สูตรลับจับรัก
เรื่องรักของคุณพ่อลูกติดมาดเซอรกับครูสาวสุดเปิ่น ผู้ถูกความรักผลักไสให้หลงทางมาเจอกันในวันบอบช้ำ สองหนุ่มสาวต่างวัยกับกาวใจลูกสาวตัวเล็กและชีวิตที่พลิกผัน
Tags: สูตรลับจับรัก ทักษ์ปิ่น คุณพ่อนักเล่านิทาน รักดราม่า

ตอน: บทที่ 4 : 50%


เกือบชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย รถญี่ปุ่นคันเก่าเลี้ยวเข้าถนนหลักย่านชานเมืองสมุทรปราการ ปิ่นมณีพิงเบาะเอนคอหลับคอพับคออ่อน เสื้อผ้าเปียกปอนเริ่มแห้งเพราะแรงลมแอร์รถยนต์ เช่นเดียวกับทักษ์ที่เหลียวมองหล่อนเป็นบางทีและส่องกระจกดูที่เบาะหลัง น้ำหอมเอนนอนทับหมอนอิงยังไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ทักษ์พรูลมหายใจหนักหน่วงทันทีที่จอดรถ

ไม่รู้จะทำอย่างไรกับหล่อนดี!

เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งกับหล่อนที่ท่าเรือตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องพัวพันกันข้ามวันข้ามคืน
ชีวิตของเขาควรสงบสุข แต่กลับคล้ายเห็นเค้ารางความยุ่งยากครั้งใหญ่

รถเลี้ยวเข้าซอยเล็กจนมาจอดหน้าประตูรั้วบ้านไม้ทรงไทยสองชั้นหลังใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในสวน บ้านมรดกตกทอดที่พ่อและแม่ทิ้งไว้ให้ หลังจากประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิตตั้งแต่ทักษ์ย่างเข้ามหาวิทยาลัยปีสี่

บ้านหลังใหญ่เงียบเหงาจับใจ เขาไม่มีใครจนริสาเพื่อนสาวร่วมคณะ นักกิจกรรมและอารมณ์ศิลปินเช่นเดียวกับเขาเข้ามาในชีวิต จากรักแรกพบจนความรักสุกงอม หล่อนก็ย้ายเข้ามาอยู่กับเขาทันทีที่เรียนจบโดยไม่มีพิธีแต่งงาน และมีน้ำหอมหลังจากอยู่ด้วยกันสองปี แต่แล้วอุบัติเหตุก็พรากริสาจากไป ทิ้งแผลใหญ่ไว้ในใจน้ำหอม ไม่ต่างกับเขา

ทักษ์เผลอมองปิ่นมณีที่เอียงคอหลับมาทางเขาแล้วถอนใจก่อนจะลงไปเปิดประตูรั้วบ้านและขับเข้าไป ถอยเข้าจอดใต้ถุนบ้านเรียบร้อยแต่เขากลับนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น จนสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงนิ้วป้อมๆ ยื่นมาสะกิดข้างแก้ม

“คุณพ่อขา”

“ตื่นแล้วหรือคะ” ทักษ์เหลียวมอง “นึกว่าได้อุ้มกันขึ้นบ้านอีกแล้ว”

“น้ำหอมจำได้ว่าคุณพ่อบอกจะไปส่งครูปิ่นที่บ้าน” เด็กน้อยชะเง้อมองครูสาวหลับคอพับคออ่อนด้านหน้า

“ใช่ค่ะ” ทักษ์ยิ้มบางตอบ

น้ำหอมขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันมาคาดคั้นพ่อ “แล้วทำไมครูปิ่นมากับเราได้ละคะ”

“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ” ทักษ์ลูบผมลูกสาว “พ่อว่าตอนนี้ลูกลงไปหาคุณยายดีกว่าไหมคะ คุณยายลงมารอแล้วนะ”

“คุณยายมาแล้ว!”

น้ำหอมหันขวับ มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วหันมาพยักหน้าเปิดประตูวิ่งไปหาเจ้าของร่างอวบที่ยืนอยู่เชิงบันได โดยไม่อิดออดอีก ทักษ์มองตามแผ่นหลังอ้วนกลม ผมยาวกลางหลังแกว่งไปมาคล้ายหางม้าแล้วหัวเราะออกมาได้

เขายังมีเรื่องใหญ่รออยู่ อย่างน้อยก็ต้องเตรียมคำตอบสำหรับการพาครูของลูกสาวมาด้วย แต่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเต็มใจที่จะช่วยหล่อน คงไม่ทำให้ใครคิดไกลโดยเฉพาะหญิงชราที่นั่งโอบกอดลูกสาวตัวน้อยของเขาและมองมา

คุณยายของน้ำหอมหรือคุณพิมพ์นวลคือแม่ของริสา หญิงหม้ายที่ต้องเลี้ยงลูกตามลำพังสองคน คนหนึ่งคือภรรยาของเขา ส่วนอีกคนคือราศี พี่สาวฝาแฝดของริสาที่อายุมากกว่าน้องสาวเพียงห้านาที

ริสาสวยหวานน่ารัก แต่มีความเป็นศิลปินและค่อนข้างไม่แคร์สังคมเหมือนทักษ์ ส่วนราศีสวยจัด คมคาย สูงยาวเข่าดีเป็นนางแบบเฉิดฉายอยู่ในแวดวงแสงสีเป็นอันดับต้นๆ ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชั้นสูงมีคอนโดราคาแพงติดริมน้ำเจ้าพระยา

คุณพิมพ์นวลอยู่ท่ามกลางสังคมปาร์ตี้ทุกคืนวันไม่ได้ จนสร้างปัญหาให้ราศีไม่น้อย เขาจึงรับมาอยู่ด้วยและให้คอยดูแลน้ำหอมแทน

‘แม่นวล’ จึงเป็นทั้งแม่คนที่สองของเขา เป็นทั้งยายของน้ำหอม และพ่วงตำแหน่งแม่บ้านดูแลบ้าน รับส่งน้ำหอมที่โรงเรียนหน้าปากซอยเป็นกิจวัตร โดยที่ตัวเขาไม่ต้องคอยกังวล



เสียงแมลงกลางคืนร้องแข่งกันโดยปราศจากเสียงรบกวนของรถราบนท้องถนน ทำให้ปิ่นมณีหลับลึก กว่าจะรู้สึกตัวก็ต่อเมื่อทักษ์ปลุก นาฬิกาเรือนเล็กสีขาวบนข้อมือถูกยกขึ้นดูเวลาด้วยความเคยชิน แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยเพราะมันตายตั้งแต่อยู่ที่เกาะเมื่อวานแล้ว

“กี่โมงแล้วคะคุณ” หล่อนหันไปถามแล้วเคาะนาฬิกาข้อมือตัวเอง “นาฬิกาฉันตาย”

“เกือบสี่ทุ่มแล้วละ”

ปิ่นมณีเบิกตากว้าง ถามเสียงกังวลพอๆ กับหน้าตา “ฉันหลับไปนานขนาดนี้เลยหรือคะ ทำไมคุณไม่ปลุก”

ทักษ์ขมวดคิ้ว ยิ้มมุมปากก่อนจะยกสองแขนขึ้นเหนือหัวแล้วบิดขี้เกียจ

“เห็นคุณหลับเพลิน” เขาตอบ มองหล่อนไม่ละสายตา “ผมนั่งจนเหน็บกิน บริจาคเลือดยุงได้หลายตัว ก็เลยสะกิดนี่แหละ”

”ทำไมไม่ปลุกฉันเร็วๆ ล่ะคะ”

ปิ่นมณีเหลียวมองหาน้ำหอม พอไม่เห็นก็หันกลับมาสบตาชายหนุ่มแวบหนึ่งและเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว

“ที่นี่คือ”

“บ้านผมเอง”

“แล้วน้ำหอม” หล่อนไม่วายถาม แถมยังนั่งหันรีหันขวาง

ทักษ์เปิดประตูรถก้าวลงไปก่อนจะค้อมตัวผ่านกระจกฝั่งคนขับกวักเรียกหล่อนให้ลงตาม “ลงมาก่อนเถอะ คุณควรได้พักผ่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกๆ บางๆ ออกให้เนื้อตัวสบาย”

หญิงสาวก้มหน้ามองสภาพตัวเองโดยอัตโนมัติ เสื้อยืดสีขาวบางคอวีปาดแหวกลึกจนเห็นร่องอกตามไซส์ฝรั่ง ที่ซื้อหามาจากเกาะ ราคาไม่แพงแถมผ้าเนื้อพอไปได้ แต่พอตากฝนจนเปียกโชก ผ้าที่ดูใส่สบายก็ย้วยจนเหมือนผ่านการใช้งานมานานปี และพอมาอยู่บนร่างกายหล่อนแบบขอไปที ตัวผ้ามันจึงค่อนข้างบางและคอลึกพอควร

ปิ่นมณีหน้าเห่อร้อนสองมือยกขึ้นปิดหน้าอกให้รอดพ้นจากสายตา ทักษ์เดินอ้อมไปอีกฝั่งเปิดประตูให้เมื่อหล่อนยังนั่งนิ่ง

“เร็วๆ สิคุณ ผมเหนื่อย” เขาก้มบอกอีกหน “ไม่ต้องห่วงผมไม่มองหรอก ขนมครกครึ่งซีกแบบคุณไม่มีอะไรเร้าใจ”

“คุณ!” ปิ่นมณีค้อน

ร่างเล็กบอบบางผลักประตูรถออกอย่างแรง ทำเอาคนเปิดรีบถอยหนี พอลงมายืนข้างรถได้ก็กำคอเสื้อแน่น มืออีกข้างเอากระเป๋าสะพายมาอำพรางความบางจนเห็นบราสีเนื้อด้านใน

ทักษ์ตั้งท่าเดินนำ แต่ชะงักหันกลับมาเรียก เมื่อเห็นหล่อนยังคงลังเล “ไปกันได้ยัง ลีลาแบบนี้แม่นวลจะสงสัยได้นะ”

“ที่จริงคุณน่าจะส่งฉันลงที่ไหนก็ได้” หล่อนพูดเสียงเบา ก้าวตามมาทันกัน “ไม่เห็นต้องพามาที่นี่เลย คนอื่นจะว่ายังไง”

หล่อนเบนสายตาไปทางบันได สบเข้ากับหญิงชราที่ไม่รู้ว่าเป็นใครแล้วเกิดอาการเกร็งขึ้นมากะทันหัน เพราะสายตาดุดันดูไม่เป็นมิตรที่ส่งตรงมาให้เห็นสองเต็มตา

“ไหนจะคนอื่นๆ ในบ้านคุณอีก” หล่อนมองไปที่ตัวบ้าน “ออกจะหลังเบ้อเริ่ม นี่ฉันนึกว่าคุณเป็นพวกติสถังแตกซะอีก”

ทักษ์หันขวับมามองแล้วเสยผมปรกหน้าลวกๆ แล้วทัดหูกันรำคาญ เผยให้เห็นหน้าผากนูนกว้างและดวงหน้าสมส่วนรับแสงจันทร์สะท้อน ดูดีจนปิ่นมณีสะบัดหน้าหนี

นี่ถ้าหนวดไม่เฟิ้มคงดูดีขึ้นอีกสักสิบเปอร์เซ็นต์กระมัง

“ครูปิ่นแรงเยอะครับ” เขาจ้องหล่อนด้วยดวงตามุ่งมั่นก่อนจะถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆ “เคยมีใครบอกไหมว่าอย่ามองคนแต่ภายนอก”

“ก็คุณเหมือนพวกติสถังแตกจริงๆ นี่นา” หล่อนตอบอ้อมแอ้มย้ำคำเบาๆ ”หรือไม่จริง”

“จริงหรือไม่จริง ผมก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ”

“มิน่า ทำตัวเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองแบบนี้ ถึงไม่มีแม่ใหม่ให้น้ำหอมสักที” หล่อนเดินตามไม่วายพูดไม่เข้าหู

“ผมไม่ชอบผู้หญิงฉาบฉวย อาศัยแค่ความรวยของผู้ชายเป็นสะพานข้ามหาความสบาย”

“โอย... เห็นนิ่งๆ แบบนี้ด่าได้เจ็บแสบเหมือนกันนะคุณนี่”

คุณพ่อมาดเซอร์ฟังแล้วส่ายหน้า หมุนตัวเดินไปที่ประตูรั้ว แล้วผ่อนความเร็วลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ปิ่นมณีก้าวตามแทบจะเป็นวิ่งเพื่อให้เร็วทันกัน

“คุณไปรอที่บันไดบ้านก่อนก็ได้ ไม่ต้องตามมาหรอก”

ปิ่นมณีส่ายหน้าจนผมเส้นเล็กชื้นลู่กระจายไปมา “ฉันจะไปกล้าได้ยังไงละคุณ”

“ไม่ต้องกลัวหรอก นั่นแม่นวล” เขาบอกเสียงนิ่ง “ยายของน้ำหอม”

ปิ่นมณีเลิกคิ้ว ตามติดชายหนุ่ม

“ดูดุจัง ทีแรกฉันนึกว่าแม่คุณไม่คิดว่าจะเป็น”

หญิงสาวหยุดคำพูดละลาบละล้วง กุลีกุจอเข้าช่วยดึงประตูบานใหญ่อีกฟากมาให้ ทักษ์รับมาประกบให้เข้าที่ก่อนจะก้มล็อคปิดประตูรั้วแบบบานเหล็กคู่แต่สนิมเกรอะกรัง

“แม่ของสาก็เหมือนแม่ผม คุณไม่ต้องกังวลหรอก” เขาตอบหันมายิ้มเล็กน้อย “อีกอย่างผมจะปล่อยคุณทิ้งกลางทางได้ยังไง เกิดไปวางมวยกับคนอื่นจะยุ่ง”

“พูดซะฉันดูเลวร้ายมาก” หล่อนทำปากขมุบขมิบ

“ก็ไม่เชิง” ทักษ์ตอบและมองตามสายตาหล่อน “ไปหาแม่นวลกันเถอะ”

ปิ่นมณียิ้มแหยเมื่อได้ยินชื่อเจ้าของดวงตาคมกริบ ใจหายวาบนึกหวั่นใจแต่ก็ยอมเดินตามทักษ์ไปแต่โดยดี



ที่พักสำหรับคืนนี้ของปิ่นมณีคือเรือนไม้ชั้นเดียวหลังเล็กแยกออกมาจากเรือนใหญ่ แต่มีประตูทางเดินชั้นล่างเชื่อมติดกันที่ห้องนั่งเล่นด้านหลังระหว่างสวนดอกไม้ ทั้งหมดเพราะการจัดแจงของแม่นวลที่ดูเหมือนจะน่ากลัวในสายตาหญิงสาวตั้งแต่ทีแรก แต่พอเห็นหน้ากันชัดๆ แล้ว หญิงชราก็เปลี่ยนสีหน้าท่าทีไปในบัดดล ด้วยจำได้ว่าหล่อนคือครูสอนวิชาพละศึกษาของหลานน้อย

“หวังว่าจะพักได้นะหนู”

พิมพ์นวลยิ้มบางหลังจัดแจงที่หลับที่นอนพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เป็นของราศีให้

“พักได้ค่ะ คุณป้า” ปิ่นมณีเหลียวมองรอบๆ แล้วพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คุณเป็นครูของน้ำหอมนี่นา”

ปิ่นมณียิ้มบางชวนคุย “ทีแรกหนูคิดว่าเขาแบบ... แบบว่า”

“หืม... แบบว่าอะไรจ๊ะ” พิมพ์นวลถามย้ำ เมื่อหล่อนอึกอัก

“ทีแรกหนูคิดว่าพ่อน้ำหอมเป็นพวกศิลปินแบบ” หล่อนทำไม้ทำมือไม่ถูก จะพูดก็ไม่ค่อยกล้า “แบบว่าตกยากน่ะค่ะ”

“อ๋อ นี่เป็นบ้านที่พ่อแม่ทักษ์เขาทิ้งไว้ให้น่ะจ้ะ ก็เลยไม่ลำบากถึงกับตกยากเท่าไหร่ ถ้าไม่มีอะไรป้าขอตัวก่อน ทิ้งน้ำหอมไว้นานแล้ว”

“ค่ะ หนูก็แค่เป็นห่วงน้ำหอมในฐานะครูค่ะ แล้ว” ปิ่นมณีนิ่งคิด แต่ก็อดถามด้วยความอยากรู้อีกไม่ได้ “เขาทำงานอะไรหรือคะ ขอโทษที่หนูถามละลาบละล้วง”

พิมพ์นวลเลิกคิ้ว ชะงักฝีเท้าอยู่หน้าประตูห้อง แล้วหันกลับมา

“เวลาว่างจากงานเขาก็เป็นศิลปินแบบที่หนูคิดจริงๆ จ้ะ ทำสารพัดแหละพ่อคนนี้ เป็นจิตรกร นักปั้น นักเขียนก็เป็นจ้ะ”
“เป็นนักเขียนด้วยหรือคะ” ปิ่นมณีพยักหน้ารับรู้ “แสดงว่าภาพนี้ก็คงฝีมือเขาสินะคะ”

“ภาพทุกภาพในบ้านหลังนี้ฝีมือเขาทั้งนั้นแหละจ้ะ”

หญิงสาวหันกลับมามองภาพแขวนผนังสีน้ำมันขนาดใหญ่ตรงหัวนอน มีลายเซ็นชื่อชายหนุ่มเห็นเด่นชัดแล้วต้องทึ่ง งดงาม ลึกลับ ต่างกับหน้าตาคนวาดลิบลับ

“เขามีพรสวรรค์จริงๆ ถึงว่าสิคะ ติสแตก” หล่อนตอบสั้นๆ ทำท่าลูบลมบนใบหน้าตัวเองเหมือนท่าลูบหนวดแล้วก็หัวเราะ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อพิมพ์นวลหน้านิ่งไม่ได้คล้อยตามไปด้วย

“หนูพูดตรงดี”

พิมพ์นวลเอื้อมมือไปดึงบานประตูจะปิดให้ ก่อนออกไปหญิงชราเหลียวมองรอบห้องอีกครั้งแล้วเอ่ย

“เมื่อก่อนป้าพักบ้านหลังนี้ ตอนสมัยลูกสาวป้ายังอยู่ ทักษ์ยกให้ป้ากับราศีอยู่ แต่ตอนนี้ป้าขึ้นไปอยู่เรือนใหญ่เพราะต้องคอยดูแลหลาน หนูก็พักผ่อนตามสบายนะ พรุ่งนี้จะได้กลับบ้านกลับช่องซะที”

ปิ่นมณีกลืนน้ำลายลงคอฝืดเฝือ นึกรู้กลายๆ ในคำพูด ไม่มีทางที่หล่อนอยู่ที่นี่นานเกินกว่าหนึ่งคืนเป็นแน่

“แล้วพ่อแม่รู้รึเปล่าว่ามาค้างที่นี่” พิมพ์นวลถามย้ำ “ถึงจะเป็นครูบาอาจารย์แล้วก็ใช่ว่าจะมาค้างอ้างแรมบ้านลูกศิษย์ได้ง่ายๆ นะจ๊ะ ใครรู้เข้าจะไม่ดีเพราะพ่อทักษ์เขาก็เป็นม่าย”

“เอ่อ... คือว่าหนู” หล่อนอ้ำอึ้ง พูดไม่ออกขึ้นมาทันทีเมื่อเจอคำถาม

หญิงชราจ้องหล่อนด้วยสายตาที่ปิ่นมณีบรรยายไม่ถูก มันเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ระแวงสงสัย ต่างจากเมื่อครู่จนรู้สึกได้
หรือเพราะหล่อนจะถามซอกแซกมากเกินไป

“หนูขอโทษนะคะ พรุ่งนี้หนูจะไปจากที่นี่ทันทีเลยค่ะ ไม่รบกวนนานแน่นอนค่ะ” หล่อนตอบสีหน้ามุ่งมั่น

พิมพ์นวลยิ้มตอบพยักหน้ารับรู้

“เรื่องวันนี้อย่าบอกพ่อทักษ์ ถือซะว่าป้าไม่เคยพูดอะไร”

“ค่ะคุณป้า”

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงบนที่นอนทันทีที่ประตูห้องปิดลง เหลือบมองภาพถ่ายในกรอบทองขนาดเล็กกว่าเอสี่ไม่มากตรงหัวนอนแล้วก็หยิบขึ้นมาพินิจ

คงจะเป็นแม่ของน้ำหอม เพราะมีเค้าละม้ายคล้ายกัน แต่ที่ทำให้หล่อนประหลาดใจ เพราะหญิงสาวอีกคนที่นั่นขนาบอีกฝั่งโดยมีพิมพ์นวลคั่นกลางนั้นช่างเหมือนกันกับแม่น้ำหอมยังกับแกะ

“คงจะเป็นคุณราศีสินะ” ปิ่นมณีพึมพำ “คุณสองคนเป็นแฝดที่เหมือนกันมากจริงๆ สวยทั้งคู่”

ไม่นึกแปลกใจว่าน้ำหอมได้เค้าความละม้ายมาจากใคร เพราะคุณยายพิมพ์นวลเจิดจรัสท่ามกลางลูกสาววัยใสสองคน นางเป็นสตรีที่ดูดีแม้อายุอานามดูแล้วไม่น่าหย่อนหกสิบเท่าไหร่นัก ผิวสีน้ำผึ้งแม้มีร่องรอยหย่อนคล้อยแต่เนียนนวลไร้จุดกระใดๆ รอยยิ้มพิมพ์ใจบ่มไปด้วยความสุขแตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

“ทำไมคุณหนวดถึงไม่ยอมแต่งงานใหม่นะ คุณก็เสียไปตั้งหลายปีแล้วนี่นา”

หล่อนเผลอลูบดวงหน้าริสาในภาพถ่ายพลางครุ่นคิด ก่อนจะวางกรอบรูปลงที่เดิมแล้วหยิบผ้าขนหนูกับชุดเสื้อผ้าที่พิมพ์นวลเตรียมไว้หายเข้าห้องน้ำไป



เสียงกรีดร้องดังยาวนานต่อเนื่องจนทักษ์ทะลึ่งพรวดจากที่นอนทั้งที่เพิ่งล้มตัวลงนอนได้ไม่นาน ชายหนุ่มกระโจนไปที่หน้าต่างมองไปทางเสียงร้องเห็นไฟเปิดอยู่ หยิบไฟฉายในลิ้นชักแล้วรีบวิ่งออกไปเจอเข้ากับพิมพ์นวลที่หน้าห้องพอดี

“เกิดอะไรขึ้นพ่อทักษ์”

“ผมไม่รู้เหมือนกันแม่นวล” เขาตอบลุกลี้ลุกลน มือกำไฟฉายแน่น “ผมไปดูก่อน ฝากแม่นวลดูน้ำหอมด้วย ผมกลัวแกจะตื่นแล้วตกใจ”

“แม่ไปดูให้ดีกว่าไหม” พิมพ์นวลเสนอ แต่ทักษ์ส่ายหน้าท่าเดียว

“แม่นวลเป็นผู้หญิงจะลงไปได้ยังไงค่ำมืดดึกดื่น ผมไปดูเองดีกว่าครับ”

“ได้จ้ะ ระวังตัวนะลูก”

ทักษ์พยักหน้ารับคำก่อนจะวิ่งลงบันไดไปทางประตูเชื่อมสวนหลังบ้าน ไม่กี่อึดใจก็มาถึงหน้าประตูบ้านเล็ก ชายหนุ่มเคาะประตูรัวๆ ด้วยความเป็นห่วงเมื่อเสียงร้องโหยหวนเมื่อครู่เงียบไป

“คุณ! คุณ! เป็นอะไรรึเปล่า!”

เสียงโครมครามจากด้านในทำให้ทักษ์สะดุ้ง ร้องถามไปอีกรอบ “คุณ! ผมจะเปิดเข้าไปละนะ”

ทักษ์ล้วงกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกงกำลังจะไข ประตูห้องก็เปิดออก ปิ่นมณีโผออกมากอดชายหนุ่มแน่น ครู่ใหญ่ถึงรู้สึกตัวว่าก้อนเนื้อหนั่นแน่นที่หล่อนกอดเต็มรักคืออ้อมกอดแข็งแรง พอนึกได้ก็ผละจากอกเงยหน้าขึ้นมอง ระล่ำระลักหน้าซีด

“ช่วยด้วย! ข้างในมี... มี” หล่อนพูดแทบไม่เป็นภาษาได้แต่ชี้เข้าไปด้านใน “ตรงหน้าต่างห้องน้ำ”

“มีอะไรไหนดูซิ”

ทักษ์คว้าไม้กวาดหน้าห้องวิ่งเข้าไป ปิ่นมณีวิ่งตามไปติดๆ พอถึงหน้าห้องน้ำชายหนุ่มกำไม้กวาดสองมือ ตั้งท่าจะกระทุ้งสิ่งที่ทำให้ต้นไม้ใหญ่เคลื่อนไหวจนกิ่งไม้ตีผนังดังสวบสาบอยู่นอกหน้าต่างบานพับขนาดหนึ่งฟุตที่ไว้ใช้ระบายอากาศ ปิ่นมณีละล้าละลังลุ้นอยู่หน้าห้อง

“ระวังนะคุณ”

ทักษ์หันกลับมามอง แล้วหันกลับไปหาต้นตอของเสียง แล้วก็ต้องตกใจถอยหลังออกมาเมื่อเห็นสายตาแวววาวรับแสงไฟอยู่ด้านนอก พร้อมกับที่มันกระโจนเข้ามาด้านใน

เมี้ยวววววว...

“ทองหยอด! แกมาทำอะไรที่นี่”

ทักษ์ทิ้งไม้กวาดออกห่าง เข้าไปอุ้มแมวสีเหลืองตัวอ้วนกลมที่กำลังพองขนอยู่บนชักโครกที่ปิดไว้ ปิ่นมณีตาโตอ้าปากค้างแล้วมองแมวเหมียวในอ้อมแขนชายหนุ่ม

“แมวหรอกหรือนี่” หล่อนอุทานแล้วตรงเข้าไปลูบหัวเรียก “ทองหยอด ฉันก็นึกว่าแกเป็นผีซะอีกเห็นตาวาวๆ นอกหน้าต่าง”

“คุณนี่กลัวผีขึ้นสมองเลยสินะ” เขาถามค่อน

ปิ่นมณียิ้มเหยเกแล้วเบนสายตาไปหาแมวน้อย “ทองหยอด ชื่อน่ารักสมตัวเลยนะคะ”

“สนใจทำความรู้จักมันไหม”

ทักษ์ยิ้มๆ แล้วส่งทองหยอดให้ ปิ่นมณีรับแมวอ้วนนัยน์ตาสีทองเข้มตัดดำหูยาวหน้าสั้นที่ดูแล้วหน้ามุ่ยพิลึกมากอดอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขายิ้มออกเมื่อเห็นหล่อนหน้าเหยเกเพราะโดนทองหยอดจิกเล็บกับแขนเข้าให้

“มันยังไม่คุ้นกับคุณน่ะ ก็เลยเกร็ง” ทักษ์ลูบหัวทองหยอด “แต่มันไม่กัดหรอก ทองหยอดไม่เคยกัดใคร”

“ตัวหนักด้วยนะคะ ให้มันกินอะไรถึงได้อ้วนแบบนี้”

หล่อนลูบหัวเจ้าแมวอ้วนแล้ววางลงพื้นอย่างเบามือ ทองหยอดเข้าคลอเคลียพันแข้งพันขาไม่ยอมไปไหนจนหล่อนนึกเอ็นดู ทักษ์มองตามทองหยอดไม่วางตา

“ก็อาหารเม็ดปกติ ผมไม่ได้ให้กินข้าวหรอก มันลำบากถ้าแม่นวลไปวัด เวลาผมทำงานต้องการสมาธิก็ต้องให้มันเที่ยวเล่นด้านนอกไม่งั้นก็เป็นแบบที่เห็น”

“พันแข้งพันขา” หล่อนต่อให้

“มันคงรู้ว่าใครมีเมตตากับมัน” ทักษ์เล่า “เหมือนที่น้ำหอมช่วยมันตอนโดนรถชน ตั้งแต่นั้นมันก็ไม่ไปไหนอีกเลย”

ปิ่นมณียืนกอดอกฟังทักษ์เล่าเพลิน กว่าจะรู้ตัวว่าถูกสายตาชายหนุ่มจับจ้องก็ทำให้หล่อนตกใจจนเผลอสะอึก ทักษ์รีบไปหยิบน้ำในตู้เย็นรินใส่แก้วมายื่นให้

“ก้มตัวลงแล้วเงยหน้าดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้ว รับรองคุณหายสะอึก”

“จะได้ผลแน่นะ” ปิ่นมณีหน้าเหยเก สะอึกหลายครั้งจนหน้าแดง “ฉันจะลองดู”

หล่อนก้มลงดื่มตามที่ทักษ์บอกแต่อาการก็ยังไม่หายไป ปิ่นมณีนั่งลงปลายเตียงยื่นแก้วส่งคืนชายหนุ่มแล้วได้แต่โบกไม้โบกมือ พูดไม่ออก

“เป็นไงบ้าง” ทักษ์ค้อมตัวลงมองหน้า “ไม่หาย เป็นไปได้ยังไง”

“ฉันเป็นแบบนี้ทุกทีเวลามีเรื่องตื่นเต้น แล้วก็จะสะอึกไม่หายจนกว่าจะนอน คุณกลับไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันนอนเลยก็คงหาย” หล่อนทำหน้าเหยเกลุกเดินนำไปหน้าประตูเปิดให้ทักษ์ มือไม้สั่นระริกเมื่ออาการสะอึกเริ่มกลับมาอีก

หล่อนอาย อับอายที่มาเกิดอาการกับคนแปลกหน้า แถมยังควบคุมไม่ได้เสียนี่

ทักษ์เดินอ้อมมาหน้าประตู แล้วหันกลับมาหาหล่อนท่าทางลังเล “ผมว่า”

“เดี๋ยวฉันก็หายจริงๆ ค่ะ”

“งั้น” ทักษ์นิ่งไปครู่แล้วทำชี้มือไปด้านหลังหญิงสาว “คุณปิ่น! ระวัง!”

ปิ่นมณีสะดุ้งสุดตัวกระโดดกอดคอทักษ์แน่น ซบหน้ากับซอกคอชายหนุ่ม หลับตาปี๋ชี้มือไปด้านหลังถามเสียงสั่น

“อะไร! มันคืออะไรอ่ะคุณ!”

“ไม่มี” ทักษ์ตอบสั้นๆ กางสองมือออกห่างตัว “ผมหลอกคุณ”

“คุณหลอกฉัน”

ปิ่นมณีทวนคำเสียงขึ้นจมูก ค้อนใส่ชายหนุ่มตาคว่ำ

“แต่ก็ทำให้คุณหายนะ ไม่สะอึกแล้วนี่”

“จริงด้วย!”

“เห็นไหม วิธีแรกไม่ได้ผล แต่วิธีนี้ชะงัดเลย คุณพักผ่อนเถอะ ผมกลับเรือนก่อน”

ทักษ์ยิ้มกว้างจนหนวดกระดิก เป็นรอยยิ้มแรกที่ปิ่นมณีรู้สึกถึงความสว่างไสวภายใต้ท้องฟ้ามืดมิด ชายหนุ่มหันหลังกลับสองมือล้วงกระเป๋าก้าวออกไป แผ่นหลังชายรูปร่างสูงใหญ่ผมยาวผูกครึ่งปล่อยไรผมเรี่ยเคลียไหล่ดูอบอุ่นอย่างประหลาดในยามที่หัวใจหล่อนเหน็บหนาวไร้ที่พึ่งแบบนี้

ปิ่นมณีเผลอมองตามไปจนลับสายตา



คืนนี้พระจันทร์สวยสมคืนวันเพ็ญจนต้องหยุดยืนมอง ทักษ์เงยหน้าสูดอากาศบริสุทธ์เต็มปอด เด็ดดอกแก้วช่อเล็กหมุนไปมาแล้วสูดดมความหอม เขาไมได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว

กระชุ่มกระชวยเหมือนหนุ่มแรกรัก

คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะผิวปากกลับเรือนใหญ่ ยังไม่ทันเปิดประตูบ้านก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นพุ่มไม้ไหวระริก และเสียงสวบสาบของเศษใบไม้แห้งบนพื้น

“ใครน่ะ!” ร่างสูงใหญ่หยุดชะงัก มองไปยังต้นทาง “ถามว่าใคร”

“ศีเอง พี่ทักษ์”

ร่างสูงเพรียวเจ้าของเสียงหวานในชุดเดรสสีกุหลาบสั้นเหนือเข่าเกือบคืบก้าวออกจากพุ่มไม้ ตรงเข้าเกาะแขนชายหนุ่มทันที

“ไปไงมาไง ทำไมไม่บอก พี่นึกว่าขโมย”

“ขโมยที่ไหนจะกล้าปีนขึ้นบ้านเจ้าของซอย” หล่อนยิ้มหวานแนบหน้ากับไหล่ชายหนุ่ม “ศีคิดถึงแม่กับพี่ทักษ์ก็เลยแวะมาค่ะ”
“แต่พี่ได้กลิ่นเหล้าหึ่งเลย” เขาตอบพลางแกะมือหญิงสาวออก “ดื่มมากไปนะ ใครมาส่งหรือขับรถมาเอง”

“เมาไม่ขับ ศีจำได้หรอกค่ะ พี่ทักษ์บ่นศีทุกรอบ” หล่อนบุ้ยใบ้ไปทางหน้าประตูบ้าน “ก็เลยให้หนุ่มมาส่ง”

“แล้วปีนเข้ามาเนี่ยนะ”

“ก็ศีลืมกุญแจ” หล่อนตอบสีหน้าหวาดๆ

ทักษ์ชะเง้อตามพลางเบี่ยงตัวออกจากวงแขนเรียว ก้าวนำออกไปหน้าประตูรั้ว ราศีเม้มปากสีกุหลาบขัดใจแต่ยังคงตามเกาะติด

“รอด้วยสิคะ” หล่อนเรียกไว้

ทักษ์ถอนใจก่อนจะหันมา

“แล้วบอกแม่นวลรึเปล่าว่าจะมา”

“บอกแล้ว ศีเบื่อพวกนักข่าวก็เลยหลบมาหาแม่กับพี่ทักษ์” หล่อนตอบเสียงอ่อนหวาน ฉอเลาะเอาใจ

“งั้นก็ขึ้นไปหาแม่นวลเถอะ ป่านนี้คงรอแย่แล้ว พี่จะไปขอบคุณหนุ่มของศีหน่อย”

ทักษ์กระเถิบออกรักษาระยะห่าง

“ไปทำไม! ไม่ต้องไปหรอกพี่ทักษ์” หล่อนยืนกอดอกบ่นอุบ “คนอะไรน่ารำคาญมาก อย่าไปสนใจเลย เข้าบ้านเถอะ”

ทักษ์ชะงักอยู่หน้าประตูยังไม่ทันได้เปิดออกไป เพราะจู่ๆ รถสปอร์ตสีแดงสดคันยาวก็ออกรถอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันกลับมาหาหญิงสาวต้นเรื่องที่ยังคงกอดอกมองตามรถหรู

“แล้วตกลงใครมาส่ง ดารา หรือนายแบบ หรือพวกนักธุรกิจ”

“พี่ทักษ์เป็นห่วงศี ดีใจจังเลย” หล่อนตอบกลั้วหัวเราะ

“ไม่ห่วงได้ยังไง ศีก็เหมือนน้องสาวพี่” ทักษ์ยิ้มบาง “ระวังตัวหน่อยก็ดี แม่นวลจะได้ไม่เป็นห่วง”

“แม่ไม่ห่วงหรอกถึงมาอยู่ที่นี่เพราะแม่ห่วงหลานมากกว่า” หล่อนยิ้มมุมปาก ส่งสายตาระยิบระยับมาให้ “แต่ศีไม่สนใจหรอก เพราะว่า”

“ช่างเถอะ ไงก็ไม่ใช่เรื่องของพี่” ทักษ์ตัดบทมองเมิน ออกเดินไปทางเรือนใหญ่ โดยมีราศีตามติด

“รอด้วยสิคะ ดึกแล้วศีกลัวนะพี่ทักษ์”

หล่อนตามมาทันแล้วสอดนิ้วเรียวเข้ากับฝ่ามือชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งดึงมือออกแต่ไม่พ้นมือสาวที่ประสานแนบแน่น ทักษ์หยุดยืนหันมองหล่อนเต็มตา

“ทำไมชอบทำแบบนี้อยู่เรื่อย” ทักษ์ส่งสายตาตำหนิ เสียงเข้ม “พี่ไม่ชอบนะ”

“แต่ศีชอบ” หล่อนอุทธรณ์ ตาละห้อย “ชอบให้พี่ทักษ์เป็นห่วง”

“แต่พี่ไม่ชอบ”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มี.ค. 2560, 12:48:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มิ.ย. 2560, 16:57:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1044





<< บทที่ 3 : 100%   บทที่ 4 : 80% >>
ปริยาธร 28 มี.ค. 2560, 16:01:52 น.
แวะมาให้กำลังใจปิ่นมณีกับคุณทักษ์จ้า


lovereason2 29 มี.ค. 2560, 08:30:35 น.
ขอบคุณค่ะ พี่นุ้ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account