ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนที่ 6

หลังจากจอดรถตรงลานกว้างข้างร้านอาหารพื้นเมืองประเภทลาบ หลู้ แกงอ่อม ฯลฯ หญิงสาวก้าวลงจากรถก็พบว่าเจนยืนรอเธออยู่ก่อนแล้ว เกี้ยวเกล้าและเพื่อนๆ ในกลุ่มนัดมาทานข้าวเย็นกันที่ร้านนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ มีแต่เธอกับเจนเท่านั้นที่ว่าง เพราะตึ๋งกับแก้มใสกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานของเพื่อนรุ่นพี่ที่จะจัดกันที่รีสอร์ทบ้านเคียงธารในเร็ววันนี้นั่นเอง

“รอนานไหมเจน”

“มาถึงก่อนแกแป๊บเดียวเอง ฉันจองโต๊ะไว้แล้วล่ะเกี้ยว ไปที่โต๊ะกันเถอะหิวแล้ว” แล้วร่างบางก็ออกก้าวเดินไปพร้อมกับเจน ขณะที่มีคนหนุ่มสาวประมาณ 10 คนกำลังออกมาจากร้าน ทั้งกลุ่มแต่งกายเหมือนนักท่องเที่ยว พูดคุยกันด้วยภาษากลาง ดูแตกต่างจากคนในท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด

“พวกนี้มาแวะกินข้าวน่ะ เมื่อกี้ฉันเห็นต่อโต๊ะยาวเลยแก มีผู้ชายคนหนึ่งนะล้อ หล่อ เสียดายจังกลับกันแล้ว เลยอดจ้องเป็นอาหารตาเลย” เจนมองไปยังกลุ่มคนที่เดินสวนมาพลางกระซิบกระซาบท่าทางเสียดมเสียดาย เกี้ยวเกล้าหันไปมองตามด้วยรอยยิ้มพลางส่ายหน้าให้เพื่อน แต่ทันใดนั้นเองร่างสูงที่พรวดพราดออกมาจากในร้านก็ปะทะกับร่างบางอย่างจัง

“โอ๊ย! ว้าย...” หญิงสาวถึงกับเซ แต่เจนคว้าแขนเธอไว้ได้

“เฮ้ย! เดินยังไงวะ” เจ้าของร่างสูงโวยเสียงดังอย่างเอาเรื่อง แต่เมื่อหันมาสบตาวาวของเธอเขาถึงกับชะงัก

“ฉันเดินของฉันดีๆ นะคะ คุณนั่นแหล่ะที่พรวดพราดออกมาชนฉัน ชนคนอื่นไม่รู้จักขอโทษ แล้วยังจะมาทำโวยวายอีก” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของเกี้ยวเกล้าแสดงถึงความไม่พอใจชัดแจ้ง แต่ชายหนุ่มแปลกหน้ายังคงตะลึงมองเธออยู่อย่างนั้น

“เข้าไปข้างในกันเถอะเจน” หญิงสาวไม่นึกอยากสนใจอีก

“ดะ เดี๋ยวคุณ...เอ่อ...ผมขอโทษ” เหมือนพึ่งรู้สึกตัว เขารีบก้าวเข้ามาขวางทางเธอเอาไว้ เกี้ยวเกล้ากับเจนชะงักเท้าในทันทีเช่นกัน

“เอ่อ...ค่ะ” เธอทำท่ารับรู้ด้วยอาการงงๆ

“ผมชื่อตุล ตุลภัทร พึ่งกลับมาจากเที่ยวแถวแม่ฮ่องสอนกับเพื่อนๆ แล้วคุณ...”

“ตุลคะ เช็คบิลยังไม่เสร็จอีกเหรอไง รถจะออกแล้วนะ” เสียงหวานของผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งในกลุ่มที่พึ่งออกไปเมื่อครู่ร้องเรียก พลางเดินเข้ามาใกล้และดึงแขนชายหนุ่มให้ออกเดินตาม สายตาของเขายังจับจ้องมาทางเกี้ยวเกล้า

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะ” จนผู้หญิงที่กำลังดึงแขนเขาอยู่นั้นมองเกี้ยวเกล้าด้วยความสงสัย

“เปล่าน่า...เธออย่ายุ่ง ฉันชนเขาเจ็บน่ะ” ชายหนุ่มสะบัดเสียงตอบ ทำให้คนที่กำลังดึงแขนเขาอยู่นั้นชักสีหน้าไม่พอใจในทันที

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวนะคะ” เกี้ยวเกล้าเห็นดังนั้นจึงสะกิดแขนเจนให้ออกเดินตาม พร้อมกับเสียงที่ดังตามหลังมา

“เดี๋ยวสิคุณ คุณยังไม่บอกเลยว่าชื่ออะไร คุณเป็นคนที่นี่หรือเปล่า”

“แต่ตุลคะ รถกำลังจะออกแล้วนะคะ”

“เฮ้ย! ไอ้ตุลเร็วหน่อย เดี๋ยวถึงบ้านดึกไม่ทันแวะกินเหล้ากับไอ้พวกนั้นนะโว้ย! “

ร้านนี้หลังคามุงด้วยหญ้าคา โต๊ะ เก้าอี้ที่มีอยู่ประมาณสิบกว่าโต๊ะนั้น ล้วนทำมาจากรากไม้ ตอไม้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ภายในท้องถิ่น ด้านข้างตีด้วยไม้ระแนงเตี้ยๆ ประดับด้วยบันไดลิง และกระถางเล็กๆ ของไม้ประดับประเภทพลูด่าง เดฟ ฯลฯ

ที่นี่เปิดตั้งแต่ช่วงสายจนถึงสี่ทุ่ม ปกติผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านในตอนเที่ยงและตอนเย็น มากินข้าวบ้าง ซื้อกับข้าวบ้าง มาถึงตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาเพราะเหลือแต่พวกที่เน้นหนักไปทางแอลกอฮอล์มากกว่า เจนจองโต๊ะที่ติดด้านในไว้

“ดูเขาสนใจแกนะเกี้ยว ล้อ หล่อ เหมือนดาราเกาหลีเลย คนนี้แหล่ะที่ฉันว่าน่ะ” เจนพูดขณะที่ทั้งคู่นั่งลง

“ช่างเขาเถอะ สั่งอาหารดีกว่า หิวไม่ใช่หรือไงแกน่ะ” เกี้ยวเกล้าตัดบทเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ เจนจึงเลิกสนใจไปด้วย

เจนเลือกสั่งอาหารพื้นเมืองเป็นลาบเลือดแบบดิบๆ สำหรับตัวเอง และนำไปคั่วให้สุกที่เรียกว่า ‘ลาบคั่ว’ ให้กับเกี้ยวเกล้า รวมถึงแกงอ่อมเนื้ออีกอย่าง ก่อนจะให้เกี้ยวเกล้าสั่งต่อ หญิงสาวจึงเลือกสั่ง *แกงโฮะ และผัดผักรวมมิตร

“ฉันเอาข้าวเหนียว แกเอาด้วยหรือเปล่า” เจนหันมาถามเมื่อจะสั่งข้าวเป็นรายการสุดท้าย

“ฉันขอข้าวสวยละกัน”

“เออ...จริงสิ แกได้การ์ดเชิญงานแต่งพี่พั้นซ์หรือเปล่า” สาวเจนถามต่อขณะนั่งรออาหารไปพลางๆ

“ได้สิ วันก่อนพี่พั้นซ์ไปที่บ้าน เอาการ์ดไปแจกนั่นแหล่ะ แต่ไม่เจอฉันเลยฝากไว้ให้แล้วยังโทร.มากำชับให้ไปให้ได้ด้วย เพื่อนรักพี่แก้วเค้าน่ะคงปฏิเสธไม่ได้ แกล่ะ”

“เหมือนกันแหล่ะ จะพูดไปนานๆ บ้านเคียงธารจะมีงานใหญ่กะเค้าซักที สงสัยไอ้แก้มกับไอ้ตึ๋งคงหน้าบาน ไม่รู้ว่างานแต่งพี่สาวทั้งที พีทมันจะมาช่วยงานล่วงหน้าบ้างหรือเปล่านะแก”

“ไม่รู้สิ พี่พั้นซ์ก็แซวฉันอยู่ว่าถ้าพีทรู้ว่าฉันอยู่บ้านคงแจ้นกลับมาหาแล้ว ฉันก็ได้แต่ปัดๆ ไป แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับพีท”

“เออ...ฉันรู้ แต่พีทมันจะคิดอย่างแกหรือเปล่าล่ะ ระวังจะใจอ่อนตอนมา ‘ป๊ะกั๋นแหม’ นะจ๊ะเกี้ยวเพื่อนรัก ยิ่งพีทมันโสด แล้วแกก็ดันโสดสนิทเหมือนกันอย่างนี้ ดีไม่ดีเจ้าพีทอาจจะคิดว่าแกรอมันอยู่ก็ได้นะ งานนี้อย่าลืมใส่ชุดสวยๆ ล่ะ ตัดหรือยังแกน่ะ” แกล้งแซวตอนท้ายพร้อมหัวเราะคิกคัก

“บ้าน่าเจน แกก็พูดไปเรื่อย ไม่เห็นต้องใส่ชุดสวยอะไรเลย แล้วฉันก็ไม่ได้ตัดด้วย กะจะเอาชุดที่พอมีอยู่มามิกซ์แอนด์แมทช์เอาเองน่ะ เป็นชุดที่ฉันเคยใส่ไปงานตอนอยู่ที่โน่นน่ะมันยังใช้ได้อยู่ ฉันมีหลายชุดเหมือนกัน แกจะเลือกใส่ไปงานด้วยก็ได้นะ”

“ฉันคงไม่รบกวนแกหรอกย่ะ แค่นี้พ่อก็แทบจะฆ่าฉันตายอยู่แล้ว ถ้าฉันใส่กระโปรงแถวบ้านเรานะ...

หยึ๋ย! ไม่อยากจะคิด” เจนทำท่าขนพองสยองเกล้า เพราะที่บ้านของเจนรับไม่ค่อยได้กับอาการ ‘สาวแตก’ ของลูกชายเพียงคนเดียวในบ้าน จนต้องระเห็จออกมาทำมาหากินด้วยตัวเองแบบนี้ และเจนเองก็เลือกที่จะเป็นแค่นี้ ไม่ได้ฝักใฝ่เรื่องแต่งองค์ทรงเครื่องเป็น ‘หญิง’ จ๋าแต่อย่างใด แต่ว่าหัวใจนั้นหญิงเกินร้อย

“เออ ฉันไม่ได้หยุดมา 2-3 เดือนแล้วนะแก ฉันหยุดซักวันดีกว่า จะได้แวะไปกินข้าวฝีมือป้าอ่อนสักมื้อ” เจนพูดต่อเมื่ออาหารลำเลียงมาถึงโต๊ะ แล้วสาวเจนก็ปั้นข้าวเหนียวจิ้มลาบเลือดใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“แม่ก็ถามหาแก กับแก้มและตึ๋งอยู่เหมือนกัน ฉันก็บอกว่าพวกแกวุ่นอยู่กับงานไม่ค่อยมีเวลา” เกี้ยวเกล้าพูดพลางเริ่มตักข้าวใส่ปากบ้าง ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“อืมม์...จะว่าไปพวกแกก็วุ่นวายกันทุกคนจริงๆ แหล่ะนะ ยกเว้นฉันคนเดียวที่ลอยไปลอยมา” หญิงสาวเริ่มเขี่ยข้าวในจานเล่น ในดวงตามีแววครุ่นคิดเมื่อพูดมาถึงตรงนี้

“ซีเรียสอะไรกันไอ้เกี้ยว อย่างแกไม่ทำงานก็มีกินตลอดชาติ พ่อครูอาจไม่รวยล้นฟ้าแต่เลี้ยงแกได้ไม่มีอด ไหนจะเงินบำนาญ ไหนจะที่ทาง แล้วเงินที่ได้จากขายที่ดินสมัยพระเจ้าเหาอีกยังไงก็เป็นของแกอยู่แล้ว พี่แก้วกับพี่ทศก็มีของเขา แล้วอีกอย่างแกก็เป็นคนไม่ฟุ้งเฟ้อมาแต่ไหนแต่ไร อยู่อย่างแกนะ...ชาตินี้ก็ไม่มีหมด

“ไม่เหมือนพวกฉันหรอก ชีวิตต้องสู้ตั้งแต่รุ่นพี่จนถึงน้องคนเล็ก นี่ถ้าฉันไม่มาทำเสริมสวยที่ตัวเองรักนะ ป่านนี้พ่อคงให้ไปถือปังตอสับหมูในตลาดแล้ว แต่แกก็รู้...ฉันสวยเริ่ดออกอย่างนี้คงไม่เหมาะกับเขียงหมูเท่าไหร่หรอก” เจนทำท่าสวยเชิดทั้งที่เลือดเลอะปากออกอย่างนั้น เกี้ยวเกล้าหัวเราะคิกกับภาพที่เห็น ก่อนครุ่นคิดถึงสิ่งที่เจนพูด

เป็นเรื่องจริงที่แม้พ่อ แม่เธอไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ก็พออยู่พอกิน เวลาอยากได้อะไรก็ไม่ต้องดิ้นรนขนขวายให้เป็นที่ลำบากลำบนมากนัก ในบรรดาเพื่อนๆ ในกลุ่มที่มีกันอยู่ตั้งแต่สมัยมัธยมฯ จนมาป่านนี้ อาจเรียกได้ว่าเกี้ยวเกล้าเป็นคนที่พออยู่พอกินมากที่สุดก็ว่าได้

เจนมีพี่น้องที่เป็นผู้หญิงหลายคน และแต่ละคนก็ไม่ได้เป็นโล้เป็นพายมากนัก แม้จะเป็นพี่สาวของเจนก็ตาม ส่วนมากยังต้องอยู่กับครอบครัวใหญ่ ทำให้พ่อที่เช่าเขียงหมูในตลาดสดขายหมูมาตั้งแต่สมัยเจนยังเด็กจนถึงป่านนี้ ยังไม่มีทีท่าจะได้พักผ่อนหรือวางมือเลย แม้จะมีเจนคอยช่วยเหลือเจือจุนอีกแรงยังแค่พอถูไถ

ส่วนแก้มใสนั้น พ่อ แม่ เสียชีวิตตั้งแต่ยังแบเบาะ ย่ากับอาที่เลี้ยงดูมาก็ใช่ว่าร่ำรวย ค่อนไปทางยากจนเสียมากกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้แก้มใสทำทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระของย่าและอามาตั้งแต่เด็กๆ แก้มใสค่อนข้างไฮเปอร์ ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอด และทุกสิ่งอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด เป็นที่ร่ำลือกันในหมู่เพื่อนฝูงว่าแก้มใสสามารถส่งเงินมาให้ย่าใช้ตั้งแต่สมัยเรียนวิทยาลัยในเมือง ด้วยการทำงานพิเศษ (ที่ออกแนวสมบุกสมบันแบบชีวิตต้องสู้) มาตอนนี้แก้มใสทำงานแล้ว ครอบครัวจึงพอลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง

ส่วนตึ๋งมาจากครอบครัวพ่อเลี้ยงค้าไม้ที่ล้มละลาย โชคดีตึ๋งมีญาติเป็นนักการเมืองระดับประเทศที่ บางสมัยยังไปได้ไกลถึงตำแหน่งรัฐมนตรี และญาติคนนี้ขอตัวตึ๋งมาช่วยดูแลกิจการของรีสอร์ทหลังเรียนจบมัธยมฯ จนถึงบัดนี้ แม้จะคิดได้ดังนั้น แต่เกี้ยวเกล้ากลับไม่ได้รู้สึกดีกับการเป็นคนมีอยู่มีกินนั่นเลยสักนิด

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เลี้ยงได้หรือไม่ แต่มันอยู่ที่ฉันคงอยู่เฉยนานๆ ไม่ได้ต่างหาก” เธอท้วงเจน แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานที่เธออยู่บ้านเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรนอกจากช่วยงานบ้านแม่ แต่ชีวิตการทำงานในกรุงเทพฯ ที่เธอเคยวิ่งวนเป็นหนูถีบจักร ใช่ว่าจะทำให้เธอเข็ดขยาดกับการทำงาน แม้เธอจะเบื่อหน่ายกับสภาพแวดล้อมทั่วไปของที่นั่นก็เหอะ

แต่สำหรับเรื่องงานแล้วเกี้ยวเกล้าตั้งใจและรักมันเสมอ เธออาจจะต่างจากเพื่อนอย่างเจน ที่ชัดเจนในความฝันและสิ่งที่รักคืออาชีพเสริมสวย จริงจังทุ่มเทเพื่อให้ได้มา อย่างแก้มใสก็มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะกลับมาพัฒนาที่ดินผืนเล็กๆ ของย่า จึงเลือกเรียนสายเกษตร แม้จบมาจะยังไม่ได้ทำตามความตั้งใจ แต่อย่างน้อยแก้มใสก็มีแรงขับเคลื่อนจากจุดนี้

ตึ๋งเองนั่นเล่าก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย แต่มาช่วยดูแลกิจการให้กับญาติ แม้แต่กอแก้วพี่สาวของเธอก็มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน คือการเป็นครูตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อ แต่เกี้ยวเกล้ากลับเลือกเรียนพวกบริหารธุรกิจและการตลาดมาตลอด ด้วยเหตุผลที่ว่าคิดไม่ออกว่าจะเรียนอะไร ไม่มีอะไรที่เธอรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษ ไม่เคยตั้งความฝันหรือเป้าหมายในชีวิตว่าอยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่ หรือพยายามวิ่งตามความฝัน เธอเพียงแต่เลือกเรียนพอเรียนจบก็ทำงาน เป็นไปตามครรลองของมัน

แต่โชคดีที่เธอเป็นคนรักและมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่เสมอ เธอทำเต็มที่เต็มกำลังความสามารถทั้งในเรื่องเรียนและการทำงานที่ผ่านมา อย่างไม่เคยกดดันเลยสักนิด แต่ตอนนี้เกี้ยวเกล้ากลับยอมรับว่าการอยู่เฉยๆ ทำให้เธอรู้สึกไร้ค่า ยิ่งเห็นเพื่อนฝูงคนรอบข้างวิ่งวุ่นอยู่กับงานยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่

แต่จะให้ไปทำกับพวกเพื่อนๆ ก็ดูจะลำบาก เพราะเธอเคยมาช่วยเจนเล็กๆ น้อยๆ กลับกลายเป็นทำให้เจนช้าลง กับแก้มใสและตึ๋งก็ไม่ต่างกัน ที่นั่นบริหารกันเองทุกวันนี้แค่พอเลี้ยงตัวรอดไปวันๆ เรื่องนี้เธอเคยพูดกับเพื่อนๆ อยู่เหมือนกันซึ่งทุกคนก็เข้าใจดี

“แกก็ไปทำกับป้าอิ่นสิ ร้านป้าแกออกจะใหญ่ ไอ้ลี่บอกว่าป้าอิ่นรอแกอยู่ตั้งแต่แกยังไม่กลับมาแล้ว”

“แม่ก็เปรยๆ มาว่างั้นเหมือนกัน แต่ดูแม่เองไม่ค่อยอยากให้ฉันไปไกลบ้านอีกแล้ว”

“แค่ในเมืองนี่เอง นั่งรถชั่วโมงกว่าก็ถึง” เจนท้วง

“อืมม์ เพราะฉันอยู่ห่างบ้านมาตลอดตั้งแต่ไปเรียนกรุงเทพฯ แล้วยังทำงานที่โน่น มันก็หลายปีอยู่นะแก แม่ก็เลยไม่อยากให้ไปไหนไกล ตอนนี้หากเป็นไปได้คงอยากให้ฉันทำงานอยู่ใกล้สายตา เห็นหน้าเช้าเย็นแบบพี่แก้วมากกว่า หรือไม่ก็ไม่ต้องทำเลยอยู่กับพ่อ แม่ไปนั่นแหล่ะ ฉันคงเบื่อตายซะก่อน แต่ก็นั่นแหล่ะยังไม่ได้คุยกันจริงจังนัก”

“โอ๊ย! ใกล้นิดเดียวเอง แกก็หมั่นกลับบ้านหน่อยสิว้า ขี้คร้านป้าอ่อนจะเหม็นขี้หน้า” เจนว่าอย่างเห็นขัน หญิงสาวได้แต่ยิ้ม

“เฮ้ย! เกี้ยวๆ มีฝรั่งมองแกแน่ะ” เจนที่นั่งหันหน้าไปทางหน้าร้านบุ้ยใบ้ไปทางด้านหลังเกี้ยวเกล้าทำให้เธอหันไปมอง ก็เห็นว่ามีหนุ่มชาวต่างชาติที่นั่งถัดไปสองสามโต๊ะกำลังมองมาทางพวกเธอ

“มองแกน่ะสิ ฉันหันหลังให้อย่างนี้ใครจะมาเห็นหน้า”

“นี่...แกลืมแล้วเหรอว่าร้านนี้ต่อให้แกขับรถผ่าน แล้วมองเข้ามาก็รู้ว่าใครเป็นใคร โล่งออกอย่างนี้ แล้วอีกอย่าง เชื่อฉัน...ผีเห็นผี ฉันรู้สึกว่าไอ้หัวทองสองตัวนี่ไม่ได้มองฉันเป็นแน่ ก็ฉันจ้องมันตั้งแต่เมื่อกี้แล้วทอดสะพานเสริมคอนกรีตให้มันซะขนาดนั้น มันยังไม่เดินข้ามมาเลยหน้าโง่จริงๆ แต่...ว่าแต่แกไม่สนบ้างเหรอ” เกี้ยวเกล้าส่ายหน้าหวือ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเจนกระซิบบอกให้หันหลังไปมองอีกครั้ง หนุ่มผมทองหนึ่งในสองเดินยิ้มมาที่โต๊ะ

“เฮลโหล ว็อท อิส ยัวร์ เนม? ” หนุ่มต่างชาตินั่นยิ้มทักทาย เจนทำท่าจะตอบ แต่เกี้ยวเกล้าแอบหยิกมือเจนใต้โต๊ะ แล้วทำหน้าเด๋อด๋าสุดชีวิต

“เอ่อ อ่า...” ก่อนส่ายหน้าทำท่าไม่เข้าใจ

“ซาหวัดดีคับ ชื่ออาไรคับ คุณ... ซวย หน่าร้ากม่ากคับ” เสียงพูดภาษาไทยที่แปร่งและเพี้ยน ทำให้ทั้งสองสาวมองหน้ากันกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ แต่เกี้ยวเกล้ายังแกล้งทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด หนุ่มฝรั่งเห็นดังนั้นจึงพยายามพูดไทยแปร่งๆ เสริมด้วยภาษามือประกอบอีกหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจอยู่นั่นแล้ว จึงยกมือยอมแพ้แล้วเดินกลับโต๊ะตัวเองอย่างผิดหวัง สองสาวพากันหัวเราะคิกคัก

แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาไปปะทะกับโต๊ะที่อยู่มุมหนึ่งใกล้กับทางออก สบตาคู่คมวาวที่กำลังจ้องมองมาทางโต๊ะเธอยิ้มๆ แต่เขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2560, 19:17:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 มี.ค. 2560, 19:17:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 900





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
แว่นใส 2 เม.ย. 2560, 00:29:07 น.
เจอกันอีกแล้ว


กานพลู 7 เม.ย. 2560, 11:22:07 น.
มาต่อแล้วนะคะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ รักๆๆ คนอ่าน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account