The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
"นักขายความฝันผู้เลือดร้อน & นักโทษประหารผู้เริงร่า & หัวขโมยผู้เย็นชา"
ต่างถิ่น ต่างความคิด ต่างอาชีพ ต่างนิสัย ต่างจุดมุ่งหมาย ต่างเผ่าพันธุ์
กลับต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะเหตุบางอย่าง... The D.O.L.L.S

ตุ๊กตาปีศาจมีลักษณะรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ

ถ้าอย่างนั้น...จะรู้ได้อย่างไร?
...เป็นปีศาจ...หาใช่มนุษย์ไม่...

ระวังไว้ให้ดี...ทุกอย่างอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา...

...ที่ใครบางคนสร้างขึ้นเท่านั้น...

สงครามระหว่างผู้มีพลังเวทกับมนุษย์ธรรมดา
ใครจะอยู่รอดเป็นผู้กำชัยชนะ!?


- ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริง -
แผนที่นครเซ็นทรัม http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/map122e1.jpg
Tags: ตุ๊กตา,ปีศาจ,คำสาป,เวทมนตร์,สงคราม,แฟนตาซี,ผู้ใช้เวท,มนุษย์,โศกนาฏกรรม,mystery

ตอน: Episode 21 : || ธาตุเวท ||

EPISODE 21

ธาตุเวท



ผ่านไปเป็นวันที่สองหลังจากทั้งสามคนมาถึงเมืองไซโรนาส อากาศยามสายยังคงแจ่มใสเช่นเดียวกับเมื่อวาน มิเวลตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเด็กชายชื่อเพกัสถึงบอกว่าสองสามเดือนมานี้อากาศค่อนข้างแปรปรวน ในเมื่อสภาพอากาศแปรปรวนเป็นผลจากตุ๊กตาปีศาจ แสดงว่าอาจจะมีตุ๊กตาปีศาจมาที่เมืองนี้ตั้งแต่ไม่กี่เดือนก่อนแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเมื่อวานบ้านเมืองถึงดูเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์ถูกตุ๊กตาปีศาจโจมตีมาก่อนเลยล่ะ

“เมื่อก่อนมีตุ๊กตาอย่างมากก็แค่สองตัวทำลายเมือง เพราฉะนั้นชาวเมืองจึงคิดว่าเป็นผู้ใช้เวท และรัฐบาลก็ส่งกำลังมาช่วยไว้ได้ทัน แต่ตอนนี้ตุ๊กตาปีศาจมีทั้งกลายร่างทั้งตัวและกลายร่างได้เฉพาะบางส่วน ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่าพวกกลายร่างได้ทั้งตัวนั้นเกิดจากอะไร และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสถิติสูงสุดมีแค่สองตัวบุกทำลายเมืองเมืองหนึ่ง แต่เมื่อวานกลับมีถึงแปดตัว”

“ตุ๊กตาปีศาจเกิดจากความแค้น” เสียงเบาเอ่ยพึมพำ เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าทุกคนมีความแค้นเพิ่มขึ้นงั้นเหรอ

“อาจจะเป็นไปได้ว่าแค่ผ่านทางแต่ไม่ได้เข้ามาในเมือง สภาพอากาศก็คงแปรปรวนได้เหมือนกัน” เอเวนบอก จริงๆ แล้วเขาคิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า ตุ๊กตาปีศาจในหัวของพวกคนธรรมดาคงถูกเหมารวมว่าเป็นผู้ใช้เวท ดูจากปฏิกิริยาของพวกชาวเมืองหลังจากที่เขาจัดการตุ๊กห้าตัวนั่นหมดก็พากันเรียกเขาว่าเป็นปีศาจทันที เพราะแบบนี้รัฐบาลถึงปิดข่าวเรื่องนี้ได้ง่าย

“แล้วตุ๊กตาตัวไหนแก้แค้นได้สำเร็จบ้าง จะรู้ได้ยังไงกัน” มิเวลเอ่ยถาม อย่างเมื่อวานเธอก็เห็นว่าพวกตุ๊กตาเอาแต่บุกโจมตีพวกเธอแล้วก็ไล่ฆ่าผู้คนในเมือง ไม่น่ามีอะไรเกี่ยวกับการแก้แค้นเลยสักนิด ถ้าอย่างนั้น แล้วเรื่องแก้แค้น...

“หลังจากขายวิญญาณทั้งหมด สติและความคิดทุกอย่างก็จะสูญสลายไป ความแค้นก็คงจำไม่ได้ เพราะฉะนั้นถึงมีตุ๊กตาปีศาจออกไล่ล่าผู้คนมากขนาดนี้ไงล่ะ”

“จำความแค้นไม่ได้ แต่ก็ยังยอมขายวิญญาณอยู่อีกเหรอ”

“ก่อนขายวิญญาณคงไม่รู้หรอกว่าจะจำไม่ได้ แต่ถึงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าคิดว่าเจ้าพวกนั้นก็คงไม่สนใจหรอก ขอแค่ได้พลังที่จะช่วยให้แก้แค้นได้สำเร็จก็เพียงพอแล้ว”



+++++++++++++++++++++



“แพ้แดด!” เสียงตะโกนลั่นด้วยความตกใจ คนบอกว่าตัวเองแพ้แดดนั่งยิ้มแป้นอยู่ในแคปซูล พยักหน้าทีหนึ่งเป็นการยืนยันว่าถูกต้องตามนั้น

“จริงๆ ต้องบอกว่าแพ้อากาศร้อน ข้าไม่ถูกกับอากาศร้อนเท่าไหร่“ มิเวลหันไปมองหน้าต่างสองบานในห้อง มิน่าล่ะเจ้าบ้านี่ถึงเอาแต่ปิดหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา พอเธอเปิดเอาไว้ให้ เขาก็จะเดินมาปิดหลังจากเธอออกไปแล้วอยู่เรื่อย

“แบบนี้ก็แย่สิ เจ้าจะออกไปเดินข้างนอกยังไงล่ะ อยู่ในเคอาร์ก็ร้อนอบอ้าว เพราะแบบนี้สินะเจ้าถึงได้เอาแต่นอนอืดอยู่ในแคปซูลนั่นทั้งวัน โผล่หัวออกมาก็แค่ตอนเช้ากับตอนกลางคืน”

“ถ้าไม่ออกแรง เดินไปเดินมาอย่างเดียวก็ไม่เป็นไร” เสียงใสตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับชูนิ้วโป้งสองข้าง

มองรอยยิ้มกว้างของวอลแล้วเธอก็ต้องถอนหายใจยาว สีหน้าของเจ้าบ้าดูมั่นใจเหลือเกิน ที่ผ่านมาเขาก็เอาแต่นอนอยู่ในแคปซูลอย่างเดียวไม่ใช่หรือไง แล้วแบบนี้จะไม่เป็นไรได้ยังไงกัน

“ถ้าเจ้าตายไป ข้าต้องเสียเวลาทำลายศพอีก” มิเวลพูดอย่างหงุดหงิด รู้สึกโกรธว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมบอกตั้งแต่แรก ต้องมาคาดคั้นให้ตอบ ดูเหมือนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยก็จริงแต่ก็ทำให้ถึงตายได้เหมือนกัน

“คนแล้งน้ำใจอย่างเจ้าเนี่ยนะจะมาสนใจศพของข้าด้วย” วอลหลุดขำพรืด หัวเราะร่าโดยไม่สนสายตาน่ากลัวของมิเวล

เด็กสาวทำหน้าบูด อยากจะเล่นงานคนปากเสียแต่ก็ทำไม่ได้เพราะกระจกแคปซูลเปิดออกได้จากด้านในเท่านั้นหากมีคนอยู่ข้างใน เสียงหัวเราะของเจ้าบ้าวอลเงียบลงแต่กลับตามด้วยรอยยิ้มกวนประสาท ร่างเล็กจึงต้องเดินหนีออกจากห้องเพราะเส้นความอดทนของเธอกำลังจะขาดสะบั้น เห็นทีคงจะคุยเป็นเรื่องเป็นราวกับคนไร้สาระไม่ได้ซะแล้ว

มิเวลกลับไปที่ห้องของตัวเอง ตอนแรกเธอคิดจะไปห้องบังคับแล้วถีบให้เอเวนออกไปเพราะเธอจะขอขับออกจากไซโรนาสทันที ถึงจะขับชนต้นไม้ก็ถือเป็นการระบายอารมณ์ไปก็แล้วกัน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเธอยังออกไปจากเมืองนี้ไม่ได้เพราะต้องรอให้เพกัสตื่นก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ด้วยว่าจะตื่นเมื่อไหร่ แม้เอเวนจะบอกว่าเด็กชายไม่มีบาดแผลอะไรนอกจากรอยขีดข่วนธรรมดา แต่แผลทางกายนั้นต่างกับแผลทางใจ เธอไม่แน่ใจว่าเพกัสจะไม่เป็นอะไรมากจริงหรือเปล่า

“พี่...สาว” เสียงเรียกเบาๆ ราวกับเป็นเสียงกระซิบ คนถูกเรียกรีบเดินเข้าไปหาเด็กน้อยบนเตียงทันที อารมณ์ฉุนจากวอลหายวับไปในพริบตา

“เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนมั้ย” น้ำเสียงร้อนรนถามด้วยความเป็นห่วง

“ข้า...” เพกัสพยายามลุกขึ้นนั่ง มิเวลเห็นดังนั้นจึงช่วยพยุงตัวเขาอีกแรง “ข้า...ที่นี่”

“เจ้าอยู่บนรถเคอาร์ของข้า”

“รถเคอาร์...” เด็กชายพูดทวน

“ใช่”

“...เกิดอะไรขึ้น..ทำไม...” เขาหยุดไว้แค่นั้น พยายามนึกย้อนความทรงจำว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่แล้วภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว ภาพที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ “ท่าน...แม่...”

ร่างของท่านแม่ถูกผ่ากลางแยกออกเป็นสองส่วน เลือดสีสดพุ่งกระฉูดออกมาเปรอะพื้นดิน ร่างไร้ชีวิตชุ่มไปด้วยเลือดแน่นิ่งอยู่บนกองของเหลวสีโลหิต สายตาอำมหิตจ้องมาพร้อมกับแผดเสียงหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ

ฝันร้าย

ไม่จริง...มันเป็นแค่ฝันร้าย...ท่านแม่...

“ท่านแม่...แม่ข้า...ท่านแม่...” เด็กชายพึมพำซ้ำไปซ้ำมากับตัวเอง สีหน้าปวดร้าวของเขาทำให้มิเวลกัดปากแน่น รู้สึกเจ็บในใจ ดึงร่างตรงหน้าเข้ามากอดพร้อมกับลูบปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน

“...ต้องเข้มแข็งนะเพกัส เจ้าต้องเข้มแข็งให้ได้” มิเวลรู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมกอดกำลังสั่นเทา เสียงสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆ เด็กชายปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ในหัวขาวโพลนไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไป



+++++++++++++++++++++



เด็กสาวถอนหายใจเบาๆ ระหว่างเดินไปยังห้องเก็บเสบียง มิเวลจำไม่ได้ว่าวันนี้เธอถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว เรื่องของเพกัสทำให้เธอรู้สึกกังวล เธอตั้งใจจะถามเขาสองสามข้อ เป็นคำถามทั่วๆ ไปว่าเขาอาศัยอยู่กับใคร บ้านอยู่ที่ไหน มีเพื่อนหรือญาติบ้างหรือเปล่า แต่มิเวลก็ต้องกลืนคำถามทั้งหมดลงคอเมื่อเห็นอาการของเขาหลังจากฟื้นเมื่อครู่

พอเลี้ยวเข้าไปในห้องเก็บเสบียง เธอก็เห็นเอเวนกำลังค้นอะไรบางอย่างในถุงผ้าใส่เสบียงของเขา เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย เห็นสีหน้าเครียดๆ ของเขาแล้วแสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน

“เจ้าหาอะไรน่ะ” ยืนมองต่อไปคงไม่ได้คำตอบ เธอจึงตัดสินใจถามออกไป

“ของหาย” เสียงเครียดเอ่ยตอบ เขาจำได้ว่าซื้อมาด้วย แล้วมันหายไปไหน แถมยังไม่ได้เปิดใช้เลยด้วย

“เพิ่งหายเหรอ”

“ไม่แน่ใจ เพราะข้าไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่แต่ซื้อมาเผื่อเอาไว้ วันนี้ตรวจเสบียงว่ามีอะไรเหลือบ้างจะได้ซื้อเพิ่ม แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ” หลังจากแน่ใจว่าในถุงผ้าไม่มีแน่ เขาจึงไปค้นในตู้ข้างๆ ต่อ แต่ด้านในก็มีแต่ขวดใส่น้ำดื่มไม่มีอย่างอื่นอีก พอมองไปรอบๆ ห้องก็ไม่เห็นมีซอกหรือมุมอะไรเลย

มิเวลเดินไปดูตรงตู้วางอาหารกระป๋องของตัวเอง แถวนี้มีแต่อาหารกระป๋องของเธอเท่านั้น หันกลับไปมองเอเวน เห็นเขายังคงง่วนอยู่กับการหาของหาย ท่าทางคงยังไม่ได้ใช้แน่ๆ

“อะไรหายล่ะ”

“น้ำตาล”

มิเวลทำตาโต

น้ำตาล!

ใบหน้ายิ้มแฉ่งพร้อมด้วยเสียงหัวเราะร่าของหัวขโมยใจโหดผุดขึ้นในหัวทันที

“ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงหาไม่เจอแล้วล่ะ” เสียงเศร้าเอ่ยบอก รู้สึกเห็นใจผู้ต้องมาเผชิญชะตากรรมถูกขโมยของกินเหมือนกันขึ้นมา

เอเวนขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม ร่างสูงลุกขึ้นยืน ในเมื่อหาไม่เจอเขาก็คงต้องยอมแพ้แล้วไปซื้อใหม่แทน

“เอเวน ข้าจะให้เพกัสเดินทางไปด้วยกัน” มิเวลเอ่ยขึ้น ยืนมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่เธอก็ต้องแปลกใจเมื่อคนตรงหน้ามองเธอด้วยสายตานิ่งๆ

“ข้าเดาเอาไว้แล้วว่าเจ้าคงให้เด็กนั่นไปด้วย”

“แล้วเจ้าไม่ค้านเลยเหรอ”

“ข้าไม่เห็นด้วย แต่ถึงค้านไปเจ้าก็ยังจะให้มันไปด้วยอยู่ดี” เอเวนพูดเสียงเรียบ หันไปปิดตู้เก็บของ แล้วหันกลับมามองเธออีกครั้ง “ข้าจะเตือนเอาไว้ เด็กมนุษย์นั่นยังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นอะไร มษุษย์ธรรมดากับผู้ใช้เวทไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้ ...ข้าหมายถึงเจ้าตัวแคปซูลนั่นด้วย”

แล้วร่างสูงเดินก็ออกจากห้องไป ทิ้งให้เด็กสาวจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เธอจะทำยังไงดี ดูเหมือนว่าเพกัสจะไม่มีใครอีกแล้ว เขาจะอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไงกัน

คิดมากไปเธอจะฟุ้งซ่านเอาเปล่าๆ มิเวลสะบัดหัวสองสามทีเพื่อไล่ความคิดออกไป ร่างเล็กเดินไปยังห้องรวม คาดว่าเอเวนอาจจะอยู่ในห้อง แต่พอไม่เจอเขาเธอจึงเดินไปเปิดประตูห้องบังคับ ถ้าไม่อยู่ในห้องรวมก็คงอยู่ในห้องบังคับ

“ข้านึกว่าเจ้าจะไปดูเด็กมนุษย์” เอเวนพูดขึ้นเมื่อเห็นมิเวลเดินเข้ามา เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างขัดใจ เจ้าบ้านี่ไม่เคยเรียกชื่อคนอื่นถูกเลยสักครั้ง แต่ยกเว้นเธอคนหนึ่ง

“เขาชื่อเพกัส”

“ข้าพอใจจะเรียกแบบนั้น” มิเวลชักสีหน้าเมื่ออีกผ่ายย้อนกลับมาดื้อๆ แต่ถึงเถียงกลับไปก็คงไร้ประโยชน์อยู่ดีดังนั้นเปลี่ยนเรื่องน่าจะดีกว่า เธอเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เขา เห็นนัยน์ตาสีอำพันเหลือบมามองแวบหนึ่งก่อนจะเบือนกลับไปมองข้างหน้าเช่นเดิม

“จะออกเดินทางแล้วเหรอ”

“ใช่ ตลาดค้าขายของที่นี่ถูกทำลายไปแล้วเพราะฉะนั้นข้าต้องรีบไปซื้อเสบียงที่เมืองต่อไป”

ไปซื้อน้ำตาลสินะ

เด็กสาวคิดต่อในใจ

เคอาร์เริ่มเคลื่อนออกไปข้างหน้า มิเวลชะโงกหน้ามองวิธีขับของเอเวนอย่างสนใจ ดูๆ แล้วน่าจะขับได้ง่ายอยู่ ดังนั้นเธอน่าจะลองขับเอาไว้บ้างจะดีกว่า ที่ผ่านมาถ้าเอเวนรู้สึกเหนื่อยก็จะหยุดพักกันกลางทางเพราะไม่มีคนขับต่อ จึงทำให้เสียเวลาไปพอสมควร

“เจ้ารู้จักเวทมนตร์อะไรบ้าง” อยู่ๆ เจ้าของใบหน้าไร้อารมณ์ก็ถามขึ้น คนถูกถามละสายตาจากทางข้างหน้า หันไปมองคนข้างๆ

“เวทที่ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ อย่างพวกแยกร่าง เวทหายตัว เวทลูกไฟ จุดไฟ ระเบิด ทำนองนี้”

เอเวนขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด

“เจ้าเป็นพวกธาตุไฟสินะ”

“ธาตุไฟ?” สายตางงๆ จากเด็กสาวทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

“ดาบของเจ้าก็เป็นธาตุไฟ เพราะฉะนั้นดาบของเจ้าถึงรับพลังธาตุไฟได้ดีกว่าธาตุอื่น”

“เวทมนตร์มีธาตุด้วยงั้นเหรอ”

“มีสิ การใช้เวทมนตร์ก็คือการยืมพลังจากธรรมชาติและใช้จินตนาการสร้างรูปแบบของพลังต่างๆ ออกมา” เอเวนตอบ ขำนิดๆ ที่มิเวลเป็นคนจากเผ่ามายาแท้ๆ แต่กลับไม่รู้เรื่องเวทมนตร์เลย “ธาตุเวทหลักมีอยู่ทั้งหมดหกธาตุด้วยกัน ได้แก่ ไฟ น้ำ ลม ดิน ไฟฟ้า และแสง แต่ละธาตุสามารถบ่งบอกถึงลักษณะและนิสัยคร่าวๆ ของผู้ใช้เวทบางคนได้ด้วย อย่างเจ้า เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นพวกธาตุไฟ ดังนั้นอาวุธประจำตัวของผู้ใช้เวทจึงต้องเลือกให้ดีว่าเป็นธาตุอะไร ถึงจะรองรับธาตุหลักทั้งหกได้ แต่จะเด่นอยู่แค่ธาตุเดียว”

“แล้วพวกเวทเขตอาคมอะไรนี่ล่ะ อย่างเวทหายตัว เวทบาเรียของเจ้า” มิเวลถามอย่างสงสัย เธอไม่คิดว่าเวทพวกนี้จะมีธาตุเวทด้วยหรอกนะ

“นั่นเป็นธาตุกึ่งบริสุทธิ์ ค่อนข้างยุ่งยากกว่าธาตุหลัก เพราะเจ้าจะต้องแปลงพลังเวทของตัวเองส่วนหนึ่งให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ก่อนแล้วใช้พลังควบคู่ไปกับธาตุของตัวเอง เวทที่ใช้จะแข็งแกร่งรุนแรงได้นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการแปลงพลังเวทให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ ซึ่งยากมากและมีน้อยคนที่จะทำได้ดี”

เด็กสาวกลืนน้ำลายลงคอ หมายความว่าเธอแปลงพลังเวทให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ได้ห่วยแตกสินะ

“แต่ข้าก็ใช้เวทหายตัวได้ดีเลยนะ เวทแยกร่างข้าก็ใช้ได้”

“เจ้าแน่ใจนะว่าใช้เวทหายตัวได้ดี คนใช้เวทนี้ได้ดีจริงๆ สามารถหายตัวได้นานเป็นวัน เจ้าแค่หายแวบไปโผล่ที่อื่นเท่านั้นไม่ใช่หรือไง ส่วนเวทแยกร่างเป็นเวทธาตุหลักอยู่แล้ว”

“แล้วเวทความฝันล่ะ ข้ามั่นใจว่าข้าใช้เวทนี้ได้ดี” มิเวลยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ไม่ว่าจะหาขอโต้แย้งมาเถียงมากเท่าใด เอเวนก็ยังใช้เหตุผลมาอธิบายได้หมด

“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าตัวเจ้าไม่มีพลังเวทพอที่จะสร้างฝันให้คนอื่น ก็เลยสร้างฝันให้ตัวเองแล้วทำให้คนอื่นฝันเหมือนกันเท่านั้น กรณีเดียวกันกับเวทหายตัวนั่นแหละ”

มิเวลทำหน้าเศร้า มองเส้นทางยาวไกลข้างหน้าด้วยความรู้สึกย่ำแย่ เธอหมดข้อโต้แย้งแล้ว สรุปว่าเธอคงต้องยอมรับอย่างโดยดีว่าตัวเองไร้ฝีมือเรื่องพลังเวท ถึงจะรู้ตัวเองดีมานานแล้ว แต่ลึกๆ ก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจริงๆ แล้วเธออาจจะไม่ได้ห่วยแตกเรื่องพลังเวทขนาดนั้น

เห็นท่าทางเศร้าสลดของมิเวลแล้วเขาก็ต้องยิ้มน้อยๆ พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดอยู่

“นอกจากเวทธาตุกึ่งบริสุทธิ์แล้วยังมีเวทธาตุบริสุทธิ์อีกชนิดหนึ่ง ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้จักดีเพราะเจ้าเป็นคนของเผ่ามายา” พออธิบายเรื่องธาตุเวทแล้วจะไม่พูดถึงธาตุบริสุทธิ์เลยมันก็แปลกๆ อยู่ เอเวนจึงคิดว่าน่าจะบอกให้มิเวลเข้าใจทั้งหมดไปเลย

“เวทธาตุบริสุทธิ์ที่ว่าคือเวทอะไรล่ะ”

“เวทรักษา”

มิเวลหันขวับไปมองคนข้างๆ ทันควัน

“ในเผ่ามายามีคนใช้เวทรักษาได้อยู่” เด็กสาวบอกพร้อมกับนึกถึงใบหน้าของท่านย่าของเธอ จริงๆ แล้วน่าจะบอกว่ามีอยู่เยอะด้วยซ้ำ อย่างเพื่อนเธอหลายคนหรือญาติๆ ก็สามารถใช้เวทรักษาได้ เวลาเธอเจ็บป่วยอะไรก็จะวิ่งไปหาย่าทวดแต่ไม่เคยถามเรื่องพลังรักษาหรือธาตุเวทอะไรนี่เลย เพราะวันๆ เธอเอาแต่ฝึกใช้ดาบ ไม่สนใจเรื่องเวทมนตร์สักเท่าไหร่

“ผู้ใช้เวทที่เป็นธาตุบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะสามารถใช้เวทธาตุบริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นเจ้ากับข้าถึงใช้เวทรักษาไม่ได้ พวกเผ่ามายาส่วนใหญ่เป็นธาตุบริสุทธิ์จึงสามารถใช้เวทรักษาได้ และใช้เวทเขตอาคม เวทมายาอะไรพวกนี้ได้ดี” เด็กหนุ่มอธิบายต่อ สายตายังคงมองเส้นทางข้างหน้าอยู่ แต่ก็เหลือบมองคนข้างกายที่กำลังตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อบ้างเป็นพักๆ “แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็จะไม่สามารถใช้เวทธาตุหลักทั้งหกได้ดี หรือไม่ก็ใช้ไม่ได้เลย”

“ถ้าอย่างนั้นคนที่เป็นธาตุหลักก็หมดโอกาสจะใช้เวทรักษาได้งั้นสิ” เด็กสาวพูดสรุปด้วยความผิดหวัง เธออุตส่าห์คิดมาตลอดว่าสักวันเธอจะฝึกใช้เวทรักษา

“ใช่ แต่ก็มีอีกวิธีหนึ่ง ค่อนข้างเสี่ยงและอันตราย” มิเวลส่ายหน้าไปมาพร้อมกับบอกให้เอเวนเลิกพูดเรื่องเวทรักษา ทำหน้าบูดอย่างฉุนๆ เธอจะไม่ง้อการรักษาด้วยเวทแล้ว หันไปพึ่งยาเอาก็ได้

เอเวนถอนหายใจให้กับอาการแพ้แล้วพาลของคนข้างตัว แต่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ค่อยอยากบอกวิธีอันตรายนี่กับมิเวลเท่าไหร่ เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นไปเลยก็ดีเหมือนกัน

“ผู้ใช้เวทของเผ่ามายามักจะเป็นธาตุบริสุทธิ์ แต่เจ้ากลับเป็นธาตุไฟ ตอนแรกข้าก็แปลกใจอยู่เพราะว่าธาตุบริสุทธิ์จะเกิดตามพันธุกรรมเท่านั้น แสดงว่าพ่อแม่ของเจ้าต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็นธาตุหลักสินะ” พอเปลี่ยนมาพูดเรื่องบุพการี มิเวลก็ค่อยๆ นึกถึงท่านพ่อผู้แสนจะบ้าบิ่น และท่านแม่ผู้อ่อนโยน ไม่รู้ว่าสองคนนั้นไปจ๊ะเอ๋ปิ๊งกันได้ยังไงในเมื่อนิสัยต่างกันสุดขั้ว

“พ่อข้าเป็น...” ภาพผู้เป็นพ่อใช้พลังเวทเรียกสายลมพร้อมพายุหมุนทำให้ป่าไม้ราบเป็นหน้ากองในพริบตาเพื่อจะหาที่ฝึกวิชาการใช้ดาบให้เธอผุดขึ้นมาในหัว “ธาตุลมแน่ๆ”

ส่วนแม่ของเธอ...

มิเวลยิ้มบางๆ กับตัวเอง เมื่อนึกถึงภาพของหญิงสาวผู้งดงามและอ่อนโยนกำลังใช้พลังรักษาบาดแผลให้ตอนเธอเด็กๆ

“แม่ของข้าเป็นธาตุบริสุทธิ์”

“ทีนี้เจ้าก็คงเข้าใจแล้วนะว่าธาตุเวทก็เป็นแค่สิ่งบ่งบอกถึงชนิดพลังเวทของเจ้า ถึงเจ้าจะใช้เวทธาตุกึ่งบริสุทธิ์ไม่ได้ดี แต่คนส่วนใหญ่ในเผ่ามายาของเจ้าก็ใช้เวทธาตุหลักได้ไม่ดีเช่นกัน และอาจจะลำบากกว่าเจ้าในเวลาต่อสู้ด้วยซ้ำไป เพราะเจ้ามีทั้งฝีมือการใช้ดาบที่สามารถเป็นพลังป้องกันได้ด้วย แล้วยังเวทธาตุไฟของเจ้าอีก เวทธาตุไหนก็มีจุดเด่นของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าดึงจุดเด่นของมันออกมาใช้ได้มากแค่ไหน”

เด็กสาวหันไปมองเอเวน ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเธอรู้สึกดีขึ้นเพราะคำพูดของเขา นั่นสินะ ต่อไปนี้เธอคงต้องฝึกใช้เวทธาตุไฟให้มากขึ้น

แต่จะว่าไป...

“เจ้าเป็นธาตุอะไรน่ะ”

คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นสูง ใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น สายตามองตรงไปข้างหน้า ถามกลับโดยไม่ได้หันมามอง

“แล้วเจ้าคิดว่าธาตุอะไรล่ะ”

มิเวลหรี่ตามองคนข้างตัวอย่างวิเคราะห์พลางคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา เธอเห็นเอเวนใช้เวทพวกธาตุกึ่งบริสุทธิ์ได้ดีทีเดียว อย่างบาเรียเวทหรือม่านพลัง

“เจ้าใช้เวทม่านพลังได้ดี หรือว่าจะเป็นธาตุบริสุทธิ์”

คนถูกบอกว่าตัวเองเป็นพวกธาตุบริสุทธิ์ยิ้มขำๆ

“ข้าใช้เวทรักษาไม่ได้ ไม่ใช่ธาตุบริสุทธิ์แน่นอน แล้วอีกอย่าง ม่านพลังนั่นไม่ใช่ธาตุกึ่งบริสุทธิ์หรอกนะ”

มิเวลพยายามคิดต่ออีก นึกถึงเวทต่างๆ ของเอเวน มีทั้งบาเรียเวท ม่านพลัง ตาข่ายไฟฟ้า กำแพงไฟฟ้า พื้นดินเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า ระเบิด หรือว่าจะเป็น...

“ธาตุไฟฟ้า!” เสียงใสเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ เอเวนยิ้มน้อยๆ พร้อมกับเหลือบสายตามามอง

“ใช่ ธาตุไฟฟ้า”



+++++++++++++++++++++

โปรดติดตามตอนต่อไป!




โฮป
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2560, 13:52:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2560, 13:52:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 741





<< Episode 20 : || ข้อสงสัยกับคำคาดเดา ||   Episode 22 : || คำอธิษฐาน || >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account