The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 17 : || เวทความฝัน กับ เด็กชายตัวน้อย ||

EPISODE 17

เวทความฝัน กับ เด็กชายตัวน้อย



“เจ้าไม่กลัวว่าจะมีคนขโมยเคอาร์หรือไง”



“ข้ารู้ว่าเจ้าร่ายเวทเขตอาคมเอาไว้”



เอเวนนิ่งไปเมื่อได้รับคำตอบ รู้สึกสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเวทเขตอาคมทั้งที่เขาสวมกำไลทองอยู่ หากไม่ได้ปะทะกับตัวอาคมตรงๆ แล้วตั้งใจจะใช้เวททำลายมันก็ไม่น่ามีทางรู้ได้ “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นเวทเขตอาคมของข้า”



“ข้าเป็นพวกเผ่ามายา อยู่กับพวกมนตราเขตอาคม เวทลวงตา เวทมายามาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้ได้ทันทีว่าตรงไหนมีเวทเขตอาคมอยู่ ถึงแม้ว่าข้าจะร่ายเวทสามชนิทนี้ไม่ได้เรื่องก็เถอะ ไม่รู้หรอกว่าเป็นเวทของใคร แต่ในเมื่อไม่ใช่ข้าก็เหลือแต่เจ้าเท่านั้น เจ้าบ้าวอลตัดออกไปได้เลยเพราะใช้เวทมนตร์ไม่ได้”



เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ทั้งสองตกลงกันว่าจะให้มิเวลไปขายความฝันก่อนจึงเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่ง แล้วลงบันไดเพื่อไปยังบ้านเรือนของผู้ใช้เวท มิเวลไม่อยากไปหาพวกคนธรรมดาเพราะเธอรู้ว่าเมืองนี้เปิดเผยเรื่องเวทมนตร์รวมทั้งมีผู้ใช้เวทอาศัยอยู่ ดังนั้นคนธรรมดาในเมืองนี้ก็น่าจะรู้ว่าเธอใช้เวทมนตร์สร้างความฝัน



“พวกเจ้าเป็นใครกัน” ชายคนหนึ่งถามหลังจากเปิดประตูออกมาเห็นคนแปลกหน้าสองคนยืนอยู่หน้าบ้าน



“ข้าเป็นนักขายความฝัน...”



“ข้าไม่มีเงินซื้อความฝันหรอก” เสียงเย็นชาตอบก่อนจะปิดประตูใส่



มิเวลเดินไปถามอีกสามบ้านแต่ก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกัน เด็กสาวพอจะรู้อยู่ว่าผู้ใช้เวทไม่ใช่คนร่ำรวยหรือมีเงินเพราะโดนสังคมกดขี่ บางทีเธอจึงไปขายความฝันให้กับคนธรรมดาบ้างโดยบอกว่าเป็นวิธีรักษาโรคทำให้ผ่อนคลายด้วยการใช้ยา พร้อมทั้งเอาขวดยาปลอมๆ ออกมาขายด้วย ผู้ใช้เวทที่เธอเคยเจอนั้นพอมีเงินอยู่บ้าง ต่างจากผู้ใช้เวทในเมืองนี้ที่น่าจะเรียกได้ว่ายากจนเลยด้วยซ้ำ มิน่าเอเวนถึงย้ำนักย้ำหนาว่าแน่ใจเหรอว่าจะเธอจะขายความฝันที่นี่ได้



ร่างเล็กทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าหลังจากเดินถามไปทั่วใต้สะพานจนเกือบครบทุกบ้าน สายตาท้อแท้มองขึ้นไปยังท้องฟ้าอากาศแจ่มใส พระอาทิตย์ลอยอยู่สูงเริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก เธอวิ่งหาคนซื้อความฝันตั้งแต่สายจนเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายแล้ว ไม่มีใครซื้อความฝันของเธอเลยสักคน แล้วอย่างนี้เธอจะหาเงินมาใช้หนี้ได้อย่างไร แม้ว่าจะยังมีอัญมณีสีแดงที่ท่านย่าให้มาอยู่ก็จริง แต่เมื่อเทียบราคากันแล้ว หนี้สินของเธอก็ยังถือว่าน้อยนัก แถมอัญมณีก้อนนั้นยังสำคัญมากอีกด้วย ยังไงก็ใช้แทนกันไม่ได้แน่นอน



“ข้าสงสัย...” เอเวนเกริ่นนำก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เธอบ้าง “ว่าเวทความฝันต่างกับเวทมายายังไง”



คนถูกถามหันขวับไปมอง ไม่อยากเชื่อว่าผู้รอบรู้อย่างเอเวนจะมาถามเธอเรื่องนี้



“เวทลวงตาคือการสร้างภาพลวงตา เวทมายาคือเวทชั้นสูงกว่า เป็นการสร้างภาพลวงตาพร้อมทั้งลวงความรู้สึกด้วย ส่วนเวทความฝันคือการสร้างฝันให้คนอื่น หรือการใช้เวททำให้อีกคนหนึ่งฝันเหมือนตัวเอง”



“ถ้าเจ้าฝันร้ายล่ะ”



“อีกคนก็จะฝันร้ายเหมือนกัน แต่ข้าใช้เวทสร้างฝันให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ฝันร้ายแน่ แต่ว่าข้าไม่มีพลังเวทพอที่จะสร้างฝันให้คนอื่น ก็เลยทำได้แต่สร้างฝันให้ตัวเองแล้วทำให้คนอื่นฝันเหมือนข้าเท่านั้น”



เอเวนฟังการใช้เวทสร้างฝันจากมิเวลพร้อมกับวิเคราะห์ตามในใจ ฟังดูแล้วคล้ายกับพลังจิตของเฟรเนร่า ต่างกันตรงที่พลังจิตบังคับจิตใจโดยตรง ส่วนพลังความฝันเป็นการบังคับความฝัน แม้จะไม่ได้มีความจำเป็นหรือเอาไปพลิกแพลงอะไรได้ในยามต่อสู้ แต่เขาก็คิดว่าน่าสนใจเลยทีเดียว



“เจ้าดูความฝันของคนอื่นได้มั้ย”



มิเวลนิ่งเงียบไป พยายามนึกหาคำตอบ



“คงได้ แต่ข้าไม่เคยลองเพราะต้องใช้พลังเวทมากแถมยังน่าเกลียดอีกต่างหาก ไปดูความฝันของคนอื่นแบบนั้น” สายตาตำหนิมองไปยังเจ้าของคำถาม แต่ใบหน้าไร้อารมณ์ก็ยังคงนิ่งสนิทไม่รู้สึกอะไรกับสายตาดุของอีกฝ่าย เขาแค่ถามดูเพราะอยากรู้เท่านั้น



ทั้งสองคนนั่งตากลมกันต่อสักพักแล้วค่อยลุกขึ้นยืน เอเวนบอกว่าจะไปหาซื้อเชื้อเพลิงพร้อมกับไล่ให้มิเวลไปรอที่รถเคอาร์ แต่คนถูกไล่กลับขมวดคิ้วอย่างขัดใจ



“ข้าจะไปซื้อเชื้อเพลิงเอง” แล้วร่างเล็กก้าวเดินฉับๆ มุ่งหน้าไปในเมืองโดยไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย ทิ้งให้เอเวนยืนมองตามก่อนจะต้องถอนหายใจยาวออกมาอย่างช่วยไม่ได้



การไปซื้อเชื้อเพลิงของมิเวลควรจะใช้เวลาไม่นานหากเจ้าตัวไม่ดันลืมถามว่าเอเวนว่าเป็นเชื้อเพลิงอะไร ซื้อเท่าไหร่เสียก่อน เด็กสาวจึงถึงกับทำหน้าเอ๋อเมื่อเจอคำถามเรื่องพวกนี้



“...เอ่อ...มันมีอะไรบ้างล่ะ”



“มีสำหรับเครื่องกลใช้ในบ้าน มีสำหรับเผาไหม้ในการใช้ควันไฟ แล้วก็ใช้สำหรับอย่างอื่นอีก คุณหนูต้องการแบบไหนดีล่ะครับ” คนขายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มใจดี มิเวลกลืนน้ำลายลงคอ ไม่กล้าบอกอีกฝ่ายว่าจริงๆ แล้วเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย



“ลุง ขอเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะด้วยฮะ” เสียงเล็กดังขึ้นข้างๆ กาย มิเวลหันไปมองแล้วก็เห็นว่าเจ้าของน้ำเสียงร่าเริงนั้นก็คือเด็กชายอายุประมาณแปดเก้าขวบคนหนึ่ง



“อ้าวเพกัส มาซื้อของให้แม่เรอะ” ลุงเจ้าของร้านเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี



“ใช่แล้ว” เด็กน้อยพยักหน้าหนึ่งที ยิ้มแป้นพร้อมกับยืดตัวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ลุงเจ้าของร้านหัวเราะขำขันให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของเด็กชาย



“รอก่อนนะ เดี๋ยวข้าไปเอามาให้ แล้วคุณหนูคนนี้...” มิเวลสะดุ้งน้อยๆ เมื่อจู่ๆ คุณลุงตรงหน้าก็หันมาถามเธออีก คนถูกถามยืนอ้ำๆ อึ้งๆ เพราะเธอไม่รู้เรื่องเชื้อเพลิง ได้แต่มองอีกฝ่ายเลิ่กลั่ก แต่พอเหลือบไปมองเด็กน้อยข้างกายถึงได้คิดอะไรบางอย่างออก



“ข้า...ก็ขอซื้อเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะด้วย”



“โอ้ เจ้าเป็นนักเดินทางงั้นรึ ถึงว่าว่าทำไมไม่เคยเห็นเจ้าแถมยังแต่งตัวประหลาดอีก” ลุงเจ้าของร้านมองสำรวจเด็กสาวชัดๆ ใบหน้าของสาวน้อยจัดว่าน่ารัก ค่อนไปทางสวยทีเดียว สวมชุดคลุมสีน้ำตาลยาวซึ่งออกจะแปลกเพราะไซโรนาสเป็นเมืองร้อนที่สุดในทิศตะวันออก



เจ้าของร้านถามอีกว่ามิเวลต้องการเชื่อเพลิงเท่าไหร่ เด็กสาวผู้ไม่รู้คำตอบจึงบอกมั่วๆ ไปว่าเอาเหมือนเด็กชายที่ชื่อเพกัส คุณลุงเดินหายเข้าไปร้านอยู่พักหนึ่งแล้วกลับมาด้วยถุงใบโตสองถุง มิเวลควักเงินในกระเป๋าคาดเอวของตัวเองยื่นส่งให้ลุงคนขายด้วยความจำใจหลังจากรู้ราคา จริงๆ แล้วเธออยากต่อราคาแต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเชื้อเพลิงต่างๆ นั้นควรจะมีราคาประมาณเท่าไหร่



สองคนต่างวัยเดินหิ้วถุงเชื้อเพลิงไปทางเดียวกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ถุงเชื้อเพลิงดูใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดตัวของเพกัส แต่เขาก็ยังคงเดินเตาะแตะไปข้างหน้าไม่ปริปากบ่นว่าหนัก ทำให้คนเริ่มรู้สึกหนักและกำลังจะบ่นต้องอดกลั้นเอาไว้เพราะไม่อยากแพ้เด็ก (?)



“...พี่สาวเป็นนักเดินทางเหรอฮะ?” เสียงกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยถามขึ้น มิเวลหันไปมองเด็กน้อย เห็นนัยน์ตาสีฟ้าจ้องกลับมาตาแป๋วอย่างน่าเอ็นดูเหลือเกินจนเธอต้องข่มความอยากไม่ให้เผลอเข้าไปคว้าเพกัสขึ้นมากอด แววตาไร้เดียงสานั้นทำให้นึกถึงวอล ไม่สิ ไม่เหมือน เพราะเจ้าบ้าวอลทำตาแป๋วแบบนี้แล้วไม่น่ารักเลยสักนิด เหมือนกวนประสาทเธอมากว่า แล้วมิเวลก็ต้องสั่นหัวไล่ความคิดไร้สาระออก ทำไมอยู่ๆ ถึงนึกถึงวอลขึ้นมาล่ะเนี่ย



แต่เด็กน้อยเจ้าของคำถามกลับคิดเอาเองว่าการสั่นหัวเมื่อครู่ของมิเวลคือคำตอบว่าไม่ สีหน้าของเพกัสจึงสลดหดหู่ลงเพราะเขาอุตส่าห์คิดว่าพี่สาวข้างกายคือนักเดินทาง แถมลุงขายเชื้อเพลิงก็ยังบอกเลยว่าพี่สาวเป็นนักเดินทาง แต่ไม่นานสีหน้าสลดของเด็กชายก็กลับเป็นตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำตอบจากพี่สาว



“ข้าเป็นนักเดินทาง เจ้าถามทำไมเหรอ” เสียงนิ่งๆ เอ่ยตอบ พยายามอดกลั้นความรู้สึกอยากกอดเด็กน้อยน่ารักเอาไว้



“ข้ามีความฝันว่าอยากเป็นนักเดินทาง แล้วก็พี่สาว...” เพกัสวางถุงในมือลง ยืนบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะเลือดสูบฉีดแล้วพูดกับคนตรงหน้าด้วยเสียงตะกุกตะกัก “พี่สาว...สวยจังเลย...ชื่ออะไรเหรอฮะ...พี่สาว...ได้โปรดแต่งงานกับข้านะ!”



หา!?



เด็กชายผู้เพิ่งจะขอสาวแต่งงานเป็นครั้งแรกยกมือปิดหน้าด้วยความเขินสุดขีด หัวใจพองโตยืนรอลุ้นคำตอบจากอีกฝ่าย ส่วนคนถูกขอแต่งงานเอาดื้อๆ นั้นได้แต่ยืนอึ้งกิมกี่ หันไปทางขวาเห็นเอเวนกำลังยืนรอเธออยู่บนเคอาร์ ไม่สิ กำลังรอเชื้อเพลิงต่างหาก ไปทางขวาอีกหน่อยคือวอลซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องของเขาพอดี ทั้งสองมีสีหน้าอึ้งพอกัน แต่สำหรับบุรุษน้ำแข็งอย่างเอเวนเขาแค่เลิกคิ้วสูงเท่านั้น มิเวลหันขวับกลับมายังคนขอแต่งงาน รู้สึกอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่พอเห็นเด็กน้อยน่ารักแล้ว ความเอ็นดูก็ชนะความอาย



“เจ้าชื่อเพกัสใช่มั้ย ข้าชื่อมิเวล ขอบใจเจ้ามาก” เสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกพร้อมกับนั่งยองๆ เพื่อให้ใบหน้าของเธอตรงกับใบหน้าของเพกัสพอดี “อีกสักสิบปีเจ้าค่อยมาขอข้าใหม่นะ ถึงตอนนั้นข้าจะรับเจ้าไว้พิจารณาเป็นคนแรกเลย”



เพกัสมีสีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อตีความได้ว่าพี่สาวคนสวยตรงหน้าปฏิเสธตน มิเวลยิ้มขำขัน รู้สึกเอ็นดูเด็กชายมากขึ้นอีก แต่พอจะยื่นมือเข้าไปลูบหัวเด็กน้อยร่างสูงของเอเวนก็เดินเข้ามาใกล้พอดี เธอจึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นปกติ



“มีอะไรล่ะ”



“เปล่า แค่สงสัยว่าทำเจ้าถึงไปนาน ที่แท้ก็ไปพลอดรักอยู่กับเด็กนี่เอง”



มิเวลอ้าปากเหวอ มองเจ้าของฉายาน้ำแข็งก้มหยิบถุงใส่เชื้อเพลิงด้วยความโมโห สายตาฉุนขาดมองตามร่างสูงเดินกลับไปยังเคอาร์พร้อมกับนึกคาดโทษเขาในใจ เธออยากจะใช้ดาบจัดการเขาเดี๋ยวนี้เลยแต่ก็ต้องพยายามอดกลั้นเอาไว้ อย่างน้อยภาพเลือดสาดก็ไม่ดีต่อเด็ก ดังนั้นมิเวลจึงสวมหน้ากากพี่สาวแสนดีแล้วหันไปถามเด็กชายด้วยเสียงอ่อนหวาน



“บ้านเจ้าอยู่ตรงไหนเหรอ” เธอพยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะของวอลซึ่งลอยมาให้ได้ยินเบาๆ คาดว่าเขาต้องหัวเราะดังทีเดียวเพราะได้ยินมาถึงตรงนี้



“อยู่เลยไปหน่อยฮะ แล้วพี่เป็นอะไรกับคนพวกนั้นเหรอฮะ” เพกัสตอบเสียงใส ก่อนจะทำหน้ามุ่ยพร้อมกับเพยิดหน้าไปทางเคอาร์ มิเวลหันกลับไปมอง เห็นเอเวนยืนกอดอกอยู่หน้าบันได สายตานิ่งๆ มองมาทางเธออย่างเซ็งๆ เหมือนกำลังรอให้ละครจบเสียที ส่วนวอลก็กำลังกลั้นหัวเราะอย่างหนักอยู่ที่เดิม



“เป็นเจ้านาย เจ้าพวกนั้นเป็นลูกน้องน่ะ” เด็กสาวยิ้มกว้าง ส่วนเพกัสทำตาโตด้วยความทึ่ง เห็นทีเขาคงจะต้องรีบทำงานหาเงินเพื่อให้เหมาะสมกับฐานะของภรรยาเขาในอนาคต



“เจ้าเข้ามากินขนมด้วยกันก่อนมั้ย” มิเวลเอ่ยชวน ตั้งใจจะแกล้งเอเวน เธอสัมผัสไอเวทจากตัวเด็กคนนี้ไม่ได้แสดงว่าเพกัสเป็นมนุษย์ธรรมดา เพราะฉะนั้นคนเกลียดพวกมนุษย์ธรรมดาจนเข้ากระดูกดำอย่างเอเวนก็คงจะต้องรีบระเห็จออกจากเคอาร์แน่ๆ ถ้าหากเธอให้เพกัสขึ้นไปนั่งกินขนมด้วยกัน



“ไม่ได้หรอกฮะ”



“ทำไมล่ะ”



“ข้าต้องรีบกลับเพราะเดี๋ยวมีพายุมา” เด็กสาวแหงนหน้ามองท้องฟ้าอากาศแจ่มใส



“ไม่มีเมฆเลยด้วยซ้ำเนี่ยนะ”



“สองสามเดือนมานี้มีหลายเมืองต้องเจอกับสภาพอากาศแปรปรวนอย่างรวดเร็ว และไซโรนาสก็เป็นหนึ่งในเมืองนั้น” น้ำเสียงเศร้าเอ่ยบอก ก่อนจะก้มยกถุงเชื้อเพลิงขึ้นมาหิ้วต่อ คนอยากแกล้งเพื่อนร่วมทางจึงได้แต่โบกมือลาเด็กชาย ยืนส่งเขาจนร่างน้อยๆ หายลับไป



มิเวลเดินกลับขึ้นมาบนเคอาร์ ในใจคิดถึงเรื่องสภาพอากาศที่เพกัสบอก ถ้าเป็นแบบนั้นจริงต่อไปนี้พวกเธอก็ต้องระวังเรื่องนี้ด้วยแล้ว แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นเอเวนที่ยังคงมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิมแล้ว ความคิดก็เปลี่ยนเป็นอีกเรื่องทันที เธอตั้งใจจะคิดบัญชีกับเขาทีหลัง ส่วนตอนนี้เธอต้องไปจัดการเจ้าบ้าอีกคนก่อน



เด็กสาวเปิดประตูผลัวะเข้าไปในห้องของวอล เห็นเจ้าตัวถ่วงนั่งยิ้มแป้นอยู่ในแคปซูล ถ้ามีควินัวอยู่ด้วยอารมณ์โกรธของเธอคงลดลงไปครึ่งหนึ่ง แต่ในเมื่อวอลไม่ให้ควินัวออกมาตลอดสามวันตั้งแต่วันที่เจ้าบ้านี่เก็บงำความลับเอาไว้ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรับไปเต็มๆ เธอไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรของเขานักหรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องเจ็บป่วยอะไรนี่ถือว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะอาจจะเป็นสาเหตุให้การเดินทางล่าช้าลงได้



“นึกว่าจะเอาแต่นอนอืดอยู่ในแคปซูล แล้วเมื่อกี้ออกมาทำไมล่ะ” เสียงแข็งถามอย่างเคืองๆ



“ข้าตั้งใจจะปิดหน้าต่าง แต่เห็นเจ้าเดินมากับเด็กคนนั้นพอดีก็เลยสงสัยว่าเป็นใคร” วอลตอบพลางกลั้นหัวเราะเอาไว้ มิเวลตั้งใจจะถามอีก แต่กลับโดนอีกฝ่ายถามขัด “ทำไมถึงเดินมาด้วยกันได้ล่ะ”



“เจอกันที่ร้านขายเชื้อเพลิงแล้วบ้านของเด็กนั่นอยู่แถวนี้”



วอลพยักหน้ารับฟังหงึกๆ แล้วเอ่ยพูดต่อ ไม่เปิดโอกาสให้มิเวลได้ถาม



“ตอนนี้ต้องเลยข้าวเที่ยงแล้วแน่ๆ เพราะข้ารู้สึกหิวมากเลย” แต่หัวข้อการสอบสวนก็ต้องกระโดดไปเรื่องกินเมื่อเด็กสาวนึกอะไรขึ้นได้



“เจ้ามาขโมยอาหารกระป๋องของข้ากินแน่ๆ ใช่มั้ย มันหายไปหนึ่งกระป๋อง”



วอลหลุดขำพรืดเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของมิเวล แค่กระป๋องเดียวเจ้าตัวยังเป็นเดือดเป็นร้อนซะขนาดนี้ จริงๆ แล้วเขากินไปแค่ไม่กี่คำด้วยซ้ำแล้วก็ต้องเอาไปทิ้งเพราะทนรสชาติของมันไม่ไหว



“อาหารกระป๋องของเจ้ารสชาติแหวะจะตาย ข้ากินไม่ลง” เจ้าของอาหารรสชาติแหวะขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เจ้าบ้านี่มาว่าอาหารกระป๋องสุดรักของเธอได้อย่างไร เธอกินมาตั้งนานก็ไม่เห็นว่ารสชาติมันจะแย่ตรงไหน ค่อนไปทางอร่อยเสียด้วยซ้ำ แต่พอคิดๆ ถึงการกินอาหารของวอลแล้ว เธอก็พอจะเข้าใจรูปแบบอาหารการกินของเขาได้ วอลกินแต่พวกผลไม้หวานๆ หรือไม่ก็คว้าขนมหวานในย่ามของตัวเองขึ้นมากิน แถมเธอยังเคยเห็นวอลกินน้ำตาลเป็นก้อนๆ อีกด้วย แล้วในเมื่อเอเวนไม่โวยวายว่าอาหารถูกขโมย แสดงว่าเขาไม่ไปขโมยเสบียงของเอเวนซึ่งเธอเคยไปแหวกๆ ดูแล้วไม่มีพวกของหวานอะไรเลย สรุปได้อย่างเดียวว่าเจ้าบ้านี่ชอบกินของหวานแน่นอน



“เจ้าชอบกินของหวานใช่มั้ย” คนถูกถามทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มกว้างเหมือนเดิม



“ใช่ ส่วนเจ้ากับเอเวนไม่ชอบล่ะสิ” เขาเดาเอาจากอาหารการกินของทั้งสอง ไม่มีพวกขนมหวานแม้แต่อย่างเดียว



“ข้าเกลียดของหวาน” มิเวลตอบตามตรง



คนแปลกแยกกว่าเพื่อนมีสีหน้าเศร้าสลดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าอาหารหวานเพียงลำพัง แต่ไม่นานใบหน้าหวานก็กลับมามีรอยยิ้มกว้างเหมือนเก่า เพราะนั่นหมายความว่าของหวานทั้งหมดจะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จัดการเอาเข้าปาก



“แล้วควินัวล่ะ ข้าไม่เห็นมันตั้งสามวัน” เด็กสาวเอ่ยถาม รู้สึกคิดถึงเจ้าเฟรเนร่าสี่ขาอย่างบอกไม่ถูก



“พักฟื้นน่ะ แต่ถ้าเจ้าอยากเล่นกับมัน...” วอลหลับตาลง แล้วสักพักหนึ่งข้างๆ มิเวลก็ปรากฏร่างของควินัวขึ้นจางๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ชัดขึ้นทีละน้อย เมื่อร่างกายของเฟรเนร่าชัดเจนจนสมบูรณ์ดีแล้วมิเวลก็นั่งลงพร้อมกับคว้าตัวควินัวเข้ามากอดทันที



วอลลืมตาขึ้น เห็นมิเวลกำลังกอดควินัวอยู่ จริงๆ แล้วต้องเรียกว่ารัดซะมากกว่าเพราะเขารู้สึกได้ว่าควินัวกำลังหายใจไม่ออก จนในที่สุดโชคก็เข้าข้างเจ้าสี่ขาตัวน้อยเมื่อมิเวลอุ้มมันให้นอนลงบนตักของตัวเองแทน พลางใช้มือขวาลูบหัวมันเบาๆ



เด็กหนุ่มอมยิ้มกับตัวเอง รู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนแบบนั้นของมิเวลอีก



“ในเมื่อควินัวออกมาแล้วคืนนี้ก็ให้มันไปนอนที่ห้องเจ้าก็แล้วกัน” เสียงร่าเริงเสนอ



‘...วอล!...’ เสียงค้านจากควินัวดังขึ้นในหัวแต่วอลก็ไม่สนใจ ยิ้มกว้างมองสีหน้าดีใจของมิเวล แต่อยู่ๆ ใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กสาวก็เจื่อนลง



“ถ้าเจ้าจะให้ควินัวมาไถ่โทษละก็ บอกไว้ก่อนนะว่าคนละเรื่องกัน”



“ไถ่โทษ?” วอลพยายามนึก แล้วเขาก็ร้องอ๋อในใจ มิเวลคงหมายถึงเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกเมื่อสามวันก่อนล่ะมั้ง “ฮะๆๆๆ ไม่ใช่ เจ้านี่ก็คิดได้นะ ระแวงไปทั่วเลย”



ใบหน้างามเริ่มหงิกจากคำพูดปากเสียของคนในแคปซูล แต่ก็ต้องยอมใจอ่อนเมื่อได้สัมผัสขนนุ่มๆ ของควินัว จริงๆ แล้วเธอชักอยากจะลงโทษตัวเองเพราะความใจอ่อน อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่อ่อนแอ ไม่ใจอ่อนเห็นใจใคร แต่พอมาเจอเจ้าบ้าวอล เจ้าน้ำแข็งเอเวน แล้วก็ควินัว ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าควินัวทำให้ความตั้งใจของเธอพังทลายไม่มีชิ้นดี และคงก่อกลับขึ้นมาใหม่ไม่ได้อีก



‘...ท่านฝืนตัวเองอีกแล้ว...’ เสียงของควินัวดังขึ้นอีกครั้ง แต่ถึงแม้ว่าควินัวจะไม่พูดออกมา วอลก็สามารถเข้าใจความคิดและความรู้สึกของมันได้อยู่ดี แต่สัตว์เวทต้องทำตามคำสั่งของเจ้านาย เจ้าเฟรเนร่าจึงต้องยอมทำตามทั้งที่ไม่เห็นด้วย ต่อให้มันจะชอบมิเวลมากแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้อยากทำให้เจ้านายต้องเดือดร้อน



มิเวลนั่งลูบหัวของควินัวต่ออีกพักหนึ่ง แล้วเธอก็นึกข้อข้องใจอีกอย่างขึ้นมาได้ เคยถามเอเวนแล้วแต่ไม่ได้เรื่อง



“จะว่าไป ควินัวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายน่ะ”



คนถูกถามเงียบไป หันไปมองควินัวซึ่งหันขวับมามองเขาเช่นกัน ดูจากสีหน้าเครียดของมิเวลแล้วเขาเดาว่าอีกฝ่ายต้องยกเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน



‘...เฟรเนร่าอย่างข้าไม่แบ่งแยกเพศ ข้ามีทั้งความอ่อนโยน ความสง่างามของหญิงสาว และความกล้าหาญ ความแข็งแรงของชายหนุ่ม...’



“ควินัวบอกว่าเป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชายเลย” วอลบอกตามที่ควินัวสื่อสารกับเขาทางจิต มิเวลพยักน้อยๆ เป็นการรับรู้ แต่พอตั้งใจจะถามเรื่องควินัวต่อ อยู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงจนเธอสะดุ้งตกใจ ควินัวเองก็คงตกใจกลัวด้วยเหมือนกันเพราะมันพยายามขดตัวอยู่บนตักของเธอ



วอลหันไปกดปุ่มเปิดกระจกแคปซูลออก พอออกมายืนข้างนอกได้พักเดียวเขาก็รู้สึกมึนหัวแต่ก็พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติเพราะเขาไม่ต้องการให้มิเวลรู้ ควินัวลุกจากตักของมิเวลไปนั่งอยู่ข้างๆ ผู้เป็นเจ้าของ เมื่อควินัวลุกไปแล้วเด็กสาวจึงลุกขึ้นยืนบ้างแล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง รู้สึกงุนงงเพราะข้างนอกยังมีแดดสว่างจ้าอยู่เลย แต่แล้วท้องฟ้าสดใสก็มืดลงทันควัน ก่อนจะมีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงขึ้นอีกครั้ง



สองคนกับอีกหนึ่งตัววิ่งออกไปที่ห้องรวม เห็นเอเวนเดินออกมาจากห้องบังคับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมด้วยดาบยาวในมือ มิเวลเห็นเขาชักดาบออกมาแล้วก็ต้องตกใจ แม้ว่าเอเวนจะไม่ค่อยถนัดดาบสักเท่าไหร่ แต่เธอก็รู้ว่าเขาใช้ดาบต่อสู้ด้วยทุกครั้ง แสดงว่าในรัศมีใกล้ๆ นี้จะต้องมีศัตรูอยู่



“เกิดอะไรขึ้น” มิเวลรีบถาม รู้สึกได้ถึงเวทเขตอาคมที่รุนแรงขึ้น เอเวนคงจะเพิ่มพลังเวทของเขตอาคมให้สูงขึ้นกว่าเดิม



“ตุ๊กตาปีศาจ” เสียงเครียดตอบ “พวกมันเป็นสาเหตุทำให้สภาพอากาศแปรปรวน”



มิเวลเบิกตากว้างทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘พวกมัน’



มีหลายตัวงั้นหรือ!?



“เจ้ารู้มั้ยว่ามันอยู่ที่ไหน” เด็กสาวหันไปถามผู้รอบรู้โดยพลัน



คนถูกถามเงียบไป พยายามสัมผัสการเคลื่อนไหวนอกเขตอาคม



“พวกมันล้อมอยู่ด้านนอก แต่มีบางตัวกำลังมุ่งหน้าไปในเมือง”



++++++++++++++++++++++++++++






โปรดติดตามตอนต่อไป!







โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มี.ค. 2560, 13:34:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มี.ค. 2560, 13:34:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 752





<< Episode 16 : || คำถามที่ไร้คำตอบ ||    Episode 18 : || กระสุนพลังจิต || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account