The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 20 : || ข้อสงสัยกับคำคาดเดา ||

EPISODE 20

ข้อสงสัยกับคำคาดเดา



ตุ๊กตาสามตัวยืนเข้าแถวเรียงหน้ากระดาน แม้ศัตรูสองคนจะยืนอยู่ใกล้เสียจนสามารถใช้มือใบมีดของตนเองทะลวงของทั้งสองได้อย่างสบายๆ แต่ใบหน้าไร้อารมณ์กลับเอาแต่เหม่อลอยมองไปข้างหน้า ไม่ขยับเขยื้อนอะไรทั้งสิ้น

“ทีนี้ก็ช่วยเอาดาบแทงหัวใจของพวกท่านทั้งสาม” เสียงใสออกคำสั่งให้ฆ่าตัวตายด้วยรอยยิ้ม ตุ๊กตาทั้งสามยื่นมือออกมาเพื่อจะหยิบดาบซึ่งมีเลือดของมิเวลอยู่ในมือเด็กหนุ่มไป “อ๊ะ ทีละคน ไม่ต้องแย่งกัน”

มิเวลมองตุ๊กตาปีศาจตัวแรกจัดการเอาดาบแทงหัวใจตัวเองเสร็จสรรพด้วยสีหน้าอึ้งๆ

เจ้าวอลเล่นงี้เลยเรอะ!

ตุ๊กตาปีศาจตัวสุดท้ายยกดาบขึ้นแทงตรงหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง ร่างของมันค่อยๆ กลายเป็นผงทรายก่อนจะระเหิดหายไปในอากาศ

“เป็นไง” ใบหน้ายิ้มกว้างหันมาถามด้วยแววตาใสซื่อ เด็กสาวยิ้มแหยๆ ให้อีกฝ่าย เริ่มรู้สึกสยองพลังจิตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าเจ้าเกิดไม่พอใจข้าขึ้นมา จะบังคับให้ข้าฆ่าตัวตายมั้ยเนี่ย” น้ำเสียงกลัวๆ เอ่ยถามออกไป แต่คนถูกถามกลับหัวเราะเบาๆ

“ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากใช้พลังจิตหรอก”

“ทำไมล่ะ” มิเวลถามด้วยความสงสัย แต่คนถูกถามกลับเอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร เด็กสาวจึงถอนหายใจพร้อมกับทำมือปัดๆ เป็นนัยว่าช่างมันเถอะ เธอคิดไว้แล้วเชียวว่าวอลคงไม่ยอมตอบอะไรแน่ เพราะฉะนั้นเธอจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ “แล้วเมื่อกี้เจ้าใช้พลังจิตทำไม”

วอลทำเป็นนึกหาคำตอบอยู่พักหนึ่ง

“...นั่นน่ะสิ ข้าใช้ทำไมกันน้า” ในที่สุดเสียงสดใสก็เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆ ทำให้คนมีความอดทนต่ำรู้สึกฉุน มือขวาตบป้าบเข้าไปที่ไหล่ของคนชอบกวนประสาท เด็กหนุ่มหัวเราะร่าเมื่อเห็นท่าทางยัวะจัดของมิเวล

“จะตอบดีๆ มั้ย” เสียงแข็งพูดอย่างหงุดหงิด สายตาดุมองตรงไปยังใบหน้ายิ้มแฉ่งของวอล

“ข้าเห็นเจ้ามีแผลที่แขน แล้วสีหน้าเจ้าก็ไม่ค่อยดี อุตส่าห์คิดว่าเจ้าจะอึดถึกแบบสุดๆ แต่ดูๆ แล้วเจ้าอาจจะเดี้ยง ข้าก็เลยต้องใช้พลังจิตมากู้...” เด็กหนุ่มรีบเอี้ยวตัวหลบหมัดลุ่นๆ ได้ทันฉิวเฉียด “...วิกฤต”

“ใช่สิ ข้ามันอึดถึก เจ้าอยากจะลองลิ้มรสหมัดอึดถึกของข้าบ้างมั้ยล่ะ” เสียงต่ำพูดเน้นชัดๆ ไปที่คำว่า อึดถึก พร้อมกับชูกำปั้นขึ้นให้อีกฝ่ายดู นัยน์ตาสีทับทิมฉายแววคุกรุ่นอย่างปิดไม่อยู่

“...อ่า...ข้าเกรงใจเจ้าจัง จริงสิ ต้องรีบไปหาเอเวนนี่” วอลรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อสัมผัสได้ถึงความซวยกำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า

มิเวลจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดโทษ รู้ทันวอลคิดจะหนีเอาตัวรอดจากการปากเสีย จริงๆ แล้วพวกเธอจะรอเอเวนอยู่ตรงนี้ก็ได้ แต่พอคิดดูว่าบางทีเอเวนอาจจะกำลังรับศึกตุ๊กตาปีศาจคนเดียวไม่ไหว เธอจึงคิดจะไปช่วย เพราะฉะนั้นคงต้องเลื่อนการคิดบัญชีกับเจ้าบ้าวอลเอาไว้ทีหลัง

“เจ้าจะไม่ไปด้วยงั้นเหรอ” น้ำเสียงแปลกใจเมื่อคนตรงหน้าปฏิเสธจะไม่ไปหาเอเวนด้วยกัน

“ข้าจะรออยู่ตรงนี้แหละ เจ้าไปหาเอเวนเถอะ” คนถูกถามตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ เด็กสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเอายังไงดี เธออยากไปช่วยเอเวน แต่ก็ไม่อยากปล่อยเจ้าบ้าเอาไว้คนเดียว เห็นวอลส่งรอยยิ้มมั่นใจมาให้พร้อมกับโบกมือลาหยอยๆ

ท่าทีลังเลของมิเวลทำให้เขารู้สึกขำนิดๆ ในเมื่อมิเวลตัดสินใจไม่ได้ซะทีเขาจึงทำมือปัดๆ ไล่ให้ไป พอเห็นว่าโดนไล่ ใบหน้างามก็หงิกขึ้นมาทันที ร่างเล็กหันหลังขวับ ก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าไปในเมืองอย่างเร็ว อุตาส่าห์เป็นห่วง แต่ก็ยังจะมาไล่เธออีก

เมื่อมิเวลเดินห่างไปไกลจนลับสายตาแล้ว ร่างกายที่ฝืนทนมานานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หลังจากพาตัวเองเข้าไปใกล้รถเคอาร์ได้พอสมควรเด็กหนุ่มก็ล้มตึงลงกับพื้นตรงหน้าบันไดทางขึ้นพอดี เขาพยายามคงสติเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แม้จะก็ถูกความรู้สึกอ่อนเพลียเหนื่อยล้าและชาไปทั่วทั้งร่างกัดกินก็ตาม ได้ยินเสียงของควินัวดังขึ้นจากการสื่อสารทางจิตแต่เขาไม่รู้ว่ามันพูดอะไรบ้าง สติเริ่มเลือนรางลงทุกขณะ จนในที่สุดภาพทุกอย่างก็ดับวูบ



+++++++++++++++++++++++++++++



สภาพอากาศกลับมาแจ่มใสพร้อมทั้งมีแดดสว่างจ้าอีกครั้ง คงเป็นเพราะตุ๊กตาปีศาจถูกจัดการไปหมดแล้วนั่นเอง ร่างเล็กเดินไปตามทางพร้อมกับพูดบ่นอะไรงึมงำไปด้วยอย่างหงุดหงิด พอเดินเข้าเขตตัวเมืองมาได้สักพัก สีหน้ามุ่ยขมวดคิ้วอย่างอารมณ์ไม่ดีก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที

สภาพของบ้านแต่ละหลังไม่สามารถเรียกได้ว่าบ้านอีกต่อไป บ้านไม้ถูกทำลายจนกลายเป็นเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากการถูกระเบิดทิ้งไม่เหลือซาก โดยที่บางหลังเหลือแค่ตอไม้เท่านั้น

มิเวลมองไปรอบตัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว ราวกับว่าเมืองทั้งเมืองได้กลายเป็นเมืองร้างไปภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่างว่าทุกคนถูกฆ่าตายหมดแล้ว หรือไม่ก็หนีไปที่อื่น เด็กสาวภาวนาในใจขอให้เป็นอย่างหลัง ภาพของการสูญเสียทำให้รู้สึกเจ็บข้างในหัวใจ มิเวลกำมือแน่น ก้าวเท้าเดินต่อหาผู้รอดชีวิต บางทีเอเวนคงจะอยู่ลึกเข้าไปในเมือง เธอได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร

เดินไปสักพักก็เห็นมีซากไม้ไหม้เป็นตอตะโก พอมองดีๆ แล้วเธอก็เห็นป้ายอะไรบางอย่างปนอยู่ อ่านป้ายเขียนเอาไว้ว่าเชื้อเพลิง เด็กสาวยกมือขวาขึ้นแตะริมฝีปาก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ กองเศษไม้พวกนี้เคยเป็นร้านขายเชื้อเพลิง ภาพของคุณลุงเจ้าของร้านกำลังยิ้มแย้มผุดขึ้นในหัวทันควัน

“มิเวล” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง มิเวลหันขวับไปมอง เอเวนปรากฏตัวขึ้นหลังจากสลายบาเรียเวท ในมือสองข้างกำลังอุ้มร่างสลบไสลของเด็กชายคนหนึ่ง

“เพกัส!” มิเวลรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของเด็กชายทันที ใบหน้าซีดเผือดมีรอยคราบน้ำตาอยู่เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“แค่สลบไปน่ะ ข้าไม่รู้จะทำยังไงก็เลยจะพาไปที่เคอาร์” เสียงเรียบบอก

“พวกตุ๊กตาล่ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“ข้ากำจัดทิ้งหมดแล้ว ส่วนเด็กนี่เห็นแม่ตัวเองถูกฆ่าตาย”

มิเวลยืนนิ่งหลังจากได้ฟังดังนั้น มองร่างน้อยๆ ตรงหน้าด้วยสายตาเจ็บปวด ภาพแม่ของตัวเองถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาต้องทำให้เพกัสเสียใจมากแน่ๆ และอาจจะติดตาตลอดไปไม่มีวันลืมเลือน

เอเวนยืนมองใบหน้าเศร้าใจของมิเวลด้วยสายตาสับสน เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมมิเวลถึงต้องไปรู้สึกสงสารคนธรรมดาทั้งๆ ที่พวกมันปฏิบัติกับผู้ใช้เวทอย่างโหดร้าย เห็นคนรู้จักหรือแม้แต่พ่อแม่พี่น้องของตัวเองถูกฆ่าถือเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำไปสำหรับผู้ใช้เวท เขาไม่เคยคิดอยากช่วยพวกคนธรรมดา แต่เพราะมิเวลรบเร้าและดื้อดึงเขาจึงต้องยอมช่วยอย่างจำใจ

“กลับกันเถอะ” เสียงเรียบกล่าวพร้อมกับร่ายเวทบาเรียขึ้นอีกครั้ง

บาเรียเวทเคลื่อนออกห่างจากตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ไปยังจุดที่รถเคอาร์จอดอยู่ สภาพแวดล้อมโดยรอบมีเพียงต้นไม้และพื้นหญ้าเท่านั้น เอเวนไม่ถามว่ามิเวลจัดการตุ๊กตาปีศาจสามตัวนั่นหมดหรือยัง ถ้ามิเวลมาหาเขาได้ก็แสดงว่าตุ๊กตาพวกนั้นคงโดนเด็กสาวใช้เลือดของตัวเองกำจัดพวกมันทิ้งไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นเคอาร์อยู่ไกลๆ เด็กหนุ่มจึงบังคับให้บาเรียเวทลอยต่ำลง แต่พอขยับเข้าไปใกล้ขึ้นจึงเห็นว่ามีร่างคุ้นตานอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น เส้นผมสีเงินสว่างสะท้อนกับแสงแดด ผิวซีดขาวซีดเซียวราวกับศพ

“วอล!” มิเวลรีบกระโดดออกจากบาเรียเวททันที ในใจภาวนาขอให้เขาไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นแล้วเธอคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเพราะเธอเป็นคนปล่อยทิ้งเขาไว้คนเดียว

มิเวลพลิกตัวของวอลให้นอนหงาย พอนิ้วแตะถูกคอของเขาเธอก็ต้องตกใจ ผิวขาวซีดของวอลร้อนจี๋เหมือนมีไข้สูง ทั้งใบหน้าและลำคอมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นอยู่เต็มไปหมด

เพราะวอลไม่สติจึงต้องขอให้เอเวนช่วยใช้เวทมนตร์พาเขาให้ไปนอนในแคปซูลรักษา จริงๆ แล้วตอนแรกเธอจะให้เพกัสนอนแต่ดูจากอาการของวอลแล้ว เด็กสาวจึงคิดว่าวอลน่าจะต้องเข้าไปอยู่ในแคปซูลมากกว่า ดังนั้นมิเวลจึงให้เพกัสไปนอนในห้องของเธอแทน จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เรื่อย และถึงแม้ว่าจะถามออกไป เจ้าตัวก็คงไม่ยอมบอกเหมือนเคย

“เจ้าสงสัยมั้ยว่าเจ้าบ้าวอลเป็นอะไร” น้ำเสียงหงุดหงิดลองถามผู้รอบรู้ดู ไม่ชอบเลยที่วอลไม่ยอมบอกอะไร ถามอะไรก็เอาแต่ยิ้มลูกเดียว

คนถูกถามกำลังนั่งเปิดอาหารแห้งในขวดอยู่ บนโต๊ะมีขวดและอาหารกระป๋องซึ่งเป็นอาหารเย็นของมิเวลและเอเวน ข้างๆ มีจานเปล่าวางอยู่สองใบ

“ไม่แน่ใจ เป็นไปได้อยู่สามอย่าง” เอเวนตอบเนือยๆ อย่างไม่สนใจ ใบหน้าเย็นชาแสดงออกทางสายตาอย่างเด่นชัดว่าไม่อยากพูดถึง ‘คนธรรมดา’ แต่คนถามกลับกระตือรือร้นอยากจะรู้เหลือเกิน

“อะไรบ้างล่ะ บอกข้าหน่อย” สายตาหงุดหงิดตวัดมองคนอยากรู้อยากเห็น แล้วก็ต้องถอนหายใจเพราะถูกรบเร้า จากนั้นจึงยอมตอบแบบขอไปที มิเวลคงไม่ยอมหยุดถามจนกว่าจะได้รับคำตอบแน่ จะว่าไปเขาก็ค่อนข้างขี้รำคาญพอสมควร แม้จะไม่เท่ามิเวลก็เถอะ

“หนึ่งไม่สบาย ป่วยเป็นอะไรสักอย่าง” เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างวิเคราะห์ ข้อนี้เธอก็สงสัยอยู่

“อะไรอีก”

“สอง ผลกระทบจากการใช้พลังจิต”

“ผลกระทบจากการใช้พลังจิต?” มิเวลทวน

“ใช่ มีบ้างเหมือนกันที่ร่างกายของเจ้าของสัตว์เวทไม่ยอมรับพลัง จะรู้สึกอ่อนเพลียแต่ก็ไม่ถึงขนาดสลบไป แต่เจ้าตัวแคปซูลนั่นเป็นคนธรรมดา อาจจะทำให้ร่างกายรับพลังไม่ไหว”

“แล้วอย่างที่สามล่ะ”

“แพ้แดด”

หา?

แพ้แดดเนี่ยนะ

เอเวนเปิดขวดออก แล้วหยิบจานเปล่ามา เทอาหารในขวดลง เด็กสาวมองอาหารในจานของเอเวนแล้วก็รู้สึกว่ามันดูคล้ายๆ กับอาหารของเธอ ต่างกันแค่บรรจุภัณฑ์เท่านั้นเอง

“แพ้แดดเนี่ยนะ” มิเวลถามซ้ำ แค่แพ้แดดจะถึงกับทำให้เป็นขนาดนี้เลยเหรอ แต่คนถูกถามกลับนั่งตักอาหารเข้าปากอย่างไม่สนใจ ปล่อยให้มิเวลไปคิดเอาเอง เขาตอบคำถามครบหมดแล้ว

เมื่อไม่มีปฏิริยาตอบรับหรือปฏิเสธจากเอเวน เธอก็ชักจะฉุนเพราะถูกเมิน แต่จะหาเรื่องไปก็ใช่ที่ ดังนั้นจึงเดินออกจากห้องรวมไปยังห้องของตัวเองแทน เปิดประตูเข้าไป เพกัสยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงของเธอ มิเวลเดินเข้าไปสำรวจเด็กชายใกล้ๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังหลับลึก แบบนี้คงไม่ตื่นง่ายๆ แน่ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงกับพื้น ถ้ามีควินัวอยู่ด้วยก็คงจะดี

เดี๋ยวก่อน ก่อนจะออกจากเคอาร์เธอจำได้ว่าควินัวยังอยู่บนนี้นี่นา เห็นครั้งสุดท้ายที่ห้องรวม แต่พอกลับขึ้นมาเธอก็ไม่เห็นมันแล้ว เมื่อกี้ตอนเข้าไปในห้องของวอลเธอก็ไม่เห็นมัน

คงจะกลับเข้าร่างของเจ้าของแล้วล่ะมั้ง

เด็กสาวสรุปกับตัวเองในใจ

พอคิดถึงควินัวและวอลแล้ว เรื่องอาการอ่อนเพลียของเด็กหนุ่มก็วกกลับเข้ามาในหัวอีก เอเวนบอกว่ามีทางเป็นไปได้อยู่สามอย่าง หนึ่งก็คือวอลป่วยเป็นอะไรสักอย่าง สองเป็นผลกระทบจากการใช้พลังจิต สามเป็นเพราะว่าเขาแพ้แดด คิดแล้วก็สงสัยว่าทำไมเอเวนถึงคิดว่าวอลแพ้แสงแดด

‘ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากใช้พลังจิตหรอก’

จริงสิ เจ้าบ้านั่นเคยพูดประโยคนั้น พอตีความดูแล้วก็น่าจะหมายถึงว่าเขาต้องรับผลกระทบจากการใช้พลังจิตจึงไม่อยากใช้พลัง และยังอธิบายได้อีกว่าทำไมหลังจากคืนนั้นที่วอลใช้พลังจิตควบคุมทหารในเบอริลถึงมีอาการย่ำแย่แบบนั้น เป็นไปได้สูงว่าเป็นผลกระทบจากการใช้พลังจิต

แต่ทำไมเอเวนถึงสงสัยเรื่องแพ้แดดด้วยล่ะ

หลังจากฉุกคิดขึ้นอีก เธอก็ลองวิเคราะห์เรื่องอาการของวอลดู จะว่าไป ถ้าสังเกตดีๆ แล้ว อาการอ่อนแรงของเจ้าบ้าวอลมักจะเกิดในตอนกลางวันจริงๆ ด้วย ดังนั้นจึงเอาแต่นอนอยู่ในแคปซูล แล้วตอนกลางคืนกับตอนเช้าก็ออกมาเริงร่ากวนประสาทคนอื่น ส่วนวันนี้ตุ๊กตาปีศาจใช้พลังทำให้สภาพอากาศแปรปรวนจึงทำให้ไม่มีแสงแดด วอลก็เลยออกมาเดินข้างนอกได้

ผีดูดเลือด?

มิเวลเบ้ปาก อาการของเจ้าบ้าเหมือนผีดูดเลือดยังไงชอบกล โดนแสงแดดไม่ได้ ออกมาเดินเพ่นพ่านได้แต่ตอนกลางคืน ผิวขาวซีด ตอนกลางวันนอนในโลง แถมเจ้าบ้าวอลก็ยังนอนในโลงอีกด้วย ถึงจะเป็นโลงกระจกใสก็เถอะ เหลือก็แต่ดื่มเลือดเป็นอาหาร

ใช่แน่ๆ!

เพราะแบบนี้นี่เอง เจ้านั่นถึงไม่ชอบอาหารกระป๋องของเธอ แล้วยังกินน้ำตาลเป็นก้อนๆ อีก กินแต่ของหวานๆ เธอเคยอ่านพวกตำนานผีดูดเลือดมาก่อนว่าเลือดจะมีรสหวาน ยิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจว่าเจ้าบ้านั่นเป็นผีดูดเลือดแน่นอน โดยเฉพาะผิวขาวซีดนั่น เธอมั่นใจว่าถ้าจับเจ้าบ้าถอดเสื้อผ้า หรือถอดแค่เสื้อคลุมสีดำออกเพราะเสื้อตัวในของเขาเป็นสีขาวอยู่แล้ว มองผ่านๆ คงจะเห็นเป็นแผ่นกระดาษสีขาวแน่นอน ทั้งสีผมและสีของนัยน์ตาก็เป็นสีเงินสว่างดูกลืนไปกับสีขาวอยู่แล้วอีกด้วย

หลังจากสรุปอย่างมั่นใจว่าวอลเป็นผีดูดเลือด ร่างเล็กก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ตั้งใจจะไปบอกเอเวน แต่กลับหยุดชะงักกลางทาง เอเวนเป็นคนบอกเธอเองเรื่องแพ้แด เพราะฉะนั้นเขาก็คงรู้อยู่แล้วว่าวอลเป็นผีดูดเลือด

เดี๋ยวก่อนสิ

มีผีดูดเลือดร่วมเดินทางไปด้วยกัน...

อันตรายสุดๆ!

“ทำยังไงดีเอเวน!?” เสียงตื่นตกใจตะโกนถามมาแต่เสียง ส่วนตัวปรากฏขึ้นให้เห็นทีหลัง ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูมองคนถูกถามกำลังนั่งตักอาหารเข้าปาก สายตานิ่งๆ เหลือบมามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไร “มีตัวอันตรายเดินทางไปด้วยกัน แต่ข้าตกลงกับเจ้านั่นไปแล้ว และข้าเป็นคนพูดแล้วไม่คืนคำ ทำยังไงดี ตัวอันตรายสุดๆ”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างมึนงง พยายามทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไร

“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน”

มิเวลเข้ามาในห้อง ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งออกพร้อมกับนั่งลงทันควัน สีหน้าตื่นตระหนกฉายความกังวลไว้เด่นชัดจนทำให้เอเวนรู้สึกเครียดขึ้นมา ศัตรูงั้นหรือ แต่ทำไมเขตอาคมของเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

“เจ้ารู้จักผีดูดเลือดมั้ย” เสียงเครียดเอ่ยถาม

คนถูกถามขมวดคิ้วน้อยๆ หันกลับไปจัดการอาหารจานต่อ อยู่ๆ มิเวลจะมาถามเขาเรื่องผีดูดเลือดทำไม

“รู้จัก”

“ถ้าเจ้ารู้จักผีดูดเลือด เจ้าก็ต้องรู้ถึงความอันตรายของมันด้วยสิ แล้วทำไมถึงไม่บอกข้า” เด็กสาวโวยวาย ยิ่งทำให้เอเวนงงเข้าไปใหญ่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“ข้าต้องบอกเจ้าเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่เจ้าบ้าวอลเป็นผีดูดเลือดไงเล่า!”

สิ้นเสียงตะโกนลั่นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เอเวนเลิกคิ้วสูง ไม่สนอาหารในจานอีกต่อไป หันไปมองคนนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเหลือเชื่อ สีหน้าของเด็กสาวเคร่งเครียดและจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเชื่อตามที่พูดจริงๆ

มิเวลคิดว่าเจ้าตัวแคปซูลนั่นเป็นผีดูดเลือดจากคำคาดเดาของเขาเรื่องแพ้แสงแดดเท่านั้นเนี่ยนะ

“...เจ้ารู้รึเปล่าว่าพวกผีดูดเลือดออกจากอาณาเขตของมันไม่ได้ และปัจจุบันผีดูดเลือดทุกตัวถูกขังอยู่ในปราสาทที่เมืองนอร์ธเฟล...” เสียงเรียบเอ่ยถาม ก่อนจะเสริมดักทางขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะแย้ง “ถึงจะหนีออกมาได้ แต่เรื่องอาหารการกินคงไม่กินพวกผลไม้แน่ และพวกมันถูกแสงแดดไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่แค่แพ้แสงเท่านั้น แพ้แสงกับโดนไม่ได้เลยมันต่างกันนะ”

“แต่เจ้าบ้านั่นตัวซีด แถมยังกินพวกของหวานแล้วเลือดก็มีรสหวาน แพ้แสงอีก...” เด็กสาวทำเสียงอ่อย ยังคงยืนยันอยู่ว่าวอลเป็นผีดูดเลือด เจ้าบ้าวอลอาจจะพวกนอกคอกหรือข้อยกเว้นก็ได้ อย่างเธอเป็นพวกเผ่ามายายังใช้เวทเขตอาคมไม่เป็นเลย

“เจ้าเคยกินเลือดด้วยเหรอถึงรู้ว่ามันมีรสหวาน” เอเวนถามกลับ รู้สึกแปลกใจ ทำไมมิเวลถึงคิดว่าเลือดมีรสหวานกัน เขาได้แผลตรงมุมปากอยู่บ่อยครั้งจึงได้รสเลือดของตัวเองบ้าง แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันมีรสหวานเลยสักนิด

“ข้าอ่านจากหนังสือตำนานผีดูดเลือด”

เพราะแบบนี้นี่เอง

เด็กหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ ทีเรื่องตำนานผีดูดเลือดล่ะจำได้แม่นเชียว แต่พอเป็นเรื่องเวทมนตร์กลับจำไม่ได้

“ถ้าเจ้าตัวแคปซูลนั่นแพ้แดดจริงๆ ข้าคิดว่ามันต้องมาจากเมืองทางทิศเหนือแน่ เพราะมีบางเมืองไม่มีแสงแดดและไม่มีกลางวัน มีแต่ตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะแบบนั้นเจ้านั่นถึงไม่เคยชินกับแสงแดด”

“เมืองทางทิศเหนืองั้นเหรอ...” มิเวลพึมพำพร้อมกับคิดตาม เธอไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทิศเหนือเลย รู้แค่ว่ามีแคว้นใหญ่ปกครองเมืองเล็กอีกห้าเมืองเล็กเท่านั้น “เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทิศเหนือบ้างล่ะ”

“สี่เรื่อง เมืองด้านบนๆ จะมีอากาศหนาวจัดไม่มีตอนกลางวันจนทำให้มีหลายเมืองต้องล่มสลายเพราะผู้คนทนอากาศหนาวไม่ได้ สอง มีการป้องกันแน่นหนาทั้งเรื่องข่าวสารและการข้ามแดน สาม เพิ่งเกิดสงครามการต่อสู้ระหว่างผู้ใช้เวทกับคนธรรมดาเมื่อสองสามเดือนก่อนแต่ไม่รู้รายละเอียด สี่ ถูกเรียกว่าเป็นดินแดนแห่งความสิ้นหวัง”

ดินแดนแห่งความสิ้นหวัง...

เธอมาจากทางทิศใต้ เคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับเมืองต่างๆ จากในหนังสือก่อนจะออกเดินทาง และเลือกทิศตะวันออกเป็นที่แรกเพราะในหนังสืออธิบายเกี่ยวกับเมืองในทิศตะวันออกเยอะกว่าอีกสามทิศ โดยเฉพาะทิศเหนือ ไม่มีหนังสือเล่มใดอธิบายเกี่ยวกับเมืองทางทิศเหนือเลยแม้แต่เล่มเดียว เธอเคยรู้สึกสงสัยจึงขอซื้อข่าวเรื่องนี้กับเมืองอื่น แต่ก็รู้แค่ว่ามีแคว้นใหญ่ปกครองเมืองเล็กอีกห้าเมืองเท่านั้น

“ไม่มีข่าวอะไรเพราะมีการป้องกันเข้มงวด เพราะอะไรกันล่ะ” เด็กสาวเอ่ยถาม ถึงขนาดเกิดสงครามแต่ก็ยังปิดข่าวอยู่แบบนี้ต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่นอน

“ถึงสงสัยไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจหรอก” พอเห็นว่ามิเวลทำท่าจะแย้ง เขาจึงพูดขัดขึ้น “เจ้าเอาเวลาไปคิดเรื่องมนุษย์ธรรมดาที่เป็นเพื่อนร่วมทางของเจ้าเถอะ”

“คิดเรื่องอะไร” เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เรื่องผีดูดเลือดก็จบไปแล้วนี่ สรุปว่าเธอคิดมากไปเอง

เอเวนหันไปมองอาหารที่เหลืออยู่ในจาน คิดว่าควรจะบอกมิเวลดีมั้ย แต่ถึงเขาไม่บอก ไม่นานมิเวลก็คงต้องสงสัยเรื่องนี้อยู่ดี

“ทิศเหนือมีการป้องการแน่นหนาเรื่องข่าวสารและการข้ามแดน...” เสียงเรียบตอบ ก่อนใบหน้านิ่งแต่มีความตึงเครียดน้อยๆ ฉายอยู่ในแววตาจะหันกลับมามองเธออีกครั้ง

“...ถ้าเจ้าตัวแคปซูลมาจากเมืองใดเมืองหนึ่งในทิศเหนือจริง ก็น่าสงสัยล่ะว่าหนีออกมาได้อย่างไร”



++++++++++++++++++++++++++++



โฮป : ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะฮับ โปรดติดตามตอนต่อไป!




โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2560, 00:01:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 มี.ค. 2560, 00:01:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 702





<< Episode 19 : || ภาพสะเทือนบาดหัวใจ ||   Episode 21 : || ธาตุเวท || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account