The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 16 : || คำถามที่ไร้คำตอบ ||

EPISODE 16

คำถามที่ไร้คำตอบ



เอเวนยืนกอดอกมองสองคนที่อยู่ๆ ก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ สายตานิ่งจับจ้องไปยังใบหน้าเลื่อนลอยของมิเวล ก่อนจะเบือนไปมองวอลซึ่งมีอาการล่องลอยไร้สติพอกัน เด็กหนุ่มยืนรอทั้งสองคนอยู่เงียบๆ โดยไม่ปริปากบ่น ในใจนึกถึงมิเวลว่าถ้าเขาเป็นคนดูแผนที่ คนขี้รำคาญและความอดทนต่ำสุดๆ อย่างมิเวลคงจะอาละวาดเพราะรอไม่ไหวแน่นอน



ผ่านไปนานพอสมควรกว่าเด็กสาวจะได้สติ ส่วนคนมีแผนที่อยู่ในร่างล้มลงไปกองกับพื้น มิเวลตกใจเมื่อเห็นวอลล้มไป แต่เจ้าตัวกลับค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมานั่ง ยิ้มแย้มบอกว่าไม่เป็นอะไร



“แผนที่แสดงให้เห็นเส้นทางไปยังสถานที่ต้องห้ามแค่แห่งเดียวเท่านั้น ข้าก็เลย...” มิเวลหันไปบอกเอเวน แล้วเสียงของเธอก็อ่อยลงเหมือนคนรู้สึกผิด แต่ใบหน้านิ่งๆ ของเขากลับมองเธอโดยไม่มีปฏิกิริยาบอกถึงความไม่พอใจใดๆ ทั้งสิ้น เด็กสาวจึงขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงง ตอนแรกเธอนึกว่าเขาจะโกรธเสียอีก



“ข้าไม่มีปัญหาอะไร เจ้าไปถามตัวแคปซูลเถอะ” เอเวนตอบพร้อมกับเพยิดหน้าไปทางวอล คนถูกเป็นเป้าสายตามองอีกสองคงอย่างงงๆ



“ตัวแคปซูลนั่นหมายถึงข้างั้นเหรอเนี่ย” เสียงตกใจเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ใจร้ายกันเกินไปแล้ว โดยเฉพาะเอเวนที่ไม่เคยเรียกชื่อเขาตรงๆ เลยสักครั้งเดียว



“เจ้านั่นแหละ” คำยืนยันจากผู้เป็นคนตั้งฉายาให้ มิเวลหลุดขำพรืดเมื่อเห็นสีหน้าเหวอของวอล ท่าทางเจ้าตัวคงจะตกใจที่ได้ฉายาประหลาดจริงๆ



“ข้าจะไปนครสาบสูญ เจ้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เด็กสาวหันไปถามวอลตรงๆ “เจ้าต้องไปส่งของอะไรนั่นนี่”



“ไม่มี ค่อยไปหลังจากนครสาบสูญก็ได้” คนถูกถามตอบพร้อมกับโบกมือเป็นพัลวัน มิเวลถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดีที่ไม่มีปัญหาอะไรกับสองคนนี้ ไม่อย่างนั้นคงคุยกันยาว



วอลขอตัวกลับไปนอนต่อ อ้าปากกว้างบ่นว่าง่วงนอนก่อนจะหันมาส่งรอยยิ้มกว้างอำลาเพื่อนทั้งสอง มิเวลมองเขาเดินออกไปจากห้องอย่างเหลือเชื่อ เจ้าบ้านี่นอนมาทั้งวันแต่กลับบ่นว่าง่วงเนี่ยนะ แถมยังไม่ได้กินอะไรเลยอีกต่างหาก ถ้าบ่นว่าหิวเธอจะไม่แปลกใจเลย หรือว่าวอลจะไปขโมยอาหารกระป๋องของเธอกิน แต่ตอนนั้นเขามีท่าทีไม่ชอบนี่นา เพราะฉะนั้นไม่น่าเป็นไปได้



หลังจากคิดจนปวดหัวว่าทำไมวอลถึงไม่หิวเธอก็ยอมแพ้แล้วเดินกลับไปยังริมหน้าต่าง แหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าเช่นเดิม เรื่องแผนที่จบลงด้วยดีและพรุ่งนี้เธอจะต้องเดินทางต่อ ไม่คิดเลยว่าเธอต้องกลับไปยังหมู่บ้านฟรอซเซลทั้งที่เมื่อสี่เดือนก่อนเธอเป็นคนดื้อดึงออกมาจากหมู่บ้านเองแท้ๆ



“เส้นทางไปนครสาบสูญล่ะ” เอเวนเดินมายืนข้างๆ พร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง มิเวลเหลือบสายตามองคนข้างกาย เธอสูงประมาณคางของเขาจริงๆ ด้วย



“ทิศใต้ ไปที่หมู่บ้านฟรอซเซล”



เด็กหนุ่มหันขวับทันทีที่ได้ยินชื่อหมู่บ้าน



“หมู่บ้านฟรอซเซลคือเกาะของเผ่ามายาไม่ใช่เหรอ” คนถูกถามพยักหน้ารับก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา เห็นเอเวนทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไรเพิ่มเติม แต่เขาก็เงียบไปโดยไม่ถามอะไร



เสียงกุกกักเบาๆ ดังมาจากด้านหลังทำให้ทั้งสองคนสะดุ้ง มิเวลและเอเวนหันขวับไปมอง เห็นควินัวกำลังยืนกระดิกหางทั้งสองของมันอย่างน่ารักพร้อมกับส่งสายตาบ้องแบ๊วมาให้ทั้งคู่ ผิดกับตอนเห็นมันครั้งแรก เด็กสาวคิดว่าควินัวจะหยิ่งและทะนงตัวว่าเป็นสัตว์เวทชั้นสูงเสียอีก บางทีนิสัยของสัตว์เวทอาจจะเหมือนเจ้าของก็ได้ล่ะมั้ง จะว่าไปแล้ว เธอก็ไม่เคยถามวอลว่าควินัวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย



“เอเวน เจ้าว่าควินัวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยถามราวกับเป็นปัญหาใหญ่โต ก่อนจะนั่งยองๆ แล้วยื่นมือไปลูบหัวเจ้าเฟรเนร่าอย่างอ่อนโยน ส่วนคนถูกถามเหลือบสายตามองสำรวจเจ้าสัตว์ตรงหน้า แล้วเขาก็ต้องยอมแพ้เพราะทุกส่วนของร่างกายมันล้วนถูกปกคลุมด้วยขนยาวสีขาว เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจก่อนจะเอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้



“เจ้าน่าจะไปถามเจ้าของมันมากกว่านะ”



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



‘ฆ่ามัน!! เด็กนี่มันเป็นอสูรกาย!!’



‘กำจัดมันซะ!’



‘สิ่งชั่วร้ายอย่างแกไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่! ในโลกนี้ไม่มีที่สำหรับแก!!’



นัยน์ตาสีเงินปรือขึ้นช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้นจากหัวเข่าทั้งสองข้าง ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด สายตาเหม่อลอยมองไปข้างหน้าอยู่พักใหญ่ก่อนจะหันไปกดปุ่มเปิดกระจกแคปซูลออก



ท้องฟ้ายังคงมืดสลัวเนื่องจากพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เช้าตรู่ของวันใหม่ต้อนรับผู้ตื่นเช้าที่สุดด้วยเสียงนกร้องและอากาศบริสุทธิ์ เขาเดินเข้าไปในห้องเล็กซึ่งเป็นห้องเก็บเสบียงและเชื้อเพลิงต่างๆ เห็นอาหารกระป๋องของมิเวลวางเรียงกันเป็นตั้งๆ จนเขาคิดว่าน่าจะเอาไปเปิดร้านขายได้ มองไปด้านขวาก็เห็นพวกผลไม้และของแห้งจำนวนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นเสบียงของเอเวน สีหน้าของเด็กหนุ่มเศร้าสลดลงเมื่อไม่มีอาหารของตัวเอง เมื่อวานเขาขโมยอาหารกระป๋องของมิเวลไปกิน แล้วก็แทบจะต้องทิ้งมันทั้งหมดเพราะรสชาติเข้าขั้นสยอง ถ้าไม่ใช่เพราะความหิวเขาคงไม่นั่งฝืนกินเข้าไปแน่



ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาเลียขาทำให้เขาก้มลงมอง เห็นควินัวยืนอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มนึกสงสัยเพราะเขาคิดว่าควินัวอยู่กับมิเวล



‘...เหนื่อย...’ เสียงอ่อนแรงของควินัวดังขึ้นในหัว วอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ สองสามวันมานี้ควินัวใช้พลังจิตติดต่อกันมาตลอดโดยไม่ได้พัก คงเกือบถึงขีดสุดของมันแล้ว



“ถ้างั้นก็ไปนอนพักในแคปซูลเถอะ อย่างน้อยยาในแคปซูลก็น่าจะทำให้รู้สึกดีขึ้น”



‘...แต่ท่าน...’



“ข้าไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มยืนยันด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ควินัวไม่ขัดอะไรอีกแม้ในใจจะรู้สึกคัดค้านก็ตามที



วอลยืนมองควินัวเดินหายเข้าไปในห้องของเขา จากนั้นจึงหันไปมองนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายังคงมืดสลัวอยู่ แต่ก็เริ่มมีแสงสว่างนิดๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาต้องรีบออกไปหาพวกผลไม้ด้านนอกก่อนที่จะช้าไปมากกว่านี้



เด็กหนุ่มเดินลงจากรถเคอาร์โดยไม่ลืมย้อนกลับไปคว้าย่ามของตัวเองในแคปซูลออกมาด้วย เขาเดินไปเรื่อยๆ แต่ยังคงรักษาระยะห่างให้มองเห็นเคอาร์ได้อยู่ ต้นไม้รอบตัวสูงลิ่วจนสามารถลืมเรื่องปีนขึ้นไปเก็บของกินลงมาได้เลย มองไกลออกไปเห็นต้นไม้บางต้นสูงอยู่ในระดับที่น่าจะพอเก็บผลไม้ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินห่างจากเคอาร์ไกลออกมาอีก เดินไปได้สักพักเขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย จริงๆ แล้วเขาควรจะนอนอยู่ในแคปซูลเพราะว่าแผลตรงท้องยังไม่หายดีแถมยังฝืนใช้พลังจิตอีกต่างหาก แต่เขาอยากออกมาเดินมากกว่านอนอืดอยู่ในนั้น



วอลกลับมาที่เคอาร์หลังจากเก็บผลไม้มาได้นิดหน่อย วิวนอกหน้าต่างปรากฏให้เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมีแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าบ้างแล้ว เด็กหนุ่มวางผลไม้สีสันสวยงามลงบนถาดที่คว้าเอามาจากในห้องเก็บเสบียง ไม่รู้ว่าเป็นของใครแต่ตอนนี้เขาขอยืมมาใช้ก่อนก็แล้วกัน



“อ้าวเอเวน ตื่นเช้าเหมือนกันนี่” เสียงสดใสเอ่ยทักอย่างร่าเริงเมื่อเห็นร่างสูงเดินเข้ามาในห้องรวม ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย แต่วอลก็ไม่ได้ใส่ใจแล้วเริ่มต้นสวาปามผลไม้ซึ่งเป็นอาหารเช้าของตัวเอง



เอเวนเดินเข้าไปในห้องเก็บเสบียง หยิบอาหารแห้งของตัวเองออกมาพร้อมกับจัดการเทใส่ชามแล้วนั่งกินจนหมด มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้าโปร่งอากาศแจ่มใสต้อนรับการเดินทางต่อจากนี้ วอลเดินเข้ามาในห้องเก็บเสบียงเพื่อเก็บถาดใส่ผลไม้ เอเวนเหลือบไปมองแล้วก็เห็นว่าถาดผลไม้นั่นเป็นของเขา เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างหงุดหงิด เจ้าตัวแคปซูลเอาถาดของเขาไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อนเลยสักคำ



มิเวลตื่นเป็นคนสุดท้าย เดินงัวเงียอ้าปากหาวโผล่หน้าเข้ามาในห้องเก็บเสบียง เห็นวอลเดินสวนออกไปพร้อมกับเอ่ยทักเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง เด็กสาวหันไปทักเขากลับอย่างเนือยๆ แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องเสบียง คว้าหยิบอาหารกระป๋องสุดรักของตนขึ้นมาเปิดกิน เอเวนก็นั่งอยู่ด้วยเช่นกันแต่เธอไม่สนใจเพราะตอนนี้กระเพาะของเธอสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง



หลังจากอิ่มท้องด้วยอาหารเช้าเรียบร้อย ผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีก็ต้องไปประจำที่อย่างจำใจ ไม่ใช่เพราะเขาอยากไปนั่งขับเคอาร์ แต่เพราะโดนมิเวลบังคับต่างหาก รถเคอาร์วิ่งไปตามถนนในป่ามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ แม้ว่าตอนแรกมิเวลจะต่อต้านรถเคอาร์มากเท่าไหร่ก็ตาม แต่ตอนนี้เธอก็ต้องยอมรับจากใจจริงว่ายานพาหนะใช้เชื้อเพลิงคันนี้เคลื่อนที่ไปได้ค่อนข้างเร็วกว่ารถม้าธรรมดาหลายเท่า



ภายในห้องรวมว่างเปล่ามีเพียงแค่เธอนั่งอยู่คนเดียวเท่านั้น เอเวนต้องระเห็จไปเป็นคนขับ ส่วนวอล เธอไม่รู้ว่าเจ้าบ้านั่นไปหลบอยู่ที่ไหน คาดว่าเขาคงไปแอบนอนอยู่ในแคปซูลอีก พอคิดว่าจะต้องอยู่ในห้องใหญ่โตคนเดียวไปอีกนานแล้วเธอจึงตัดสินใจเดินไปยังห้องของวอลเพื่อไปเอาควินัวมานั่งเล่นด้วย



มือข้างหนึ่งเปิดประตูห้องเข้าไปข้างใน แสงแดดจากหน้าต่างส่องเข้ามาทำให้ทั้งห้องสว่างไสวและอบอุ่น สายตากวาดมองไปรอบๆ ห้อง เมื่อมองไม่เห็นควินัวมิเวลจึงมองไปที่แคปซูลแทน เห็นคนขี้เซาในชุดคลุมรุ่มร่ามเช่นเคยกำลังนั่งอยู่ในท่าพิลึกเช่นเคย เขาซุกใบหน้าลงกับหัวเข่าโดยหันหลังให้แสงแดด



มิเวลถอนหายใจอย่างปลงๆ เมื่อสรุปได้ว่าวอลคงชอบนอนท่าประหลาดแบบนี้



ร่างเล็กเดินตรงเข้าไปหาตั้งใจจะเข้าไปปลุก แต่พอเดินเข้าไปใกล้ได้ระยะหนึ่ง เธอก็ต้องตกใจเมื่อเหลือบสายตาไปมองยังมือสองข้างของวอล มือขาวซีดนั้นสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด พอมองคนกำลังนั่งหลับชัดๆ แล้วเธอก็เห็นว่าตัวของเขากำลังสั่น มิเวลขมวดคิ้วอย่างงุนงง สงสัยว่าวอลอาจจะหนาว แต่อากาศก็ไม่ได้เย็นอะไรแถมยังมีแสงแดดจัดในเวลากลางวันส่องเข้ามาเต็มที่จากหน้าต่างอีกต่างหาก



“วอล?” เสียงกระซิบเอ่ยเรียกคนในแคปซูลอย่างกลัวๆ เธอไม่แน่ใจว่าเขากำลังหลับอยู่หรือเปล่า แต่ไม่นานคนถูกเรียกก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง



ใบหน้าซีดขาวดูอ่อนเพลียอย่างชัดเจนแม้ว่าจะมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่ก็ตาม มิเวลรู้สึกแปลกใจเพราะเมื่อเช้านี้เธอเห็นเขายังร่าเริงเหมือนปกติอยู่เลย แต่ทำไมจู่ๆ ก็เหมือนคนไม่มีแรงขึ้นมาทันควัน



“...มีอะไร...เหรอ” เสียงอ่อนแรงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจางๆ เสียงขาดหายเหมือนกับต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเปล่งเสียงออกมา



“เจ้า...เป็นอะไร ทำไมถึงมีอาการเพลียแบบนี้อยู่เรื่อยๆ” เธอเริ่มคิดแล้วว่าบางทีเขาอาจจะเป็นโรคอะไรสักอย่างหรือเปล่า



“...ไม่มีอะไร...ถ้าเจ้าอยากเล่นกับควินัว...ขอโทษด้วยนะ...มันต้องฟื้นพลังน่ะ”



เด็กสาวยังคงยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดคั้น เธอไม่เชื่อหรอกว่าอาการแบบนี้จะไม่มีอะไร เขาต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ไม่ยอมบอกเธอ



“บอกมาวอล เจ้าเป็นอะไร” เสียงดุออกคำสั่ง ยืนรอคำตอบ แต่วอลก็ยังคงเงียบไม่พูดอะไรทั้งสิ้น มองสบสายตาด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ อยู่เช่นเดิมจนเธอหมดความอดทนในที่สุด แล้วหันหลังกลับเดินออกไปจากห้องด้วยความฉุนขาด



‘...ข้าคิดว่าท่านควรบอกออกไป...’ เสียงของควินัวดังขึ้นในหัวจากการสื่อสารทางจิต วอลอมยิ้มขำๆ เพราะเขาสัมผัสถึงความรู้สึกตำหนิของเจ้าเฟรเนร่าได้



“เจ้าก็รู้...ว่าข้ารู้”



‘เพราะฉะนั้นท่านควร...’



“ไม่ต้องหรอก แค่เรื่องเล็กๆ น้อย วุ่นวายเปล่าๆ”



เสียงของควินัวเงียบไป แต่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าเจ้าสัตว์เวทกำลังเคืองเขา วอลหัวเราะเบาๆ ในลำคอเมื่อตัวเองเดาถูกว่าคงโดนควินัวโกรธแน่ๆ แต่ผ่านไปสักพัก เสียงนิ่งๆ ของเฟรเนร่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง



‘...ท่านรู้ว่าข้ารู้สึกอย่างไร...แต่ข้าไม่รู้ความรู้สึกหรือความคิดของท่านเลยสักนิด...ไม่ยุติธรรมเลย...’ วอลหัวเราะน้อยๆ ก่อนเสียงหัวเราะจะค่อยๆ เบาลงจนเหลือเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ



“...นั่นสินะ...”



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ประตูบานใหญ่ถูกเปิดผลัวะอย่างแรงด้วยฝีมือของมิเวล ร่างเล็กก้าวเข้ามาในห้องบังคับด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างอารมณ์ไม่ดี แล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ สารถีจำเป็นก่อนที่จะถอนหายใจแรงออกมา ใบหน้าเคร่งเครียดมองออกไปข้างหน้า ไม่สนใจคนข้างกายที่กำลังหันมามองเธออย่างสงสัย



“ถ้าเจ้าอยากเป็นคนขับ...”



“ก็ต่อเมื่อเจ้ากำลังฝัน” เสียงดุสวนกลับทันควัน เอเวนเลิกคิ้วสูง มองเด็กสาวอยู่สักพักแล้วค่อยหันกลับไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิม



“หงุดหงิดอะไรมาล่ะ” เสียงราบเรียบเอ่ยถาม



“ข้าถามเจ้าบ้านั่นว่าเป็นอะไรทำไมถึงมีอาการแปลกๆ อยู่เรื่อยเลย แต่เจ้านั่นก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่ยิ้มกวนประสาทน่ารำคาญอยู่ได้” น้ำเสียงไม่พอใจพูดระบายอารมณ์อย่างเหลืออด เพราะเธอเป็นห่วงหรอกนะถึงได้ถาม แต่ถ้าเอาแต่เงียบเก็บงำความลับเอาไว้อยู่แบบนี้ล่ะก็ เธอจะไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว



“เจ้านั่นเป็นแค่สัมภาระไม่ใช่หรือไง ทำไมเจ้าต้องไปสนใจ” เสียงนิ่งๆ พูดอย่างเย็นชา ถ้าเป็นเรื่องของมษุษย์ธรรมดาเมื่อไหร่ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปใส่ใจ



“ก็ใช่...” มิเวลยอมรับ พวกเธอสามคนก็แค่เดินทางไปด้วยกันเพราะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเท่านั้น



“และเจ้าควรจะจำเอาไว้ว่ามนุษย์ธรรมดาเชื่อใจไม่ได้”



“ข้าไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น รวมทั้งเจ้าด้วย” น้ำเสียงจริงจังกล่าว นัยน์ตาสีอำพันตวัดมองคนข้างตัวเมื่อได้ยินประโยคนั้น มิเวลยังคงมองไปข้างหน้าโดยไม่ได้หันมามองเขา ใบหน้างามมีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดี



“...ดี เพราะข้าเองก็ไม่ได้เชื่อใจเจ้าเช่นกัน” เอเวนบอก ก่อนเสียงเรียบจะกล่าวเสริมต่อ “ข้าตั้งใจจะขโมยแผนที่แล้วหนีไปหลังจากรู้วิธีใช้ แต่ติดว่าเจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เยอะพอสมควร ข้าก็เลยต้องคอยตามทวงหนี้คืน”



คนหน้าหงิกยิ่งหน้าบูดหนักกว่าเดิม หันขวับมองผู้เป็นเจ้าหนี้อย่างเคืองๆ เธอต้องกลายเป็นลูกหนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้ก็เพราะใครกันเล่า



“เงินแค่นั้น ข้าขายความฝันแค่แป๊บเดียวก็ได้แล้ว”



“แน่ใจเหรอ ไซโรนาสเป็นเมืองที่ไม่ข้องเกี่ยวกับสงครามก็จริง แต่จะมีคนมาซื้อความฝันลมๆ แล้งๆ ของเจ้าด้วยเหรอไง” พูดจบก็ลอบอมยิ้มน้อยๆ เหลือบมองคนอารมณ์เดือดสุดขีดแล้วเขาก็ต้องกลั้นขำเอาไว้



มิเวลกำหมัดแน่นอย่างเหลืออด ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีออกจากห้องบังคับทันที ตามด้วยเสียงปิดประตูดังปังทิ้งท้าย ในใจปะทุเดือดจนแทบทนไม่ไหว มีเรื่องให้เธอต้องยัวะจัดตั้งแต่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าบ้าวอล แล้วก็เอเวน คอยดูเถอะ ถึงไซโรนาสเมื่อไหร่เธอจะแบกเงินกองเท่าภูเขากลับมาฟาดใส่หน้าเจ้าหนี้ ดูถูกนักขายความฝันคนนี้เกินไปแล้ว!



เคอาร์เข้าสู่เขตเมืองไซโรนาสในอีกสามวันต่อมา เพราะเป็นเมืองที่ประกาศแน่ชัดว่าไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างคนธรรมดาและผู้ใช้เวท หน้าประตูเมืองจึงไม่มีการตรวจตราอะไรมากนัก



แม้จะประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่ยุ่งเรื่องสงคราม แต่ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาและยังคงแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่ารังเกียจผู้ใช้เวท



ระหว่างที่ขับเคอาร์ผ่านในเมืองไปเรื่อยๆ มิเวลเห็นเด็กคนหนึ่งถูกเด็กอีกสี่ถึงห้าคนวิ่งไล่ ปากตะโกนเรียกเด็กคนนั้นว่าเป็นปีศาจพร้อมกับปาก้อนหินเขวี้ยงใส่ เด็กน้อยวิ่งร้องไห้ตัดหน้ารถเคอาร์ของพวกเธอจนต้องเบรกกะทันหัน ร่างน้อยๆ หายวับไปในพริบตาเมื่อเห็นเคอาร์คันใหญ่ ทำให้เด็กสาวรู้ได้ทันทีว่าเด็กน้อยคงเรียกใช้บาเรียเวทในยามตกใจ



บ้านเรือนแต่ละหลังมีการแบ่งแยกชนชั้นและฐานะพอสมควร เคอาร์เคลื่อนผ่านสะพานข้ามคลองเล็กๆ มองเห็นความเป็นอยู่ของผู้คนชนชั้นล่างซึ่งเป็นผู้ใช้เวทอยู่รวมกันอยู่ใต้สะพานริมคลอง สภาพบ้านเก่าทรุดโทรมไม่น่ารื่นรมย์เท่าใดนัก มิเวลมองผู้ใช้เวทบางคนมีท่าทางอิดโรยและสีหน้าทุกข์ระทมด้วยความรู้สึกโหวงเหวง แล้วก็ต้องก้มมองตัวเองพลางคิดว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เกิดมาในชนเผ่ามายาซึ่งเต็มไปด้วยความอบอุ่น



เด็กสาวนึกถึงเอเวน บางทีในอดีตเขาคงจะต้องต่อสู้กับความยากลำบาก ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามากถึงได้เกลียดมนุษย์ธรรมดาขนาดนี้



พวกมิเวลจำเป็นต้องแวะเมืองไซโรนาสเพราะเอเวนต้องการหาซื้อเชื้อเพลิงเพิ่ม ส่วนมิเวลต้องการหาเงินมาใช้หนี้ เธอไม่รู้และไม่สนใจวอลเพราะยังคงเคืองเขาอยู่ วอลโผล่หน้าออกมาให้เห็นทุกเช้าและกลางคืนก็จริง แต่ในช่วงกลางวันเขาจะหายหน้าไปนอนอยู่แต่ในห้อง แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูร่าเริงเป็นปกติก็ตาม แต่เห็นพฤติกรรมแปลกๆ เอาแต่นอนทั้งวันของวอลแล้วเธอก็ยิ่งสงสัยว่าเขาเป็นอะไรกันแน่



ผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีจอดเคอาร์ตรงลานกว้างแห่งหนึ่ง พื้นสนามหญ้าและต้นไม้โดยรอบให้ความรู้สึกร่มรื่นเหมาะสำหรับเป็นจุดหยุดพัก เขารีบกระโดดลงจากเคอาร์ ตั้งใจว่าจะรีบไปซื้อเชื้อเพลิง โดยที่ลืมไปสนิทว่ามีคนอยากจะมาขายความฝันในเมืองนี้ พอหันไปเห็นร่างเล็กกระโดดตามลงมาถึงได้นึกออก



“เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะไปขายความฝันอะไรนั่น” เอเวนเอ่ยถามอีกฝ่าย จริงๆ แล้วเขาก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าการขายความฝันนี่มันเป็นยังไง



“แน่ใจสิ ข้าทำอาชีพนี้อยู่”



เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาเพิ่งจะรู้ว่ามิเวลเป็นนักขายความฝัน เขาไม่ค่อยรู้เรื่องพวกเวทมายา เวทลวงตาหรือเวทความฝันสักเท่าไหร่เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็นในการต่อสู้



“แล้วต้องทำยังไงบ้างล่ะ”



คนถูกถามหันขวับมามองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์



“ไหนเจ้าบอกว่าเราแค่เดินทางด้วยกันเท่านั้นไง ทำไมเจ้าต้องอยากรู้เรื่องของข้าด้วยล่ะ” มิเวลสวมบทเป็นอีกฝ่ายก่อนจะขึ้นเสียงสูงตรงท้ายประโยคเล็กน้อย เห็นคิ้วของเอเวนกระตุกน้อยๆ ก่อนที่เขาจะหลบสายตาของเธอ แม้ว่าใบหน้านิ่งๆ นั้นจะไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยก็ตาม



“แค่ถาม ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ” เสียงเย็นกล่าวแล้วเร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้นกว่าเดิม ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสนุกดังมาจากคนข้างหลัง ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองโดนมิเวลชกหน้าเข้าเต็มๆ



“ข้าไม่ชอบมีความลับ ถ้าเรื่องไหนบอกไม่ได้จริงๆ ข้าก็คงไม่บอก แต่อาชีพของข้ามันไม่ได้พิเศษอะไร แถมข้าคงต้องหาเงินอยู่เรื่อยๆ ระหว่างการเดินทาง ถ้าเจ้าสนใจ...จะเป็นลูกค้า แล้วเรื่องหนี้จะถือว่าเจ๊ากันไปก็ได้นะ”



แล้วเจ้าหนี้ก็เร่งฝีเท้าจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งทันที



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

โปรดติดตามตอนต่อไป!



โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มี.ค. 2560, 00:05:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มี.ค. 2560, 00:05:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 727





<< Episode 15 : || แผนที่ต้องคำสาป และ ร่างสังเวย ||    Episode 17 : || เวทความฝัน กับ เด็กชายตัวน้อย || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account