The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 15 : || แผนที่ต้องคำสาป และ ร่างสังเวย ||

EPISODE 15

แผนที่ต้องคำสาป และ ร่างสังเวย



“ทำได้แน่นะ?” มิเวลถามด้วยความเป็นห่วง เห็นวอลท่าทางไม่ค่อยดีตั้งแต่มาถึงที่นี่แล้ว เธอยังจำคืนที่วอลใช้พลังจิตควบคุมทหารของเบอริลได้ดี หลังจากใช้พลังเขาก็สลบเหมือดไปเลย



“แน่นอนอยู่แล้ว” เสียงร่าเริงตอบอย่างมั่นใจด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เฟลนเวย์ซึ่งกำลังนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น วอลหลับตาลงแล้วใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายแตะเบาๆ บนหน้าผากของอีกฝ่าย



ทันใดนั้นเองภาพเคลื่อนไหวต่างๆ มากมายก็พุ่งกระจายออกมาจากร่างของเฟลนเวย์ มิเวลมองความทรงจำทั้งหมดลอยเคว้งอยู่ในอากาศด้วยความรู้สึกทึ่ง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ มีทั้งภาพของเฟลนเวย์และผู้คนมากมาย ดูซับซ้อนเกินกว่าเธอจะเข้าใจได้ว่าเป็นความทรงจำเกี่ยวกับอะไร



เอเวนยืนมองเจ้าของฉายาตัวแคปซูลที่เขาเป็นคนตั้งให้ด้วยสีหน้านิ่งๆ ไม่พูดอะไร รู้สึกแปลกใจว่าทำไมวอลดูอ่อนแรงทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังอะไรหนักๆ หรือใช้พลังจิตมากมายเลยด้วยซ้ำ



มิเวลเบือนสายตาไปยังวอล ใบหน้ายิ้มจางๆ ซีดขาวมากกว่าเดิมจนน่าตกใจ รวมทั้งยังมีท่าทางอ่อนเพลีย แต่เขาก็ยังคงยิ้มอยู่แม้ว่าจะดูฝืนๆ ก็ตาม



“วอล พอเถอะ” เด็กสาวร้องบอก เมื่อเห็นมือขาวๆ สั่นเทาเล็กน้อยและสีหน้าซีดเซียวจนไร้สีเลือด แต่อีกฝ่ายก็ยังคงดื้อใช้พลังจิตค้นหาความทรงจำต่อ พลางพึมพำบอกว่าไม่เป็นไร



ผ่านไปครู่หนึ่งร่างกายอ่อนแอของเด็กหนุ่มก็ฝืนทนต่อไปอีกไม่ไหว ร่างโอนเอนล้มลงกับพื้นพร้อมกับที่ภาพความทรงจำของเฟลนเวย์ได้หายวับไปในทันที



“วอล!” มิเวลถลาเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว



“ถะ...ถาม...ตอนนี้เลย เร็ว...” เสียงอ่อนแรงพยายามบอกก่อนจะหมดสติไป



เด็กสาวหันขวับไปมองเอเวน เขาเหลือบสายตามามองเธอแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหาเฟลนเวย์ ร่างถูกรัดแน่นด้วยรากไม้มีสีหน้าล่องลอยไร้สติ ทั้งตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด



“บอกวิธีใช้แผนที่มา” เสียงเย็นออกคำสั่ง



“...แผนที่ต้องคำสาป...”



“ใช่”



“...เงื่อนไขในการใช้มีทั้งหมดสี่ข้อ...หนึ่ง ต้องกรีดเลือดที่มีพลังเข้มข้นของผู้ไม่มีพลังเวทลงบนแผนที่...”



“มีอะไรอีก”



“...สอง เตรียมร่างสังเวยของผู้ไม่มีพลังเวทเพื่อเป็นที่อยู่ของแผนที่ต้องคำสาป...” เอเวนขมวดคิ้วอย่างสับสน



หมายความว่าให้แผนที่สิงสถิตอยู่ในร่างงั้นหรือ?



“สาม ผู้ใช้ต้องสละพลังเวทจำนวนหนึ่งให้แผนที่ต้องคำสาป...และสี่...มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะมองเห็นเส้นทางบนแผนที่ในการเรียกใช้แต่ละครั้ง...”



ใบหน้าเย็นชาหันไปดึงดาบของตัวเองออกจากเลื่อย เหลือบสายตามองร่างของเฟลนเวย์แวบหนึ่งก่อนจะร่ายเวทใช้ดาบทำลายใบเลื่อยจนแหลกเป็นเศษเล็กๆ



ร่างของผู้ขายวิญญาณกลายเป็นผงทรายแล้วระเหิดหายไป เอเวนหันไปหามิเวลพร้อมกับยื่นแผนที่คืนให้เด็กสาว มิเวลรับมาแล้วเก็บลงในกระเป๋าคาดเอวของตัวเองตามเดิมก่อนจะหันไปมองเจ้าบ้าวอลที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น ทั้งรู้สึกผิดและรู้สึกโกรธในเวลาเดียวกัน



เพราะเธอเป็นคนขอให้เขาใช้พลังจิต เจ้าบ้านี่เลยต้องมานอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นแบบนี้ แต่เธอก็อุตส่าห์บอกเขาให้หยุดใช้พลังได้แล้ว เจ้าบ้าวอลก็ยังจะดื้อฝืนตัวเองอยู่นั่นแหละ



ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จะสวดให้ยาวเลยคอยดู



“มิเวล” น้ำเสียงเรียบเอ่ยเรียก



“หือ”



“ข้าอยากจะถามนานแล้วแต่ไม่มีโอกาส” สีหน้าเครียดของเอเวนทำให้เด็กสาวชักจะรู้สึกสงสัย



ทะแม่งๆ แฮะ



“ถามอะไร”



“ตอนนี้ผู้ขายวิญญาณตายไปแล้ว”



“ใช่ ข้ารู้” น้ำเสียงรำคาญตอบ “พูดมาซะที”



“แล้วเจ้าชายล่ะ”



อ๊ะ...



มิเวลอ้าปากค้าง มองเอเวนที่กำลังถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ นึกถึงจุดประสงค์ดั้งเดิมของพวกเธอขึ้นมาได้



เจ้าชายริชาร์ดยังมีชีวิตอยู่มั้ยล่ะเนี่ย!?



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



เคอาร์เคลื่อนห่างออกจากยูรามุ่งหน้าเข้าไปในป่าแล้ววิ่งไปตามถนนด้วยความเร็วคงที่ ผ่านไปพักใหญ่กว่าที่จะห่างจากยูรามาได้พอสมควร จากนั้นถึงค่อยหยุดจอดข้างทางที่ไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้ใบหญ้า



มิเวลเห็นด้วยกับเอเวนว่าจะหยุดพักในป่าจนกว่าจะใช้แผนที่ต้องคำสาปได้ เพราะถ้าวิ่งไปมั่วๆ ดีไม่ดีอาจจะยิ่งทำให้ออกห่างจากเส้นทางไปยังสถานที่ต้องห้ามทั้งห้าก็ได้



หลังจากจัดการผู้ขายวิญญาณได้ มิเวลก็ออกตามหาเจ้าชายริชาร์ดทั่วทั้งวังนอก คิดว่าบางทีเจ้าชายคงหนีออกจากวังไปพร้อมกับพวกนางกำนัลแล้วหรือเปล่า เพราะการต่อสู้กับเฟลนเวย์นั้นค่อนข้างเอะอะโกลาหล แถมยังมีเสียงระเบิดอีกต่างหาก อาจจะทำให้พวกเขาตื่นตระหนกจนหนีออกไปแล้วก็ได้



จะทำยังไงดีถ้าหากกษัตริย์เพอราลรู้เข้า ข้างนอกคงเต็มไปด้วยพวกทหารแน่ๆ แล้วตอนนี้วอลก็ไม่ได้สติ แถมควินัวก็หายตัวไปอีกด้วย เอเวนบอกว่าเขาจะใช้เวทหนีแต่นั่นยิ่งทำให้เธอกังวลมากเข้าไปใหญ่ จริงๆ แล้วเธอไม่ได้กลัวว่าจะหนีออกจากยูราไม่ได้ แต่กลัวว่าเอเวนจะฆ่าพวกทหารต่างหาก



ความกังวลทั้งหมดหายวับไปเมื่อมิเวลเจอเจ้าชายริชาร์ดและนางกำนัลทั้งหมดสิบกว่าคนนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่รวมกันในห้องหนึ่ง เธอกับเอเวนจึงลงความเห็นเหมือนกันว่าเฟลนเวย์คงเป็นคนพาทุกคนมาไว้ที่นี่แล้วตั้งใจจะฆ่าทิ้งทีหลัง



ทั้งสามคนกลับออกไปนอกยูราด้วยเวทบาเรียของเอเวน วอลต้องกลับเข้าไปอยู่ในแคปซูลรักษาอีกครั้งซึ่งตั้งอยู่ในห้องของเขา



มิเวลได้เดินสำรวจด้านในของรถเคอาร์เป็นครั้งแรก เธอรู้สึกว่ามันเหมือนบ้านเคลื่อนที่มากกว่ารถ ข้างในดูกว้างขวางกว่าที่เห็นภายนอกหลายเท่า น่าทึ่งไม่น้อยที่เทคโนโลยีของพวกมนุษย์สามารถสร้างสิ่งของแสนวิเศษแบบนี้ได้



ภายในเคอาร์แบ่งออกเป็นห้องใหญ่ๆ ห้าห้อง ห้องเล็กอีกสามห้อง มีห้องอาบน้ำและห้องบังคับ มิเวล เอเวนและวอลได้ห้องใหญ่กันคนละห้อง ใช้ห้องใหญ่อีกห้องเป็นห้องรวม และห้องเล็กหนึ่งห้องไว้สำหรับเก็บเสบียงกับเชื้อเพลิง ขณะที่เดินสำรวจพาหนะใหม่มาได้สักพักมิเวลก็อดนึกเป็นห่วงควินัวขึ้นมาไม่ได้และคิดว่าจะออกไปตามหามัน แต่เอเวนบอกว่ายังไงสัตว์เวทก็ต้องคอยตามเจ้าของไปตลอดชีวิตของมันเธอถึงได้สบายใจขึ้น



เมื่อการสำรวจรถเคอาร์เสร็จสิ้น มิเวลก็ลงจากรถไปหากษัตริย์เซนเธซึ่งกำลังรอพวกเธออยู่ ผู้สูงวัยเดินเข้ามาหาทันทีที่เห็นเธอ สีหน้าร้อนรนด้วยความเป็นห่วงลูกชาย มิเวลแจ้งกับอีกฝ่ายว่าเจ้าชายริชาร์ดปลอดภัยดี ทำให้เซนเธยิ้มดีใจทั้งน้ำตาพร้อมกับพร่ำบอกขอบคุณเด็กสาวไม่หยุด แต่มิเวลไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด เพราะยังมีอีกเรื่องที่จำเป็นต้องบอกแม้ว่าเธอจะไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเซนเธก็ตาม



“กลับมา...เป็นผู้ใช้เวทไม่ได้อีกแล้ว...”



เด็กสาวพยักหน้า รู้สึกเสียใจที่ต้องบอกข่าวร้ายนี้กับเซนเธ



“...ข้าขออภัยด้วย”



เอเวนบอกกับเธอหลังจากพบตัวเจ้าชายริชาร์ดในวังนอกได้ไม่นานว่าเมื่อใดที่ผู้ใช้สูญเสียพลังเวทและไอเวททั้งหมดของตัวเอง พลังจะไม่มีวันกลับคืนมา ดังนั้นเจ้าชายริชาร์ดจะไม่มีวันกลับมาเป็นผู้ใช้เวทได้อีก



เซนเธสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับกล่าวขอบคุณสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ ขอบคุณ”



มิเวลกล่าวลากษัตริย์แห่งเบอริลก่อนจะวิ่งกลับขึ้นมาบนเคอาร์ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเอเวนยืนกอดอกพิงกำแพงขวางอยู่ ใบหน้าเฉยเมยจ้องมาที่เธอด้วยสายตานิ่งๆ



“...อะไร”



“เปล่า ก็แค่สงสัยว่ายืนคุยอะไรกันตั้งนาน” เสียงเย็นชาตอบ สีหน้านิ่งๆ ดูกวนประสาทของอีกฝ่ายทำให้มิเวลต้องรู้สึกฉุนเล็กน้อย จริงๆ แล้วเจ้าบ้านี่เป็นคนลงไปบอกกษัตริย์เซนเธก็ได้ เผื่อจะต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่กลับปฏิเสธเด็ดขาดแล้วให้เธอเป็นคนไปบอก



เด็กสาวยักไหล่อย่างไม่สนใจ เดินผ่านเอเวนไปเหมือนเห็นเขาเป็นสิ่งของ หงุดหงิดไปก็เท่านั้น แถมเธอไม่อยากจะเสียอารมณ์ไปกับคนบ้าพรรค์นี้ แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องของวอลเพื่อไปดูอาการของเขา เธอก็นึกอะไรขึ้นได้



“เจ้าไปเป็นคนขับเคอาร์นะ” น้ำเสียงเฉียบขาดออกคำสั่ง เรียกสีหน้าขุ่นจากคนถูกสั่งได้ทันควัน เด็กสาวยิ้มสนุกในใจเมื่อรู้จุดอ่อนของอีกฝ่าย หลังจากเดินทางด้วยกันมาไม่กี่วันเธอก็พอจะรู้แล้วว่าเอเวนเป็นคนใจอ่อน (ถ้ามีเหตุผลเพียงพอ) แม้จะโหดอยู่บ้างก็ตาม แล้วภาพเมื่อตอนที่เขาทรมานเฟลนเวย์ก็ผุดขึ้นมาในหัว



“ทำไมข้าต้องเป็นคนขับ” เสียงเย็นถามอย่างเอาเรื่อง มิเวลทำเสียงจุ๊ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปตบเบาๆ ตรงไหล่ของคนตัวสูงกว่า บอกประมาณว่า ‘อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ’



“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่รู้จักพวกเครื่องกลไลอะไรพวกนี้ แล้วเจ้ายังจะให้ข้าเป็นคนขับงั้นหรือ” เสียงหวานขึ้นสูงตรงท้ายประโยค เน้นคำถามชัดๆ ซึ่งแปลเป็นอีกความหมายหนึ่งก็คือ ‘เจ้าจะมาเสี่ยงชีวิตให้ข้าเป็นคนขับงั้นหรือ’



เอเวนทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ แต่ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจยาวออกมาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะยอมเดินไปห้องบังคับแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก มิเวลยิ้มกว้างยกมือโบกลาไล่หลังอีกฝ่ายพร้อมกับคิดในใจอย่างเจ้าเล่ห์ ว่าแล้วเชียว เจ้าบ้านี่ใจอ่อนจริงๆ ด้วย ปกติเห็นเอาแต่เก๊กทำหน้าตายอยู่ตลอด คราวนี้ล่ะเธอจะใช้งานให้คุ้มเลย อยากทำหน้ากวนประสาทดีนัก



++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ผ่านมาหนึ่งวันอาการของวอลซึ่งอยู่ในแคปซูลรักษาดูดีขึ้นเล็กน้อย มิเวลเลยรู้สึกสบายใจขึ้น แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปตกลงเรื่องเส้นทางกับเอเวน เธอจึงออกจากห้องของวอลแล้วมุ่งหน้าไปทางห้องบังคับ



ผู้จำใจรับหน้าที่เป็นสารถีเห็นด้วยกับมิเวลว่าไม่ควรเดินทางมั่วๆ ถ้าหากยังไม่รู้เส้นทางแน่นอน ดังนั้นทั้งคู่จึงตัดสินใจว่าควรจะหยุดเดินทางจนกว่าจะดูเส้นทางในแผนที่ต้องคำสาปได้ และนั่นก็เป็นปัญหาใหญ่ของพวกเธอ



รถเคอาร์จอดอยู่ข้างทางในป่ามาได้เกือบวันแล้ว บรรยากาศรอบด้านวังเวงจนน่ากลัว แม้ว่าจะมีถนนเล็กๆ ให้เห็นอยู่ในสายตา แต่กลับไม่มีรถเคอาร์ รถม้า หรือแม้แต่คนเดินผ่านเลยแม้แต่คนเดียว



มิเวลนั่งอยู่ในห้องรวมพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดสนิทยามค่ำคืนปรากฏดาวดวงเล็กๆ ให้เห็นประปรายอย่างสวยงาม อยากออกไปนอนดูดาวข้างนอกแต่ก็โดนเอเวนห้ามเอาไว้ คิดแล้วก็หงุดหงิดที่ต้องมานั่งดูดาวจากข้างใน เห็นก็ไม่ชัด แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ดูล่ะนะ



“เจ้าชอบดูดาวเหรอ” เสียงหนึ่งเอ่ยทักเรียกให้เด็กสาวหันไปมอง เห็นวอลในสภาพอิดโรยเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แม้ว่าท่าทางของเขายังคงดูอ่อนแรงจนเธออยากจะลากเจ้าบ้ากลับเข้าไปในแคปซูลก็ตาม แต่นิสัยของวอลเดี๋ยวก็คงร้องโวยวายน่ารำคาญเปล่าๆ ดังนั้นมิเวลจึงเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ไม่ไปกระตุ้นต่อมพูดมากของคนบ้าจะดีกว่า



“แล้วเจ้ามาเดินเตาะแตะอยู่ข้างนอกแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอไง”



คนถูกถามหัวเราะคิกอย่างชอบใจก่อนจะส่ายหน้าตอบ



“ไม่เหนื่อย แล้วเอเวนล่ะ” นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองวอลทันควัน ทะแม่งๆ แฮะ จู่ๆ จะถามถึงเอเวนทำไม



หรือว่าญาติดีกันแล้ว?



ไม่มั้ง



“ก็ต้องอยู่ในห้องของเจ้านั่นสิ” เด็กสาวตอบ ไล่ความคิดไร้สาระในหัวออกไป มองวอลที่ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกอย่างครุ่นคิด บางทีเธอก็นึกสงสัยว่าทำไมวอลถึงเอาแต่สวมชุดคลุมรุ่มร่ามอยู่ได้ แถมแขนเสื้อยังยาวเฟื้อยเสียจนเธอนึกอยากจะเอากรรไกรมาตัดฉับ ทั้งตัวโผล่มาให้เห็นแค่ศีรษะกับลำคอขาวซีดตัดกับเสื้อคลุมสีดำ ส่วนเธอกับเอเวนจะสวมชุดคลุมก็ต่อเมื่อออกไปเจอคนหมู่มากอย่างเช่นตอนเข้าเมืองเป็นต้น แต่ถ้าเป็นตอนอยู่บนเคอาร์หรือรถม้า เธอและเอเวนก็จะถอดเสื้อคลุมออกเหลือแต่ชุดลำลองธรรมดาเท่านั้น



“ข้าจะคุยเรื่องแผนที่ ถ้าเจ้ากับเอเวนมีเวลานะ” วอลเอ่ยบอก



เวลางั้นเหรอ มีเพียบเลยล่ะ เพราะตอนนี้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากแผนที่นั่นน่ะแหละ



“ข้าเองก็อยากจะคุยกับเจ้าเรื่องนั้นเหมือนกัน” เสียงเรียบดังมาจากอีกทาง เอเวนเข้ามาในห้องรวมด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เด็กหนุ่มเดินไปนั่งที่โต๊ะขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง หันมามองเธอกับวอลด้วยสายตานิ่งๆ



“พวกเจ้าสองคนเริ่มก่อนเลย ตอนนี้ข้าอยากดูดาว” มิเวลบอกผ่านพร้อมกับทำมือปัดๆ ไล่วอลให้ไปนั่งที่โต๊ะกับเอเวน ก่อนจะเหลือบมองคนถูกไล่เดินไปที่โต๊ะอย่างเชื่อฟัง ว่าแล้วก็ชักจะสงสัยว่าทำไมวอลถึงดูลอยๆ ผิดปกติยังไงชอบกล แต่เด็กสาวก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเพราะตอนนี้เธอต้องดูดาวเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้นจากการยัวะเอเวนมาหลายหน



มิเวลตวัดกลับไปยังดวงดาวแสนสวยบนท้องฟ้า ส่วนหูก็คอยฟังสองคนนั้นพูดกันอย่างใจจดใจจ่อ จริงๆ แล้วเธอแทบจะไม่มีสมาธิดูดาวเลยด้วยซ้ำ



“วิธีใช้แผนที่คือต้องอาศัยเลือดเข้มข้นของผู้ไม่มีพลังเวทและร่างสังเวยของผู้ไม่มีพลังเวทด้วยเช่นกัน หมายความว่าต้องเป็นเลือดและร่างสังเวยของคนธรรมดา และเจ้าคงเข้าใจว่าข้ามาพูดกับเจ้าทำไม” เอเวนเริ่มต้นเข้าประเด็นทันที เขาไม่อยากมานั่งพูดพร่ำเพรื่อให้เสียเวลา แต่คนถูกบอกเป็นนัยๆ ว่าต้องให้เลือดและใช้ร่างของตัวเองก็ยังคงนั่งยิ้มไม่มีปฏิกิริยาโวยวายหรือต่อต้านอะไร เหมือนเต็มใจรับหน้าที่นั้นแต่โดยดี



“แล้วเจ้าจะใช้เลือดกับร่างของข้าเมื่อไหร่”



เอเวนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทีแรกเขาคิดว่าวอลคงจะไม่ยอมเลยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไปหามนุษย์ธรรมดาคนอื่นมา



“เจ้าไม่คัดค้าน?”



“ทำไมข้าจะต้องคัดค้านด้วยล่ะ” วอลถามกลับทันทีพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ



เหมือนเอเวนจะพูดแย้งอะไรขึ้นอีกแต่กลับเงียบไป มิเวลหันไปมองวอลซึ่งกำลังนั่งยิ้มแย้มเหมือนปกติ เธอเองก็ไม่เข้าใจเจ้าบ้านั่นเช่นเดียวกับเอเวน ถ้าวอลเป็นร่างสังเวย หมายความว่าแผนที่จะต้องเข้าไปอยู่ในร่างของเขาตลอดไป ถ้ามีคนรู้เรื่องนี้เข้าวอลจะต้องโดนตามล่าตัวแน่นอน และยังไม่รวมว่าจะมีอันตรายอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า



“เจ้าจะขัดข้องอะไรมั้ยถ้าข้าอยากใช้แผนที่ตอนนี้เลย” มิเวลเอ่ยถาม ไม่สนเรื่องดูดาวอีกต่อไปในเมื่อบรรยากาศกำลังตึงเครียดจนเธอเครียดไปด้วย



วอลหันไปมองมิเวลด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะส่ายหน้าตอบ เห็นสีหน้าเครียดของเด็กสาวแล้วเขาก็ต้องรู้สึกแย่ นึกว่ามิเวลจะดีใจที่จะได้ใช้แผนที่อะไรนั่นแล้วเสียอีก



ผู้ใช้เวททั้งสองหันไปมองหน้ากันเอง มิเวลไม่ได้อยากให้วอลกลายเป็นร่างสังเวย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้สนิทหรือรู้เรื่องอะไรของเขานัก แต่เธอก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดี เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่อยากเป็นฆาตกรทางอ้อมที่ทำให้วอลต้องโดนตามล่า จริงอยู่ว่าถ้าเรื่องนี้ไม่หลุดไปถึงหูคนนอกก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ยังไงก็ยังวางใจไม่ได้ว่าความลับจะอยู่รอดตลอดไป เธอมั่นใจว่าวอลคงไม่รู้ถึงความอันตรายเมื่อมีแผนที่สิงสถิตอยู่ในร่างของตัวเองแน่นอน



“มิเวล เริ่มกันเถอะ” เอเวนลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาหาเธอ “เอาแผนที่ไปวางไว้บนโต๊ะ”



เด็กสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ เหลือบมองใบหน้ายิ้มแย้มของวอล ในที่สุดความจำเป็นที่จะต้องใช้แผนที่ของเธอก็ทำให้มิเวลเลือกให้วอลกลายเป็นร่างสังเวยไป เมื่อตัดสินใจได้แล้วเด็กสาวจึงหยิบแผนที่ต้องคำสาปออกมาจากกระเป๋าคาดเอว จากนั้นก็เดินเอาไปวางไว้บนโต๊ะตามที่เอเวนบอก



“ยื่นมือของเจ้ามาหน่อย”



วอลทำตามอย่างว่าง่าย ไม่มีร่องรอยความหวาดกลัวอยู่ในแววตาใสซื่อเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้มิเวลนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอเห็นวอลครั้งแรก ตอนนั้นเจ้าบ้านี่ก็ยังยิ้มแย้มรับความตายได้อย่างอารมณ์ดี



มิเวลจับมือขวาของวอลซึ่งมีรอยแผลเป็นจางๆ อยู่บนหลังมือให้ขยับมาอยู่เหนือแผนที่ เด็กสาวสงสัยเรื่องแผลเป็นแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป จากนั้นจึงใช้ดาบกรีดลงไปบนฝ่ามือ เลือดสีเข้มไหลรินลงไปยังแผนที่ต้องคำสาปด้านล่าง สีหน้าของคนถูกกรีดเลือดยังคงยิ้มแย้มเหมือนไม่รู้สึกเจ็บอะไรทั้งสิ้นจนมิเวลอดข้องใจไม่ได้ เธอกดดาบลงไปลึกอยู่เหมือนกัน แต่ทำไมวอลถึงไม่แสดงอาการเจ็บปวดอะไรเลยสักนิดเดียว



แผนที่ดูดซึมเลือดของผู้ไม่มีพลังเวทเข้าไปทีละนิด จนในที่สุดลูกกลมๆ สีขาวขุ่นก็ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ปรากฏแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งห้องก่อนจะแผนที่ต้องสาปจะค่อยๆ ลอยขึ้นแล้วเคลื่อนเข้าไปหาวอลช้าๆ อยู่ตรงเหนือหน้าผาก จากนั้นก็ค่อยฝังกลืนหายเข้าไปในหน้าผากของเด็กหนุ่ม มีตัวอักษรอะไรสักอย่างเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหายวับไป



วอลยืนมองเพื่อนร่วมทางอีกสองคนด้วยท่าทีปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก้มมองตัวเองอย่างงงๆ นึกว่าตัวเขาจะกลายเป็นแผนที่หรืออะไรสักอย่างเสียอีก ใบหน้าของเด็กหนุ่มบึ้งตึงน้อยๆ อย่างรู้สึกผิดหวัง เขากำลังอยากได้วิธีหาเงินใหม่อยู่พอดี พอได้ยินว่าตัวเองจะได้กลายเป็นแผนที่ก็อุตส่าห์ดีใจว่าจะได้ไปเที่ยวเร่หาเงินโดยการแปลงร่างให้คนอื่นดู



“...ใช้เวทเรียกแผนที่” เอเวนพึมพำเบาๆ แล้วเดินตรงเข้าไปหาวอล มิเวลขวางทางเขาไว้เพราะเธออยากเป็นคนดูแผนที่เอง คนถูกขวางทางหยุดชะงัก มองเด็กสาวด้วยสายตานิ่งๆ พักหนึ่งก่อนที่จะยอมเดินถอยไป



มิเวลรู้สึกแปลกใจน้อยๆ ที่เห็นเอเวนยอมง่ายๆ เธอนึกว่าเขาจะดึงดันเป็นคนใช้แผนที่เองเสียอีก แต่คิดมากไปก็เท่านั้น



ร่างเล็กหันไปหาวอลซึ่งกำลังยืนทำหน้ามุ่ยด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แล้วยกแขนขึ้นใช้สองนิ้วแตะเบาๆ ลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย พอยืนเทียบกันแบบนี้แล้วเธอสูงถึงแค่ริมฝีปากของวอลเท่านั้น แต่วอลสูงไม่เท่าเอเวนเพราะฉะนั้นเธอก็คงจะเตี้ยกว่าเอเวนเยอะพอสมควร เด็กสาวหันไปมองเอเวนแล้วลองกะระยะคร่าวๆ ดู เธอคงสูงประมาณคางหรือคอของเขาล่ะมั้ง คิดแล้วก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมา นี่เธอเตี้ยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย



“มิเวล?” วอลเอ่ยเรียกร่างเล็กตรงหน้าอย่างสงสัย เห็นเด็กสาวหันไปทำหน้ามุ่ยใส่เอเวนพร้อมกับสบถเบาๆ อย่างอารมณ์ไม่ดีเหมือนกำลังโกรธอะไรสักอย่าง วอลหลุดขำพรืดเมื่อเห็นท่าทางเหมือนเด็กๆ ของมิเวล พอหันไปมองเอเวนก็เห็นเขายืนกอดอกขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่ามิเวลเป็นอะไร แต่แล้วเสียงหัวเราะคิกของเด็กหนุ่มก็เรียกสายตาดุให้หันขวับมามอง



“หัวเราะอะไร ยืนนิ่งๆ ไปสิ”



“ฮะๆๆๆ ข้าเห็นเจ้าทำหน้าตาตลกดี” คำตอบแบบตรงไปตรงมาเกินไปของวอลทำให้มิเวลต้องพยายามข่มอารมณ์เดือดเอาไว้ แล้วจิ้มสองนิ้วลงบนหน้าผากของเจ้าคนพูดมากสุดแรงจนอีกฝ่ายร้องโอ๊ย



วอลใช้มือซ้ายลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ อย่างกังวล มิเวลเห็นท่าทางสำออยนั่นแล้วก็ชักจะยัวะหนักกว่าเดิม นึกว่าจะเก่งเห็นทนได้กระทั่งโดนดาบกรีดมือ แต่ดันทนเธอจิ้มหน้าผากไม่ได้เนี่ยนะ ใจจริงก็อยากจะจิ้มอีกทีแต่เธอก็ต้องลบความตั้งใจไร้สาระนั้นออกไป แล้วตบป้าบไปบนแขนของวอลแทนพร้อมกับส่งสายตาดุบอกเขาให้เลิกเล่นได้แล้ว



สองนิ้วแตะเบาๆ บนหน้าผากของวอลก่อนจะตั้งสมาธิถ่ายพลังเวทให้ไหลผ่านปลายนิ้วไปยังหน้าผากของเขา เห็นเจ้าบ้าอมยิ้มน้อยๆ เธอจึงตั้งใจจะเอ่ยปากถามว่าเขายิ้มอะไร



ทันใดนั้นเองจู่ๆ ร่างของวอลก็กระตุกรุนแรง มิเวลตกใจรีบชักมือกลับทันทีพร้อมกับหันไปมองเอเวนซึ่งมีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน แต่แล้วภาพรอบตัวก็มืดสนิทลงอย่างฉับพลัน เธอไม่เห็นอะไรเลยนอกจากวอลที่ยืนหลับตานิ่งอยู่ตรงหน้า



“วอล?” เสียงเรียกอย่างไม่มั่นใจ แต่คนถูกเรียกก็ยังคงยืนหลับตาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับ สองมือแนบสนิทอยู่ข้างลำตัว



“เอเวน?” มิเวลลองเรียกหาเอเวนพร้อมกับมองไปรอบๆ เผื่อว่าจะเจอการเคลื่อนไหวในความมืดอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงมีเพียงความเงียบเป็นคำตอบเท่านั้น เธอจึงคิดอย่างระแวงว่านี่เป็นกับดักอะไรในแผนที่หรือเปล่า



หรือไม่ก็...



เด็กสาวหันกลับไปยังวอล



“ข้าขอให้เจ้าแสดงแผนที่ต้องคำสาป ณ บัดนี้” สิ้นเสียงออกคำสั่ง ความมืดรอบๆ ก็เกิดแสงสว่างขึ้นจางๆ พร้อมกับมีรูปภาพและลวดลายต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาทีละนิด มิเวลอ้าปากค้างมองเส้นทางมากมายกลางอากาศอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง แล้วเธอก็เห็นว่ามีจุดสีแดงๆ อยู่ใกล้กับภาพของเมืองหนึ่ง ตรงกลางของภาพมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่ายูรา



จุดสีแดงนี่บอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนสินะ



มิเวลไล่สายตามองหาสถานที่ต้องห้ามไปตามเส้นทางต่างๆ แต่ไม่ว่าจะมองหานานเท่าไหร่เธอก็ไม่เห็นว่าจะมีภาพของสถานที่ต้องห้ามทั้งห้าอยู่ตรงไหนของแผนที่เลย ดังนั้นเธอจึงออกคำสั่งอีกครั้ง



“ข้าขอให้เจ้าแสดงสถานที่ต้องห้ามทั้งห้าแห่ง”



รูปภาพทั้งหมดหายวับก่อนจะปรากฏเป็นรูปภาพอีกห้ารูปอยู่ห่างกันออกไป เธอไล่สายตามองไปทีละรูป ไม่มีเส้นทางใดๆ เขียนไว้ มีเพียงรูปภาพเท่านั้น มิเวลขมวดคิ้วอย่างขัดใจ แผนที่นี่จะซื่อตรงต่อประโยคคำสั่งของเธอเกินไปแล้ว



“ข้าขอให้เจ้าแสดงเส้นทางไปยังสถานที่ต้องห้ามทั้งห้าแห่ง”



“โปรดเลือกมาเพียงแห่งเดียว” เสียงเรียบดังมาจากวอลทำให้มิเวลสะดุ้ง



“...ถ้าอย่างนั้น...จงแสดงเส้นทางไปยังนครสาปสูญ”



ภาพทั้งห้าหายวับไปแล้วเปลี่ยนเป็นภาพของปราสาทที่มีหมอกควันปกคลุมอยู่ เธอเห็นเส้นทางขีดไปยังปราสาทอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น เด็กสาวไล่สายจากจุดสีแดงไปตามเส้นเล็กๆ ผ่านเมืองเล็กไซโรนาส ผ่านเมืองควอเรล มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ เส้นเล็กๆ อ้อมแคว้นเมเบิร์กซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ประจำทิศใต้ มิเวลคิดอย่างโล่งใจที่ไม่ต้องไปเมเบิร์กแล้วจึงไล่สายตาตามเส้นเล็กๆ ไปต่อ ผ่านเมืองเล็กอีกสองเมืองไปยังเกาะๆ หนึ่งแล้วจึงผ่านทะเลสาปไปถึงนครสาปสูญในที่สุด นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อหนึ่งในสองเมืองเล็กนั่นคือหมู่บ้านฟรอซเซล



เผ่ามายา...บ้านเกิดของเธอ!!



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า








โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2560, 00:01:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2560, 00:01:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 814





<< Episode 14 : || ผู้ขายวิญญาณ ||   Episode 16 : || คำถามที่ไร้คำตอบ || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account