โคโยตี้สาวร้อนรัก
เมื่อความต้องตาต้องใจในแรกพบเกิดขึ้น ‘อติภพ’ เจ้าพ่อหนุ่มรูปหล่อแห่งสถานบังเทิงหรูจึงไม่รอช้า งัดหากระบวนท่าเพื่อหวังพิชิตและครอบครองสาวน้อยหน้าใสหัวใจโคโยตี้ที่มีนามว่า 'เภตรา' แต่จากที่คิดว่า 'ง่าย' กลับมีสารพัดเรื่องราวของความรัก พ่อแง่แม่งอน รวมถึงความเข้าใจผิดที่ชวนให้เจ้าพ่อหนุ่มต้องปวดหัว
.
ติดตามกันดูนะคะ
.
ลียาอัพทั้งหมด 50% ของเรื่องค่ะ ^_^
Tags: อติภพเภตรา โคโยตี้ โคโยตี้สาวร้อนรัก

ตอน: บทที่ 6 ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก (สนพ. Siriaksorn book ตีพิพม์)

คราวแรก เภตราก้าวเข้าไปแบบทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อมีเสียงเชิญให้นั่งจาก ‘แขก’ คนหนึ่งดังขึ้น เธอถึงได้ทรุดตัวลงตรงโซฟาที่ใกล้ที่สุด
“ชื่ออะไรหรือจ๊ะหนู” เสียงถามสุภาพ แถมพร้อมทั้งอาการนั้นก็แลดูสุขุมลุ่มลึก เภตราค่อยคลายใจ เธอยิ้มบางๆ ก่อนตอบกลับไป
“ชื่อ...ผึ้งค่ะ” คนตอบถือโอกาสนั้นพนมมือไหว้ทุกคนในที่นั้น เจ้าตัวกวาดตามองไปยังแขกในวัยราวๆ ห้าสิบกว่าทั้งสี่คนในห้อง คนที่เอ่ยถามเธอก่อนดูจะเป็นเหมือน ‘หัวหน้าคณะ’ ที่อาสานำทีมพาทุกคนมาหาความสุขสนุกสนานที่นี่ ส่วนที่เหลืออีกสามคน ก็คงไม่พ้นเป็นนักธุรกิจระดับที่ไม่ธรรมดา เสียแต่เภตราไม่รู้จักแล้วก็ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลยสักคน เธอจะ ‘เริ่มงาน’ จากตรงไหนก่อนดี
“วันนี้ฉันพาลูกค้าของบริษัทมาหย่อนใจน่ะ ทุกคนอยากมาที่นี่ หนำซ้ำยังบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าบรรยากาศดี ดนตรีไพเราะ แล้วก็เด็กๆ น่ารัก บริการดีเยี่ยมทุกคน”
“ถ้าอย่างนั้นทางเลิฟเว่อร์คลับก็ขอรับประกันว่าท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ” สาวสวยหนึ่งในสองคนที่เภตราต้องร่วมงานด้วยเป็นคนเอ่ยประโยคนี้ขึ้น เจ้าหล่อนยิ้มหวานหยด พร้อมบริการรินชงเครื่องดื่มและหมั่นตักอาหารคาวหวานใส่จานให้ทั้งซ้ายขวาอย่างแคล่วคล่อง นั่นทำให้คนลอบมองยิ่งเงอะงะ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยหรือบริการอื่นใดก็ดูจะติดขัดไปเสียหมดสำหรับเภตรา จะรอดไหมนะ...นั่นคือคำถามที่ดังอยู่ในใจสาวน้อยตลอดเวลา
“หนูทำงานที่นี่มานานหรือยัง”
“เอ้อ...ก็...สักพักแล้วค่ะ แต่...เดิมทีหน้าที่ของหนู...ไม่ใช่...” เภตราหันมองรอบห้องแทนประโยคที่ขาดหาย อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ไม่ยาก เขายิ้มเอ็นดู ท่าทางก็คล้ายใจดีมีเมตตา ไม่ใช่ลูกค้าที่น่ากลัวเหมือนที่เภตราเองแอบจินตนาการ อ้อ แล้วก็ไม่เหมือนที่อติภพขู่เธอเอาไว้เมื่อครู่นี้อีกด้วย
“แล้วหนูทำอะไรมาก่อนหรือ”
“เอ่อ...เต้นโชว์ค่ะ”
“อืม...อย่างนั้นหรือ แล้วทำงานดึกดื่นแบบนี้ ที่บ้านไม่เป็นห่วงแย่หรือ”
“ก็...คงห่วงค่ะ แต่มันจำเป็น” เมื่อพูดถึงที่บ้าน สาวน้อยก็พยายามที่จะตอบให้น้อยที่สุด เพราะโดยนิสัย เธอไม่ชอบเอาเรื่องครอบครัวของตัวเองมาเที่ยวพรรณนาให้ใครๆ ฟัง
“หนูยังเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า”
“ก็...ค่ะ”
“แล้วกลางวันจะไปเรียนไหวหรือ เรียนมหาวิทยาลัยใช่ไหม ขอโทษนะ หนูอยู่ปีไหนแล้ว”
“เอ่อ...อยู่...” เอ ถ้าเธอตอบ ก็มีหวังว่าความลับเรื่องโกงอายุอาจแตกได้สินะ
“ว่าไงยังจ๊ะ”
“เอ้อ...ผึ้งว่า เราคงคุยเรื่องเครียดๆ กันเยอะไปแล้ว พอดีพอร้ายท่านจะเบื่อเอา เดี๋ยวผึ้ง...ขออนุญาตรินไวน์ให้ดีกว่านะคะ จะได้จิบไปคุยกันไป น่าจะได้อรรถรสดีค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ จริงๆ แล้วฉันไม่ดื่มแอลกอฮอล์” คนพูดยิ้มบาง แววตาทอดมองเธออย่างเอ็นดูเข้าไปอีก แปลก...เภตราอดรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ ปกติคนมาเที่ยวจะหาที่สุภาพมากๆ ก็ว่ายากแล้ว แต่ลูกค้ารายนี้กลับยิ่งมีท่าทีที่ทำให้เธอรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“เอ้อ...ขอโทษนะคะ ผึ้งไม่ทราบจริงๆ ค่ะว่าท่านไม่ดื่ม งั้นเดี๋ยวผึ้งว่าผึ้งสั่งเครื่องดื่มอย่างอื่นให้ท่านแทนดีกว่า รอสักครู่นะคะ” บอกแล้วกุลีกุจอหันไปหาบริกร เจรจาอะไรกันอยู่สักครู่ก็หันกลับมาหาคู่สนทนา ซึ่งฝ่ายนั้นก็กำลังพูดคุยกับพรรคพวกที่มาด้วยกันอย่างอารมณ์ดี เภตราเลยได้ลอบมองเสี้ยวหน้าที่มีเค้าของความเอื้ออารีฉายอยู่เต็มที่ ไม่รู้สิ...สาวน้อยบอกตัวเองว่าเธอมีความรู้สึกคล้ายจะอบอุ่นแล้วก็วางใจบอกไม่ถูก เมื่อได้อยู่ใกล้ลูกค้าที่เพิ่งเคยพบกันหนแรกคนนี้ นี่ก็แค่เวลาชั่วประเดี๋ยวเดียวแท้ๆ แต่บางสิ่งบางอย่างมันก็ไม่มีคำอธิบาย เป็นแต่เพียงสัมผัสจากความรู้สึกในใจเท่านั้น เจ้าของความคิดเผลอยิ้มเล็กๆ ขณะที่ลูกค้าซึ่งเธอกำลังแอบนึกชื่นชมอยู่ในใจได้หันกลับมา
“หนูผึ้ง...” แต่ดูเหมือนว่าคำพูดต่อจากนั้นจะถูกรอยยิ้มที่ยังค้างบนใบหน้าของเด็กสาวลบเลือนให้หลงลืมไปชั่ววินาที
“มีอะไรหรือคะ”
“เอ่อ...อ้อ เปล่าจ้ะ คือฉันก็แค่...รู้สึกคุ้นตากับรอยยิ้มแบบนี้ของหนูเท่านั้นน่ะ”
“คุ้นเคย กับรอยยิ้มของผึ้งน่ะหรือคะ”
“ใช่ รอยยิ้มของหนูนั่นล่ะ แปลกดีนะ ทั้งๆ ที่เราสองคนก็เพิ่งจะเคยพบกันเป็นครั้งแรกเท่านั้น แต่ฉันกลับรู้สึกคุ้นเคยกับหนูยังไงบอกไม่ถูก”
“ก็คงถือเป็นโชคดีของผึ้งด้วยค่ะ ที่มาเจอลูกค้าที่เอ็นดูแล้วก็ให้เกียรติผึ้งขนาดนี้” และก็นับเป็นครั้งแรกที่เภตรานึกอยากจะเอ่ยขอบคุณโชคชะตาจริงๆ
“หนูคิดจะทำงานนี้ไปอีกนานแค่ไหน บอกฉันได้ไหม” แววตาคนถามดูห่วงใย อีกฝ่ายถอนใจเบาๆ
“ไม่ทราบสิคะ ก็คงทำเรื่อยๆ จนกว่า...จนกว่า โธ่...ท่านคะ...” เภตราทิ้งจังหวะระหว่างที่นึกอะไรไม่ออก มือบางยกแก้วมอคเทลตรงหน้าขึ้นจิบเพื่อหน่วงเวลา
“จะว่าไป...เรื่องของผึ้งออกจะน่าเบื่อ เรา...คุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะคะ น่าสนุกกว่าเยอะเลย”
“แต่ฉันอยากรู้จักหนูนะ อยากรู้เรื่องของหนูให้มากขึ้นกว่านี้น่ะ” ท่าทางของ ‘แขก’ ก็ดูจะใคร่รู้อย่างจริงใจเหลือเกิน
“แต่ว่าผึ้ง...เกรงใจน่ะค่ะ ท่านมาเพื่อหาความสุขสนุกสนาน แต่ผึ้งกลับจะเอาเรื่องส่วนตัวของตัวเองมาพูดคุย ดีไม่ดี จะถูกผู้จัดการตำหนิเอา”
“ใครจะกล้า ถ้าลูกค้าพอใจเสียอย่างน่ะ”
“ท่านเมตตาผึ้ง” เด็กสาวเอ่ยเสียงอ่อนอย่างซึ้งใจ ถ้าใครรู้แล้วจะว่าเธอด่วนวางใจคนแปลกหน้าเกินไปก็ช่างเถอะ
“รู้แล้วก็บอกมาเสียที นี่คิดจะทำงานนี้ไปจนถึงเมื่อไร แล้วไปยังไงมายังไง หนูถึงเลือกจะมาทำงานแบบนี้”
“เอ่อ...ผึ้ง...” เสียงใสอึกอัก เพราะอย่างไรเสีย สาวน้อยก็ไม่ลืมหน้าที่ของตัว คืนนี้เธอมีหน้าที่เอนเตอร์เทนลูกค้า แล้วถ้าจะมานั่งคุยเรื่องส่วนตัวด้วยลักษณะอาการเหมือนจะ ‘ผูกขาด’ กับใครคนใดคนหนึ่งในโต๊ะก็น่ากลัวว่าอาจจะมีปัญหา แต่ก็อีกนั่นล่ะ แขกของเธอดูจะอ่านอาการนั้นทะลุปรุโปร่ง
“หนูผึ้งอย่ากังวลอะไรเลย ทุกคนที่มานี่ได้รับความสุขสำราญจากเลิฟเว่อร์คลับโดยสมบูรณ์นะคืนนี้ หนูไม่ได้ทำหน้าที่บกพร่องตรงไหนเลย ถ้าจะมีก็ต้องโทษที่ฉันถึงจะถูก”
“ไม่ค่ะ กฎของที่นี่คือความพอใจของลูกค้าต้องมาเป็นอันดับแรก” เธอแย้งอย่างเกรงอกเกรงใจ
“แล้วฉันบอกหรือยังว่าไม่พอใจ” เท่านั้นเภตราก็หัวเราะออกมาเบาๆ ได้ นี่คงเป็นคำพูดที่พยายามจะทำให้เธอรู้สึกคลายกังวลสินะ สาวน้อยหันไปมองพนักงานอีกสองคนที่ก็กำลังทำหน้าที่อันคุ้นเคยของพวกเธอด้วยความสนุกสนาน แต่ก็คงจริงอย่างที่ ‘ท่าน’ ว่า ดูๆ ไปแล้วคืนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ขาดตกบกพร่องสักหน่อยนี่นา
“ขอบคุณท่านมากนะคะที่เอ็นดูพวกเรา”
“ฉันสังเกตมาสักครู่นึงแล้วว่าหนูเองก็ไม่ดื่มเหมือนกันใช่ไหม”
“เอ่อ...ถ้าท่านต้องการ...” เภตราหน้าเสีย ยอมรับว่าตั้งแต่หย่อนตัวลงนั่ง เธอก็ยังไม่ได้ ‘ทำหน้าที่’ ของตัวเองแบบครบถ้วนเสียที
“ไม่ๆๆ” ปฏิเสธพลางโบกไม้โบกมือ
“ฉันไม่อยากเห็นเด็กสาวที่ยังเรียนหนังสืออยู่ต้องมานั่งกินเหล้าดึกๆ ดื่นๆ ในสถานที่แบบนี้หรอก” คนพูดยังคงจับสายตามาที่เธอ ก่อนจะบอกอย่างอ่อนโยน
“ฉันไม่ได้ตำหนิหนูนะ ออกจะเข้าใจว่าคนเราต้องมีเหตุผลแล้วก็ความจำเป็นด้วยกันทั้งนั้น”
“ผึ้ง...ไม่รู้จะพูดคำไหนเลยค่ะ”
“ปกติแล้วหนูผึ้งเลิกงานดึกไหม แล้วคุณพ่อกับคุณแม่...”
“ผึ้งไม่มีพ่อค่ะ” สาวน้อยโพล่งออกมา เธอไม่รู้ตัวหรอก ความ ‘แข็ง’ ในน้ำเสียงนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่คนฟังรู้สึกได้ทันที
“ฉันต้องขอโทษ ว่าแต่คุณพ่อของหนูผึ้งเขา...ไปไหนเสียล่ะ”
“เสียไปนานแล้วค่ะ ตั้งแต่ที่ผึ้งยังจำความไม่ได้ ตอนนี้ผึ้งอยู่กับแม่แค่สองคนเท่านั้น”
“ฉันเสียใจด้วยนะ” น่าเสียดายที่เภตรามัวแต่เก็บเอาความรู้สึกแบบเด็กๆ มาเป็นอารมณ์ เธอไม่ทันรู้สึก และไม่ทันได้รับรู้ถึงความสั่นเล็กๆ ของน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจที่เพิ่งผ่านหูไป
“แต่ก็ยังดีที่หนูยังเหลือร่มโพธิ์ให้ได้พึ่งพิง ถ้าฉันจะถาม หนูผึ้งพอจะตอบฉันได้ไหมว่า...หนูมาทำงานที่นี่เพราะอะไร มีความจำเป็นอะไร”
“ท่านไม่คิดว่าผึ้งจะมาทำเพราะอยากทำจริงๆ บ้างหรือคะ” เธอลองถามกลับดูบ้าง อีกฝ่ายยิ้มให้
“ท่าทางคนอยากทำงาน ไม่น่าเป็นแบบนี้นะ”
“ตายจริง ผึ้งเสียมารยาทมากเลยหรือคะ”
“ไม่ๆๆ หนูผึ้งไม่ได้ทำอะไรเสียมารยาทเลย ฉันแค่อ่านหนูด้วยสายตาของคนที่ผ่านโลกมามากเท่านั้นเอง อย่าตกใจไปเลย” เภตราถอนหายใจไม่รู้ตัว ก่อนหัวเราะให้กับตัวเอง
“ไม่รู้เลยจริงๆ นะคะ ว่าผึ้งจะทำงานนี้ได้อีกนานแค่ไหน”
“ถ้าไม่ชอบ ไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ มีงานอื่นอีกไม่น้อยนะที่หนูทำได้”
“แต่งานอะไรจะได้ค่าตอบแทนสูงคุ้มกับที่เหนื่อยแบบนี้ล่ะคะ” เผลอพูดออกไปแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองนัก ลูกค้า ใช่คนที่เธอควรเอาปัญหาส่วนตัวมาพูดคุยด้วยได้หรือ
“ปัญหาของหนูคือเรื่องเงิน?” ท่านผู้มีน้ำใจงามถามตรง
“เอ้อ...”
“เล่าให้ฉันฟังสิ ฉันอาจจะช่วยหนูได้นะ”
“เอ่อ...คือ...ผึ้ง”
“ว่ายังไงล่ะ หนูมีปัญหาอะไร มีความจำเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายยังไงบ้าง ไหนลองเล่ามาให้ฉันฟัง”
ความจริงจังและจริงใจในน้ำเสียงนั้นเป็นสิ่งดี แต่เสียที่มันกำลังทำให้เธออึดอัดขึ้นเป็นลำดับ
“ท่านเมตตาผึ้งเหลือเกินนะคะ ผึ้งต้องขอบพระคุณที่ท่านสนใจในปัญหาของคนที่เพิ่งจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก แล้วบางทีก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย”
“ทำไมหนูพูดแบบนั้นล่ะ”
“เรื่องจริงนี่คะ หลังจากคืนนี้ผึ้งอาจจะไม่ได้ทำงานที่นี่ต่อ หรือไม่ก็...ท่านอาจจะไม่ได้มาที่เลิฟเว่อร์คลับอีกเป็นหนสองก็ได้ เพราะโดยส่วนตัว ท่านเพิ่งบอกเมื่อครู่ว่าไม่ชอบดื่มสักเท่าไร”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา ถึงไม่ดื่มฉันก็มาได้” วาจานั้นยินดีอย่างเปิดเผย
“ค่ะ อนาคตก็เป็นเรื่องไม่แน่นอน แต่เวลานี้ขอให้ผึ้งได้ทำงาน ทำหน้าที่ของพนักงานบริการที่ดีเถอะนะคะ ยิ่งท่านมีน้ำใจกับผึ้ง ผึ้งก็อยากจะตอบแทน ให้ท่านได้รับความสุขความสำราญกลับไปให้เต็มที่เช่นกันค่ะ ส่วนเรื่องของผึ้ง ท่านคงได้ทราบนะคะ ถ้าเรายังมีโอกาสต่อไปให้ได้พบกัน” เภตราบอกเสียงอ่อน และเมื่อเห็นร่องรอยของความกังวลในสีหน้าบวกกับเกรงว่าตนจะทำให้เด็กสาวอึดอัดใจ ฝ่ายที่มักตั้งคำถามให้เธอตอบเสมอจึงเปลี่ยนมายิ้มอย่างเข้าใจ
“อย่างนั้นก็...มาสิ ดื่มฉลองให้กับวันนี้ที่เราได้เจอกัน แล้วก็ดื่มเผื่อไปถึงวันหน้า เพราะว่าฉันจะต้องได้กลับมาเจอกับหนูอีกแน่” และคืนนั้นทั้งคืน เภตราเองก็ไม่ได้แตะเครื่องดื่มมึนเมาเลยแม้แต่อึกเดียว นี่คงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเลิฟเว่อร์คลับ ที่แขก ‘ปกป้อง’ เด็กนั่งดริ๊งค์ ไม่ให้จำต้องดริ๊งค์อย่างที่เธอไม่ถนัด เวลาล่วงนั้นผ่านกระทั่งถึงโมงยามที่ไนต์คลับต้องปิด ศรุดา เภตราและสาวรุ่นพี่อีกสองคน เดินออกมาส่งแขกวีไอพีที่เช็คบิลเป็นตัวเลขกว่าหกหลักยังหน้าไนต์คลับ และเมื่อพนักงานนำรถของแขกคลานจากลานจอดเข้ามาถึงทุกคนก็ทยอยขึ้นนั่ง จะมีก็แต่ ‘หัวหน้าคณะ’ ที่ยังรั้งรอ ร่างสูงค่อนข้างท้วมหากยังแลดูสมาร์ทหันมาทางเภตราอีกครั้ง
“ขอบใจหนูมากนะ ที่ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุข แล้วก็ไม่ผิดหวังกับที่นี่เลย”
“หนูเองก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรที่บกพร่องไป” สาวน้อยยังถ่อมตัวเสมอ
“ไม่มีเลย และหนูไม่ต้องขอโทษฉัน ว่าแต่...นี่หนูจะกลับบ้านยังไง มีใครมารับหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ แต่ปกติผึ้งก็กลับเองอยู่แล้ว” เภตราไม่ได้อรรถาธิบาย ว่าปกติของเธอนั้นหมายถึงเวลาที่เต้นโชว์เสร็จซึ่งก็ไม่เกินเที่ยงคืน หาใช่เวลาที่ไนต์คลับปิดจนค่อนรุ่งอย่างค่ำคืนนี้
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันไปส่งหนูนะ”
“เอ้อ...อย่าเลยค่ะ ขอบพระคุณท่านมากนะคะ”
“แล้วหนูจะกลับยังไง นี่มันตีสองแล้วนะ แท็กซี่ยิ่งอันตราย”
“เอ่อ...” สาวน้อยลังเล คนอื่นๆ รวมทั้งศรุดาก็เหมือนจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของตัวเธอเอง แต่แล้ว
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เภตราจะกลับพร้อมผม”
ทุกสายตาหันไปจับกับร่างสูงสง่าของคนที่ตามออกมาทีหลัง ศรุดากระพริบตาปริบ ผิดปกติจริงๆ ก็เคยมีเสียที่ไหน บอสจะตามออกมา ‘ขัดคอ’ ลูกค้าถึงหน้าไนต์คลับแบบนี้
“คุณ” เภตราเองก็นึกแปลกใจ
“นี่คือคุณอติภพค่ะ ท่านเป็นเจ้าของไนต์คลับนี้” ศรุดาแนะนำ
“อ้อ...คุณอติภพ ภูชิตบดินทร์ ผมได้ยินชื่อเสียงมานาน เพิ่งมีโอกาสเจอตัวจริงก็วันนี้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ครับ” อติภพรับขรึมๆ ตาคมจัดเหลือบแลมายังร่างเล็กของเภตราเป็นระยะขณะที่พูด
“แต่ในฐานะลูกค้า คนของเลิฟเว่อร์คลับคงไม่กล้ารบกวนคุณกฤษณ์นะครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงพนักงานของผม แต่ขอให้สบายใจได้ เธอจะปลอดภัยแน่นอน”
“คุณรู้จักนักธุรกิจเล็กๆ อย่างผมด้วย”
“เจ้าของกิจการรับเหมางานระบบวิศวกรรมที่ใหญ่เบอร์ต้นๆ ของบ้านเรา ถ้าผมไม่รู้จักก็ผิดไปล่ะ ยินดีที่ไนต์คลับของผมได้มีโอกาสต้อนรับนะครับ”
“และผมจะยินดีมากกว่า ถ้ารู้ว่าพนักงานของคุณทุกคน โดยเฉพาะหนูผึ้ง ได้กลับถึงบ้านหรือที่พักโดยสวัสดิภาพทุกคน”
“งั้นก็สบายใจได้ครับ” อติภพไม่ต่อความยาวไปกว่านั้น และดูเหมือนแค่คำพูดสั้นๆ จากปากคนอย่างเขา ก็มีน้ำหนักเพียงพอสำหรับฝ่ายที่ห่วงใย
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงไม่มีอะไรต้องห่วง” แต่ก่อนไป คนพูดค่อยล้วงหยิบเอากระดาษใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ เขายื่นมันมาให้กับเภตรา
“นี่นามบัตรฉัน หนูติดต่อมาได้เสมอนะ ถ้ามีอะไรที่คิดว่าฉันพอจะช่วยเหลือหนูได้ ฉันยินดีมากๆ”
เภตรามองกระดาษใบเล็กอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าเธอควรรับมันมาตามมารยาท หรือควรบอกปฏิเสธไปเพราะไม่ควรเกี่ยวข้องมากมายอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จัก หากเมื่อหันไปเห็นประกายสายตาขุ่นๆ จากผู้เป็นเจ้านายที่กำลังมองจ้องมา สาวน้อยก็เปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มหวานหยด
“ค่ะ ขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านมีต่อหนูนะคะ”
“แล้วฉันจะมาอีก เภตรา...ชื่อของหนูเพราะมากนะหนูผึ้ง”
“ขอบคุณค่ะ”
เจ้าของนามบัตรยอมขึ้นรถไปหลังจากที่ลากันแล้วอีกหน เภตรายกนามบัตรในมือขึ้นมาพินิจ...กฤษณ์ เกียรติกำธรกุล ประธานกรรมการบริษัทเค.ดี กรุ๊ป จำกัด สาวน้อยอ่านแล้วอดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ คุยกันตั้งนานสองนานแต่กลับมารู้จักชื่อเสียงเรียงนามเอาเมื่อตอนแยกย้าย
“หัวเราะ เพราะชอบใจที่ปลาตัวใหญ่กำลังจะติดเบ็ดหรือไง”
“ขอตัวนะคะ” คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าก้มตาบอกอย่างระอา พร้อมกับที่พยายามจะเดินแยกตัวออกไป แต่อติภพไม่ยอม ขายาวๆ ก้าวเข้ามายืนขวางหน้าเธอไว้ ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น สามสาวผลุบหายเข้าไปข้างในตอนไหนเภตราก็ไม่ทันสังเกต
“ฉันพูดกับเธอ ไม่ได้ยินหรือยังไง”
“ได้ยินค่ะ แต่นี่หมดเวลางานแล้ว ฉันเป็นอิสระ มีสิทธิที่จะทำอะไรหรือไปไหนตามแต่ใจก็ได้ ไม่ใช่ลูกจ้างที่ต้องคอยมารับคำสั่งโน่นนี่จากคุณเหมือนในเวลางาน ขอตัวนะคะ”
“จะไปไหน อ้อ...คงนัดแนะกันไว้แล้วล่ะสิ”
“พูดอะไรของคุณ” เภตราหันขวับไปมอง
“ทำไม โกรธที่ฉันรู้ทันหรือ”
“อยากจะเข้าใจยังไงก็ช่างคุณเถอะค่ะ ฉันเหนื่อย ต้องการกลับบ้านพักผ่อน นี่ก็หมดเวลางานแล้ว หวังว่าคุณคงมีเหตุผลพอจะไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่แกล้งสั่งให้ฉันต้องทำโน่นทำนี่ตามแต่ใจอีกนะคะ”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก พูดจากับผู้ใหญ่แบบนี้ไม่มีใครเคยว่าหรือไง”
“คุณจะว่าว่าฉันไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนใช่ไหมคะ” สาวน้อยกัดริมฝีปากอย่างอัดอั้นแกมโมโห แต่เขาไม่สนใจ เปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อๆ
“คืนนี้เธอทำหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ได้ดีนะ”
คนถูก ‘ชม’ ได้ยินแล้วตั้งรับไม่ค่อยทัน ตากลมโตมองเจ้าของร่างสูงนิ่งอย่างไม่ไว้ใจ ก็เพิ่งจะประคารมแบบเอาเป็นเอาตายกันกันอยู่หยกๆ แท้ๆ แล้วนี่เจ้าพ่อเลิฟเว่อร์คลับผู้ใหญ่โตกว้างขวางจะมาไม้ไหนกับเธออีก




ลียา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.พ. 2560, 10:04:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มี.ค. 2560, 14:35:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 807





<< บทที่ 5 แกล้ง (สนพ. Siriaksorn book ตีพิมพ์)   บทที่ 7 เบาะแสที่แสนบังเอิญ (สนพ. Siriaksorn book ตีพิมพ์) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account