ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๘ ซากไผ่ (โปรดติดตามต่อในเล่ม)

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๘ ซากไผ่

‘ข้าเป็นแพนด้าของเจ้าไม่ได้แล้ว’ แว่นทวนคำพูดขององค์ชายห้าในใจ

ชายหนุ่มออกเสียงทุกพยางค์อย่างช้าชัด จนผู้รับสารไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่านี่ไม่ใช่ความจริง แว่นอยากถามว่าทำไม แต่ปากไม่ยอมขยับ เขาสัมผัสลางร้ายได้ผ่านแววตา จึงไม่ปรารถนาจะได้ยินอะไรอีก แต่อีกฝ่ายก็ยังสู้อุตส่าห์ย้ำให้ช้ำใจ

“ข้าต้องรับผิดชอบฮุ่ยเสียน”

วินาทีที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หูแว่นเหมือนได้ยินเสียงลวดสลิงจำนวนมากปริขาด ไม่ทันตั้งตัวก้อนความเสียใจขนาดมหึมาก็หล่นทับ ทำลายประสาทสัมผัสไปจนหมดสิ้น แววตาของแว่นว่างเปล่า อย่างคนไร้เรี่ยวแรงตัดพ้อ

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” ปากมันขยับไปเองทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจจริงๆ หรือไม่

แว่นหลุบตาลงต่ำ เพื่อหนีจากสีหน้าอันเจ็บปวดขององค์ชายเหวินหรง เขากลั้นใจย่อตัวทำความเคารพ แล้วเดินจากมาช้าๆ โดยไม่วิ่ง

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ทุกๆ ครั้งที่ระยะห่างเพิ่มขึ้น ก็เหมือนมีเข็มเล่มหนึ่งปักลงตรงกลางใจ ทั้งที่อยากหันกลับไปใจแทบขาด แต่ก็ต้องพร่ำเตือนตัวเองว่าอย่าได้ใจอ่อน

‘หากเขายังรักและอยากรั้ง ย่อมไม่ปล่อยให้เดินจากมา’

ทันทีที่คิดแบบนั้น ท่อนแขนก็ถูกใครบางคนคว้าไว้ ทว่าใครบางคนที่ว่ากลับไม่ใช่คนที่ต้องการ

“เจ้าควรกลับไปถามเหตุผลจากพี่ห้า”

ถ้อยคำที่ไม่คาดคิดหลุดออกมาจากปากองค์ชายแปด ท่าทีของชายหนุ่มบ่งบอกว่าได้ยินการสนทนาทั้งหมด พอทราบอย่างนี้ ใบหน้าของแว่นก็ขึ้นสีด้วยความรู้สึกอับอาย

“ไม่จำเป็นเพคะ” เขาสะบัดมือออกแล้วเดินหนี

องค์ชายแปดยังคงเดินตามมาเพียงแต่ทิ้งระยะห่างให้มากขึ้น เขาปล่อยให้นางระบายโทสะไปกับการเดิน เฉกเช่นเดียวกับที่ตนเคยทำ เมื่อครั้งต้องเจ็บปวดกับความรัก

ตอนรู้ว่าเขาตามมาไม่ลดละ แว่นโมโหเด็กบ้าที่ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่เมื่อเดินวนไปเวียนมาได้สักพักจนเย็นลง ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง เสียงฝีเท้าที่ตามหลังมาท่ามกลางความมืด ทำให้แว่นเข้มแข็งขึ้นอย่างประหลาด เขาบอกตัวเองว่าอย่าได้ทำตัวน่าสมเพชมากไปกว่านี้

แว่นหยุดเดิน แล้วหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม

“รถม้าของหม่อมฉันจอดอยู่ตรงนั้นเพคะ” แว่นชี้นิ้วประกอบคำพูด “หากองค์ชายมีน้ำใจ ช่วยไปส่งได้ไหมเพคะ”

คำพูดของกุ้ยฮวามีนัยว่าต่อจากนี้ขออยู่คนเดียว องค์ชายแปดเข้าใจจึงตอบรับด้วยการเดินเคียงคู่กันไป

“แล้วเรื่องของพี่ห้า”

แว่นมองเขาอย่างตำหนิ รู้ทั้งรู้ว่าไม่พร้อมจะพูดอะไรตอนนี้ก็ยังอุตส่าห์จี้ใจดำ

“มันจบแล้วเพคะ” คนถูกทิ้งว่า

“จบทั้งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอย่างนั้นรึ”

องค์ชายแปดทำให้ประหลาดใจอีกครั้งด้วยท่าทีที่เหมือนกับพยายามช่วยศัตรูหัวใจ ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดตนจึงมายืนอยู่ตรงนี้ เขาควรยืนยิ้มอยู่ในที่ของตน ในขณะที่ความรักของสองหนุ่มสาวขาดสะบั้น มากกว่ามาทำตัวเป็นกาวใจ

บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาทนเห็นนางฝืนทำเป็นเข้มแข็ง ทั้งที่ใกล้จะล้มทั้งยืนไม่ได้ มีคนกล่าวไว้ว่า ความทรมานที่เหนือไปกว่าการไม่ได้รับความรัก ก็คือการต้องทนเห็นคนที่รักเป็นทุกข์ ชายหนุ่มเคยคิดว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเกินจะเข้าใจความรู้สึกนี้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ สีหน้าของนางขณะเดินจากพี่ห้ามา ทำให้หัวใจเขาอึดอัด จนอยากรับความทุกข์ทั้งหมดเอาไว้เอง

“มีเหตุผลแล้วอย่างไรเพคะ สุดท้ายบทสรุปก็ไม่เปลี่ยน หม่อมฉันไม่ใช่คนที่ถูกเลือก”

ประโยคสุดท้ายคนอกหักจงใจพูดเพื่อเตือนตัวเอง ความรักประกอบด้วยคนสองคน เมื่อฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการแล้ว ก็ไม่ควรจะทำตัวไร้ค่าด้วยการรั้งเอาไว้

แว่นสูดลมหายใจ แล้วตะโกนในใจดังๆ ว่า ‘ฉันก็มีศักดิ์ศรี’

“แต่เจ้าควรจะทำอะไรบ้าง ไปกัน” องค์ชายหรู่เผยดึงแขนกุ้ยฮวาให้ย้อนไปทางเดิม

“จะทำอะไรเพคะ หม่อมฉันบอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องพูดอีก”

“ข้าจะพาเจ้าไปตบหน้า เจ้าคนหลายใจนั่นสักหลายๆ ที ถ้าเขายังพอมีสำนึกถูกผิดอยู่บ้าง เขาจะยืนนิ่งให้เจ้าตบจนสาแก่ใจเชียวละ”

“ไม่เพคะ!” แว่นปฏิเสธหนักแน่น

คนที่ปรารถนาดีด้วยจึงมองกลับมาอย่างตัดพ้อ

“พี่ห้าทำกับเจ้าถึงเพียงนี้ ยังมีใจปกป้องเขาอีกหรือ”

องค์ชายแปดชังความรักอันโง่งมของนาง แต่ก็ปรารถนาจะครอบครองมันเป็นอย่างยิ่ง

“องค์ชายเข้าใจผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ต้องการปกป้ององค์ชายห้า” แว่นแก้ “ตบไปก็เจ็บมือเปล่าเพคะ หม่อมฉันไม่เอามือไปฟาดกับเหล็กหรอก ถ้าจะต้องตีใช้ไม้ฟาดเลยดีกว่า”

องค์ชายแปดอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ

“ไปหาไม้กัน”

“ก็ไม่เอาอีกเหมือนกันเพคะ”

“ทำไม?”

“หม่อมฉันต้องการให้เจ้าคนทรยศนั่นรู้สึกผิด แผลตามร่างกายเดี๋ยวเดียวก็หาย แต่ความรู้สึกไม่เป็นเช่นนั้น หม่อมฉันอยากให้มันกัดกินใจเขาไปอีกนานแสนนาน”

ถ้อยคำนี้คล้ายจะอาฆาต แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยการปล่อยวาง

“แต่ถ้าพี่ห้าไม่มีความรู้สึกถูกผิดมันก็ไร้ความหมาย” องค์ชายแปดไม่วายเถียง

“หากเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งดีเพคะ หม่อมฉันจะได้ไม่ต้องเปลืองเวลาด้วยมากไปกว่านี้” คนโดนทิ้งเชิดหน้าแล้วเดินต่ออย่างสง่า

กุ้ยฮวามีมุมมองความรักที่เด็ดขาดเข้มแข็งจนองค์ชายแปดต้องทึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ยังปรารถนาจะปกป้องนางอยู่ดี

องค์ชายแปดไม่ฝืนใจพาหญิงสาวกลับไปหาอดีตคนรักอีก ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมปล่อยมือที่จับไว้ เขากำลังฉวยโอกาส ใช่...ฉวยโอกาสอย่างหน้าด้านๆ แต่ใครจะสน ตราบใดที่นางไม่ผลักไส เขาก็มีสิทธิ์อยู่ตรงนี้โดยชอบธรรม

สองหนุ่มสาวไม่รู้ตัวเลยว่าถูกมอง โดยเฉพาะแว่น ที่คงไม่มีวันรู้ ถึงเหตุการณ์ขณะที่ตนหันหลังเดินจากมา ไปชั่วชีวิต องค์ชายเหวินหรงเป็นฝ่ายผลักไสกุ้ยฮวา แต่เมื่อเห็นนางเดินลับตาไปแล้วจริงๆ เขาก็มิอาจตัดใจปล่อยไปได้ ชายหนุ่มเร่งตามมา แต่ก็ช้าเกินไป ที่ว่างข้างกายนางมีคนมาแทนที่เขาเสียแล้ว บทสนทนาของทั้งคู่ตรึงสองขาขององค์ชายห้า ให้ไม่กล้าขยับไปไหน

‘ข้าคือคนเลวที่ไม่คู่ควร สมควรถูกลงทัณฑ์ไปชั่วชีวิต’

องค์ชายแปดมาส่งกุ้ยฮวาถึงรถม้า รวมถึงช่วยเป็นหลักยึดให้หญิงสาวก้าวขึ้นโดยสะดวก ซีอิ๋งประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นองค์ชายหรู่เผย พอรถม้าเคลื่อนตัวแล้วนางจึงกระซิบถามว่าไม่พบองค์ชายห้าหรือ แว่นโบกมือเป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ เขาอยากใช้ความคิด และอยากอยู่คนเดียวให้เร็วที่สุด

ซีอิ๋งทำตามคำสั่งโดยเก็บงำความสงสัยเอาไว้เต็มหัวใจ เห็นใบหน้าผู้เป็นนายหม่นหมอง ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ก็พลอยกังวลห่วงว่าจะเกิดเรื่องร้าย

แว่นจำยอมให้ซีอิ๋งเป็นห่วงเพราะเหนื่อยจะบังคับสีหน้า เขาสงสัยเหลือเกินว่าตัวเองมาจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่เลือกผู้ชายหุ่นหมี หน้าซื่อกินไผ่ แต่สุดท้ายยังต้องนก

‘เพราะมือที่สามแข็งแกร่ง หรือเพราะไว้ใจเกินไป?’

แว่นเกลียดตัวเองที่ไม่คิดระแวดระวังเลย ฮุ่ยเสียนก็เหลือเกิน ยอมทิ้งเกียรติ ตามไปจนถึงสนามรบ เป็นเขาคงทำไม่ได้แน่ๆ พอคิดอย่างนั้นก็อดเปรียบเทียบกันไม่ได้ว่าใครรักองค์ชายห้ามากกว่ากัน สารภาพตามตรง หากแว่นเป็นฮุ่ยเสียน คงจะเชิดหน้า สะบัดบ๊อบใส่ผู้ชายที่ไม่แลไปตั้งแต่ต้น ไม่นอนเกาะคาน คอยตามตื้อคนที่ไม่มีใจให้

แว่นคิดว่ามันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีกับความรักตัวเอง แต่พอมองมุมกลับ กลายเป็นว่าเขายังรักองค์ชายห้าไม่มากพอเสียอย่างนั้น แต่ไม่ว่าจะรักน้อยรักมาก หรือฮุ่ยเสียนร้ายกาจแค่ไหน คนผิดตัวจริงก็ยังเป็นฝ่ายชาย องค์ชายห้าเลือกแล้วที่จะรับผิดชอบเพื่อนสมัยเด็ก คนที่เขาไม่เอาจะทำอะไรได้นอกจากเป็นฝ่ายไป

เป็นธรรมดาที่คนถูกทิ้งต้องเสียใจ แต่ในความเจ็บปวด ก็ยังมีความโล่งอก แว่นพยายามมองโลกในแง่ดี ว่าเรื่องร้ายเกิดตอนนี้ ดีกว่าแต่งงานอยู่ด้วยกันไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงต้องหวานอมขมกลืน ยอมให้คนรักรับเพื่อนสนิทเป็นภรรยาอีกคน ลึกๆ เขารู้ดีว่าองค์ชายห้าไม่มีวันตัดฮุ่ยเสียนขาด เลยเตรียมใจเอาไว้แล้ว ว่าอาจจะต้องเกี่ยวพันกับท่านหญิงผู้นี้ไปทั้งชีวิต

แว่นรู้สึกพลาดที่ใจกว้างเกินไป แกล้งโง่เสียจนกลายเป็นเปิดโอกาส เขาไว้เนื้อเชื่อใจองค์ชายห้าเป็นอย่างมาก เพราะเห็นถึงความรักมากมายที่เขามอบให้

‘ขอแค่เป็นกุ้ยฮวา ต่อให้ไส้ในเป็นวิญญาณปลวก เขาก็ยังรัก’

แว่นคิดอย่างนั้นจริงๆ ในตอนแรกจึงพยายามปฏิเสธความรู้สึกขององค์ชายห้า แต่แม้จะยืนยันว่าตนเปลี่ยนไปแล้ว สายตารักใคร่ขององค์ชายห้าก็ไม่มีวันเปลี่ยน พอถูกช่วยชีวิตเอาไว้หลายครั้งเข้า ได้สัมผัสความอบอุ่นกับน้ำใจ แว่นก็ถูกดึงดูด เขารู้สึกถึงความรักที่ปลอดภัย ความรักที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเปลี่ยน

‘องค์ชายห้าเกิดมาเพื่อกุ้ยฮวา และจะเป็นของนางไปทั้งชีวิต’

พอคิดเช่นนี้แว่นก็ไม่กลัวที่จะรัก เขามองข้ามข้อเสียเรื่องนิสัยที่ไม่เข้ากันไป แล้วทุ่มใจให้เพราะคิดว่านี่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แล้วเป็นอย่างไรเล่า ความแน่นอนกลับกลายเป็นความไม่แน่นอน ความรักที่ผ่านการตรึกตรองอย่างดีพังไม่เป็นท่า

แว่นเดินกลับเข้าตำหนักอย่างหดหู่ โชคดีพวกนางกำนัลไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายด้วย เพราะยังไม่หายขวัญเสียจากเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น

“องค์หญิงจะรับอาหารเย็นเลยไหมเพคะ” ซีอิ๋งถาม

“ไม่...ข้าไม่หิว อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เจ้าไปพักผ่อนเถิดซีอิ๋ง บอกทุกคนด้วยว่าห้ามรบกวนข้า”

“เพคะ” ซีอิ๋งรับคำ

หญิงสาวไม่ไปพักทันทีตามคำสั่ง แต่เรียกคนมาหา เพื่อให้เตรียมมื้อดึกเอาไว้ให้องค์หญิง

ทางด้านแว่น พอซีอิ๋งไปแล้ว เขาก็ปิดประตูขัดบานไม้ พลางสูดหายใจลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ สักพักก็เดินไปหยุดตรงหน้ากระจก แล้วเริ่มสะกดจิตตัวเอง

“ถูกเทแล้วยังไง เจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอกอิแว่น เชิดเข้าไว้ เพราะหล่อนทั้งสวยและรวยมาก อย่าได้ง้อผู้”

พูดจบก็มองจิก แล้วตะโกนช้าๆ ชัดๆ ว่า

“แกต้องไม่เป็นไร!”

แว่นสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้ง อารมณ์เขาสงบอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่กี่อึดใจมันก็พุ่งขึ้นสูง เหมือนลาวาที่ปะทุออกมากะทันหัน

“ไม่เป็นไรบ้านพ่อมันสิ!” ตุ๊ดสติแตกกรีดร้อง

ประสบการณ์สอนแว่นว่าอย่าได้ทำตัวน่าเวทนา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทนเก็บความคับข้องใจเอาไว้ มีโอกาสเมื่อไรให้ระบายออกมาให้หมด คนอกหักพุ่งไปที่เตียงแล้วระบายโทสะลงกับหมอน

“อิซากไผ่! หลอกให้รอมาตั้งห้าปี แล้วมาบอกหน้าซื่อๆ ว่าข้าเป็นแพนด้าของเจ้าไม่ได้แล้วเนี่ยนะ อิหัวหมี อิผู้ชายหน้ามึน เอาเวลาแรดของฉันคืนมาาา”

ว่าแล้วก็เข่าลอยใส่หมอน ตบตีมันอย่างคลุ้มคลั่ง

เหล่านางกำนัลพากันสะดุ้งทั้งตำหนัก แต่ไม่มีใครกล้ามาดู เพราะกลัวองค์หญิงจะกริ้ว อันที่จริงอย่าว่าแต่นางกำนัลเลย แม้แต่คนที่แอบอยู่ตรงหน้าต่างยังไม่กล้าขยับ

องค์ชายแปดยังไม่คลายห่วงจึงแอบตามมา เขารู้ว่าตอนอยู่ด้วยกันนางฝืนทำเป็นเข้มแข็ง หากนางจะมีน้ำตา ก็อยากให้ร้องกับอกตน มากกว่าจะซบหน้าลงบนหมอน สะอื้นอยู่ลำพัง

น่าเศร้าที่ความจริงกับจินตนาการขององค์ชายแปดต่างกันมาก ตุ๊ดสายสตรองไม่มีน้ำตาสักหยด แถมยังตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสวมวิญญาณคนเถื่อนดุร้าย ฝ่ายที่ตั้งใจให้ยืมอกซับน้ำตาเต็มที่เลยได้แต่จดๆ จ้องๆ ไม่กล้าแสดงตัว

แว่นออกอาวุธหมัดเข่าศอกจนเหงื่อโซมกาย เขาพักหอบหายใจ แล้วดื่มน้ำจนหมดกา จากนั้นก็เรียกหาอาหาร อิ่มแล้วก็โวยวายต่ออีกนิดหน่อย ก่อนจะสลบเหมือดคาเตียงเพราะความอ่อนล้า

ทางฝั่งคนที่เป็นห่วงอยู่ห่างๆ พอเห็นว่าเสียงบ่นเงียบหายไป แต่ไฟยังสว่างอยู่ จึงปีนหน้าต่างเข้าไปดู ผลคือพบว่าคนช้ำรักกำลังหลับสนิท

องค์ชายแปดย่องไปพิจารณาใบหน้าเนียนใกล้ๆ เปลือกตาของนางยังคงงดงาม ไม่มีร่องรอยบวมช้ำจากการร่ำไห้ แม้แต่ยามนิทราก็ไม่มีหยาดน้ำแห่งความเสียใจไหลเปรอะขอบตา ความเข้มแข็งของนางทำให้เขาเกือบเชื่อว่าจริงๆ แล้วกุ้ยฮวาไม่ได้รักองค์ชายห้า แต่ถ้าคิดอย่างนั้นก็คงเป็นการหลอกตัวเองเกินไป

“จะอ่อนแอสักนิดเลยไม่ได้หรือไร อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้ข้าได้ปลอบ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ

องค์ชายแปดดึงผ้าห่มมาคลุมให้ถึงคาง แล้วจากไปตอนใกล้รุ่ง โดยไม่ล่วงเกินใดๆ

คนอกหักส่วนใหญ่มักอยากหนีความจริง โดยเฉพาะในเช้าวันแรกที่ตื่นมาแล้วพบว่าความรักที่เคยมีแตกสลาย แว่นเองก็เป็นเช่นนั้น เขาอยากนอนทั้งวันโดยไม่รับรู้อะไร เป็นเหตุให้กว่าจะลุกออกจากเตียงมาได้ก็สายโด่ง แว่นฝืนแต่งตัวไปพลาง บอกตัวเองไปพลางว่า ต่อให้หัวใจเป็นแผลเหวอะหวะแค่ไหน ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป อย่าเอาความสุขและอนาคตดีๆ ไปแลกกับผู้ชายคนเดียว

แว่นเริ่มมีเรี่ยวแรงในการทำงาน เขายังมีภาระหน้าที่ในการสอนพวกลูกศิษย์ จะมัวมาซึมเซาหดหู่ทิ้งความรับผิดชอบไม่ได้

แม้ความรักจะมอดดับ แต่จิตวิญญาณความเป็นครูยังอยู่ครบ แว่นรีบรับประทานอาหารเช้า แล้วเปิดตำราเพื่อทบทวนเนื้อหาที่จะสอนวันนี้

แว่นคงรู้สึกดีถ้าได้ออกไปสอนจริงๆ เสียดายที่นี่เป็นวังหลวงไม่ใช่มหาวิทยาลัย มันจึงไม่มีคำว่าปรานี ยังไม่ทันออกจากตำหนัก ก็มีพระเสาวนีย์จากฮองเฮามาถึง เรียกตัวกุ้ยฮวาให้ไปเข้าเฝ้าที่ตำหนัก

“ฮองเฮาตามตัวข้าด้วยเรื่องอันใด” แว่นอดถามนางกำนัลที่ถูกส่งมาไม่ได้

“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” หญิงสาวตอบอย่างนอบน้อม ท่าทางของนางสื่อว่าไม่รู้ถึงรายละเอียดจริงๆ

กุ้ยฮวาไม่เคยได้เป็นคนโปรดของฮองเฮา แต่พระนางกลับสั่งให้คนมารับและเตรียมรถม้าให้พร้อมสรรพแสดงว่าต้องมีเรื่องด่วน

‘หรือจะเป็นเรื่องขององค์ชายห้า’

พอคิดเช่นนั้นก็เกิดไม่อยากไปขึ้นมา แว่นยังไม่พร้อมจะเจอหน้าอดีตคนรัก ไม่พร้อมแม้กระทั่งฟังชื่อเขา

“องค์หญิงจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายไหมเพคะ” นางกำนัลที่มารับว่า

นี่ไม่ใช่การถาม แต่เป็นการแนะนำว่าควรจะไปเข้าเฝ้าด้วยชุดที่เหมาะสมกว่านี้ แว่นอยากหนีเต็มแก่ แต่คงแกล้งป่วยไม่ทันเสียแล้ว จึงบอกให้นางกำนัลผู้นั้นรอสักเดี๋ยว

ครึ่งชั่วยามต่อมากุ้ยฮวาก็อยู่ในสภาพพร้อมเข้าเฝ้า ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณชั่วยามเศษก็มาถึงตำหนักของฮองเฮา พระนางทรงรออยู่แล้ว ทั้งยังยิ้มรับด้วยท่าทีเป็นมิตรกว่าที่เคย

‘ทรงเรียกมาปลอบใจเพราะรู้สึกผิดหรืออย่างไรกัน’ แว่นเดาเพราะเพิ่งถูกโอรสของฮองเฮาทิ้งมาหมาดๆ

ทว่าก็เดาพลาดไปไกล ฮองเฮาทรงเรียกมาในวันนี้เพราะอยากจะถามความเห็นเกี่ยวกับอาการป่วยของนางในผู้หนึ่ง

“ข้าอยากให้เจ้าอ่านบันทึกการรักษาเหล่านี้ดู แล้วแสดงความเห็น” ทรงผายมือไปที่โต๊ะซึ่งมีกระดาษวางอยู่ปึกใหญ่

แว่นนั่งลงแล้วเริ่มอ่านข้อมูลเหล่านั้น จึงพบว่าผู้ป่วยเป็นสตรีวัยยี่สิบสี่ นางได้รับยาเกินขนาดทำให้ตาบอด แม้จะพยายามถอนพิษและรักษาทุกวิถีทางแล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้การมองเห็นกลับมาได้ ดูจากบันทึกการรักษาและรายงานที่ทำขึ้นมาอย่างเป็นระบบระเบียบ บ่งบอกว่าหมอที่รักษานางเป็นคนมีความสามารถสูง

แว่นอ่านจบแล้วไม่ติดใจในความสามารถของหมอ เพราะเขาได้พยายามเต็มที่แล้ว ที่สงสัยของประวัติของคนไข้ ดูจากยาหลายขนานที่นางรับเข้าไปในตอนแรก ชวนให้สงสัยว่านางป่วยเป็นอะไรกันแน่ จึงต้องกินยาหลากหลายปานนั้น

‘รึจะใช้ตัวเองเป็นตัวทดลอง’

หนนี้แว่นเดาได้ถูกต้องทีเดียว บางครั้งคนปรุงยาก็ต้องหาตัวทดลองเพื่อให้ได้ปริมาณยาที่เหมาะสมในการรักษา ตอนกุ้ยฮวาป่วย หลิ่งปินเองก็เคยใช้ตัวเองทดลองมาแล้ว

“เจ้าเห็นว่าอย่างไร หากเป็นเจ้าจะรักษาได้ไหม” ฮองเฮาตรัสถามเมื่อเห็นว่าอ่านจบแล้ว

“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันด้อยสามารถ คงไม่สามารถทำได้”

ความสามารถของแว่นในตอนนี้ ยังเทียบชั้นกับหมอผู้เขียนบันทึกการรักษานี้ไม่ได้เลย

“เช่นนั้นรึ” ฮองเฮาไม่แสดงท่าทีผิดหวัง เพราะพระนางมิได้คาดหวังแต่แรกแล้ว “เจ้าว่านางน่าสงสารหรือไม่”

“เพคะ”

แว่นจะตอบอะไรได้นอกจากรับคำ หากบอกว่าไม่คงจะเป็นการใจร้ายกับคนป่วยเกินไป เป็นเขาคงแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่หากต้องสูญเสียการมองเห็นไป

“หากคิดเช่นนั้น ก็อย่าได้ทำให้นางน่าสงสารไปกว่านี้”

“ทรงหมายความว่า...” แว่นตัวชาเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวได้

“เจ้าเป็นคนฉลาด ไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายกระมัง”

ฮองเฮาให้กุ้ยฮวากลับไปโดยไม่เฉลย แต่พระนางก็ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ให้อยู่แล้วในตอนขากลับ มันเป็นคำตอบที่แสนโหดร้ายและบาดตาบาดใจเหลือเกิน

ขณะที่แว่นกำลังลงจากตำหนัก หนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินสวนขึ้นมา ฝ่ายชายประคองฝ่ายหญิงให้ก้าวเดินด้วยความระมัดระวัง เพราะดวงตาของนางนั้นมีผ้าผูกเอาไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางคือหญิงสาวในบันทึกการรักษา ทั้งยังเป็นคนรู้จักของกุ้ยฮวาด้วย

ท่านหญิงฮุ่ยเสียนซึ่งบัดนี้กลายเป็นคนพิการ ดูซูบผอมไปมาก แต่ถึงดวงตาจะมองไม่เห็น ใบหน้าของนางกลับมีรอยยิ้มแห่งความสุขแต่งแต้ม

แว่นได้เข้าใจในตอนนี้เอง ว่าเหตุใดองค์ชายห้าจึงไม่อาจทอดทิ้งฮุ่ยเสียนได้

‘ท่านทำถูกแล้ว’

แว่นได้แต่คิดอย่างขมขื่น แล้วเดินสวนไปราวกับคนไม่รู้จัก รักลึกซึ้งแต่วาสนาตื้นเขิน มันเป็นเช่นนี้เอง

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

การณ์ฉุกเฉิน!!! อสูรกายแห่งท้องทะเลลึกอาละวาด
แดร๊กเรือแพนด้าเข้าไปทั้งลำ แม่ยกตายเกลื่อน
เรือกู้ภัยและเรือที่อยู่ในพื้นที่กรุณามาช่วยเหลือด่วน
หน่วยแพทย์เตรียมตัวรับผู้บาดเจ็บ
เรือน้องแปดเตรียมรับผู้อพยพ
ใครที่ยังหายใจรวยริน ต้องสู้ต้องรอดนะจ๊ะคนดี ^3

เอามาลงให้อ่านล่วงหน้าค่ะ พอดีจะไปต่างจังหวัด
อีกอย่างใกล้สงกรานต์แล้ว แผลจะได้หายทัน สาดน้ำแล้วไม่แสบ
สวัสดีปีใหม่ไทยล่วงหน้า โน้มน้าวรักคนอ่านจ๊ะจุ๊บๆ





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 เม.ย. 2560, 14:54:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2560, 13:37:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1100





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๗ ประโยคเดียว   
ใบบัวน่ารัก 5 เม.ย. 2560, 18:36:37 น.
เสียใจมาก
พอๆกะที่นั่กะบะหลัง กลับบ้านไม่ได้
นั่นกะบะแค๊บไม่ได้. เค้าเสียใจมากๆๆเลย


อัศวินนภา 5 เม.ย. 2560, 19:43:36 น.
ใจร้ายกันจังเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account