สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"

หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย

ตอน: บทที่ ๙

บทที่ ๙

เป็นเวลาเกือบบ่ายคล้อยตอนที่ฝนค่อยๆ โปรยลงมา... ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างเชื่องช้า ผ่านมื้อเที่ยงไปได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังเดินทางไปได้ไม่ไกลกันนัก หนำซ้ำยังดูเหมือนเคราะห์จะตามซ้ำเมื่อท้องฟ้าเริ่มปิด แสงอาทิตย์เริ่มหาย อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง

โดยไม่ได้คาดหวัง... สินธุ์นทีเอื้อมมือมาหรี่ปรับเครื่องทำอากาศในรถให้อุ่นขึ้นอีกเล็กน้อย หล่อนจึงไม่อาจฝืนปากหนัก เอ่ยขอบคุณเขาไปเบาๆ

“ถ้าวันนี้ไปไม่ไหว ก็นอนที่หน่วยพิทักษ์ป่าห้วยร่องช้างก่อนแล้วกันนะพี่หมาย”

“ครับผู้ช่วยฯ ” ยังไม่ทันขาดคำดี กระแสลมไม่รู้ที่มาก็พัดโหมเข้ามาอย่างแรงจนต้นไม้สองข้างทางโยกไหว ด้วยทักษะไหวพริบอันดีเยี่ยมของสมหมายที่แม้มองเห็นเพียงหางตา ทำให้สามารถหยุดรถและถอยออกห่างจากต้นไม้ที่ดูอ่อนแอจนไม่สามารถต้านแรงลมได้และพร้อมจะโค่นลงได้ทุกเมื่อ

และไม่นานเลย... กระแสลมแรงดังกล่าวก็พัดโค่นเอาทั้งรากทั้งต้นก่อขี้หมูล้มตึงลงมาคาตา ห่างจากหน้ารถไม่ถึงห้าสิบเมตร พร้อมกับหัวใจของพลอยชีวันที่ตกลงไปกองแทบตาตุ่ม

หล่อนอ้าปากหวอ ไม่มีกระทั่งเสียงกรีดร้องใดๆ หลุดรอดจากริมฝีปาก

“เอายังไงต่อดีครับผู้ช่วยฯ ”

“ถอยก่อน รอให้ลมสงบแล้วค่อยกลับมา” ไม่ต้องรอคำสั่งซ้ำ สมหมายใส่เกียร์ถอยหลังเต็มกำลัง หาช่องว่างข้างทางที่เหมาะสำหรับการกลับหัวรถ แล้วย้อนไปในทางเดิม

“เดี๋ยวค่ะ... เรารอก่อนไม่ได้หรือคะ”

“จะรอให้ต้นไม้ล้มลงมาซ้ำอีกต้นหรือ”

“ไม่ใช่ค่ะ ก็รออยู่ห่างๆ ที่ปลอดภัยกว่านี้”

“ในป่าไม่มีคำว่าปลอดภัยครับ ต่อให้ภารกิจสำคัญแค่ไหน ชีวิตเพื่อนร่วมงานผมสำคัญกว่า” ไม่เคยเลยสักครั้งที่สินธุ์นทีจะเรียกว่าลูกน้อง... เพราะทุกคนคือเพื่อนร่วมงานของเขา งานจะสำเร็จไม่ได้ ถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นเพียงผู้ตามตลอดเวลา หากก้าวด้วยกัน ย่อมก้าวไปได้ไกลกว่า และโอกาสในการทำสำเร็จก็มากกว่าตามไปด้วย “แล้วเราจะกลับไปไหนคะ ไปถึงที่ทำการเขตฯ เลยหรือคะ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่หยิบวิทยุขึ้นมาเรียกรหัสที่หล่อนไม่เข้าใจ

พร้อมหันมาปรึกษาสมหมายไปพลาง “เบี่ยงออกไหล่ทางแล้ววิ่งได้ไหมพี่”

“ไม่แน่ใจครับ ต้องลงไปดู”

“ผมไม่แน่ใจว่าหน่วยฯ ไทรน้อยจะมีอะไรพอให้ตัดต้นไม้ล้มได้ไหม”

“ถ้าไม่อย่างนั้นคงต้องกลับเขตฯ ก่อนครับผู้ช่วยฯ แล้วให้มานพกับคนในหน่วยฯ โน้นมาดูให้”

“เดี๋ยวนะคะ... เราจะกลับ... ง่ายๆ แบบนี้หรือคะ”

ก่อนที่สินธุ์นทีจะได้มีโอกาสเอ่ย เสียงวิทยุสื่อสารก็ตอบกลับมาเสียก่อน นั่นจึงทำให้เขาหันกลับไปหาสมหมาย

“ไม่มีว่ะพี่ กลับเขตฯ ก่อนแล้วกัน”

“ฉันจะไม่ยอมนั่งรถกลับไปกลับมาแบบนี้แน่ๆ” หล่อนหวีดร้องเสียงดัง และดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มจะใช้ความพยายามอย่างมากในการหักห้ามใจไม่ให้ตะคอกหรือแม้กระทั่งจับหล่อนมาเขย่าจนหัวสั่น “คุณคิดว่าผมอยากนั่งรถเล่นหรือ คิดว่ามันสนุกหรือ ไม่ครับ มันไม่สนุก แต่ข้างหลังนั่น รวมถึงคนขับรถข้างหน้านี่ เขามีลูกมีเมียที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าผมฝืนไป เราก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม้มันล้มขวางทางอยู่”

“เราลองกันอีกสักนิดไม่ได้เหรอคะ... เมื่อกี้พี่สมหมายบอกว่าจะลงไปดู”

“งั้นไปครับพี่หมาย”

สมหมายหันขวับ มีเพียงประโยคคำถามอยู่บนหน้า เมื่อจู่ๆ ผู้ช่วยฯ หน้าดุก็เอ่ยในสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน

“อะไรนะครับผู้ช่วยฯ”

“กลับไปทางเดิมครับ พาคุณเขาลงไปให้เห็นกับตา จะได้รู้ว่ามันไปได้หรือไปไม่ได้ แต่บอกก่อนนะครับ ผมไม่ลงจากรถ แล้วถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ผมไม่รับผิดชอบชีวิตคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานของผม”

ถูกท้าทายมาเช่นนั้น มีหรือพลอยชีวันจะยอมแพ้ หล่อนย้ายฝั่งมานั่งหลังคนขับ เกาะที่เบาะพร้อมเอ่ยเสียงดัง

“ไปเลยค่ะพี่สมหมาย เกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวรับผิดชอบเองค่ะ เพราะคนในหมู่บ้านก็รอความหวังจากเพลินอยู่เหมือนกัน!”

/////////////////////////////////////////////////

‘หึ! รั้นเข้าไปเถิดแม่คุณ... แล้วจะได้รู้ว่าโลกที่หล่อนหวังไว้มันไม่ได้สวยงามได้อย่างใจ จบแบบบริบูรณ์พูนสุขไปเสียทุกอย่าง’ สินธุ์นทีได้แต่คิดในใจ ขณะที่ลอบสบตากับสมหมาย ก่อนจะยอมพยักหน้า ทำให้สมหมายต้องหาทางกลับรถอีกครั้ง และไม่นานต่อมา รถขับเคลื่อนสี่ล้อก็มาหยุดตรงหน้าต้นก่อขี้หมูขนาดย่อมที่ลำต้นล้มพาดขวางทางวิ่งรถยนต์ พร้อมกับบรรยากาศของเม็ดฝนที่แม้จะไม่มีลมพายุพัดเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีเม็ดฝนตกไม่ขาดสาย

ดินข้างหน้าเป็นดินโคลนข้นคลั่ก สีส้มชัดเจนราวกับชาเย็นที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ และทั้งเหนียวทั้งหนืด ร่างสูงใหญ่เปิดประตูลงมาเพียงเพื่อขยับเบาะให้พลอยชีวันก้าวลงมาจากรถ สัมผัสแรกที่รับรู้คือรองเท้าหล่อนถูกดินโคลนดูดลงไปจนท่วมเกือบถึงข้อเท้า อยากกรี้ดดังๆ แต่มันก็กรี้ดไม่ออก เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายคล้ายจะท้าทายว่า ‘หากเก่งนัก... ก็ลองดู’

นั่นจึงทำให้หล่อนสูดลมหายใจเข้าปอด รวมรวมแรงทั้งหมดดึงเท้าขึ้นมา ก้าวตามหลังสมหมายที่มีรองเท้าบูทยาวคลุมหน้าแข้ง มีเชือกรัดหนาแน่นบริเวณหัวเข่า ทำให้การเดินเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ซ้ำยังมีเสื้อกันฝนมีฮู้ดสวมทับศีรษะที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้!

‘เมื่อกี้ยังไม่มีเสื้อกันฝนเลย แล้วสมหมายไปเสกมาจากที่ไหนกัน?’ หล่อนได้แต่ร่ำร้องคร่ำครวญในใจ ขณะที่ตนเองมีเพียงเสื้อแขนยาวซึ่งฉวยหยิบออกมาจากกระเป๋าเดินป่าตอนพักเที่ยงไว้ห่อร่างกันเม็ดฝนเท่านั้น... ซึ่งมันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะกว่าจะเดินไปถึงท่อนไม้ที่ล้ม หล่อนก็เปียกเข้าไปถึงท่อนแขนด้านในเรียบร้อยแล้ว

“ไปได้ไหมคะพี่สมหมาย”

สมหมายดูอึดอัดใจอย่างเห็นได้ชัด “ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพลินอาจจะดูดื้อด้าน แต่พี่สมหมายต้องเข้าใจนะคะว่าทุกนาทีที่หมดไป ความหวังของคนข้างในที่เขารอเพลินอยู่มันก็ลดน้อยลงเหมือนกัน เพลินแค่อยากแน่ใจว่าเพลินได้พยายามทุกทางแล้วในการเดินทางเข้าไปหาพวกเขา”

“ไอ้ไปมันไปได้ครับ แต่เราต้องตัดไม้บางส่วนออก แล้วขับรถเบี่ยงขึ้นไหล่ถนน แต่ตอนนี้เราไม่มีอุปกรณ์ตัดไม้ ไม่มีเลื่อย ไม่มีขวาน มีแต่มีดเดินป่ากันคนละเล่ม คนก็มีไม่พอ แถมฝนตกถนนลื่น นี่ก็จะบ่ายสามโมงเย็นแล้ว ผมว่าอย่าเสี่ยงเลยครับ...”

“อ๋อ...” สุดท้ายก็ต้องยอมรับ ในเมื่อมันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน หญิงสาวจึงได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ “กลับก่อนก็ได้ค่ะ... พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”

“หนาวมั้ยครับคุณเพลิน ถอดเสื้อแขนยาวออกก่อนครับ เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋ามาให้ จะได้เอาเสื้อตัวอื่นมาใส่” นั่นเป็นคำถามแรกที่สมหมายถามภายหลังที่หล่อนต้องถอดรองเท้าที่ถูกเคลือบด้วยดินโคลนสีแดงส้มทิ้งไว้หลังรถแล้วปีนกลับเข้ามานั่งส่วนโดยสารอย่างทุกลักทุเล “เอาเสื้อผมไปใส่ก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่หนาว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันพี่หมาย เดี๋ยวจะมืดค่ำไปมากกว่านี้ ผมจะวิทยุไปบอกแม่บ้านทำกับข้าวไว้ให้” นาทีนั้นหล่อนได้แต่ถลึงตามองคนพูดแม้เขาจะมองไม่เห็นเห็นก็ตาม... ผู้ชายอะไร ร้ายหน้าตาย ร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ!

/////////////////////////////////////////////////

เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มตอนที่รถแล่นเข้ามาในเขตบ้านพักเจ้าหน้าที่... มันเป็นความรู้สึกโล่งใจแกมหน่วงใจอย่างไรบอกไม่ถูกเมื่อมองเห็นแสงไฟอยู่ไกลๆ ในป่านั้นมีแต่ความมืด ยิ่งดึกยิ่งน่ากลัว ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกับใครก่อน ส่งผลให้บรรยากาศยิ่งอึมครึมมากยิ่งขึ้นไปอีก

แต่อย่างน้อยเมื่อถึงที่นี่ ฝนก็หยุดตกแล้ว... ครั้นรถแล่นเข้ามาเทียบใกล้ๆ โรงอาหาร หล่อนก็มองเห็นดารยายืนกอดอกเพิ่มความอุ่นให้ตัวเองอยู่กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอีกสี่ห้านายที่ดูเหมือนจะมาเฝ้าเวรยามในคืนนี้

ส่วนสภาพหล่อนน่ะหรือ... สั่นยิ่งกว่านกตกน้ำเลยล่ะ

“คุณเพลินทำไมเปียกมะล่อกมะแล่กแบบนี้คะเนี่ย... รีบมาทานข้าวก่อนค่ะ จะได้ไปอาบน้ำทานยา”

“เพลินไม่หิวค่ะ ขอกลับบ้านเลยแล้วกัน ” ตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แล้วหันกลับไปขอกระเป๋ากับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอีกสามนายที่นั่งมาในกระบะหลัง สภาพจึงเปียกปอนไม่แพ้กัน “บ้านไม่ได้ล็อคนะคะ ป๊อบกะเดินออกมาหาของกินรอบดึกเลยไม่ได้ล็อคบ้าน”

“ค่ะ... เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”

“แกคงผิดหวังนะครับ...” สมหมายรำพึง “จริงๆ แกก็มีเหตุผลของแกนะครับ แกบอกว่าทุกนาทีของแกที่หมดไป ความหวังของคนในหมู่บ้านก็ลดน้อยลงเหมือนกัน”

“ผมเข้าใจ” สินธุ์นทีถอนหายใจ หยิบซองบุหรี่มาเคาะจนมวนบุหรี่โผล่ออกมามวนหนึ่ง แล้วจุดสูบด้วยสีหน้าเครียดจัด “แต่ให้ผมเอาชีวิตคนของผมไปเสี่ยง ผมก็ไม่เอา ไม่ใช่แค่คนของผม... เขาก็เสี่ยงด้วย นี่พ่อแม่รู้หรือเปล่าว่าลูกสาวต้องมาตกระกำลำบากอะไรแบบนี้ เดาได้เลยไม่มีทางรู้ เพราะถ้ารู้คงไม่ให้มา”

“เดี๋ยวพี่... นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ดารยาเงยหน้าขึ้นถามรุ่นพี่

“ไม้ล้มขวางทาง ไปต่อไม่ได้ คงต้องใช้เวลาอีกสองสามวันเคลียร์ทางก่อน หน่วยข้างในก็ไม่มีใครมาได้เลย ก็เลยต้องกลับออกมาก่อน... เขาเลยคอตกเป็นหมาเซ็งอย่างที่เห็นนี่แหละ”

“พี่น้ำ! เรื่องอะไรไปว่าคุณเพลินเขาเป็นหมา”

“หมาสิ... หมาเด็กด้วย ทั้งดื้อทั้งซน เอาแต่ใจเรียกร้องจะเอาให้ได้ ดื้อไม่เข้าเรื่อง”

“แต่เขาก็ยอมกลับมาแล้วนี่” ดารยาอดเถียงแทนไม่ได้

“เพราะมันไปต่อไม่ได้หรอก เลยยอมกลับมา” ครั้นเห็นว่าผู้ช่วยฯ สาว อ้าปากจะเถียงอีก เขาจึงรีบยกนิ้วขึ้นห้าม “อย่าพูดมาก จะกินอะไรก็รีบกิน แล้วหาอะไรร้อนๆ ไปเผื่อเขาด้วย ยาในบ้านมีไหม หาให้กินด้วย ป่วยขึ้นมาจะลำบาก แค่นี้ก็รำคาญจะแย่”
สั่งจบก็หันไปหาสมหมาย “ไปพี่หมาย กินข้าวกัน เฮ้ย พวกหลังรถนั่น ลงมากินข้าวโว้ย”

“แหม่...” หญิงสาวคนเดียวพึมพำเบาๆ “บอกว่ารำคาญเขา แต่ก็สั่งให้ดูแลเขาเสียละเอียดยิบเชียวนะพี่น้ำ...”

/////////////////////////////////////////////////

ก๊อกๆ

ดารยาเคาะประตูห้องนอนตรงกันข้ามสองครั้ง บานประตูจึงค่อยๆ เปิดออก พลอยชีวันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ดูท่าก่อนหน้านี้คงกำลังนั่งไดร์ผมให้แห้งอยู่ หากไม่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

“ออกมาทานโจ๊กร้อนๆ ก่อนค่ะ จะได้ทานยา...” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะอิดออด ผู้ช่วยฯ สาวจึงใช้ไม้อ่อน “ทานเถอะนะคะ ถือว่าป๊อบขอ ถ้าไม่สบายหนักจะลำบากนะคะ”

นั่นจึงทำให้คนที่ยืนอยู่หลังประตูค่อยๆ เดินออกมา รับถ้วยโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปมาไว้กับตัว แล้วเดินไปนั่งตรงหน้าชั้นวางโทรทัศน์ เอ่ยพึมพำขอบคุณดารยาเบาๆ โดยไม่รู้เลยว่าฝ่ายเจ้าของบ้านก็พอจะจับอาการได้ว่านักข่าวสาวผู้นี้เพิ่งผ่านการเสียน้ำตามาหมาดๆ

น้ำตาของความกลัว ความเสียใจ ความอึดอัดอัดอั้นที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนมีมากกว่ากันกันแน่

“คุณเพลินคงโกรธพี่น้ำมากใช่ไหมคะ...”

“คะ?”

“อย่าโกรธพี่น้ำแกเลยนะคะ พี่น้ำแกรักลูกน้องแกมาก แต่แกไม่เคยดูถูกลูกน้อง ไม่เคยเรียกว่าลูกน้อง แกเรียกว่าเพื่อนร่วมงานตลอด แกรักของแกนะคะ...” พลอยชีวันเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยโจ๊ก ฝืนยิ้มรับแกนๆ “ที่แกต้องกลับมาก่อนก็เพราะแกเคยไปเดินป่าแล้วลูกน้องถูกยิง แกเลยอยากมั่นใจว่าจะไม่มีใครเป็นอะไรระหว่างที่แกยังอยู่ที่นี่อีก ในนั้นไม่ใช่แค่ธรรมชาตินะคะที่น่ากลัว... คนนี่แหละค่ะที่น่ากลัวกว่า ป๊อบไม่ได้มาพูดให้คุณเพลินสงสารอะไรทำนองนั้นนะคะ แค่อยากให้เข้าใจแง่มุมของพี่น้ำ เชื่อใจพี่น้ำเถอะค่ะ ทุกอย่างที่แกตัดสินใจ นั่นหมายความว่าแกคิดดีแล้วว่ามันเหมาะสมสำหรับทุกคน”

“แล้วมีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

“อ๋อ เจ้าหน้าที่ที่โดนยิงน่ะหรือคะ ไม่ถึงแก่ชีวิตค่ะ แต่ก็กลับมาทำงานเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเพราะถูกยิงกระสุนทะลุไหล่เส้นเออ็นขาดทำให้แบกของหนักไม่ได้อีก ทำได้แค่ช่วยงานทั่วไปน่ะค่ะ ไปเดินลาดตระเวนกับเพื่อนๆ คนอื่นไม่ได้แล้ว อย่าว่าแต่คนถูกยิงเจ็บเลยค่ะ คนเป็นหัวหน้าชุดลาดตระเวนอย่างพี่น้ำแกก็เจ็บเหมือนกัน” ฟังแล้วอดสะเทือนใจไม่ได้ ว่าจะโกรธ... หล่อนก็โกรธไม่ลงเสียแล้วสิ

แต่กระนั้นก็ไม่อยากยอมรับ จึงเสแกล้งถามไปอีกทาง “คุณกานต์ไปไหนเหรอคะ”

“ไปลาดตระเวนกลับมามะรืนค่ะ แล้วเดี๋ยวออกไปโรงเรียนต่อ”

“ทุกคนต้องลาดตระเวนหมดเลยเหรือคะ”

“ก็ไม่เชิงอะค่ะ จริงๆ ป๊อบไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำส่วนนั้น เพราะป๊อบดูแลงานธุรการ แต่ก็ชอบหนีไปเดินป่าบ่อยๆ ไปค้างคืนเดียวก็กลับ การลาดตระเวนเราจะจัดแบ่งเป็นชุดผลัดเปลี่ยนกันออกไปเดิน แต่ผู้ช่วยฯ แต่ละคนก็จะมีงานหลักที่รับผิดชอบที่แตกต่างกัน อย่างของพี่กานต์จะเป็นสายป้องกัน ทำงานเชิงรุกเข้าหาหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน โรงเรียน ให้ความรู้เด็กๆเกี่ยวกับป่าไม้สัตว์ป่า ส่วนพี่น้ำก็สายบู๊ค่ะ สายปราบปราบ ของหัวหน้าก็นั่นแหละ สายบริหาร คร่าวๆ ก็ประมาณนี้อะค่ะ”

“งานคุณกานต์น่าสนุกจัง”

“ถ้าชอบสอน ชอบพูดชอบคุยอย่างพี่กานต์ก็จะสนุกค่ะ พี่น้ำกับป๊อบไม่ไหว เอาหน้าดุเข้าข่มอย่างเดียว” คราวนี้หล่อนอดขำไม่ได้ “จริงๆ... ฉันไม่ได้โกรธคุณน้ำหรอกนะคะ แต่ฉันโกรธตัวเองมากกว่า ถ้าจะเข้าไปช่วยคนในนั้นไม่ทัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยอะไรได้ไหม แต่ถ้าเราเข้าไปช้ากว่าฝนสุดท้าย... ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับคนในหมู่บ้านบ้างนะคะ คุณป๊อบเชื่อเรื่องที่วาสะบอกไหมคะ”

“อืม... ตอบยากจัง” สาวผิวขาวเหน็บผมเข้ากับหลังหู ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ในขณะที่ตัวพลอยชีวันก็ตักโจ๊กขึ้นมากินเรื่อยๆ “มันก็ไม่เคยมีใครรู้อะนะคะว่ามีอะไรยังไงเกิดขึ้นบ้าง ก็มีแค่เรื่องเล่าต่อๆ กันมา เอาเป็นว่าป๊อบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็แล้วกันค่ะ”

“คุณป๊อบเป็นคนพูดตรง... มากนะคะ” เห็นจากเมื่อครู่ที่พบช่องโอกาส ดารยาก็เข้าเรื่องข้อพิพาทระหว่างหล่อนกับสินธุ์นทีโดยไม่เสียเวลาอารัมภบทเลยแม้แต่น้อย

ดารยายิ้มแฉ่ง “ป๊อบเป็นคนใจร้อนน่ะค่ะ ไม่ชอบให้อะไรค้างคาโดยเฉพาะเรื่องก่อนนอน จะทำให้นอนไม่หลับ ป๊อบเกลียดการนอนไม่หลับ อยู่กับผู้ชาย ทำงานกับผู้ชายมากๆ ก็เลยชอบพูดกันตรงๆ มากกว่ามาอ้อมแอ้ม อย่าถือเลยนะคะ”

“ไม่ถือหรอกค่ะ... ประทับใจต่างหาก”

“งั้นป๊อบไปนอนแล้วนะคะ อย่าลืมทานยานะคะ” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นเดินหนีเข้าห้องนอนไม่รอให้คู่สนทนาได้ตอบอะไรทั้งนั้น การันตีความใจร้อน ชอบทำอะไรไวๆ อย่างที่เจ้าตัวบอกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

‘ก๊อกๆ’

เสียงเคาะประตูดังขึ้นตอนที่หล่อนกำลังจะหย่อนถ้วยกระดาษลงถังขยะ คราวนี้เป็นเสียงจากบานประตูใหญ่หน้าบ้าน หญิงสาวไม่แน่ใจว่าผู้มาเยือนต้องการพบใครกันแน่ จึงได้แต่สงเสียงทักทายออกไป

“ผู้ช่วยฯ ป๊อบเข้านอนแล้วค่ะ ให้เรียกไหมคะ”

“ผมมาหาคุณนั่นแหละ” หล่อนจำเสียงได้... นั่นเสียงสินธุ์นที

พลอยชีวันถอนหายใจ ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ ให้เข้าที่ แล้วปลดล็อคเปิดประตูบ้านออกไป สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ซึ่งทันที่ที่เขาเห็นว่าหล่อนเปิดประตูบ้าน สินธุ์นทีก็พ่นควันบุหรี่ไปอีกทาง แล้วโยนก้นบุหรี่สีแดงวาบลงไปด้านหน้าบ้านซึ่งเมื่อสัมผัสกับน้ำที่ค้างอยู่บนยอดหญ้าแสงไฟก็ดับลง

ร่างสูงก้าวออกมาจากเงามืดหน้าบ้าน ในระยะที่ยืนใต้แสงไฟพอให้หล่อนมองเห็นหน้า “ผมจะมาบอกว่าพรุ่งนี้คงยังเข้าไปข้างในไม่ได้ อาจจะต้องเคลียร์ทางก่อน คงใช้เวลาอีกสองวัน พรุ่งนี้ผมจะให้พี่ๆ เข้าไปดูให้ว่าจะทำยังไงกับต้นไม้ก่อนดี”

“ค่ะ...”

“กินข้าวกินยาแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ”

“อืม ดี จะได้ไม่ป่วย”

จบคำเขาก็ทำท่าว่าจะเดินหนี แต่หล่อนก็พลั้งปากเรียกชื่อเขาออกไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

“คุณน้ำ”

“ฮะ?”

“ฉัน... ขอโทษสำหรับเรื่องวันนี้”

“ครับ”

“ถ้าคุณอยากจะถอนตัว... ฉันก็ยินดีนะคะ เพราะนี่มันไม่ใช่งานของคุณเลย”

“ครับ มันไม่ใช่งานผม แต่วาสะเป็นเพื่อนของผม ผมอยากช่วยเพื่อนผม... และผมจะไม่ทำให้เสียงานแน่นอน คุณไม่ต้องห่วง ผมจัดการได้” หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ ก้าวถอยหลังเข้ามาในบ้านเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้มากกว่านั้น แต่ก่อนบานประตูจะปิดลง ยังได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยลอดผ่านบานประตูเข้ามา

“เป่าผมให้แห้งด้วยล่ะ อากาศในป่ามันหนาว จะไม่สบายเอา”

แล้วมันก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้จริงๆ...


/////////////////////////////////////////////////

ขอบคุณทุกไลค์ ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ ไม่ได้ตอบเม้นแต่อ่านอยู่เน้อ
รักทุกคนเลย จุ๊บๆ



อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2560, 21:13:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2560, 21:13:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1026





<< บทที่ ๘   บทที่ ๑๐ >>
ชื่อหนอนแว่นตาโต 6 เม.ย. 2560, 23:00:40 น.
ติดตามจ้า


แว่นใส 7 เม.ย. 2560, 06:31:52 น.
มีอุปสรรคตลอดเส้นทางเลยนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account