สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"

หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย

ตอน: บทที่ ๑๐

การันต์รับหน้าที่เป็นสารถีต่อจากเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าซึ่งขับรถออกมาจากที่ทำการเขตฯ เพื่อตระเวนรับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าคนอื่นๆ ที่ออกเดินลาดตระเวนชุดเดียวกันกับเขาเมื่อห้าวันก่อน ตามเส้นทางซึ่งรถยนต์สามารถเข้าถึงได้ ไม่ถึงสามสิบนาทีรถก็วิ่งตรงมายังหมู่บ้านซึ่งเป็นชายขอบป่า ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่เดียวก่อนจะตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง

“จอดทำไมหรือครับผู้ช่วยฯ ”

“ผมมีธุระต้องทำหน่อย... กลับเข้าเขตได้เลยนะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน” ไม่รอให้ซักต่อ ร่างสูงผิวเข้มก็กระโดดลงจากฝั่งคนขับ คว้ากระเป๋าเดินป่าที่นอนแอ้งแม้งอยู่กระบะท้ายขึ้นสะพายกับบ่าทั้งสองข้าง เดินเท้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของบ้านที่ตั้งอยู่หลังสุดท้ายก่อนจะถึงรั้วเขตป่าอนุรักษ์

จากรั้วหน้าบ้านที่เป็นเพียงการเอาไม้ไผ่สามลำมาพาดขวางเอาไว้กับยางรถมอเตอร์ไซค์ที่ตอกติดกับต้นเสาที่ถึงแม้จะเก่าแต่ก็ดูแข็งแรง... เขามองเห็นบ้านสองชั้นใต้ถุนสูงอยู่ไม่ไกลนัก และดูท่ากลิ่นของเขาจะโชยไปไกล จึงทำให้เจ้าหมาพันธุ์ไทยขนเกรียนวิ่งโร่เข้ามาหาพร้อมเห่าเรียกให้ลูกสาวเจ้าของบ้านเดินตามหลังออกมาด้วย

“ผู้ช่วยฯกานต์?”

“ขอเข้าบ้านหน่อย”

“พ่อไม่อยู่ค่ะ”

“อ้าว นี่ผมขอเข้าไปในบ้านอยู่นะ ไม่ได้ถามถึงพรานจอม” เอื้องมณีดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด มองหน้ามองหลัง ละล้าละลัง “มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

“หิวข้าว ขอเข้าไปกินข้าวหน่อย”

“อะไรนะคะ?”

“เปิดเถอะ ผมไม่อยากพังรั้ว ขี้เกียจไปตัดไผ่มาทำรั้วใช้คืนให้”

“ไม่ได้หรอกค่ะ พ่อไม่อนุญาต”

“เฮ้อออ ถือว่าผมขอแล้วนะ” ถอนหายใจเสียงดังหนักหน่วง แล้วเดินไปเลื่อนรั้วไผ่ทั้งสามลำออกพอเป็นช่องให้เขาผ่านเข้าไปได้ แถมยังมารยาทดีปิดรั้วประตูบ้านให้อีกต่างหาก เมื่อเข้ามาได้ เขาก็ยิ้มแฉ่งให้เอื้องมณีซึ่งตอนนี้หน้าซีดเหมือนไก่ต้ม “มีอะไรให้กินบ้างอะ ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย นี่ก็จะสี่โมงเย็นแล้ว”

“แล้วทำไมไม่กินละคะ”

“ก็... ออกมาจากที่ตั้งแคมป์เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำกับข้าวกัน กะว่าจะมาถึงสักเที่ยงๆ แล้วมาหาอะไรกินในหมู่บ้าน เลยกินแต่ข้าวเช้าไม่ได้ห่อข้าวมาเผื่อตอนเที่ยง แต่ก็เดินดูนั่นดูนี่กัน จนถึงตอนนี้นี่แหละ... เป็นป่าไม้นี่มันเหนื่อยนะ ไหนจะเดินตรวจป่า ไล่จับคนร้าย พอเข้าหาชุมชน ก็โดนลูกสาวชาวบ้านเมินอีก”

‘ลูกสาวชาวบ้าน’ มองหน้าขวับ ไม่ใช่จะจับผิด... แต่ดูตกใจมากกว่า “ชื่อเอื้องมณีใช่ไหม”

“ค่ะ”

“เอื้องมณีอายุเท่าไร”

“ยี่สิบค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมแทนตัวเองว่าพี่กับเอื้องแล้วกัน จะได้สนิทกันเร็วๆ” เอื้องมณีไม่ตอบ แล้วการันต์จะหน้าด้านถือเอาว่าหล่อนยอมรับข้อตกลงนั้นแล้วก็แล้วกัน “เอื้องเป็นคนไทยใช่ไหม”

“ค่ะ”

ประชากรรอบเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉลองรัฐมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มาก ไม่ใช่ว่าเขาเหยียดชาติพันธุ์อะไรทำนองนั้น เพียงแต่ถ้าเป็นชาติพันธุ์อื่นๆที่ไม่ใช่พี่น้องชาวไทย เขาจะได้ระวังคำพูด กิริยา การกระทำให้มากกว่านี้ ผ่อนคลายให้น้อยลง เป็นทางการให้มากขึ้น และล้มเลิก ‘แผน’ เสีย...

ไม่ใช่ว่าไม่ให้เกียรติคนไทย... อย่างไรถ้ามีอะไรพลาดพลั้งไปก็ยังพอเจรจากันได้ แต่ถ้าเป็นสาวชาติพันธุ์อื่น ขืนเขาทำตามแผน... มีหวังถูกจับผูกข้อมือแต่งงานแน่นอน ซึ่งชายหนุ่มยังไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง

“ผู้ช่วยฯ ถามทำไมหรือคะ”

“เรียกพี่สิ เรียกผู้ช่วยฯ ทำไม”

“ไม่สนิทกันจะให้เรียกพี่ได้ยังไงคะ”

“แต่พี่อยากสนิทกับเอื้อง”

สีหน้าเอื้องมณีดูมีความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด “บ้านใกล้ป่าแค่นี้ จะได้ฝากดูแลป่าให้ได้ แถมฝากท้องไว้ได้ด้วย”

เจ้าหล่อนถอนหายใจ คล้ายกำลังใช้ความพยายามในการข่มใจอย่างหนัก “นั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไปหากับข้าวมาให้ทาน”

สาวร่างเล็กหายขึ้นไปบนบ้านนานโข แล้วกลับลงมาพร้อมสำรับกับข้าวเท่าที่พอจะหาได้ แต่ทว่ากลับต้องร้องเสียงหลงเมื่อมองเห็นชายหนุ่มเริ่มรื้อข้าวของในกระเป๋าของตนแล้วเริ่มผูกเชือกเปลสนามโยงเข้ากับเสาบ้านไม่ห่างจากเตียงที่แม่ใช้นั่งทอผ้านัก

“นั่นผู้ช่วยฯ จะทำอะไรคะ!?”

“ผูกเปลนอนไง”

“จะบ้าหรือเปล่าคะ เดี๋ยวพ่อก็ยิงเอาหรอก”

“พรานจอมไม่ยิงพี่หรอก”

“ครับ... ผมไม่ยิง แต่ถ้าเผาไล่ที่ก็ไม่แน่” แทนที่จะกลัว... การันต์กลับยิ้มกว้าง หันกลับไปหาเจ้าบ้านซึ่งมีปืนลูกซองยาวพาดอยู่บนบ่า ดูท่าจะเพิ่งกลับเข้ามาในบ้านกับภรรยาซึ่งเพิ่งเดินตามมาถึงทีหลัง

ชายหนุ่มยกมือไหว้ ไม่แน่ใจว่าเป็นการทักทาย หรือการยั่วโทสะอีกฝ่ายกันแน่ “อย่าถึงเผาไล่ที่กันเลยครับ... แค่มาขออาศัยนอนบ้านแค่ไม่กี่คืนเอง”

“นี่กะจะนอนหลายคืนเลยรึ!?”

“ก็... ถ้าพรานยังไม่เลิกเข้าป่าล่าสัตว์ ผมก็จะนอนเฝ้าเสาบ้านอยู่แบบนี้ละครับ”

นี่ละ ‘แผน’ ของเขา... สุ่มเสี่ยงต่อการถูกกระทืบหน่อย แต่อาจจะได้ผล...

...ก็แค่ ‘อาจจะ’

“เฝ้าลูกสาวให้ด้วยก็ได้นะครับ รับรองไม่มีใครกล้ามาแหยม”

“ลูกผม ผมดูแลได้ครับ”

“ก็เพราะพรานมีลูกสาวคนเดียวไงครับ... แถมเอื้องเป็นคน แต่ลูกของผมคือกวาง กระทิง ชะนีมือขาว นิ่ม เสือ พวกเขาเป็นสัตว์ ดูแลตัวเองไม่ได้ และมีกันหลายตัว ผมคงตามเฝ้าดูแลพวกเขาไม่ไหว แต่ถ้าพรานเพียงคนเดียวเลิกรังแกลูกผม งานของผมก็คงเบาลงมาก”

พรานจอมหน้าถอดสี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดอย่างรวดเร็ว “ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้น อย่ามากล่าวหากันชุ่ยๆ”

“เคยไม่เคย... ต่อไปนี้ก็จะได้รู้แล้วครับ เพราะผมจะเฝ้าพรานไม่ให้คลาดสายตาแน่นอน”

“เสียเวลาเปล่า!”

“ผมเต็มใจครับ” บอกพร้อมยิ้มกว้าง ผูกเปลเรียบร้อยแล้วก็หันกลับไปหาสำหรับที่ตั้งอยู่บนแคร่ ขณะที่ลูกและบุตรสาวของพรานจอมได้แต่ลอบมองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อดี

ท้ายที่สุดพรานจอมก็ยอมแพ้ เดินปึงปังขึ้นบ้านไป ตามไปด้วยผู้เป็นเมีย ทิ้งให้การันต์อยู่กับเอื้องมณีตามลำพัง

“ผู้ช่วยฯ กลับไปเถอะนะคะ เอื้องจะช่วยพูดกับพ่อให้อีกแรง”

ในที่สุดหล่อนก็ยอมรับว่าพ่อหล่อนทำผิดกฎหมายอยู่... แต่ก็นั่นล่ะเขายังไม่อยากกระโตกกระตาก จึงรีบนั่งลงขัดสมาธิเข้าหาสำรับข้าว แต่แล้วก็เหมือนเพิ่งนึกได้

“เออ... ขออาบน้ำก่อนได้ไหม เลอะมาทั้งวันแล้ว”

“คะ?”

“ห้องน้ำอยู่ตรงไหน” อารามยังกึ่งงงกึ่งตกใจทำอะไรไม่ถูก เอื้องมณีชี้นิ้วออกไปข้างบ้านยังทิศทางที่ห้องน้ำตั้งอยู่ กว่าจะตั้งสติได้ ชายหนุ่มก็คว้าเอาเสื้อผ้า ผ้าขาวม้า เดินลิ่วๆ หายลับเข้าไปในหลังป่ากล้วยเรียบร้อยแล้ว





เอื้องมณีไม่เคยเห็นพ่อเครียดขนาดนี้มาก่อน... นับตั้งแต่ถูกจับครั้งที่แล้ว พ่อก็ระวังตัวมากขึ้น พยายามไม่รับใบสั่งที่เป็นสัตว์ใหญ่มาก แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะเลิกกันง่ายๆ เมื่อครั้งหนึ่งขึ้นหลังเสือแล้ว... มันก็ยากที่จะก้าวลงมาเดินบนดินด้วยตัวเองเหมือนเดิม

“เอายังไงต่อดีจ๊ะพี่” สาถามพรานจอมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่กังวลไม่แพ้กัน

“คืนนี้ล็อคบ้านล็อคหน้าต่างให้ดี แม่สากับเอื้องก็เข้าไปนอนรวมกันในห้องนอนใหญ่ ฉันจะนั่งเฝ้ายามหน้าห้องให้ ถ้ามันกล้าขึ้นมาทำอะไรจริงๆ ฉันจะยิงมันเอง”

“อย่าให้ถึงต้องฆ่าต้องแกงกันเลยนะจ๊ะพี่”

“แม่สาดูมันทำสิ เล่นหอบข้าวหอบของมานอนเฝ้าหัวกระไดบ้าน จะไม่ให้ฉันโกรธไหวหรือ ท่าทางมันก็กะล่อนออกจะปานนั้น ฉันไม่ไว้ใจหรอก”

“พี่ก็เลิกเสียเถิดจ้ะ เข้าป่าล่าสัตว์ เขาจะได้เลิกตามพี่อย่างไรละจ๊ะ”

“มันเลิกได้ง่ายๆ เสียที่ไหนเล่าแม่สา”

“แต่มันก็เลิกได้ไม่ใช่เหรอจ๊ะ” เอื้องมณีเอ่ยขึ้นมาบ้าง

พรานจอมถอนหายใจ ลุกขึ้น พาดผ้าขาวม้าไว้บนไหล่ “เราเลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ ลำพังป่าไม้ที่นอนอยู่ใต้ถุนบ้านพ่อก็ปวดกบาลจะแย่อยู่แล้ว นี่ลูกเมียยังจะมาช่วยป่าไม้มันทำงานอีกรึ!”

นั่นจึงทำให้สากับเอื้องมณีจำใจต้องนั่งเงียบอย่างไม่สามารถปริปากเอ่ยอะไรได้อีก





ภายในห้องใต้ดินที่อนุญาตให้เฉพาะผู้เกี่ยวข้องเข้ามาเท่านั้น มีโต๊ะรูปตัวยูทำจากไม้พะยูงที่ถูกลักลอบตัดมาอย่างผิดกฎหมาย หัวโต๊ะเป็นชายวัยกลางคนผิวสีดำแดงร่างสูงใหญ่บึกบึนหนวดเหนือริมฝีปากถูกตัดแต่งให้ได้รูปสวยงาม นอกจากนั้นแล้วยังมีลูกน้องคนสนิทอีกห้าคน รวมถึงชายที่เพิ่งได้รับการติดต่ออีกหนึ่งคนที่ดูเหมือนจะเพิ่งมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาในห้องประชุมลับนี้เป็นครั้งแรก ทุกอย่างจึงดูแปลกหูแปลกตาไปหมด

“เอ็งพาพวกข้าเข้าไปหมู่บ้านลังกาได้แน่หรือ” ชายผู้นั่งหัวโต๊ะซึ่งมีอำนาจสูงที่สุดเอ่ยถาม

“ได้ครับ ผมรู้มาว่าผู้ช่วยฯ น้ำจะพานักข่าวเข้าไปทำข่าวข้างใน จะออกเดินทางพรุ่งนี้”

“เอ็งจะรู้ได้ยังไงว่ามันไปเส้นทางไหน”

“หมู่บ้านลังกาเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในหุบครับ กลางเขตรักษาพันธุ์ฯ เลยเข้าออกได้สองทาง คือทางเดินเท้าและทางเรือ แต่ถ้าเข้าไปต้องทวนแม่น้ำ เลยนิยมจะเดินเข้าไปมากกว่า ผมเคยหลงเข้าไปเฉียดหมู่บ้านทีนึง จำทางได้แม่นจนถึงตอนนี้เลยครับ... อีกอย่าง ผมมีพิกัดจีพีเอสบอกเส้นทางครับ”

“อืม... ดี”

“ว่าแต่... ผมขออย่างหนึ่งได้ไหมครับ”

“จะเอาอะไรว่ามา เอาเงินก่อนครึ่งหนึ่งรึ?”

“อย่าเอาถึงชีวิตกันเลยนะครับ... ผมไม่อยากติดร่างแหไปด้วย”

“ปั่ดโถ นึกว่าเรื่องอะไร” ชายผู้นั่งหัวโต๊ะหัวเราะเสียงดังกังวาล “มันอยากมามีปัญกากับข้านัก ก็ตายหมกป่ากันไปทั้งหมดนั่นแหละ ใครจะจับมือดมได้ ที่นี่ไม่มีใครกล้ายุ่งกับข้าหรอกโว้ย...”

ผู้มาใหม่นิ่งเงียบ มือประสานกันไว้ใต้โต๊ะบีบแน่นด้วยความกลัว... แต่เมื่อขึ้นหลังเสือแล้วก็ยากจะลง เขาจำเป็นต้องทำ... เขาจำเป็นต้องใช้เงิน แม้มันจะเป็นเงินเปื้อนเลือดก็ตาม ใครจะถามหาที่มาของเงินหากมันมีจำนวนสูงถึงหกหลัก!









ตีห้าครึ่งเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นไล่ความมืดตามขอบฟ้า เอื้องมณีก็ย่องลงมาจากบ้าน หวังว่าเขาจะเก็บของกลับไปแล้ว แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อยังเห็นเปลสนามแขวนขวางเรือนอยู่เหมือนเดิม แถมยังได้ยินเสียงกรนดังออกมาจากเปลแผ่วๆ อีกต่างหาก หญิงสาวตากลม ถอนหายใจ สวมรองเท้าแตะ เดินอ้อมมาหยิบตะกร้าสานจากหวายเพื่อเข้าสวนเก็บผักทำอาหารเช้า
ครั้นเดินกลับออกมาจากสวนพร้อมผักเต็มตะกร้า ก็มองเห็นการันต์นั่งหย่อนขาทำหน้าสะลืมสะลืออยู่บนเปล

“รีบเก็บข้าวเก็บของสิคะ เดี๋ยวพ่อลงมาเห็นก็ทะเลาะกันอีก” บอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เก็บทำไม ก็จะนอนอยู่นี่อีกตั้งหลายคืน”

หญิงสาวถอนหายใจ หันไปหาป่าไม้หนุ่ม เอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “ทำแบบนี้มันไม่ได้ผลหรอกค่ะ เพราะพ่อไม่ได้ทำอะไรผิด เสียเวลาเปล่า”

“ก็ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วทำไมพี่จะนอนที่นี่ไม่ได้ ไปบ้านอื่นเขาก็ต้อนรับหาข้าวหาปลาให้กินเป็นปกติดี ทำไมบ้านนี้ต้องไล่พี่ด้วยถ้าไม่มีอะไรปกปิด”

พูดไปก็มีแต่จะเข้าตัว เอื้องมณีจึงเงียบเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาเด็ดผัก เตรียมทำอาหารเย็น “เอื้องมณีมาจากชื่อกล้วยไม้ป่าใช่ไหม ดอกเอื้องมณี”

“ใช่ค่ะ”

“สวย... หอม หมายถึงดอกไม้นะ” เจ้าหล่อนมองค้อน แยกผักที่ไม่ใช้ออกมากองไว้ต่างหาก

“มีอะไรกินบ้าง”

“ผัดยอดฟักแม้ว น้ำพริก ปลาแห้งทอด ของบ้านๆ น่ะค่ะ หากินง่ายๆ”

“หากินง่ายแต่บางทีมีเงินก็ซื้อไม่ได้นะ โดยเฉพาะเวลากลับเข้าเมือง พวกยอดฟักแม้ว ผักกูด หากินลำบากสุดๆ แพงอีกต่างหาก เย็นนี้เราไปเก็บผักกูดมาทำกับข้าวกันมั้ย” เมื่อเอื้องมณีไม่ตอบ เขาจึงทึกทักเข้าข้างตัวเองว่าหล่อนตกลง หนำซ้ำยังช่วยเก็บกวาดเศษผักไปทิ้งให้อีกต่างหาก

วันนี้เป็นวันพักผ่อนของการันต์ เขาตั้งใจว่าจะเดินดูรอบๆ บ้านพรานจอม เผื่อจะพบเจอเบาะแสอะไรบ้าง แต่แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนบ้านไม้ใต้ถุนสูงหลังนี้ ดังนั้นจึงเป็นดงกล้วย และสวนหลังบ้านที่เขาพอจะเดินดูได้

แล้วเขาก็ได้เห็นเอื้องมณีกำลังถือมีดพร้าเดินเข้าไปในดงไผ่ ยืนจดๆ จ้องๆ อยู่นานก่อนจะเงื้อมือขึ้นฟันลำไผ่ที่ครั้งแรกเป็นเพียงรอยบากขีดเล็กๆ เท่านั้น

“มานี่มา พี่ช่วย” ท้ายที่สุด เขาทนไม่ไหว ต้องเผยตัวเดินเข้าหา

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำได้”

“อย่าอวดเก่งนักเลย แรงมีอยู่เท่ามด ริอ่านจะล้มไม้สักได้ยังไง ไผ่เหนียวออกขนาดนี้ เอามีดมานี่” คราวนี้เอื้องมณียอมแพ้ ส่งมีดให้เขา แล้วถอยออกไปยืนให้ห่างวีถีมีดพร้า ซึ่งการันต์ออกแรงฟันไม่นานไผ่ก็ขาดออกจากกัน เขาได้ที รีบบรรยายความรู้ให้หล่อน “เวลาตัดไผ่ให้เลือกตัดลำข้างในก่อน เพราะเวลาไผ่มันแตกกอมันแตกจากข้างนอก จะได้มีเวลาให้หน่อไม้มันโตเป็นไผ่บ้าง”

“รู้แล้วค่ะ พ่อบอกมา”

“แล้วพ่อเคยบอกหรือเปล่าว่าการโกหกกับการฆ่าสัตว์มันเป็นบาป” เขาตั้งใจถาม และไม่แปลกใจนักเมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาเขา ดังนั้น ชายหนุ่มจึงยอมแพ้ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย “เอื้องจะเอาไผ่ไปทำอะไรเหรอ”

“ทำตอกค่ะ พ่อกับแม่จะเอาไปสานตะกร้า กระบุง อะไรพวกนี้อะค่ะ แล้วเอาไปขาย”

“ดีนะ มีรายได้หลายทางดี สอนพี่บ้างสิ”

“อย่าเลยค่ะ มือจะด้านเอาเปล่าๆ”

“แค่นี้ก็ด้านพออยู่แล้ว ทั้งมือทั้งหน้า ลองจับดูก็ได้นะ ด้านอีกนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก” เอื้องมณีกลั้นยิ้ม ซึ่งการันต์แอบเห็น พร้อมกันนั้นก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าอย่างน้อยยิ้มนี้คงเป็นสัญญาณที่ดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสาวน้อยผู้นี้คงมีแนวโน้มที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย




อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2560, 22:04:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2560, 22:04:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1273





<< บทที่ ๙   บทที่ ๑๑ >>
แว่นใส 3 พ.ค. 2560, 06:26:20 น.
แน่ใจว่าตามงาน ไม่ใช่จีบสาว


ใบบัวน่ารัก 3 พ.ค. 2560, 06:28:15 น.
ผิดผี ต้องจับแต่งงานน้า ผู้ช่วย


goldensun 3 พ.ค. 2560, 18:34:02 น.
อิทธิพลเถื่อนนี่ น่ากลัวจริงๆ เห็นชีวิตคนอื่นไม่มีค่าเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account