สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"

หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย

ตอน: บทที่ ๘

บทที่ ๘

แม้จะรอคอยเวลานี้มานาน แต่เมื่อถึงเวลาต้องเดินทางขึ้นมาจริงๆ พลอยชีวันกลับรู้สึกกลัวอย่างไรก็บอกไม่ถูก ไม่ใช่กลัวความลำบาก แต่กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง กลัวว่าจะเกิดอันตรายในป่า กลัวสัตว์ป่า กลัวทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เนื่องจากไม่เคยนอนค้างอ้างแรมในป่าอย่างจริงจังมาก่อน อีกทั้งวันนี้ฝนก็โปรยเม็ดลงมาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ทุกอย่างจึงดูเยือกเย็น วังเวง อึมครึมไปหมด ชวนให้หวั่นใจอย่างไรบอกไม่ถูก

“ตัวสั่นเลยคุณเพลิน กลัวหรือหนาวครับ” สมหมายถามกลั้วเสียงหัวเราะ เมื่อเดินเข้ามาใต้ชายคาโรงอาหาร หญิงสาวยิ้มแห้งๆ ตอบ “ทั้งสองอย่างค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าอันไหนมากกว่ากัน”

“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ แต่อย่าประมาทเป็นพอ ไปกับผู้ช่วยฯ น้ำ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ ไปกินข้าวดีกว่า ผมจะไปเช็ครถก่อน”

“แล้วผู้ช่วยฯ น้ำละคะ”

“เดี๋ยวคงลงมาละครับ”

เวลาเกือบเจ็ดโมงเช้า ยังไม่มีใครลงมารับประทานอาหารเช้า หล่อนทราบข่าวจากดารยาว่าหัวหน้าเดินทางเข้าไปประชุมตั้งแต่เช้ามืดพร้อมผู้ช่วยฯ คนอื่นๆ แล้ว เหลือคนที่ประจำการอยู่ไม่กี่คน แล้วบอกตามตรง หล่อนไม่เคยดีใจเมื่อได้เห็นหน้าสินธุ์นทีมากขนาดนี้มาก่อน

“ยิ้มอะไร” ถามพลางปัดเม็ดฝนที่เกาะอยู่ตามร่างกายไปพลาง

“ยังไม่มีใครลงมาทานข้าวเลยค่ะ”

“อ๋อ ดีใจที่จะได้กินข้าวว่างั้น”

“ไม่ใช่ซะหน่อย”

“ไหนกระเป๋าล่ะ” ชายหนุ่มมองตามสายตาพลอยชีวันไปพบกระเป๋าเดินป่าใบย่อมที่ไม่น่าจะมีอะไรมากกว่าเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัวอีกนิดหน่อย “มีผ้าถุงไหม”

“ไม่ค่ะ”

“ถุงนอน”

“ไม่มีค่ะ”

“เปล”

“ก็ไม่มีอะค่ะ” เขาทำหน้าเหมือนเพิ่งเห็นไดโนเสาร์เดินผ่านหน้า สร้างอาการหน้าร้อนวูบวาบให้พลอยชีวัน หล่อนรีบแก้ตัว “ก็ตอนนั้นคุณถามว่ามีโรคประจำตัวไหม อะไรนั่นน่ะ คุณก็บอกว่า เท่านั้นก็พอแล้ว”

สินธุ์นทียกมือขึ้นห้ามด้วยสีหน้าปวดสมองอย่างมาก แล้วรีบสั่ง “แบกกระเป๋าตามผมมา”

พร้อมหยิบร่มคันใหญ่ที่เพิ่งวางลงเมื่อครู่ขึ้นมากาง ขณะที่คนถูกสั่ง งงเป็นไก่ตาแตก จนเขาต้องสั่งอีกรอบ หล่อนจึงดึงสติกลับมาได้ “จะไปไหนคะ”

“ไปเปลี่ยนกระเป๋าที่บ้านผม ผมมีกระเป๋าที่อีกใบ คุณเอาไปใช้แล้วกัน ส่วนผ้าถุงค่อยไปยืมผู้ช่วยฯ ป๊อบ เอาไว้อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า... เร็วสิ”

“ค... ค่ะ” นี่คงเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่พลอยชีวันทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีแม้กระทั่งข้อสงสัย แม้ที่ผ่านมาหล่อนจะเสี่ยงอันตรายมามาก แต่มันก็คืองานที่เคยผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว หรือการเจอเหตุการณ์ใหม่ๆ หล่อนยังมีทีมข่าวที่ไว้ใจได้ แต่ตอนนี้ หล่อนกลับไว้ใจใครไม่ได้เลย แม้กระทั่งตัวเอง

“อ้อ อย่าลืมเสื้อกันฝนด้วยนะ ถ้าเป็นคนขี้หนาวก็พกเสื้อแขนยาวไปด้วยก็ดี”

“คุณน่าจะบอกฉันเร็วกว่านี้” ตัดพ้อเสียงดัง พร้อมขยับเข้าไปยืนเบียดใต้ร่มคันเดียวกัน “จะได้ฝากคุณซื้อข้าวของพวกนี้”

“นึกว่าจะคิดเองได้”

“ก็บอกแล้วว่าไม่เคยเดินป่า จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”

“ที่นี่ไม่มีใคร ‘ไม่เคย’ ผ่านการเดินป่า” เขาเน้นเสียงหนักตรงคำว่าไม่เคย “ทำไมคุณไม่ถามใครสักคนล่ะ ป๊อบก็ได้”

พูดไปก็เหมือนหล่อนผิดเสียเอง นักข่าวสาวจึงเงียบเสีย ก้มหน้าก้มตาเดินงุดๆ ปล่อยให้ไหล่ขวาเปียกเพราะยอมให้ตัวเกือบครึ่งหนึ่งไม่อยู่ใต้ร่ม ยังดีเสียกว่าต้องขยับไปยืนแนบชิดกับเขา แล้วชายหนุ่มก็สังเกตได้จากอาการคอแข็งคางเชิดขนานกับพื้นนั้น จึงเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน “แขนเปียกไม่เป็นไร อย่าให้หัวเปียกแล้วกัน คนเมืองยิ่งกระหม่อมบาง เจอฝนป่าจะป่วยเอา”

“ฝนที่ไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ฉันไปเปียกมาหมดแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไร”

ร่างสูงหยุดเดิน เบี่ยงร่มให้พ้นจากร่างเล็กและตัวเขาเอง ตอนนั้นล่ะ ละอองฝนเม็ดบางๆ ก็พร่างพรูลงมาบนร่างของหล่อนที่ตอนนี้พลอยชีวันรับรู้แล้วว่ามันหนาวเย็นกว่าฝนในเมืองมากนัก

หล่อนตวัดตาดุๆ ขึ้นมอง กัดฟันกรอด “จะป่วยก็เพราะคุณแกล้งฉันนี่แหละ!”

อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ ยกร่มขึ้นมากางตามเดิม และตลอดทาง ใต้ร่มคันนั้นก็ไม่มีบทสนทนาใดๆ ดังขึ้นอีกเลย

“แล้วคุณกานต์ละคะ” ถามถึงเพื่อนร่วมบ้านของเขาเป็นอันดับแรกทันทีที่มาเหยียบชายคาบ้านสองหนุ่มโสด “เช็ครถอยู่น่ะ มันก็ออกไปลาดตระเวนวันนี้เหมือนกัน”

“ป่าใหญ่ขนาดนี้ เดินกันไหวเหรอคะ”

“ไม่ไหว แต่ก็ทำได้เท่าที่ทำ ทำให้ทุกวันดีที่สุด ป่ามันกว้าง คนมันน้อย ถึงมีข่าวล่าสัตว์ ลักลอบตัดไม้อยู่ตลอด ไม่ใช่ว่าละเลยหน้าที่ แต่บางทีมันก็เดินไม่ได้ทุกพื้นที่ เข้าใจใช่ไหม” พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วค่อยๆ วางกระเป๋าลง ระหว่างรอให้ชายหนุ่มเข้าไปหยิบกระเป๋าใบใหม่ออกมาแทน พร้อมมีถุงดำติดมือมาด้วย

“เอาเสื้อผ้าข้าวของใส่ไว้ในนี้ ถ้าฝนตกหนักจนผ้าใบคลุมกระเป๋าเอาไม่อยู่ น้ำฝนซึมเข้ามาของจะได้ไม่เปียกเพราะมีถุงดำห่อเอาไว้แล้ว”

“โอ้ ความรู้ใหม่” เมื่อได้แล้วพลอยชีวันจึงเริ่มถ่ายของจากใบเก่าไปใบใหม่ที่ใหญ่กว่าและหนักกว่าเดิมเมื่อมีถุงนอนและเปลสนามเพิ่มขึ้นมา “ครับ... ตลอดทริปนี้ ผมรับรอง คุณจะได้ความรู้ใหม่ๆ อีกเยอะเลยล่ะ”

ชายหนุ่มปล่อยให้พลอยชีวันย้ายข้าวของจากกระเป๋าหนึ่งไปอีกกระเป๋าหนึ่ง ขณะที่เขาเองเดินกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อทบทวนว่าตนเองหลงลืมข้าวของอะไรหรือไม่ กวาดตาไปรอบๆ และไปหยุดลงที่เสื้อสีกากีที่แขวนไว้กับบานเกล็ดเหนือศีรษะฟูกที่นอน

เขารู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าเสื้อ และยังชั่งใจอยู่ว่าจะเดินเข้าไปหยิบดีหรือไม่... เขาเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องภูตผี คุณไสย์ พุทธคุณ ประเภทยิ่งทำบุญเยอะจะยิ่งได้ขึ้นสวรรค์ เขาเชื่อเรื่องการทำดีมากกว่า ความดีมันเป็นรูปธรรมมากกว่าการเทกระจาดเงินทั้งเนื้อทั้งตัวไปเร่ทำบุญกับพระเกจิเชื่อดังเพื่อซื้อความสบายใจเป็นการการันตีที่นั่งในสวรรค์กระนั้นหรือ?

แต่สิ่งที่หลวงพ่อ ผู้เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติกล่าวเอาไว้ยังติดอยู่ในใจของเขา...

ร่างสูงถอนหายใจ “เอาวะ เพื่อความสบายใจของพระอาจารย์ก็ได้วะ”

ก้าวอาดๆ ไปยังฟูกที่นอน ล้วงเอาจีวรพระออกมาพนมไหว้ขึ้นเหนือหัว และยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อเครื่องแบบลายพรางนกของตน


--------------------------------------------------------------------------

รถกระบะสองประตูมีแคปโดยสารเล็กๆ มีสมหมายเป็นพลขับ และมีสินธุ์นทีนั่งคู่ข้างหน้า ในมือเขามีแผนที่ วิทยุ และเครื่องจับจีพีเอสไว้สำหรับระบุพิกัดหมู่บ้าน ซึ่งสมหมายเองเคยเดินทางมาเฉียดหมู่บ้านลังกาก็หลายหน แต่ก็ยังไม่เคยได้เดินทางเข้าไปในตัวหมู่บ้านอย่างจริงจังเสียที ขณะเดียวกัน กระบะท้ายก็มีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอีกสามนายเดินทางติดตามมาด้วย

“เลยลำบากกันไปหมดเลย ขอโทษนะคะ”

เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยฯ หน้าเข้มนิ่งเงียบไป ไม่ตอบอะไร พลขับจึงเป็นฝ่ายตอบขึ้นมาแทน “ไม่หรอกครับ อย่าคิดมาก ถือเสียว่ามาลาดตระเวนกันอีกทาง ใช่ไหมครับผู้ช่วยฯ”

“ครับ...” ประโยคสั้นๆ แต่คนฟังสั่นสะท้านไปทั้งใจด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“แล้วเราต้องขับรถกันนานแค่ไหนคะ”

“หกชั่วโมงถ้าฝนไม่ตก ทางไม่เละ แต่ถ้าทั้งตกทั้งเละก็แปดชั่วโมงหรือนานกว่านั้นครับ”

“อ๋อ แล้วก็ถึงหมู่บ้านเลยใช่ไหมคะ”

“ต้องเดินเท้าเข้าไปอีกครั้ง ซึ่งนี่แหละเราไม่รู้ว่านานเท่าไร เพราะเราไม่เคยมีใครได้ไปมาก่อนเลย” คนฟังหน้าเสีย ลำพังนั่งรถบนถนนที่เรียบบ้างขรุขระบ้าง เละบ้างแห้งบ้าง หัวสั่นหัวคลอนจนลูกกะตาแทบหลุดจากเบ้าตา ลำพังเดินทางด้วยรถยนต์เพียงเท่านี้หล่อนยังรู้สึกราวร่างจะสลายลงไปตรงนี้แม้เพิ่งผ่านมาได้แค่หนึ่งชั่วโมง นี่ยังต้องแบกกระเป๋าเดินเท้าเข้าไปอีกหรือ... คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่นี่

“คิดมากไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอกคุณ” จู่ๆ เสียงทุ้มจากคนที่นั่งเงียบอยู่นานก็ดังขึ้นคล้ายจะรู้ทันความคิดหล่อน

“ทำใจให้สบาย นอนพักผ่อนเอาแรงดีกว่า... ผมหมายถึงถ้าคุณหลับลงน่ะนะ”

“หรือไม่ก็นั่งดูสองข้างทางถนนก็ได้นะครับคุณเพลิน ห้องทำงานพวกผมนี่วิวดีที่สุดในโลกแล้วครับ หาดูได้ง่ายๆ ที่ไหน ข้างหน้าอีกหน่อยมีแม่น้ำด้วยนะครับ”

“จริงหรือคะ” น้ำเสียงคนฟังดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

ทว่า อาการกลั้นขำของสมหมายทำให้หล่อนรู้ได้ทันทีว่าถูกหลอกเสียแล้ว “แค่น้ำพัดผ่านถนนน่ะครับ ถือเสียว่าเป็นแม่น้ำสายเล็กก็แล้วกัน”

“โถ... พี่สมหมาย”

หญิงสาวจึงได้แต่นั่งเท้าคาง ค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย แต่เมื่อปล่อยใจไปกับวิวจากกระจกห้องโดยสายก็พบความงามที่หล่อนไม่เคยได้พบมาก่อน

ต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ไกลสุดลูกหูลูกตา ยังมีหยาดน้ำเกาะพราวไปทั่วทั้งกิ่งก้านใบ ต่างคนต่างก็แย่งกันผลิใบ ทำให้มองเห็นสีเขียวอ่อนเขียวแก่สลับกันเต็มไปหมด บนพื้นดินมีไม้ชั้นล่างตระกูลเดียวกันกับขิงข่าที่สมหมายบอกว่าสามารถนำมารับประทานได้ เมื่อรถเคลื่อนตัวช้าลงจึงทำให้หล่อนมีโอกาสมองเห็นได้ชัดๆ ก็พบว่าใบคล้ายๆ ข่าบ้านนี่เอง

“จอดรถทำไมคะ”

“กวางครับ ลงมากินน้ำ” ถนนข้างหน้ามีสายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อยตัดผ่าน หล่อนมองเห็นกวางหนุ่มเขางามตัวสูงขนาดเท่ากับกระจกรถยนต์ยืนกินน้ำอยู่ข้างหน้าในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ความรู้สึกของการได้สัมผัสสัตว์ป่าตามธรรมชาติกับสัตว์ป่าที่ถูกกักขังเอาไว้ในกรง มันต่างกันตรงนี้นี่เอง...

มันต่างกันตรงความอิ่มเอิบใจที่เห็นพวกเขามีความสุขตามธรรมชาติ.... ของพวกเขาจริงๆ


--------------------------------------------------------------------------

ปืนกลออโตเมติก M-16 ค่อยๆ ถูกยกขึ้นประทับบ่าปลายกระบอกปืนอยู่ในระดับเดียวกันกับสายตาเมื่อมองเห็นกวางป่าตัวใหญ่เดินออกมาจากพุ่มไม้ แม้วันนี้จะไม่ได้ตามใบสั่งที่เขียนมา แต่ทว่า เขากวาง...ก็พอแก้ขัดได้

ปลายนิ้วเกี่ยวไกปืนครั้งเดียว กระสุนก็พุ่งตรงเจ้าไปปลิดชีวิตสัตว์ป่าผู้ไร้พิษสงทันที กวางหนุ่มที่มีเขางามจนเป็นภัยแก่ตัวมันซวนเซไปได้ไม่ไกลนักก็ล้มลงดิ้นทุรนทุรายบนพื้น จังหวัดที่พรานจอมเดินเข้ามาถึง แม้จะพยายามกระเสือกกระสนหนี แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมได้

ดวงตาชายวัยสี่สิบหกว่างเปล่าไร้ซึ่งอารมณ์ ก่อนพยักพเยิดให้ลูกน้องช่วยกันเคลื่อนย้ายร่างขนาดสองคนหามไปจากบริเวณนั้น จากป่าผ่านเส้นทางเดินเท้าถึงท้ายหมู่บ้านใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง และไม่ถึงสองชั่วโมง ร่างของสัตว์ป่าก็ถูกชำแหละออกเป็นส่วนๆ

“เขาสวยเชียว” พรานหนุ่มใหญ่เงยหน้าขึ้นจากกองซากสัตว์ ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ หยิบเศษผ้ามาเช็ดคมมีดพลางเดินเข้ามาหาผู้พูด “ที่สั่งมายังหาให้ไม่ได้นะ เห็นรอยก่อกองไฟบนเขา ไม่แน่ใจว่าป่าไม้หรือทหาร หรืออาจจะเป็นคนฝั่งโน้นข้ามมา ไม่ค่อยอยากเสี่ยง”

‘ฝั่งโน้น’ ที่ว่า คือประเทศเพื่อนบ้านที่มีเพียงภูเขาเป็นพรมแดนกั้นกลาง

“ไม่ได้มาเรื่องนั้น” คิ้วของคนฟังเลิกสูงขึ้นทันที “มีคนเขาอยากขอให้นำทางในป่าให้หน่อย”

“ไปไหน”

“หมู่บ้านลังกา เอ็งพอรู้จักไหม”

พรานจอมไม่ตอบ แต่กลับถามไปอีกทาง “ไปทำไม”

“ไม่รู้”

“ถ้าไม่รู้ ข้าก็นำทางให้ไม่ได้”

คู่สนทนากัดริมฝีปาก ถอนหายใจ “เขาจะไปทำอะไรก็ช่างเขาเถอะ เงินสองเท่าของราคาที่เอ็งไปล่าเสือก็แล้วกัน”

“ราคาเดียวกันกับค่าหัวของป่าไม้ที่เขาโจษจันกันหรือเปล่า”

ผู้มาเยือนนิ่งขึงไปครู่ใหญ่ พรานจอมทราบได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาเดานั้นถูกต้อง “ข้าไม่เอาด้วยหรอก นั่นคนทั้งคน”

“ไอ้จอม เอ็งอย่ามาทำเป็นคนมีศีลธรรมนักเลย ตั้งแต่หนุ่มยันแก่... ในป่านั่นน่ะเอ็งฆ่าไปกี่ตัวแล้วล่ะ นี่ก็แค่นำทางเข้าไป ไม่ใช่จะให้ไปฆ่าเองเสียหน่อย”

“เอ็งรู้ไหมว่าครั้งล่าสุดที่มีคนหลงไปแถวนั้น สภาพที่มันกลับออกมา แทบไม่เป็นผู้เป็นคน ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” พรานจอมตอบเสียงดังหนักแน่น หันไปหาลูกน้องเพื่อสั่งงาน แล้วเดินมุ่งหน้าเข้าบ้าน ทิ้งให้ฝ่ายนั้นได้แต่ยืนมองตาม

เสียงเห่าจากสุนัขพันธุ์ไทยขนเกรียน ดึงให้เอื้องมณีเงยหน้าขึ้นมาจากการทอผ้าเพื่อทักทายผู้เป็นพ่อ “พ่อกลับมาแล้วหรือจ๊ะ เดี๋ยวหนูไปเอาน้ำมาให้”

พรานจอมตอบรับในลำคอเบาๆ นั่งลงบนแคร่ไม้ไม่ห่างจากกี่ทอผ้าผืนงาม ไม่นานนักบุตรสาวก็กลับมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็น

“พ่อหิวไหม หนูจะไปเตรียมสำรับให้”

“ยังไม่หิวลูก แล้วแม่ล่ะ”

“แม่ยังไม่กลับมาจากไร่น่ะจ้ะ” เงียบไปครู่เดียว เสียงเห่าก็ดังขึ้นอีก เครื่องแบบลายพรางนกพิราบเห็นเด่นมาแต่ไกลทำให้ทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เท่านั้นด้วยสัญชาตญาณ เขาหันไปกระซิบบุตรสาวให้รีบไปบอกลูกน้องให้เคลื่อนย้ายหลักฐานทันที

“วันนี้ได้ตัวอะไรมาบ้างล่ะพรานจอม”

“ผู้ช่วยฯ ก็ว่าไป ผมเลิกทำตั้งนานแล้ว ผู้ช่วยฯ ก็รู้” พรานจอมยิ้มกว้าง แต่ในใจเต้นระรัวเมื่อนึกถึงซากกวางที่ถูกแยกเป็นชิ้นๆ อยู่ในสวนแถวกระต๊อบหลังบ้านริมชายป่า “แล้วเนื้อตัวไปโดนอะไรมา เลือดไม่ใช่หรือครับ”

“ผมไปช่วยบ้านตานวยล้มวัวมา แกจะแต่งลูกเขยเข้าบ้านน่ะครับ”

“ผมไม่เห็นได้ข่าวเลย” การันต์ตั้งข้อสันนิษฐาน “ยังไงขอเดินดูรอบบ้านหน่อยนะครับ เมื่อกี้มีวิทยุมาบอกว่าได้ยินเสียงปืนแถวหุบแดง”

แม้ใจสั่น แทบพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนไม่ไหว แต่หนุ่มใหญ่ยังยิ้มสู้ “นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะครับ บ้านผมมันไม่มีอะไรหรอก จะดูเมื่อไหร่ก็ดูได้”

ชายหนุ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ ข่มอารมณ์พุ่งพล่านในอกถามออกไปเสียงเรียบ “พรานหวงลูกสาวไหม”

“ทำไมจู่ๆ ผู้ช่วยฯ ถึงถามแบบนั้น” ถามเสียงแข็ง หน้าตึงขึ้นมาทันที

“สัตว์ป่าพวกนั้นมันก็เหมือนลูกของผม ผมก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่ามกับลูกผมเหมือนกัน พรานเลือกเอา ว่าจะเลิกทำ หรือจะให้ผมมายุ่งกับลูกสาวพรานบ้าง”

“ผู้ช่วยฯ ข่มขู่ผมรึ!”

“ผมแค่เปรียบเทียบ” การันต์ลอยหน้าลอยตาตอบ ในสายตาของพ่อที่หวงลูกสาว มันช่างเป็นท่าทางที่ยียวนกวนประสาทอย่างที่สุด “ถ้าพรานยืนยันว่าไม่มีอะไร... ถ้าอย่างนั้น ผมขอเดินดูรอบบ้านหน่อยนะครับ”

ชายหนุ่มหันไปพยักพเยิดส่งสัญญาณให้ลูกน้องเดินลุยเข้าไปหลังบ้าน ส่วนตัวเขาเดินปิดท้าย จังหวะนั้นเองที่เอื้องมณีเดินกลับออกมาจากสวนหลังบ้านที่สองข้างทางเดินขนาบด้วยต้นกล้วยสลับกับต้นหมากสูงท่วมหัว ชายหนุ่มอาศัยร่างที่ใหญ่โตกว่ายืนขวางทางหล่อนเอาไว้ เมื่อหมดปัญญาจะเลี่ยง หญิงสาวจึงถอยออกมาตั้งหลัก หายใจหอบ พวงแก้มแดงก่ำ

“ในนั้นมีอะไร”

“ในไหนคะ”

“ท้ายสวน”

“มีกระต๊อบที่เอาไว้เก็บข้าว เก็บเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกในไร่ค่ะ”

“ผมว่าเราต่างคนต่างรู้ว่าพ่อเอื้องทำผิดกฎหมาย ผมไม่อยากจับ แต่มันเป็นหน้าที่ผม เอื้องอยากให้พ่อติดคุกหรือ ที่พ่อเอื้องทำนั่นมันบาป แถมเสี่ยงตายด้วย”

“พ่อแค่ไปหาของป่าที่อนุญาตให้หาได้ พวกหน่อไม้ รังผึ้ง พวกนี้มันบาปตรงไหนคะ”

การันต์ถอนหายใจแรงๆ “ถือว่าเราเจรจากันแล้วนะ... แต่ถ้าข้างในนั้น ถ้าผมเจออะไร ผมสาบานเลยว่าจะเอาพรานจอมเข้าคุก ผมไม่ได้ขู่ด้วย ผมเอาจริง”

เอื้องมณีกลั้นหายใจตอนที่เขาเดินผ่านไป หัวไหล่ของการันต์เฉียดใบหูหล่อนไปนิดเดียว แต่กลับทำให้ขนลุกเกรียวด้วยความกลัวอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน แข้งขาสั่นจนเกือบลงไปกองกับพื้น แต่ก็ยังพยายามพยุงตัวเองโซซัดโซเซกลับมายังใต้ถุนบ้านจนได้

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าเอื้อง”

“น้ามีกับน้าอ้วนขนของไปที่อื่นแล้วจ้ะพ่อ ตอนหนูไปถึงเขากำลังล้างแคร่อยู่พอดี ตอนนี้คงไปไกลแล้ว”

“ดี พ่อจะได้โทรศัพท์ไปกำชับให้มันไปขายที่อื่น” พรานจอมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาลูกน้อง สั่งความเสร็จก็วางสายแล้วหันมาหาบุตรสาวที่ยังคงเสียขวัญไม่หายจากพายุอารมณ์ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่ม “เป็นอะไรรึลูก”

“พ่อ... เลิกล่าสัตว์เถอะนะจ๊ะ หนูกลัวพ่อติดคุก”

“พ่อทำอาชีพนี้มาตั้งแต่หนุ่ม พ่อทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว พ่อรู้ว่ามันเสี่ยง แต่ถ้าไม่ทำ เราจะเอาอะไรกิน”

“เรามีไร่นะพ่อ หนูกับแม่ก็ช่วยกันทอผ้า เท่านี้เราก็พอกินพอใช้กันแล้ว”

“แล้วพ่อจะเอาเงินที่ไหนส่งเอื้องเรียน” เอื้องมณีใช้เวลาสองปีในการสอบเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย จริงอยู่ที่ปีนี้อายุหล่อนจะเข้าสู่ปีที่ ๒๑ แล้ว หนำซ้ำตอนเรียนก็ได้เข้าเรียนช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกันกว่าจะจบมัธยมปลาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและมุมานะ ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ หญิงสาวเชื่อว่าไม่มีใครจะแก่เกินเรียน

เอื้องมณีนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบทั้งน้ำตา “หนูไม่เรียนก็ได้... หนูไม่อยากให้พ่อติดคุก ไม่อยากเสียพ่อไป”

“ไม่เอาเจ้าเอื้องของพ่อ... ไม่ร้องลูก ไม่มีใครติดคุก ไม่มีใครไม่ได้เรียน พ่อจะทำทุกอย่างให้ลูกได้เรียน จะได้ไม่ต้องมาลำบากเหมือนพ่อ”

“แต่พ่อ...”

“ไปเตรียมข้าวเย็นรอแม่เถอะ เดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้ว” พรานจอมตัดบท คล้อยหลังบุตรสาวหายเข้าครัวไปไม่นาน กลุ่มชายหนุ่มก็เดินกลับออกมาจากสวนหลังบ้าน

“เจออะไรไหมครับผู้ช่วยฯ ” คำถามเรียบๆ แต่มันกลับทำให้คนฟังแทบคลั่ง กลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งอยู่ในโสตประสาทการรับกลิ่นของเขา แต่มันก็มีเพียงคราบเลือดผสมกับน้ำจนเจือจาง... ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนพื้นดินสีดำ ยากจะนำมาเป็นหลักฐาน ข่มใจให้ยิ้มหวาน “ไม่เจอครับ... แต่เดี๋ยวผมแวะมาใหม่”

“แวะมาใหม่ก็ไม่เจออะไรหรอกครับ ผมเลิกหมดแล้ว”

“ดีครับ... ผมหวังว่าพรานจะเลิกจริงๆ จะได้เลิกเรียกพราน แล้วเรียกว่าพ่อตาแทน ลาล่ะครับ”

ยกมือไหว้ท่วมหัว ค้อมตัวลงต่ำ เห็นได้ชัดว่าประชดประชันอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ได้ผลมากทีเดียวเมื่อหางตาเขามองเห็น ‘ว่าที่พ่อตา’ ยืนขบกรามไล่หลังแทนคำอวยพรให้เขาและทีมงาน




อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2560, 23:14:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2560, 23:14:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 962





<< บทที่ ๗   บทที่ ๙ >>
แว่นใส 25 มี.ค. 2560, 08:38:30 น.
จับไม่ได้สักที


Zephyr 25 มี.ค. 2560, 19:08:29 น.
ได้เรียกพ่อตาแน่ๆ


goldensun 27 มี.ค. 2560, 21:31:55 น.
สงสารกวาง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account