ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนที่ 5


เวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ในตอนที่เขาสูญเสียครอบครัวไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้พ่อ แม่ และน้องสาวต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ในขณะที่เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่เด็กชายวัย 12 ปีรับรู้ถึงการสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย สภาพจิตใจเสมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บเจียนตาย และขาดอวัยวะสำคัญในชีวิตไป เพราะเด็กชายตระหนักดีว่านับแต่นี้ชีวิตของเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

ขณะที่เขารู้สึกเคว้งคว้าง และไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต ท่ามกลางความโศกเศร้า เสียใจที่ท่วมท้น เขาได้รับความเมตตาจากเพื่อนของบิดา มารดาที่รับราชการครูเช่นกัน ช่วยรับไปอุปการะในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อรอญาติสนิทมารับตัวไปอุปการะต่อ ซึ่งก็คือลุงของเขาที่ตอนนั้นยังอยู่ต่างประเทศ และการติดต่อสื่อสารยังคงไม่สะดวกสบายเช่นทุกวันนี้ จึงทำให้ต้องรอกันระยะหนึ่ง

ทุกคนในบ้านหลังนี้ดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี ความรัก ความอบอุ่น และปรารถนาดีจากครอบครัวนี้ ได้กอบกู้ เติมต่อความหวัง กำลังใจและพลังให้กับชีวิตของเด็กชายกำพร้าคนหนึ่งให้ฟื้นคืนกลับมาได้ การที่เขาได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ก็เปรียบเสมือนการได้มาพักฟื้น ทำกายภาพบำบัด เตรียมตัวเพื่อจะกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ได้ แม้ขาดอวัยวะสำคัญคือ ‘ครอบครัว’ ไป

ที่นี่จึงเป็นมากกว่าที่ดินผืนหนึ่ง และบ้านหลังหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาอาจจะมัววุ่นวายอยู่กับอะไรมากมายในชีวิต แต่ลึกๆ ในหัวใจของชายหนุ่มฝันถึงการกลับมาที่นี่เสมอ จนกระทั่งเกือบ 2 ปีก่อนที่เขาพอจะเคลียร์ตัวเองจากหน้าที่ ความรับผิดชอบลงได้บ้างจึงมีโอกาสกลับมาเยือนที่นี่ดังใจหวัง

และได้พบว่าครอบครัวที่แสนอบอุ่น น่ารักนั้นได้โยกย้ายเข้ามาอยู่ในตัวอำเภอ เขาได้พบกับครูวิกรณ์ซึ่งปลดเกษียณแล้ว และแม่อ่อนแก้วภรรยา รวมทั้งกอแก้วลูกสาวคนโต แต่ทว่ายายเอื้อย คุณยายผู้ใจดีได้จากไปแล้ว ลูกสาวคนเล็กของบ้านก็ไปใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ หลังเรียนจบ นั่นเป็นเหตุให้ชายหนุ่มแอบว่างโหวงตรงหัวใจอย่างห้ามไม่ได้

เพราะตอนนั้นเขาได้คลุกคลีอยู่กับยายเอื้อยและหลานสาวคนเล็กมากกว่าคนอื่นในบ้าน จึงทำให้มีความรู้สึกผูกพัน เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ยายเอื้อยให้ความเมตตา เอ็นดูเขาเป็นพิเศษคงเพราะเห็นว่าเป็นลูกกำพร้า และหลานสาวคนเล็กของแกนั้นเล่าก็ตามติดเขาแจไม่ยอมห่าง ไม่ยอมให้เขาอยู่คนเดียว คอยชวนวิ่งเล่น ซุกซนตามประสาเด็ก ครั้งหนึ่งที่เขาแอบหลบไปร้องไห้อยู่คนเดียวหลังบ้านแล้วคนตัวเล็กตามมาเจอเข้า

‘พี่ไตรร้องไห้ทำไมคะ พี่ไตรคิดถึงคุณพ่อ คุณแม่กับน้องสาวพี่ไตรเหรอคะ’ มือเล็กเอื้อมมาลูบหลังเขา เหมือนผู้ใหญ่กำลังปลอบเด็กน้อยที่กำลังโยเย

‘โอ๋...ไม่เป็นไรนะคะ เป็นเกี้ยว เกี้ยวก็คงร้องเยอะๆ เหมือนกัน ถ้าพ่อ แม่ กับยายและพี่แก้วไม่อยู่กับเกี้ยว พี่ไตรอย่าเสียใจเลยนะคะ เอาอย่างงี้ดีไหม เกี้ยวยกพ่อ แม่ให้พี่ไตรเลย แถมยายกับพี่แก้วให้ด้วยเอ๊า! ดีไหมคะยกให้พี่ไตรหมดเลย’ เด็กชายมองใบหน้าเล็กมอมแมม ดวงตาใสซื่อนั้นมีน้ำตาคลอเอ่อ เหมือนจะร้องไห้ตามเขา นั่นทำให้เด็กชายรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองและยิ้ม

‘ถ้ายกให้พี่ไตรหมดแล้วน้องเกี้ยวก็จะไม่เหลือใครเลยนะครับ’ เขาแกล้งพูดพร้อมรอยยิ้มไม่จาง

‘ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เกี้ยวแค่ไม่อยากให้พี่ไตรร้องไห้’ เด็กหญิงตัวน้อยรีบตอบโดยไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย นั่นเป็นเหตุให้อีกฝ่ายรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ

‘ตกลงครับ พี่ไตรจะไม่ร้องไห้อีก แต่น้องเกี้ยวนั่นแหล่ะจะต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะยกทุกคนให้พี่ไตรหมดแล้ว’ เด็กชายเอื้อมมือไปขยี้หัวยุ่งๆ นั้นเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

‘เกี้ยวไม่ร้องหรอกค่ะ เพราะเกี้ยวก็จะยกตัวเองให้เป็นน้องสาวของพี่ไตรด้วยอีกคน เห็นไหมล่ะคะแค่นี้พี่ไตรก็มีพ่อ แม่และน้องเหมือนเดิมแล้ว แถมยายด้วยอีกตั้งคนหนึ่งแน่ะ’ เด็กหญิงยิ้มตาหยีชอบใจในความคิดของตัวเองสุดชีวิต

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ก่อนหน้านั้นมี 2-3 ครั้งที่เธอมาเจอเขาแอบร้องไห้แล้วเจ้าตัวก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องไห้ตามเขา ไม่ก็รีบไปบอกยาย มันทำให้เด็กชายต้องรีบเช็ดน้ำตาทิ้งอยู่ทุกครั้งไป เธอไม่อยากเห็นเขาร้องไห้ เช่นกันกับที่เขาเองก็ไม่อยากเห็นน้ำตาของเธอ

ภาพเด็กหญิงตัวเล็กบอบบาง ถักเปียสองข้าง เวลาอยู่บ้านหน้าตามักมอมแมมเสมอเพราะชอบเล่นคลุกดินคลุกทราย แต่ทว่ากลับติดยายมากกว่าพ่อ แม่ของตัวเอง ตกตอนกลางคืนมักจะชอบนอนหนุนตักยายอยู่ที่ชานบ้าน รบเร้าให้ยายเล่านิทานพื้นบ้านและ *ฮ่ำค่าวให้ฟัง

ยายเอื้อยก็ช่างใจดีและมีความสามารถทางด้านนี้เป็นพิเศษ มักจับโน่นจับนี่เอามาฮ่ำเป็นค่าวกล่อมหลานสาวอยู่ทุกคืน แม้แต่กับเรื่องราวของเขาก็ไม่เว้น และตอนนั้นค่าวบทที่เกี่ยวกับเขาก็เป็นบทที่หลานสาวรบเร้าให้ยายฮ่ำให้ตัวเองและ ‘พี่ไตร’ ฟังอยู่ทุกคืน จนบัดนี้ชายหนุ่มยังจำได้ขึ้นใจ

‘กำพร้าหน้าเศร้า ป้อเจ้าต๋ายจาก แม่เจ้าก่พราก น้องหน้อยแหมคน

เหลือตั๋วคนเดียว ตึงสับตึงสน บ่เหลือแล้วคน คอยโอบคอยอุ้ม

ได้ก้าไห้หา น้ำต๋าเปียกจุ้ม ก่บ่จักได้ คืนมา

จะเยี๊ยะจะใด มืดใบ้นักหนา น้อยใจ๋ชีวา ชะต๋ากลั่นแกล้ง

บ่ดีท้อใจ๋ วันพู้กก่แจ้ง ทำใจ๋แข็งแรง เข้าไว้

มีลมหายใจ๋ ก่ยืนอยู่ได้ บ่มีไผไห้ ตึงวัน

คนฮักไปแล้ว อยู่สรวงสวรรค์ เหลือแต่เจ้านั้น ต้องยืนอยู่สู้

หื้อวันเวลา จ้วยกอบจ้วยกู้ ชีวิตยังอยู่ บ่วาย

อดเอาเต๊อะเจ้า ถึงเศร้าบ่หาย อดเอาเต๊อะนาย สุขรออยู่หน้า สุขรออยู่หน้า’

ไตรศูรย์ยังจำทุกสิ่งทุกอย่างได้เสมอ แม้จะแอบหวั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าใครบางคนที่เคยผูกพันจะลืมเลือนมันไปแล้ว และหากเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่อาจโทษใครได้ เพราะตอนนั้นเธอเองก็ยังเด็กนัก อายุห่างกับเขาตั้ง 3-4 ปี และช่วงเวลาที่ห่างกันไปก็นานเหลือเกิน เขาเองก็ไม่อาจรู้ว่าช่วงเวลานั้นเธอจะได้พบเจอกับสิ่งใดบ้าง

แต่ก็นั่นแหล่ะ แค่เห็นเธอยังรัก หวงแหนบ้านหลังนั้นเขาก็พอใจแล้ว เพราะมันหมายถึงว่าอย่างน้อยเธอก็ยังผูกพันกับที่นั่นเช่นเดียวกันกับเขา เธอจะจำเรื่องราวเก่าๆ ได้หรือไม่ก็คงไม่สำคัญ เพราะปัจจุบันนี้ต่างหากที่เขาตั้งใจจะทำให้มันสำคัญ ไตรศูรย์คลี่รอยยิ้มละมุนเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พอดีกับเสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

“สวัสดีครับคุณป้า” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปทันทีที่เห็นว่าใครโทร.มา

“ไตร...อยู่ไหนลูก” เสียงร้อนรนดังมาจากทางต้นสาย

“อยู่ที่ฮอดครับ คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไตร คุณลุงกำลังอาละวาดใส่ป้าใหญ่เลยที่ปิดบังเรื่องตาตุลกลับมาจากเมืองนอก ป้าจะทำยังไงดีลูก โทร.หาตาตุลก็ไม่ยอมรับสาย เห็นว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ป้าไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วล่ะลูก”

“เดี๋ยวผมจะรีบกลับเลย คุณป้าใจเย็นๆ นะครับ”

ไตรศูรย์ถอนหายใจ เพราะมองเห็นเค้าของปัญหาอยู่รำไร นอกจากหน้าที่การงานที่เขาต้องรับผิดชอบแล้ว นี่ยังเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่เขาต้องรับผิดชอบ คือการคอยดูแล ‘ตุลภัทร’ ซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของคุณไตรรัตน์และคุณภัทรา ผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ ที่อุปการะเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ครอบครัวเขาจากไป

ทั้งไตรศูรย์และตุลภัทรเติบโตมาด้วยกัน แต่เพราะความที่เป็นลูกคนเดียวทำให้ตุลภัทรค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่ยอมใครง่ายๆ อยากได้อะไรเป็นต้องได้ แต่ก็มักจะถูกคุณไตรรัตน์ผู้เป็นพ่อคอยขวางอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นความไม่ลงรอยกัน โดยมีไตรศูรย์และคุณภัทราผู้เป็นแม่คอยเป็นคนกลางเชื่อมความเข้าใจให้สองพ่อลูกนี้อยู่เสมอ

คราวนี้ก็เช่นกัน ทั้งพ่อและแม่คาดหวังให้ตุลภัทรกลับมาดูแลกิจการโรงแรมแทนพ่อหลังเรียนจบจากเมืองนอก แต่ตุลภัทรแอบบินกลับมาตั้งแต่ 2-3 อาทิตย์ก่อน โดยไม่ยอมบอกบิดา มีเพียงคุณภัทราผู้เป็นแม่กับไตรศูรย์เท่านั้นที่รู้เรื่อง นั่นก็เป็นเพราะต้องการเงินใช้จ่าย ตุลภัทรจึงยอมติดต่อมาทางไตรศูรย์และแม่

และก็เป็นเช่นทุกครั้งที่คุณภัทราจะต้องขอร้องให้ไตรศูรย์ปิดเป็นความลับตามความต้องการของลูกชาย และไตรศูรย์ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เขารู้ดีว่าหากผู้เป็นลุงรู้เรื่องเข้าจะต้องโมโหมาก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาหวั่นใจสักเท่าไหร่ แต่ที่หวั่นก็คือเขาไม่รู้จะตอบคุณไตรรัตน์อย่างไรเพื่อจะไม่ให้ผู้เป็นลุงโมโหป้าและลูกชายมากไปกว่านี้ ความสบายอกสบายใจเมื่อครู่ที่ผ่านมาหายวับไปกับตา ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง

“พ่อไตรกลับแล้วเหรอลูก” แม่อ่อนแก้วถามขึ้น เมื่อเห็นลูกสาวเดินเข้ามาในห้องรับแขก ขณะที่พ่อกับแม่ยังนั่งดูทีวีกันอยู่

“จ้ะแม่” หญิงสาวตอบก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างแม่

“แล้วทำไมหนูทำหน้าแปลกๆ อย่างนั้นล่ะลูก” พ่อวิกรณ์ที่นั่งอยู่อีกฟากถามขึ้น เพราะเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของลูกสาว

“ก็ อีตา เอ๊ย! เอ่อ....คุณไตรน่ะสิจ๊ะพ่อ เขายื่นข้อเสนอเรื่องบ้านกับเกี้ยว”

“เหรอ เขาว่ายังไงบ้างล่ะ” ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ให้ความสนใจ เกี้ยวเกล้าจึงเล่าเรื่องที่คุยกับไตรศูรย์เกี่ยวกับข้อเสนอของเขาเมื่อครู่

“ก็ดีนี่ลูก พ่อว่าเป็นทางออกที่ดีนะ”

“พ่อสนับสนุนเหรอจ๊ะ เกี้ยวนึกว่าพ่อจะไม่เห็นด้วยซะอีก”

“แม่ว่าถ้าพ่อไตรเขามีปัญหาเกี่ยวกับที่หลับที่นอนจริงก็ตกลงไปเหอะลูก อย่าไปคิดอะไรมากเลย เพราะจะว่าไปเขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน อย่างน้อยพ่อแม่เขาก็เป็นเพื่อนสนิทของพ่อ และตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ครอบครัวนี้ก็ได้ช่วยเหลือเรามามาก” แม่อ่อนแก้วให้เหตุผลที่เกี้ยวเกล้าพูดไม่ออก

“ไม่ว่าพ่อกับแม่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของหนูเองหรอกนะลูก ก่อนอื่นหนูต้องถามตัวเองก่อนว่าหนูต้องการทางออกแบบไหน หนูเก็บไปคิดดูก่อนก็ได้ว่าถ้าหนูเก็บบ้านไว้ในสภาพนี้จะเป็นประโยชน์กับหนูไหม หรือหากรื้อถอนออกมาจะดีไหม และถ้าตกลงตามที่พ่อไตรเขาเสนอจะดีหรือเปล่า

“ถามตัวเองดูว่าหนูอยากให้บ้านหลังนี้มีสภาพยังไง และตัวหนูเองรู้สึกยังไงกับสภาพนั้นๆ เพราะยังไงมันก็เป็นบ้านของหนูนะลูก” พ่อวิกรณ์เอ่ยยืดยาว เพราะความที่เป็นคนให้อิสระในการตัดสินใจของลูกทุกคนเสมอ ผู้เป็นพ่อมักจะชี้ให้เห็นในสิ่งที่เจ้าตัวเองยังสับสน เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจในแต่ละเรื่อง และที่สำคัญพ่อวิกรณ์มักสอนให้ลูกคิดเป็น ยอมรับผลของการตัดสินใจของตัวเองมาตลอดตั้งแต่เด็ก แต่ก็เป็นไปด้วยท่าทีที่อ่อนโยน นุ่มนวลเสมอ

“จ้ะพ่อ”

หญิงสาวเก็บเอาคำพูดของพ่อมาคิดแล้วคิดอีก พ่อรู้ดีว่าเธออ่อนไหวกับเรื่องยายมากแค่ไหน หากตัดเรื่องการขายบ้านนั้นออกไป การรื้อถอนบ้านหลังนั้นออกจากที่ดินของเขาเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เธอจะเลือก แต่หากจะปล่อยให้มันล้มพังไปต่อหน้าต่อตา ก็เป็นทางเลือกของคนที่ไม่ยอมทำอะไรเลย ไม่ยอมลุกขึ้นมาสู้เพื่อสิ่งที่รัก หรือแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน

ทางสุดท้ายที่เขายื่นข้อเสนอมาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดณ.ตอนนี้ เกี้ยวเกล้าระบายลมหายใจ อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังเห็นบ้านหลังนั้น และยังอยู่บนที่ดินผืนนั้น และที่สำคัญเธอหวังว่ามันจะกลับมาอยู่ในสภาพที่ใช้การได้อย่างที่เขาบอกไว้ มันดีกว่าเธอไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือ?

ยายเองก็คงจะพอใจกับสิ่งที่เธอตัดสินใจ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เธอพร่ำขอกับยายอยู่ทุกวันตั้งแต่มีปัญหา คิดดังนี้หัวใจดวงน้อยก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันใด ยายจ๋า...นี่คือสิ่งที่ยายอยากให้เกี้ยวทำใช่ไหมจ๊ะ เกี้ยวขอบคุณยายมากนะจ๊ะ เกี้ยวจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยายช่วยเกี้ยวด้วยนะจ๊ะ

หลังประตูอัลลอยด์สีเงินลวดลายดอกไม้อ่อนช้อยนั้น เป็นถนนทอดไปสู่บ้านสองชั้นหลังใหญ่สไตล์ลากูนน่าที่ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางไม้ดอกไม้ประดับ ที่ยืนต้นสูงลดหลั่นกันทั้งต้นปาล์ม ลีลาวดีฯ และคูน้ำใสเล็กๆ ที่โอบล้อมบ้านทางด้านซ้ายมีปลาสวยงามว่ายเวียนไปมา จึงทำให้บริเวณโดยรอบของบ้านค่อนข้างร่มครึ้ม เย็นสบาย

ตัวบ้านชั้นล่างเน้นลวดลายของหินดูแข็งแรงและสวยงาม ส่วนชั้นบนเป็นสีขาวตัดกับหลังคาสีทึม หน้าต่างกรุกระจกใส ชั้นบนมีห้องนอนสี่ห้องแต่ใช้จริงแค่สามห้องตามจำนวนของสมาชิกในบ้าน อีกหนึ่งห้องจึงได้กลายเป็นห้องทำงานเจ้าของบ้านไปโดยปริยาย และร่างสูงของไตรศูรย์ก็รีบก้าวเข้าไปยังห้องนั้นอย่างรวดเร็ว

“คุณลุง คุณป้าครับ” ชายหนุ่มมองไปยังร่างสูงใหญ่ของชายวัยเกือบ 70 ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานหน้าตาเคร่งเครียดบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ครุกรุ่น ภรรยาที่นั่งอยู่ตรงโซฟาด้านข้างสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

“มาแล้วเหรอเจ้าไตร ว่าไงแกมีอะไรจะแก้ตัวไหมเรื่องเจ้าตุล” เป็นประโยคแรกที่คุณไตรรัตน์เอ่ยกับหลานชาย

“เอ่อ...เป็นความผิดของผมเองครับคุณลุง ที่...” ไตรศูรย์ยังพูดไม่ทันจบ คุณไตรรัตน์ก็โบกมือว่อนให้ปิดปาก

“พวกแกเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง ฉันนึกว่าแกจะเป็นคนที่ฉันไว้ใจได้เสียอีก แต่ก็นั่นแหล่ะนะ เรื่องเจ้าตุลฉันไม่เคยไว้ใจแกได้เลยสักครั้ง ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ดีแต่เข้าข้างกัน ปกปิดฉัน ส่งเสริมกันไปในทางที่แย่ๆ ” ท้ายประโยคคุณไตรรัตน์ปรายตาไปทางภรรยาที่ก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตา

“ผมขอโทษครับ...ผม”

“ฉันไม่อยากฟังคำขอโทษอะไรทั้งนั้น แต่ฉันต้องการให้มันกลับบ้าน”

“ครับคุณลุง ผมจะตามตัวนายตุลกลับบ้านเองครับ คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วง”

“ดี ฉันหวังว่าแกคงไม่เอาแต่ออกตัวปกป้องมันไปตลอดชีวิตหรอกนะ ไปกันได้แล้ว” และที่สุดก็ออกปากไล่ด้วยความไม่สบอารมณ์ ทั้งไตรศูรย์และคุณภัทราจึงพากันออกมาจากห้องนั้น

“เรื่องมันเป็นยังไงกันครับคุณป้า ทำไมคุณลุงถึงรู้เรื่องได้ครับ” ไตรศูรย์เอ่ยถามหลังออกมาจากห้องทำงานของคุณไตรรัตน์แล้ว

“ก็วันก่อนตาตุลไปก่อเรื่องทะเลาะวิวาทในผับน่ะสิ มีคนรู้จักไปเจอเข้าจึงเอามาบอกลุงเรา นี่ก็เห็นว่าไปต่างจังหวัดกับเพื่อน ป้าติดต่อก็ไม่ได้ ไตร...ป้าต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้ไตรต้องเดือดร้อน โดนดุเรื่องนี้อยู่เรื่อย” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของผู้เป็นป้าสะใภ้นั้นทำให้ไตรศูรย์รีบสั่นศรีษะ

“ช่างเถอะครับคุณป้า เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกครับ ตอนนี้ที่สำคัญก็คือต้องตามตัวนายตุลกลับมาต่างหากล่ะครับ ผมจะลองติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ ของนายตุลดู ได้เรื่องยังไงเราค่อยว่ากันอีกที คุณป้าไม่ต้องวิตกไปหรอกครับ”

“ป้าฝากด้วยนะไตร” ชายหนุ่มรับคำอีกครั้งก่อนจะขอตัวลงมาข้างล่าง

ที่ห้องโถงใหญ่ชั้นล่างของบ้านหลังนี้ แบ่งเป็นส่วนสำหรับรับแขกด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านที่กั้นด้วยเค้าเตอร์บาร์ใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว ห้องกินข้าวและห้องครัวอยู่ด้านหลังสุด มีทางเชื่อมต่อไปยังบ้านพักคนงาน บ้านพักรับรอง 3-4 หลัง ที่แยกออกไปจากบ้านใหญ่เป็นสัดส่วนชัดเจน แต่แบบบ้านมีสไตล์เดียวกันเพียงแต่เป็นบ้านชั้นเดียวและมีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น และหนึ่งในบ้านหลังเล็กคือที่พักพิงของไตรศูรย์นั่นเอง

ร่างสูงของชายหนุ่มก้าวไปยังทางเชื่อมไปสู่บ้านหลังเล็กของตัวเอง ความหนักอึ้งยังไม่จางไปจากใจ เขาไม่ได้รู้สึกโกรธผู้เป็นลุงที่ดุด่าว่ากล่าว เขายอมรับในความผิด แต่ที่เขายังหนักใจก็คือไม่รู้จะทำอย่างไรกับสัมพันธภาพที่ไม่ลงรอยกันระหว่างสองพ่อลูกนี้ดี เขาเข้าใจทั้งสองฝ่ายจนบางครั้งบางทีถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาไม่อยากเห็นความไม่เข้าใจกันวนเวียนอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาจึงพยายามเป็นตัวกลางมาตลอดด้วยความเต็มอกเต็มใจ แม้ว่าท้ายที่สุดคนที่ถูกด่าจะเป็นตัวเขาเองก็ตาม

มันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนแรกที่ไตรศูรย์มาอยู่กับครอบครัวนี้หลังจากที่พ่อ แม่ และน้องสาวของเขาได้จากไป เขาระลึกเสมอว่าคุณไตรรัตน์กับครอบครัวเป็นผู้มีพระคุณกับเขา ทำให้เขาเป็นเขาได้ทุกวันนี้ สิ่งที่ครอบครัวนี้ให้กับเขาไม่ว่าจะเป็นด้านความเป็นอยู่ การศึกษา และความรักความเอ็นดูเสมือนว่าเขาเป็นคนในครอบครัวอย่างแท้จริงนั้น อย่างไรเขาก็ไม่มีวันชดใช้ได้หมดในชาตินี้

และเหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือความรักที่เขามีต่อครอบครัวนี้ ทำให้เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระ พยายามช่วยดูแลตุลภัทรให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขาเองก็รักตุลภัทรเหมือนน้องแท้ๆ เหมือนกับที่ครอบครัวนี้รักเขา ชายหนุ่มอยากทำให้ทุกคนสบายใจแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

ไตรศูรย์ต้องทำงานให้กับลุงตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย เลือกเรียนในคณะและสาขาวิชาที่จะมาช่วยงานของลุงมากกว่าสิ่งที่เขาชอบ เขาจึงทำงานหนักมาตลอดและไม่เคยคิดอยากได้สิ่งใดตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติหรือมรดก สิ่งเหล่านั้นเขาเต็มใจรักษามันไว้ให้ตุลภัทรมากกว่า

แต่สิ่งที่เขาต้องการในชีวิตมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือ...เมื่อวันหนึ่งทุกอย่างลงตัวแล้ว เขาอยากจะออกไปสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวของเขาเอง เขาได้แต่หวังว่าสิ่งเล็กๆ ที่เขาต้องการจะมาถึงในสักวัน

หลังจากที่ตัดสินใจดีแล้ว หลายวันต่อมาเกี้ยวเกล้าจึงได้โทร.ไปหาไตรศูรย์

“ฉันตกลงรับข้อเสนอของคุณ”

“ขอบคุณมากนะครับ ผมจะได้ให้คนของผมไปดูเร็วๆ นี้”

“แต่...ฉันมีข้อแม้”

“ครับ ว่ามาได้เลย” น้ำเสียงเขาติดรื่นเริงจนน่าหมั่นไส้

“ฉันไม่อยากให้ต่อเติมอะไรอีก แต่ฉันอยากให้ซ่อมแซม ปรับปรุงให้เหมือนเดิมมากที่สุด คุณรับได้หรือเปล่า”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ ผมเองก็ตั้งใจอย่างนั้น แต่เนื่องจากตัวบ้านเก่ามากค่อนข้างเปราะบาง อาจต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมมากหน่อย แต่ในระหว่างนั้นคุณมาดูการทำงานของช่างได้ตลอดเวลา หากมีอะไรไม่พอใจก็บอกได้เลย คุณมีสิทธิ์เต็มที่เพราะเป็นบ้านของคุณ ผมจะไม่จุ้นจ้าน ก้าวก่าย” เขารับรองหนักแน่น

หญิงสาวรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อสิ่งที่เธอต่อรองได้มากกว่าที่ตั้งใจเรียกร้องเสียอีก เกี้ยวเกล้านึกไปถึงบางคำพูดของแม่ เขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน เธอก็หวังว่าเขาจะเป็นคนที่ไว้ใจได้จริงๆ

หมายเหตุ * ฮ่ำค่าว - คือการขับลำนำร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะ ที่กวีทางภาคเหนือนิยมแต่งกัน ลักษณะคำประพันธ์คล้ายกลอนแปด มีสัมผัสคล้องจองร้อยเกี่ยวกันไป (ถ้าเป็นเรื่องยาวๆ เรียกว่า ‘เล่าค่าว’ ) มีหลายชนิดตามเนื้อหาและสักษณะเฉพาะของค่าว เช่น ‘ค่าวธรรม’ หมายถึงคำประพันธ์เรื่องชาดก หรือนิยายธรรมที่แต่งเป็นเรื่องยาวสำหรับใช้เทศน์ให้ชาวบ้านฟัง ถ้าเป็นจดหมายรักเรียกว่า ‘ค่าวใช้’ เป็นต้น ฯ




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มี.ค. 2560, 10:50:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มี.ค. 2560, 10:50:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 907





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
แว่นใส 27 มี.ค. 2560, 18:51:11 น.
นายตุลแก้นิสัยยากแล้วมั้ง


กานพลู 31 มี.ค. 2560, 19:18:23 น.
นั่นสิเนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account