:12 น.
วูบเลยค่ะ คุณพระคุ้มครองป่าไม้ทั้ง 2 คน เข้าป่ารอบนี้มีเรื่องแน่เลย


Zephyr 25 มี.ค. 2560, 18:57:26 น.
ชักลุ้นแหะ
หลวงพ่อมาแบบนี้ชักใจเสีย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account