ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 2 : ขุดคุ้ย

"...คนเรามักจะรู้เรื่องคนอื่นดีกว่าเรื่องของตัวเองเสมอ และเมื่อใดที่ใครสักคนพยายามจะผิดแผกไปจากกฎเกณฑ์ที่ว่านี้ โดยการหวงแหนความทรงจำบางประการไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เขาคนนั้นจะกลายเป็นอาชญากร ในขณะที่ผู้ผดุงไว้ซึ่งการขุดคุ้ยจะกลายเป็นผู้พิทักษ์..."



“ถ้าเจออีกทีนะ แม่จะฟาดให้หัวแบะเลย!”



สิ้นเสียงขู่อาฆาตลอดไรฟันของหญิงสาว ฟรานก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึกเพื่อดับความร้อนระอุที่พุ่งขึ้นมาเผาผลาญไปทั่วทั้งลำคอ ทว่าทันใดนั้นเอง สายตาคมจากเจ้าของน้ำเสียงเฉียบเมื่อครู่ก็หันขวับเข้าจู่โจมเข้าทันที ทำเอาร่างสูงทั้งร่างสะดุ้งโหยงจนสุดตัว



“อะ...อะ...อะไร” ฟรานถามเสียงตะกุกตะกักอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางหลบเลี่ยงสายตาอันแข็งกร้าวของอีกฝ่าย



“คุณนั่นแหละอะไร” เพียงน้ำพลอยถามกลับเสียงเย็น



“ปะ เปล่า!” / “เปล่า!” เสียงทุ้มสองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน ทำเอาเพียงน้ำพลอยกับคุณแม่หมาดๆ บนเตียงอดสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจไม่ได้



“เปล่าอะไรกับเขาด้วยคุณน่ะ” ดวงตาคมกริบดุจดาบทะลวงฟันของหญิงสาวร่างเล็กบนเตียงโพล่งขึ้นทันที เมื่อได้ยินว่าสามีมากเล่ห์ของตัวเองก็ร้อนพิรุธไปกับเขาด้วย ทั้งที่ไม่มีใครเอ่ยถามตัวเลยแท้ๆ



“เปล่าจ้ะ เปล่า” หยางหลงตอบพลางยิ้มแหยๆ ให้ภรรยา ก่อนจะเอาใบหน้าติดยิ้มแห้งกรังนั้นหันมามองเพื่อนสนิทข้างกาย



“กะ...ก็อยู่ๆ ก็หันมามองอย่างกับจะเขมือบกันเข้าไปผมก็ตกใจสิ มีคนอย่างคุณมาพิสวาส ใครบ้างไม่ตกใจ” เมื่อรู้ว่าช่วงเวลาเอาตัวรอดของตัวเองมาถึง ฟรานจึงแสร้งโพล่งขึ้นอย่างสุดเสียงพร้อมกับทำหน้าตาหวาดตัวหญิงสาวตรงหน้าสุดฤทธิ์



“ใครพิสวาสคุณไม่ทราบ!” เพียงน้ำพลอยโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน



“ไม่พิสวาสแล้วจะมองทำไม” ใบหน้าหล่อเหลาแต่เคลือบฉาบไปด้วยความกวนโทสะยื่นหน้าไปเถียงอย่างไม่ยอมแพ้



“ก็คุณ...!!!!”



“เอาล่ะๆๆๆ วันนี้วันเกิดลูกชายฉัน กรุณาเลื่อนไปฆ่ากันวันอื่นเถอะนะคะ” เมื่อเห็นท่าไม่ดี น้ำผึ้งพระจันทร์จึงรีบทำการกู้ระเบิดกลางห้องทันที เกิดเพื่อนทั้งสองคนยั้งใจไม่อยู่ฆ่ากันตายขึ้นมา วันเกิดลูกชายคนแรกของเธอคงไม่พ้นได้กลายป็นวันอัปมงคลแน่



“ชิ!” เพียงน้ำพลอยกัดฟันกลืนเสียงสบถลงคอไปด้วยเจ็บใจ ขณะที่อีกใจก็อดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ ว่าทำไมเธอจะต้องมาทะเลาะกับคนพรรค์นี้เป็นเด็กๆ ด้วย ชนะเขาแล้วยังไง...แพ้เขาแล้วยังไง... เธอกลายเป็นคนเลือดร้อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน คนกวนประสาทคนนั้นก็ไม่เห็นจะทุกข์ร้อนอะไรด้วยสักนิด ซ้ำยังออกจะดูมีความสุขเกินพอดีเสียด้วยซ้ำ



ติ๊ดด ติ๊ดด



เสียงข้อความโทรศัพท์ที่ดังขึ้นสั้นๆ สองครั้งติดกันเรียกให้หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกจนเกือบเต็มปอดเพื่อระงับอารมณ์ จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เครื่องบางในกระเป๋าถือออกมา ก่อนจะไล่สายตาอ่านข้อความที่ถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงชั่วอึดใจ แววโทสะในนัยน์ตาสีดำขลับราวไข่มุกดำเมื่อครู่ก็กลายเป็นความกระอักกระอ่วนใจที่คนรอบข้างอ่านออกได้โดยง่าย แต่เจ้าตัวกลับทำท่าราวกับว่าไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี



“อะไร” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยถามขึ้นอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ เมื่อเห็นว่าแววตาที่เคยนิ่งสงบของคนใจเย็นแปรเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด



“คือ...ฉันยังไม่ได้บอกแก” เพียงน้ำพลอยตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ตนกำลังจะเอ่ยออกไปนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับอีกฝ่ายแค่ไหน



“...” ดวงตาสีม่วงเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เพราะสัญชาตญาณบางอย่างเริ่มเตือนให้เธอรู้สึกถึงภัยบางอย่างที่กำลังคืบคลานมาในไม่ช้า



“มีรายการทีวีมาขอสัมภาษณ์เราสามคนน่ะ” เพียงน้ำพลอยตอบเสียงเบาจนแทบจะคล้ายเสียงพึมพำ ขณะดวงตาดำขลับก็ยังเอาแต่หลุบมองพื้นเบื้องล่าง ไม่ต่างจากเด็กที่รู้ว่าตนกำลังจะถูกครูประจำชั้นลงโทษ



เพื่อนเธอคนนี้หวงแหนชีวิตส่วนตัวชนิดผิดมนุษย์มนา ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมีวาสนาได้เขียนบทสัมภาษณ์จากปากจริงๆ สักครั้ง ซ้ำครั้งนี้ยังเป็นสัมภาษณ์สดทางโทรทัศน์อีกต่างหาก แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นรายการบ้าบอนั่นหรือตัวเธอเองกันแน่ที่ขวัญกล้าเอาเรื่องนี้มาขอร้องยัยแม่มดน้ำผึ้งพิษ



“เหอะ!” น้ำผึ้งพระจันทร์แค่นเสียงขึ้นอย่างฉุนเฉียว



“ฉันก็คิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร จะได้โปรโมทร้านด้วย ก็เลย...” เพียงน้ำพลอยโน้มน้าวเสียงอ่อน ได้แต่หวังว่าคราวนี้เพื่อนรักจะยอมเห็นแก่หน้าเธอสักครั้ง ทว่ายังไม่ทันที่ถ้อยคำอ้อนวอนจะหลุดออกมาได้หมด น้ำเสียงเย็นยะเยือกจากยัยแม่มดก็ดังตัดบทขึ้นมาเสียก่อน



“ที่ผ่านมาเราไม่ได้โปรโมทร้านแบบนั้นก็ยังขายได้ แล้วตอนนี้จะต้องไปนั่งเล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้คนอื่นฟังทำไม ที่สำคัญ คนพวกนั้นน่ะอยากรู้เรื่องที่เราอยากบอกเสียเมื่อไหร่”



“ฉันรู้...แต่คราวนี้พี่เพชรเขาขอมา ไอ้ครั้นจะปฏิเสธเขาก็ตกลงคอนเฟิร์มอะไรกันเรียบร้อยไปหมดแล้ว”



“โดยที่ไม่บอกกันก่อนสักคำเนี่ยนะ!” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามกลับเสียงดังลั่น เพราะยังไม่อยากจะเชื่อว่าคนคุ้นเคยจะทำกันได้ลงคอ ถึงแม้จะพอรู้อยู่บ้างว่า ‘ดุจน้ำเพชร’ พี่สาวของเพียงน้ำพลอยออกจะชอบเอาเปรียบน้องสาวอยู่บ้าง แต่ใครจะคิดว่าคราวนี้ตัวเธอเองจะต้องตกกระไดพลอยโจนไปด้วย



“อืม” เพียงน้ำพลอยยอมเปิดเผยความจริงเบื้องหลังออกมาอย่างเสียไม่ได้ ความจริงแล้วเธอเองก็แสนจะเบื่อหน่ายกับการไปนั่งตอบคำถามต่างๆ ที่หาสาระประโยชน์ไม่ได้ของคนพวกนั้นไม่ต่างกับน้ำผึ้งพระจันทร์นักหรอก แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อพี่สาวของเธอรับปากเจ้าของรายการแทนเธอไปแล้ว ประชาสัมพันธ์อะไรก็ล้วนทำกันไปหมดแล้ว มัดมือชกกันเสียขนาดนี้ ถ้าเธอไม่ไปมีหวังคนได้แช่งชักหักกระดูกไปยันบุพการีเธอแน่



“แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบเรื่องพวกนี้... แต่ถึงจะชอบคราวนี้ฉันก็คงช่วยแกไม่ได้หรอก ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ปกติ...คุณหยางหลงเขาคงไม่ให้ฉันไป” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยออกมาอย่างลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วบอกเหตุผลกับเพื่อนอย่างตรงไปตรงมา



ถึงเธอจะเกลียดการนั่งปั้นหน้ายิ้มให้คนอื่นมาถามโน่นถามนี่จุกจิกแค่ไหน แต่เพื่อนบากหน้ามาขอให้ช่วยขนาดนี้มีหรือที่เธอจะไม่อยากช่วย ทว่าคราวนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าอยากหรือไม่อยากช่วย ปัญหามันอยู่ที่ว่าตอนนี้เธอไม่ได้เป็นแค่นางสาวน้ำผึ้งพระจันทร์อีกต่อไปแล้ว เธอยังภาระราชินีมังกรมุกต้องรับผิดชอบ มีสามีที่ยังรักยังห่วง แถมตอนนี้ยังมีเจ้าตัวเล็กอีก จะบ้าระห่ำไม่รักตัวกลัวตายอย่างเมื่อก่อน ก็เห็นจะไม่ได้อีกแล้ว



เมื่อเอ่ยถึงคนที่รักที่ห่วงเธอถึงขั้นไม่ยอมให้ออกจากบ้านมาเป็นอาทิตย์ เธอกับเพียงน้ำพลอยจึงหันหน้าไปมองเขาแทบจะพร้อมกัน แต่แทนที่จะเห็นคนเป็นประมุขมาเฟียกำลังหยอกล้อเล่นกับลูกชายแรกเกิดอย่างก่อนหน้า กลับเห็นชายหนุ่มร่างสูงสองคนกำลังโต้เถียงกันดุเดือด พร้อมชี้มือฟาดไม้อย่างออกรสออกชาติ เหลือเพียงแค่เปล่งเสียงออกมาให้เธอกับเพียงน้ำพลอยได้ยินเท่านั้น น้ำผึ้งพระจันทร์จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงดัง พลางใช้ดวงตาสีม่วงเข้มจ้องสามีโตแต่ตัวตาเขม็ง เพื่อให้ชายหนุ่มทั้งสองรู้ตัวสักทีว่าเธอกับเพียงน้ำพลอยกำลังขอความเห็นจากเขาอยู่



“เถียงอะไรกันคะสองคน”



“เปล่า!” / “เปล่า!” เสียงทุ้มสองเสียงปฏิเสธขึ้นพร้อมกันลั่นห้อง ทำเอาเพียงน้ำพลอยกับคุณแม่มือใหม่ถึงกับสะดุ้งขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะลอบส่งสายให้กันแล้วหันไปมองคนร้อนพิรุธทั้งสองคน แต่คนถูกมองกลับเอาแต่ยิ้มแห้งๆ ให้เธอราวกับคนโง่งม



“มีรายการโทรทัศน์ที่เมืองไทยมาขอสัมภาษณ์ฉัน น้ำพลอย แล้วก็น้ำปรุง” น้ำผึ้งพระจันทร์ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะเล่าทวนถึงสิ่งที่เพื่อนสนิทร้องขอให้สามีฟังอีกครั้ง



“แล้วจะไปสัมภาษณ์กันที่ไหนล่ะครับ” สิ้นเสียงคำบอกเล่าของภรรยา รอยยิ้มแห้งกรังติดหน้าของคนเป็นมาเฟียก็แทบจะหายวับไปในทันที กลายเป็นสีหน้าเย็นเยียบจนคนมองอดเสียวสันหลังตามไปด้วยไม่ได้ หากก็ยังพยายามยิ้มบางๆ ออกมาเพื่อรักษามารยาท ทว่าสำหรับเพียงน้ำพลอยแล้วมันกลับดูชวนขนลุกขนพองเสียยิ่งกว่าเดิมเสียอีก



“ที่โรงแรมน่ะค่ะ แต่ถ้าคุณหยางหลงไม่สะดวกให้เจ้าจันทร์ไปก็ไม่เป็นไรนะคะ น้ำพลอยเข้าใจ” เพียงน้ำพลอยตอบอย่างเกรงใจ ความจริงเธอก็พอจะเดาผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ต้นแล้ว ถึงชายหนุ่มตรงหน้านี้จะยอมให้เธอเพื่อนเธอไปอย่างไม่มีข้อแม้ แต่ความคาดเดาไม่ได้ของน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ยังเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงอยู่ดี อันที่จริงมันออกจะน่าเป็นห่วงมากกว่าด้วยซ้ำ เธอจึงอดแปลกใจไม่ได้ที่เพื่อนรักบอกว่าตนตั้งใจจะไปช่วย เพียงแต่มีเหตุผลจำเป็นเรื่องอื่น ดังนั้นการรับฟังคำปฏิเสธครั้งนี้เอาเข้าจริงแล้วมันก็ไม่สร้างความเสียหายให้เธอเท่าไหร่นัก เธอถึงขั้นหาทางออกไว้ให้มันแล้วด้วย ที่ตัดใจเอ่ยปากออกไป ก็แค่หวังว่าปาฏิหาริย์อาจจะปราณีคนพยายามบ้างเท่านั้นเอง



“ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณน้ำพลอย คราวนี้คงไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เลยนะครับ” เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนน้อมบวกกับสีหน้าผิดหวังของอีกฝ่าย หยางหลงจึงอดรู้สึกผิดตามไปด้วยไม่ได้ที่ตนเป็นต้นเหตุให้ภรรยาต้องปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อน ทว่าเขายังจะเหลือทางเลือกไหนอีกกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับน้ำผึ้งพระจันทร์คราวนี้เขาคงไม่ได้เสียแค่ภรรยาสุดรัก แต่ยังจะเสียแม่ของลูกที่มีเพียงคนเดียวไปด้วย ช่วงเวลาที่เขาแทบไม่เป็นผู้เป็นคนนั้นมันผ่านพ้นไปแล้ว และชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่ปรารถนาให้มันหวนกลับมาแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว



“ขอบคุณค่ะ” เพียงน้ำพลอยรับความหวังดีของมาเฟียหนุ่มด้วยใจพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน



กล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว พอเห็นเขาเป็นอย่างนี้เธอก็อดรู้สึกอุ่นใจไม่ได้ ที่ผู้ชายคนตรงหน้านี้เป็นหัวหน้าครอบครัวใหม่ที่แสนอบอุ่นของน้ำผึ้งพระจันทร์ ทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าขนาดเหวินหยางหลงที่ร้ายยิ่งกว่าเสือ พยศยิ่งกว่าม้า แถมยังมากเล่ห์เพทุบายอเสียอย่างกับอะไรดี พอแต่งงานแล้วกลับรักเพื่อนหัวรั้นของเธอได้ปานนี้ แล้วกับอธิษฐ์ที่อ่อนโยนอ่อนหวานกับเธอมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายจะรักเธอได้มากสักปานไหนกัน...



รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นเปื้อนใบหน้าสวยหวานดุจเครื่องแก้ววิจิตร สองพวงแก้มราวกับซับสีชาดจนขึ้นสีแดงระเรื่อยวนใจ ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มชิดติดกันก่อนจะอมยิ้มให้กับภาพในหัวของตัวเองบางๆ หากเพียงเท่านั้นก็ทำให้คิ้วทั้งสองข้างของคนที่จับจ้องอยู่ทุกนาทีขมวดกันจนใกล้จะเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว และก่อนที่หนึ่งในผู้สังเกตการณ์อย่างน้ำผึ้งพระจันทร์จะทันได้ไถ่ถามอะไร เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้นเรียกให้สายตาทุกคู่หันไปยังที่มาของเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“เข้ามา” ผู้เป็นนายหญิงของบ้านเอ่ยอนุญาตเพียงสั้นๆ หากทว่าในขณะนั้นก็ยังไม่ละลายตาจากใบแดงก่ำของเพื่อนสาวคนสนิทเสียทีเดียว



“มีคนมาขอพบคุณน้ำพลอยครับ บอกว่าชื่ออธิษฐ์” ‘หมิงเทียน’ ลูกน้องคนสนิทของหยางหลงโค้งให้นายหญิงร่างเล็กบนเตียงด้วยความเคยชิน แล้วหันไปโค้งให้นายเหนือหัวที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะหันกลับมารายงานผู้เป็นนายหญิงเรื่องผู้มาเยือนด้วยท่าทางนอบน้อม



“ใคร เสาร์ อาทิตย์ ที่ไหน” น้ำผึ้งพระจันทร์พูดโพล่งออกมาไม่ต่างจากกำลังทะเลาะกับตัวเอง เพียงน้ำพลอยจึงรีบโต้เสียงแข็งขึ้นทันควัน



“เขาชื่ออธิษฐ์ ไม่ใช่อาทิตย์!”



“แล้วเป็นใคร ทำไมรู้ว่าแกอยู่ที่นี่” สิ้นเสียงคำตอบของเพื่อนรัก ดวงตาสีม่วงเข้มก็จ้องเพื่อนรักตรงหน้าตาเขม็ง คล้ายกับพยายามต้องการล้วงความลับในใจอีกฝ่าย ให้ตัวเองได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้เร็วขึ้นสักวินาทีก็ยังดี



“เป็น...แฟนฉันเองน่ะ” ริมฝีปากล่างสีแดงระเรื่อถูกกัดเบาๆ อย่างที่เจ้าตัวชอบทำโดยไม่รู้ตัวตอนที่เกิดความลังเลหรือลำบากใจ แต่เพียงชั่วอึดใจความนิ่งเงียบที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับความร้อนจากสองข้างแก้มก็ถูกทำลายลงด้วยฝีมือคนร่างเล็กที่ไม่รู้ไปกินระเบิดดินปืนมาจากไหน ถึงได้มีเรี่ยวมีแรงตะโกนเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นคฤหาสน์ขนาดนี้



“แฟน!!!!!!!!!!!!!”



พร๊วดดดดดดดดดดดดดด!



เสียงแผดลั่นของน้ำผึ้งพระจันทร์ทำเอาคนเพิ่งยกน้ำขึ้นดื่มดับกระหายอย่างฟรานตกใจสุดขีด จนเผลอพ่นของเหลวในปากใส่เพื่อนรักข้างกายเสียจนเปียกโชกไปทั่วทั้งหน้า



“นี่! ทำไมไม่ตะโกนให้มันดังกว่านี้ล่ะ! ให้เขาได้ยินกันทั้งฮ่องกงไปเลย” เพียงน้ำพลอยรีบโผเข้าไปตะครุบปากคนตื่นตระหนกเอาไว้ ในขณะเดียวกันนั้นก็หันไปมองคนร่างสูงอีกคนที่แม้จะไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา ทว่ากิริยาอาการที่แสดงออกกลับตื่นตกใจเสียอย่างกับไฟไหม้บ้านตัวเองอย่างนั้นแหละ



คนอย่างเธอมีแฟนมันน่าแปลกมากนักหรือไง...



“ก็ร้อยวันพันปีไม่เห็นแกจะก้มลงจากคานมามองใคร อยู่ๆ มาบอกว่ามีแฟน ฉันไม่หัวใจวายตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยด้วยสีหน้ายังไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะหันไปพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ลูกน้องคนสนิทพาแขกพิเศษของเพื่อนรักเข้ามา



ไม่ถึงอึดใจ ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาก็ก้าวเข้ามาในห้องนอนอันพื้นที่ส่วนตัวของผู้เป็นนายเหนือหัวมังกรมุก ริมฝีปากได้รูปของผู้มาใหม่หยักยิ้มขึ้นบางๆ เป็นการทักทายเจ้าของบ้านอย่างเป็นมิตร แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะได้เอ่ยคำทักทาย เพียงน้ำพลอยผู้กลัวว่าแฟนหนุ่มของตนจะอึดอัดกับการเจอเพื่อนฝูงของตัวเองครั้งแรก ก็รีบเดินเข้าไปจับมือหนาอุ่นซ่านแสนคุ้นเคยนั้นไว้ แล้วดึงเขาให้ก้าวเข้ามาหาเพื่อนรักของเธอใกล้ๆ



ในบรรดาเพื่อนฝูงที่เธอรู้จักทั้งหมด น้ำผึ้งพระจันทร์เป็นคนที่เธอสนิทที่สุด สายตากว้างไกลที่สุด สมฉายาแม่มดแม่หมอที่ใครต่อใครเรียกขานกัน เธออยากให้แม่หมอของเธอรู้จักกับคนที่เธอเลือก และหวังเป็นที่สุดว่าแม่หมอจะบอกเธอว่าเธอเลือกคนไม่ผิด...



“พี่อิฐคะ นี่เจ้าจันทร์เพื่อนน้ำพลอยค่ะ” เพียงน้ำพลอยเอ่ยแนะนำด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พลางหันมาทางเพื่อนสนิทร่างเล็กที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง



“สวัสดีค่ะคุณอา...อธิษฐ์ โทษทีค่ะ เจ้าจันทร์อยู่ที่นี่นานไม่ค่อยได้พูดไทย เลยเริ่มติดๆ ขัดๆ” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยทักทายผู้มาใหม่อย่างเป็นมิตร ทว่าในหัวกลับสลัดคำพูดทีเล่นทีจริงก่อนหน้านี้ไม่ออกจนเกือบจะหลุดเรียกเขาว่าอาทิตย์เข้าจริงๆ เพราะมัวแต่พินิจพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าเสียจนระบบความคิดในหัวรวนไปหมด



ชายหนุ่มผิวแทนร่างสูงใหญ่ บ่าทั้งสองผายกว้างออกอย่างสง่าผ่าเผย ท่อนบนสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆ ไร้ซึ่งลวดลายใด ทว่าดูหรูหราในเวลาเดียวกัน ที่ข้อมือมีเพียงนาฬิกาข้อมือราคาแพงระยับสีเทาเมทัลลิกเรือนเดียว ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดไปมากกว่านี้ ท่อนล่างสวมกางเกงสแล็คสีดำสนิท กับรองเท้าหนังสีเดียวกัน ดวงตาสีดำขลับดุจราชสีห์หนุ่ม บ่งบอกความเป็นผู้นำของเจ้าตัว จมูกโด่งรับกับริมฝีปากและสันกรามที่เห็นเป็นแนวชัด ยิ่งขับให้ชายหนุ่มตรงหน้าหล่อเหลาคมคายชนิดหาตัวจับได้ยาก



เรียกได้ว่า...สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ...



“ไม่เป็นไรครับ สวัสดีครับคุณเจ้าจันทร์ ฟังเรื่องคุณมาเยอะได้เจอตัวจริงๆ ซักที ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” อธิษฐ์ยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับเอื้อมมือออกไปเตรียมจับมือทักทายกับเพื่อนสนิทของแฟนสาวอย่างสุภาพ



“ยินดีค่ะ” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบรับคำทักทายสั้นๆ พร้อมกับยื่นมือออกไปทักทายตามมารยาท ก่อนจะลอบพิจารณาอีกฝ่ายต่อไปเงียบๆ



“แล้วนี่ก็คุณหยางหลง สามีเจ้าจันทร์ค่ะ” เพียงน้ำพลอยแนะนำต่อด้วยน้ำเสียงสดใส ส่วนแฟนหนุ่มร่างสูงก็เอ่ยคำทักทายตามหลังขึ้นทันทีอย่างรู้งาน ในขณะที่หยางหลงก็ได้ตอบรับคำทักทายของแขกอย่างงงๆ เพราะยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่



“สวัสดีครับคุณหยางหลง”



“สวัสดีครับ” สิ้นเสียงทักทายกลับของราชามังกรมุก ฟรานก็ลุกขึ้นยืนเตรียมรอการแนะนำบ้าง มือไม้วุ่นวายกับการจัดเสื้อผ้าตัวเองให้ดูดี ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มให้หล่อเหลาที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ราวกับตัวเองถูกนัดให้ไปดูตัวกับหญิงสาวที่ตนแอบชอบมานานแล้วก็ไม่ปาน



“แล้วนี่ก็...แค่คนๆ นึงน่ะค่ะ”



“อ้าววว...”



“เพื่อนเจ้าจันทร์เองค่ะ” น้ำผึ้งพระจันทร์อดสงสารคนถูกแกล้งให้ปั้นหน้าเก้อไม่ได้ จึงยอมออกรับว่าคนทำหน้างอเป็นเด็กๆ อยู่ตอนนี้เป็นเพื่อนของเธอเสียเอง หาใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน



“อ๋อ สวัสดีครับ” อธิษฐ์แกล้งลืมไปเสียสนิทว่าแฟนสาวของตัวเองแนะนำอีกฝ่ายว่ายังไง แล้วยิ้มทักทายอีกฝ่ายอย่างสุภาพ แม้คนได้เลื่อนมาเป็นเพื่อนนายหญิงมังกรมุกจะยังทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่เหมือนเดิมก็ตาม



“เอ่อ ผมคงต้องขอยืมตัวน้ำพลอยสักเดี๋ยวนะครับ จะพาเขาไปเจอผู้ใหญ่สักหน่อย พอดีท่านอยู่ฮ่องกงวันนี้วันสุดท้ายแล้วน่ะครับ” นายทหารหนุ่มเบนสายตาไปหาทุกคนในห้องเป็นนัยว่าต้องการบอกกล่าวกับทุกคน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเป็นภาษาอังกฤษ ทว่าก่อนที่ใครจะได้เอ่ยคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ออกมา ผู้กลายมาเป็นเพื่อนของราชินีมังกรมุกหยกๆ ก็รีบปลอบโยนแขกคนสำคัญด้วยความเห็นใจอย่างสุดฤทธิ์ทันที



“เสียใจด้วยนะครับ คุณก็หักอกหักใจซะเถอะ ชีวิตคนเราก็มีวันสุดท้ายกันทั้งนั้น”



“คุณ!!” เพียงน้ำพลอยแทบหลุดคำสบถออกมาในวินาทีเดียวกันนั้น ดีที่ว่าเธอยังใช้ฟันคมๆ กับริมฝีปากตัวเองไว้ได้เสียก่อน ใจคอเขาไม่คิดจะรักษามารยาทบ้างหรือไง ใช่ว่าเธอจะร้องขอให้เขาเห็นแก่หน้าเธอสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ควรจะเห็นแก่หน้าตัวเองบ้างไม่ใช่หรือไง ถึงไม่เห็นแก่หน้าตัวเองก็ควรเห็นแก่หน้าคนที่ออกรับว่าเป็นเพื่อนบ้าง หรือต้องให้เธอตวาดดังๆ สักครั้ง เขาถึงจะรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ



“พรุ่งนี้ท่านจะต้องบินไปอังกฤษน่ะครับ” อธิษฐ์ข่มน้ำมันเดือดที่เริ่มปะทุขึ้นไว้ในอกแล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ



“อ๋ออออ ขอโทษทีนะครับ ภาษาอังกฤษผมไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ” ฟรานลากเสียงยาว ก่อนจะแสร้งอธิบายต่อด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังพูดชัดด้วยสำเนียงเจ้าของภาษาอยู่แท้ๆ



“เอาล่ะค่ะๆ ตามสบายนะคะ” ก่อนที่ใครสักคนจะนึกได้ว่าควรหยิบปืนขึ้นมาลั่นไกใส่กัน น้ำผึ้งพระจันทร์ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็รีบยกมือห้ามทัพตรงหน้าทันที จากนั้นก็หันไปยิ้มแห้งๆ ให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้กำลังซ่อนเพลิงโทสะไว้ในแววตา ทว่าคนของเธอก็ช่างไม่เห็นความพยายามของเธอเสียบ้างเลย เอาแต่ราดน้ำมันลงบนกองเพลิงด้วยการยิ้มที่มุมปากอย่างอารมณ์ดีอยู่อย่างนั้น



เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี เพียงน้ำพลอยจึงรีบชิงบอกลาเพื่อน แล้วดึงมือใหญ่ที่กุมอยู่นั้นเบาๆ เป็นสัญญาณว่าเธอพร้อมที่ออกไปกับเขาแล้ว เธอรู้ดีว่าคนๆ นั้นถนัดเรื่องยั่วโทสะคนแค่ไหน และยิ่งกว่านั้นคือรู้ดีว่าพี่อธิษฐ์ของเธอเป็นยังไง ถึงเขาจะเป็นคนใจเย็น แต่ที่เขายอมไม่ได้ที่สุดคือการที่ใครต่อใครเห็นเขาเป็นตัวตลก แม้มันจะไม่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก ทว่าเธอก็สัมผัสได้ว่าอารมณ์ของเขาไม่ได้คงที่อีกต่อไปแล้ว และเธอก็รับประกันไม่ได้ด้วยว่าคนๆ นั้นจะพ่นคำพูดประเภทไหนออกมาอีก แล้วพี่อธิษฐ์ของเธอจะทนได้สักแค่ไหน



เมื่อไร้ซึ่งเหตุผลที่จะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป อธิษฐ์จึงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้น้ำผึ้งพระจันทร์และหยางหลงเบาๆ ก่อนจะจูงมือบางของแฟนสาวออกไปจากห้องทันที ขณะที่คนถูกลากออกไปนั้นก็ยังไม่วายหันมาบอกกล่าวเพื่อนรักทางสายตาว่าเธอจะรีบไปรีบกลับ โดยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาฉุนเฉียวอีกคู่หนึ่งที่แทบจะไล่ตามไปคว้าข้อมืออีกข้างกลับมาเสียให้ได้



“จะไปจะมาไม่บอกไม่กล่าวสักคำ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” สิ้นเสียงปิดประตูดังเกินกว่าปกติ คนร่างสูงที่มักจะมีรอยยิ้มมุมปากประดับใบหน้าอย่างคนคิดอ่านเรื่องมากเล่ห์ในหัวตลอดเวลาก็โพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย



“ถ้าไม่เห็นไม่รู้จักกัน เจ้าจันทร์คงคิดว่าคุณฟรานเป็นพ่อดุๆ หวงลูกสาวแล้วนะคะเนี่ย” น้ำผึ้งพระจันทร์เย้าแหย่คนอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างไร้เหตุผลขึ้นมาอย่างนึกสนุก



“ที่พูดก็เพราะห่วงหรอกครับ เพื่อนคุณน่ะทันคนอื่นเขาซะที่ไหน” ฟรานอดคิดไม่ได้ว่าหมอนั่นใช้วิธีการอะไรเข้าหายัยแม่ชีหัวรั้นนั่น ถึงได้ตกลงปลงใจคบกันเป็นแฟนได้ ดีไม่ดีจะถูกมันหลอกเสียรึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเธอทันคนได้สักครึ่งหนึ่งของน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เป็นเพื่อนล่ะก็ เขาคงไม่ต้องเปลืองน้ำลายมาพูดเรื่องนี้หรอก



“ถ้าแค่ห่วงเจ้าจันทร์จะบอกแทนให้แล้วกันนะคะ แต่ถ้าหวงล่ะก็เห็นทีจะต้องไปบอกกันเอง” น้ำผึ้งพระจันทร์พูดพลางทำหน้ายิ่มกริ่ม ทว่าแทนที่คนถูกแหย่จะตอบโต้เหมือนทุกที กลับตีหน้าขรึมเสียอย่างกับเธอพูดเรื่องไร้สาระเกินจะรับอย่างนั้นแหละ



“โธ่คุณฟรานคะ เจ้าจันทร์ก็แค่ล้อเล่นไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลย”



“จ้างเท่าไหร่ผมก็ไม่ทำแม่ชีศีลแตกหรอกครับ ใครใจถึงก็เชิญตามสบายเถอะ” ฟรานประกาศกร้าวเสียงดังพลางทำหน้าขึงขัง ทำเอาพ่อแม่มือใหม่ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมาพร้อมกัน แม้แต่ทารกแรกเกิดก็ยังไม่วายจะส่งเสียงหัวเราะร่วนกับเขาด้วย



“ไม่เชื่อกันรึไง” เมื่อเห็นว่าคำยืนยันของเขากลายเป็นแก๊สหัวเราะสำหรับครอบครัวมาเฟียไปเสียแล้ว ฟรานจึงสวนกลับด้วยสายตาหาเรื่อง



“เชื่อสิคะ ใครจะกล้าไม่เชื่อคุณฟราน” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าพลางแสร้งทำหน้าขึงขังตาม ก่อนจะหันไปหัวเราะกับสามีร่างสูงที่กำลังอุ้มลูกชายแรกเกิดไว้ในอ้อมแขนต่อ



เธอมักจะได้ยินฟรานเผลอเรียกเพื่อนสาวของเธอว่า ‘แม่ชี’ อยู่บ่อยครั้ง ทว่าไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ได้ยินครั้งแรกเธอก็สามารถหัวเราะออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องทวงถามความหมายจากคนพูดเลยด้วยซ้ำ พอได้ยินเขาเรียกบ่อยเข้า เธอก็เริ่มแน่ใจว่าตัวเองเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายสื่อได้ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิดเดียว กล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว ส่วนหนึ่งในใจเธออดเห็นด้วยไปกับเขาไม่ได้ ที่ว่าเพียงน้ำพลอยค่อนข้างถือตัว ร้อยวันพันปีไม่เคยจับมือถือแขนกับใคร วางตัวเสียอย่างกับผู้ทรงศีล หากมีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่เข้าใจเพื่อนสามีร่างสูงคนนี้นัก



หากเขาเห็นเพื่อนเธอเป็นผู้ทรงศีลจริงอย่างว่า ก็ควรจะเกรงใจกันบ้างไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่ฟาดฟันกันจนเสียเลือดเสียเนื้อทุกทีที่เจอหน้าแบบนี้



แท้ที่จริงแล้วสำหรับเขา เพื่อนเธอเป็นอะไรกันแน่...



และใครกันแน่ที่กำลังจะศีลแตก...







ภายในห้องสวีทของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายส่วนเพื่อแปรสภาพห้องพักอันหรูหราให้กลายเป็นสตูดิโอสัมภาษณ์ขนาดย่อม จนห้องขนาดใหญ่ที่สุดในโรงแรมดูคล้ายกับจะเหลือพื้นที่อยู่ไม่กี่ตารางเท่านั้น ซึ่งก็คือพื้นที่สำหรับสัมภาษณ์หน้ากล้องนั่นเอง ส่วนพื้นที่ที่เหลือ ทีมงานทั้งกองจะต้องเบียดเสียดกันอยู่จนอากาศหายใจแทบไม่พอจะหล่อเลี้ยงคน ทีมงานที่ทำงานทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเดินขวั่กไขว่กันให้วุ่น บางคนถือน้ำเพื่อบริการคนอื่นๆ ในห้อง บางคนหอบหิ้วดอกไม้สำหรับจัดวางบนโต๊ะที่ใช้ในฉาก และยังมีอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ทุกคนดูจะมีหน้าที่ร่วมกันในแบกมันไปจัดวางในที่ต่างๆ ในขณะที่เพียงน้ำพลอยกับทิพย์น้ำปรุงที่เพิ่งบินมาถึงฮ่องกงเมื่อเย็นวานนี้ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ อยู่หน้ากระจก เพื่อรับการแต่งหน้าทำผมจากช่างที่ทางรายการจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ตอนนี้แล้ว มันช่างไม่ต่างจากคนที่นั่งดูคนอื่นๆ เอาชีวิตรอดในศึกสงครามเลยจริงๆ



“เขาต้องขนคนมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ เราแค่สัมภาษณ์กันเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่รึไง” ทิพย์น้ำปรุงทนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ไหว จึงตัดสินใจยื่นหน้าไปถามเพื่อนในที่สุด เธอจำได้ว่าตอนเพียงน้ำพลอยบอกว่ามีรายการมาขอสัมภาษณ์ ก็บอกว่าเพียงแค่ว่าอยากสัมภาษณ์เรื่องร้านเท่านั้น แต่จากที่ดูตอนนี้มันไม่ได้ใกล้เคียงอะไรที่ว่าเลยสักนิดเดียว ออกจะคล้ายงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์พันล้านเสียมากกว่า



“มากก็ดีกว่าน้อยล่ะน่า” เพียงน้ำพลอยก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรให้คำตอบเพื่อนว่ายังไงดี เพราะหากจะบอกว่าเธอหลอกทิพย์น้ำปรุงมา เธอเองก็ถูกดุจน้ำเพชรผู้เป็นพี่สาวหลอกมาเหมือนกัน



เธอสู้อุตส่าห์อ้างกับทางรายการว่าน้ำผึ้งพระจันทร์ผู้เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนกำลังจะคลอด คงมาให้สัมภาษณ์ด้วยไม่ได้ ส่วนเธอกับทิพย์น้ำปรุงก็จะต้องรีบไปรับขวัญหลานเหมือนกันและคงไม่มีเวลาจะไปให้สัมภาษณ์วันหลังแล้วด้วย ทางที่ดียกเลิกมันไปเสียจะดีกว่า ผู้จัดรายการจอมตื้อนั่นกลับไม่ยอมท่าเดียว แถมออกปากว่าจะยกกองกันมาถึงฮ่องกงเพื่อเธอกับทิพย์น้ำปรุงโดยเฉพาะ ทำเอาเธอซาบซึ้งกับบริการทุกระดับประทับใจเสียจนน้ำตาจะไหล พอเธอเปลี่ยนแผนไปเจรจากับพี่สาวผู้ซึ่งเป็นตกปากรับคำแทนเธอ พี่สาวเธอกลับบอกว่าตนเพิ่งยืนยันการไปให้สัมภาษณ์แทนเธออีกครั้งเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง และในวินาทีที่ว่านั้นทางรายการก็ได้ทำการจองสถานที่และจัดการทุกอย่างไปเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ให้เธอปรากฏตัวขึ้นที่โรงแรมเท่านั้น ไอ้ครั้นจะบอกว่าที่พูดไปทั้งหมดเป็นแค่ข้ออ้าง เอาไว้กลับไปสัมภาษณ์กันที่เมืองไทยก็ได้ มันก็ช่างดูไม่ต่างจากเธอเอาดาบที่เคยจ่อคอคนอื่นมาเชือดคอตัวเองเลยสักนิด



เธอจึงได้แต่ปล่อยทุกอย่างไปเลยตามเลย ส่วนตัวเองก็ต้องมานั่งเป็นหุ่นให้คนอื่นมายุ่มย่ามกับเสื้อผ้าหน้าผมอยู่อย่างนี้ แถมยังต้องมานั่งทนหิวไส้กิ่ว เพราะของว่างที่มีปริมาณไม่ต่างจากของไหว้ที่รายการบ้าๆ นี่จัดมาให้ไม่พอเยียวยาน้ำย่อยในกระเพาะ



“คุณน้ำพลอยกับคุณน้ำปรุงพร้อมนะคะ เดี๋ยวอีกสิบนาทีเราจะถ่ายกันแล้ว” ยังไม่ทันที่จิตใจเธอจะได้เตลิดไปไหนไกล เสียงทีมงานสาวประเภทสองผู้มาต้อนรับเธอตั้งแต่เช้าก็ดังขึ้นเรียกสติที่ใกล้จะหลุดลอยของเธอให้กลับเข้าที่ เจ้าหล่อนเข้ามาถามไถ่เธอกับทิพย์น้ำปรุงใกล้ๆ พลางใช้มือค้ำหัวเข่าทั้งสองข้างของตัวเองเพื่อจะได้พูดคุยกับพวกเธอได้โดยไม่ต้องยืนค้ำศีรษะกัน เธอยิ้มให้หล่อนบางๆ ก่อนจะตอบสิ่งที่อีกฝ่ายถามไปตามเรื่องตามราว ขณะที่ในหัวก็เฝ้าคิดแต่ว่าการสัมภาษณ์บ้าๆ นี่จะจบลงเมื่อไหร่ เธอมีนัดกับอธิษฐ์ตอนบ่ายสามโมง ถ้างานนี้ไม่จบลงภายในบ่ายโมง เธอจะกินของรองท้องก่อนไปทานอาหารกับเขาได้ยังไง



เธอไม่คิดจะให้เขาขยาดกลัวปริมาณอาหารที่กินจริงๆ ในแต่ละมื้อตอนนี้หรอกนะ...



“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเราจะถ่ายกันเสร็จกี่โมง” เพียงน้ำพลอยกลั้นใจถามออกไปด้วยความวิตก



“ไม่เกินบ่ายสองหรอกค่ะคุณน้ำพลอย คุณน้ำพลอยมีธุระต่อเหรอคะ” สาวประเภทสองถามต่ออย่างเป็นห่วง



“ค่ะ ก็นิดหน่อย” เพียงน้ำพลอยตอบพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพตามแบบฉบับของตัวเอง ขณะที่ในใจนั้นฉีกยิ้มกว้างอย่างลิงโลด อย่างน้อยเธอก็ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง ก็ยังถือว่าสวรรค์ไม่ใจร้ายกับกระเพาะเธอจนเกินไปนัก



“ถ้างั้นเราเตรียมตัวกันเลยนะคะ” สาวประเภทสองเสียงใสสรุปรวบยอด ก่อนจะประคองหญิงสาวร่างบางหน้ากระจกทั้งสองคนลุกขึ้นเดินไปยังบริเวณที่จะใช้ถ่ายทำรายการ



เพียงน้ำพลอยค่อยๆ เดินตามทีมงานสาวประเภทสองไป ขณะเดียวกันก็ใช้สายตากวาดมองพื้นที่ส่วนอื่นๆ ภายในห้องไปเรื่อยเปื่อย ความจริงก็ใช่ว่าเธอจะสนอกสนใจการถ่ายรายการอะไรนักหนา แต่เพราะตั้งแต่เธอมาถึง ทีมงานพวกนั้นก็ลากเธอกับทิพย์น้ำปรุงเข้าไปในห้องแต่งตัว แทบจะมัดแขนมัดขาติดกับเก้าอี้เสียให้ได้ จนตอนนี้ถึงเพิ่งได้เห็นส่วนอื่นๆ ของห้องบ้าง เธอจึงอดไม่ได้ที่จะวางสายตาลงบนสิ่งของรูปร่างหน้าตาแปลกๆ ที่ไม่ค่อยเห็นในชีวิตประจำวันนัก



เพียงไม่กี่นาที เพียงน้ำพลอยกับทิพย์น้ำปรุงก็ถูกจับวางลงบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง เมื่อได้ยินทีมงานหลังกล้องเริ่มนับถอยหลังเพื่อเริ่มเข้ารายการ ร่างแบบบางในชุดโค้ทสั้นสีดำสนิทตัดกับผิวขาวจัดก็เริ่มสั่นขึ้นทีละนิด ดวงตากลมโตราวไข่มุกดำมองหน้าเพื่อนสนิทข้างกายอย่างประหม่า แม้กระทั่งมือบางๆ ที่วางอยู่ข้างตัวก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นทีละเม็ดจนฝ่ามือเย็นชืดขึ้นเรื่อยๆ



“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ... เริ่ม” สิ้นเสียงนับของทีมงาน เพียงน้ำพลอยก็คล้ายกับถูกคนจับมุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นอัตโนมัติ แม้ดวงหน้าสวยผุดผาดจะเผือดสีลงเล็กน้อย แต่ความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์นั้นก็ไม่ได้ถูกลดทอนลงถึงเสี้ยวหนึ่งเลยด้วยซ้ำ



“สวัสดีค่ะ มาพบกับรายการ ชิค อิน ยัวร์ มายด์ รายการที่จะพาคุณไปพบกับคนชิคชิคในวันชิลล์ชิลล์ค่ะ วันนี้นะคะ ทางรายการของเราได้รับโอกาสสุดพิเศษจากคนพิเศษสุดๆ ค่ะ หลายคนอาจจะเริ่มงงนะคะว่าอะไรพิเศษกว่าอะไรกันแน่ ดิฉันบอกได้แค่ว่าความพิเศษนี้หาได้จากที่นี่ที่เดียวเท่านั้นค่ะ เพราะหญิงสาวที่อยู่กับเราตอนนี้นะคะ ไม่เคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนมาก่อน รายการของเราเป็นที่แรกและที่เดียวแน่นอนค่ะ ขอต้อนรับคุณ ‘เพียงน้ำพลอย โรจน์รวีเตชานนท์’ และคุณ ‘ทิพย์น้ำปรุง ดิเรกเวชวณิชย์’ ค่ะ” พิธีสาวร่างบางในชุทเดรสสั้นสีน้ำเงินเข้มกล่าวเปิดรายการอย่างคล่องแคล่วด้วยน้ำเสียงฉะฉานทว่ามีเสน่ห์น่าฟังสมบทบาทพิธีกร



“สวัสดีค่ะ/สวัสดีค่ะ” หญิงสาวทั้งสองคนยกมือไหว้สวัสดีพิธีกร ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ทักทายผู้ชมทางบ้านด้วยกิริยามารยาทอันนุ่มนวล หนึ่งร่างสูงบางในเสื้อโค้ทสั้นสีดำ อีกหนึ่งร่างเล็กน่าทะนุถนอมในชุดเดรสสีกรมเข้ารูป ฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นธรรมชาติตามแบบฉบับของคนที่พร้อมเผชิญหน้าทุกสถานการณ์



พวกเธอถูกฝึกให้วางตัวนุ่มนวล สงบนิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องว่องไว และไม่อ่อนแอ...



เรียกได้ว่าเรียนรู้เรื่องพวกนั้นก่อนจะเริ่มจับดินสอเขียนหนังสือเสียอีก เพราะฉะนั้นต่อให้ประหม่า ตื่นกลัว หรือในหัวจะประเดประดังด้วยความรู้สึกใดก็แล้วแต่ ไหล่ทั้งสองข้างจะต้องไม่มีวันห่ออย่างคนขี้ขลาด แววตาทั้งสองข้างจะต้องไม่สั่นไหว น้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยคำพูดจะต้องนุ่มนวลแต่หนักแน่น



“ดูคุณน้ำพลอยกับคุณน้ำปรุงจะตื่นเต้นนิดหน่อยนะคะ” พิธีกรสาวถามพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อยให้พอน่ารักน่าเอ็นดู



“ค่ะ อย่างที่ทราบพวกเราไม่เคยให้สัมภาษณ์ออกรายการมาก่อน ก็เลย…ประหม่าเล็กน้อยค่ะ” เพียงน้ำพลอยตอบอย่างฉะฉาน พร้อมกับหันไปยิ้มให้กล้องเป็นระยะ ไม่ได้มีท่าทางประหม่าเพราะความตื่นกล้องอย่างที่ปากพูดเลยแม้แต่น้อย



“ไม่เป็นไรค่ะ อันที่จริงเป็นดิฉันซะมากกว่านะคะที่ตื่นเต้นเพราะมีโอกาสได้มาสัมภาษณ์คนพิเศษ”



“ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ” สิ้นเสียงยกยอปอปั้นจากพิธีกร เพียงน้ำพลอยกับเพื่อนรักข้างกายก็ตอบพลางอมยิ้มประดับใบหน้าพอเป็นพิธี หากในใจกลับอดคิดไม่ได้ว่ากิริยาท่าทางตัวเองตอนนี้ช่างดูตลกสิ้นดี



“ได้ยินมาว่าคุณเจ้าจันทร์เพิ่งคลอดลูกชายคนแรกเมื่อวานนี้เองใช่มั้ยคะ” พิธีกรสาวเริ่มเอ่ยถามเข้าเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเพื่อนสาวคนหนึ่งที่เอ่ยชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ



“ใช่ค่ะ เป็นลูกชาย ก็เลยไม่สะดวกมาด้วยกันวันนี้ ต้องขอโทษผู้ชมทางบ้านด้วยนะคะ เอาไว้ถ้ามีโอกาสฉันสัญญาว่าเราสามคนจะมาพร้อมหน้ากันแน่นอนค่ะ” ทิพย์น้ำปรุงเป็นฝ่ายตอบขึ้นบ้าง ทว่าก็ไม่วายจุดไฟเผาเพื่อนผู้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ทิ้งให้เธอกับเพียงน้ำพลอยต้องมารับชะตากรรมกันอยู่แค่สองคน เธอแทบจะนึกภาพออกในทันทีว่าหากเจ้าตัวได้ดูรายการอยู่คงต้องเขวี้ยงรีโมทในมือทิ้งด้วยความเดือดดาลแน่ และสุดท้ายคนที่เดินไปเก็บก็คงไม่พ้นเป็นพ่อมาเฟียเทพบุตรสุดสวาทอีกเช่นเคย



“ได้ยินอย่างนี้พวกเราก็เบาใจแล้วล่ะค่ะ ทุกท่านคงพอจะจำได้นะคะว่าเมื่อสองสามปีที่แล้ว คุณเจ้าจันทร์ หรือ คุณน้ำผึ้งพระจันทร์ อัศวพาธากุล บุตรสาวคนเดียวของคุณพิรัชย์ อัศวพาธากุล หรือที่เรารู้จักกันในนามเจ้าสัวเฉียน ได้เข้าพิธีวิวาห์สายฟ้าแลบกับนักธุรกิจหนุ่มที่ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกง เล่นเอาชายหนุ่มค่อนประเทศอกหักรักคุดไปตามๆ กันเลยทีเดียวนะคะ ไม่ทราบว่าคุณน้ำพลอยกับคุณน้ำปรุงพอจะเล่าเรื่องราวความรักของทั้งสองคนให้พวกเราฟังได้มั้ยคะ” ยังไม่ทันที่คำถามจะได้จบสิ้นประโยคดี ทิพย์น้ำปรุงก็แทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเสียให้ได้ ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองเพื่อนสาวข้างกายอย่างลำบากใจ เพราะรู้ดีว่าเจ้าของเรื่องที่ไม่ได้ด้วยในวันนี้เกลียดการสาธยายเรื่องราวของตัวเองแค่ไหน และที่สำคัญ เรื่องราวของสามีภรรยาบ้าเลือดนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดออกอากาศได้ ไม่สิ…มันไม่เหมาะจะลอยเข้าหูใครเลยต่างหาก...



เพียงน้ำพลอยสูดลมหายใจเรียกสติให้กลับสู่ร่างอย่างรวดเร็ว แล้วรีบฉีกยิ้มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้คนดูสงสัยว่าเธอกำลังลำบากใจกับคำถามที่ถูกโยนมาให้แค่ไหน ก่อนจะกลั้นใจตอบออกไปอย่างเรียบง่าย



“ความจริงก็ไม่มีอะไรพิเศษนะคะ คุณป๋าของเจ้าจันทร์กับคุณพ่อของคุณหยางหลงรู้จักกันมานานหลายสิบปี รักใคร่กันเหมือนกันพี่น้อง สองคนนั้นก็เลยมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันน่ะค่ะ”



“แล้วข่าวที่ว่าคุณเจ้าจันทร์แต่งงานเพื่อใช้หนี้แทนท่านเจ้าสัว เพราะท่านติดพนันและเกี่ยวพันกับคดีค้ายาเสพติดนี่…คงไม่เป็นความจริงใช่มั้ยคะ” พิธีกรสาวถามคำถามต่อไปอย่างไม่ติดขัด ทั้งที่คำถามที่เพิ่งหลุดออกมานั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ตระเตรียมกันไว้แม้แต่น้อย



“บอกตามตรงนะคะว่าฉันเพิ่งเคยได้ยินข่าวที่ว่านั้นเมื่อกี้นี่เอง ไม่เป็นความจริงล้านเปอร์เซ็นต์ค่ะ” เพียงน้ำพลอยพยายามควบคุมสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนจะตอบออกไปอย่างเยือกเย็น ทั้งที่ในใจนั้นเริ่มระอุด้วยความเดือดดาลขึ้นทุกทีแล้ว บิดาของน้ำผึ้งพระจันทร์นับเป็นผู้ใหญ่ที่เธอนับถือมากคนหนึ่ง และทุกวันนี้ท่านก็ใช้ชีวิตสมถะชนิดที่ว่าเช้าตกปลา กลางวันเดินหมากล้อม กลางคืนอ่านหนังสือ จะเอาเวลาที่ไหนไปเข้าบ่อนขายยา เธออยากจะรู้นักว่าคนเขียนข่าวนี้มันอยากขายข่าวจนสมองฝ่อไปแล้วหรือไง ถึงได้เขียนอะไรไร้แก่นสารแบบนี้ออกมาได้



“ถ้าไม่จริงแล้วทำไมคุณเจ้าจันทร์ถึงไม่เคยออกมาปฏิเสธบ้างเลยล่ะค่ะ ดิฉันคิดว่าข่าวนี้น่าจะสร้างความเสียหายให้เธออยู่ไม่น้อยเลย” หญิงสาวร่างบางยังคงยืนหยัดถามในสิ่งที่อยู่นอกเหนือบทอย่างไม่ยอมแพ้ ราวกับถูกตั้งโปรแกรมว่าจะต้องเข่นฆ่าพวกเธอให้ตายกลางรายการเสียให้ได้ ทำเอาทิพย์น้ำปรุงใกล้จะคุมสีหน้าไม่อยู่เข้าไปทุกที จนเพียงน้ำพลอยต้องหันไปฉีกยิ้มให้เป็นการเตือนสติ



“คุณคงเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ เพราะเท่าที่ฉันรู้ เจ้าจันทร์ก็ไม่เคยได้ยินข่าวนี้มาก่อนเหมือนกัน ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบนะคะ ว่าเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงของเจ้าจันทร์ผ่านไปเร็วแค่ไหน หนึ่งวันจับหนังสือพิมพ์หนึ่งครั้ง หน้าที่อ่านมีแค่หน้าข่าวสารธุรกิจหรือไม่ก็ตลาดหุ้นเท่านั้นแหละค่ะ บางวันยังต้องไลน์ถามเอากับฉันด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องพรรค์นี้จะทำให้เธอไม่สบายใจ” เพียงน้ำพลอยรวบรวมความใจเย็นทั้งหมดที่เคยมี ก่อนจะตอบออกไปอย่างสุภาพและเยือกเย็น แล้วฝืนฉีกยิ้มอย่างใสซื่อจริงใจเช่นเคย



“จะเป็นไปได้รึเปล่าคะ ว่าคุณเจ้าจันทร์ปิดบังคุณสองคนเพราะไม่อยากจะให้คุณสองคนไม่สบายใจไปด้วย”



“เป็นไปไม่ได้แน่นอน เราสามคนไม่เคยมีความลับต่อกัน” เพียงน้ำพลอยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเธอเก็บความเดือดพล่านในใจไว้ได้อย่างที่คิดหรือเปล่า และสิ่งที่ไม่แน่ใจยิ่งกว่านั้นก็คือ รายการนี้มันเป็นรายการบ้าบออะไรกันแน่ ถามนอกสคริปต์ยังพอว่าแต่ไล่ต้อนแขกรับเชิญอย่างไร้มารยาทอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน เธออยากจะรู้นักว่าถ้าเจ้าตัวมานั่งให้ถามเองจริงๆ แม่พิธีกรปากกล้านี่จะยังกล้าถามอะไรสิ้นคิดแบบนี้ออกมาอีกหรือเปล่า



“ไม่ทราบว่าทุกท่านรู้สึกได้เหมือนดิฉันรึเปล่านะคะว่า มิตรภาพของผู้หญิงทั้งสามคนนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ จะมีสักกี่คนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ รู้เรื่องราวของเราทุกเรื่อง และพร้อมที่จะช่วยเราทุกเรื่อง... จะว่าไป หนึ่งในสามใบเถาก็แต่งงานไปแล้ว แล้วใบต่อไปนี่เมื่อไหร่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการสักทีล่ะคะ” พิธีกรสาวถามต่ออย่างไม่รอช้า สีหน้าท่าทางไร้ซึ่งความยี่หระต่อสายตาทั้งสองคู่ที่บันดาลโทสะใส่เธออย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งไปกว่านั้นดวงตาที่ถูกขีดเขียนขอบตาจนคมกริบกลับวาววับไปด้วยความสะใจ ราวกับว่าทุกคำถามที่ได้เอ่ยไปข้างต้นไม่ใช่สาระสำคัญอะไรสักนิด สิ่งที่เธอรอคอย คือคำตอบที่จะดังขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก



“งั้นคุณน้ำปรุงช่วยเล่าให้เราฟังสักหน่อยได้มั้ยคะ” หญิงสาวในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินเข้มเบนสายตาไปยังแขกรับเชิญอีกคน ราวกับต้องการให้แขกรับเชิญสาวทั้งสองคนพิสูจน์ให้เธอเห็นแก่สายตาว่าประโยคที่ว่า ‘ไม่มีความลับต่อกัน’ นั้น จริงเท็จสักแค่ไหน...



“ให้เจ้าตัวเขาเล่าเองดีกว่ามั้งคะ ไหนๆ เขาก็มาแล้ว” ทิพย์น้ำปรุงใช้ความพยายามทั้งหมดควบคุมสายตาและสีหน้าของตัวเองไม่ให้ดูตื่นตระหนกจนเกินไปนัก ก่อนจะโยนคำถามไปให้เจ้าตัวตอบเอง ใจจริงเธอก็อยากจะช่วยเพื่อนอยู่หรอก แต่จะให้เธอสรรหาวิธีไหนมาช่วยกัน ในเมื่อเธอยังไม่ทันได้สติกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินด้วยซ้ำ แม่พิธีกรปากเปราะนี่ก็ต้องการให้เธอเล่าสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนออกอากาศเสียแล้ว เธอจะเอาเวลาที่ไหนไปแต่งเรื่องทันกันล่ะ



“ค่ะ ฉันมีคนที่กำลังดูๆ กันอยู่” เพียงน้ำพลอยสูดลมหายใจเรียกความอดทนเฮือกสุดท้ายขึ้นมาใช้ ก่อนจะกลั้นใจตอบออกไปอย่างฉะฉาน แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ้นคำตอบนี้ของเธอ คำถามไหนจะดังขึ้นเป็นคำถามต่อไป



“พอจะบอกได้มั้ยคะ ว่าใครคือผู้ชายที่โชคดีคนนั้น” ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน...



“ขออุบไว้ก่อนแล้วกันนะคะ” ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำแสร้งฉายแววเอียงอายเล็กน้อยพร้อมกับระบายยิ้มบางๆ บนใบหน้า เพื่อให้คนดูเข้าใจว่าเธอไม่มีเหตุผลอื่นใดในการปิดบัง นอกจากเขินอายเกินกว่าจะเอ่ยมันออกมาเท่านั้น



“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร หวังว่าทุกท่านจะเคารพความเป็นส่วนตัวของเธอด้วยนะคะ” ผู้เป็นพิธีกรแสร้งเอ่ยราวกับว่าตนเข้าใจเหตุผลของแขกรับเชิญตรงหน้าเสียเต็มประดา ก่อนจะวอนขอให้ผู้ชมทางบ้านเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่ายด้วย



เพราะตัวเธอเองนั้นไม่ได้มีแผนจะยอมแพ้กับคำตอบอันแสนสั้นที่ได้รับนี้อยู่แล้ว...



“แล้วอย่างนี้เขาคนนั้นทราบเรื่องเมื่อสองปีที่แล้วบ้างรึเปล่าคะ” น้ำเสียงรื่นหูถูกบีบให้เศร้าสร้อยราวกับนางเอกละคร ทำให้เพียงน้ำพลอยไม่ต่างจากถูกสาดน้ำเย็นเข้ากลางหน้าเต็มรัก



เธอต้องเล่าเรื่องนั้นให้คนทั้งประเทศฟังด้วยหรือไง...



“ทราบสิคะ” เพียงน้ำพลอยยื้อฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้อย่างสุดแรง ก่อนจะตอบออกไปน้ำเสียงที่เริ่มแผ่วปลาย



“ตอนนี้คนทั้งประเทศคงอยากจะทราบแล้วล่ะค่ะว่า คนๆ นั้น เอาชนะหัวใจที่บอบช้ำของคุณน้ำพลอยได้ยังไง ช่วยเล่าให้เราฟังสักหน่อยได้มั้ยคะ” เมื่อเห็นว่าเหยื่อตรงหน้าเริ่มหมดแรง ผู้เป็นพิธีกรจึงไม่ปล่อยให้โอกาสทองในมือหลุดลอยไป รีบกระโจนเข้าขย้ำเหยื่อที่กำลังจะหมดลมอย่างสุดแรง ทั้งที่ทีมงานหลังกล้องโบกมือโบกไม้เป็นพัลวันให้ตัดเข้าโฆษณาได้แล้ว แต่เจ้าหล่อนก็ยังไม่วายกัดเหยื่อตรงหน้าจมเขี้ยวไม่ยอมปล่อย



“เอ่อ ฉันว่าเราเก็บไว้พูดกันช่วงหน้ากันบ้างดีมั้ยคะ เกิดคนฟังเรื่องน้ำพลอยจบแล้วไม่รอฟังเรื่องของฉันจะทำยังไง” ทิพย์น้ำปรุงโพล่งขึ้นแทนเพื่อนอย่างสุดทน ทว่าก็ไม่ลืมจะยิ้มร่าเริงให้กล้องราวกับมันคำพูดแสนทะเล้นจากวิสัยของเธอเอง



“ถ้าอย่างนั้นเราไปพักชมสิ่งที่น่าสนใจสักครู่แล้วกันนะคะ แต่อย่าเพิ่งลุกหนีไปไหน ช่วงหน้าคุณน้ำพลอยจะมาเล่าให้เราฟังกันต่อค่ะว่าเธอผ่านความยากลำบากตอนนั้นมาได้ยังไง และอะไรเป็นที่มาของคำว่า ‘เจ้าหญิงดวงข่ม’ มาพบกันช่วงหน้าค่ะ” พิธีกรสาวพูดเองเออเองจนเพียงน้ำพลอยกับทิพย์น้ำปรุงได้แต่หันหน้าไปมองอย่าตกตะลึง เธอมั่นใจว่าตัวเองยังไม่ได้พูดเลยสักคำว่าจะพูดเรื่องพวกนั้นออกอากาศ ที่สำคัญเธอมาที่นี่เพื่อบอกเล่าความสำเร็จของร้านขนมที่ทำร่วมกันกับเพื่อน ไม่ได้มาสาธยายตราบาปในชีวิตให้ใครฟังสักหน่อย



สิ้นเสียงบอกพักเข้าโฆษณาของทีมงานหลังกล้อง เพียงน้ำพลอยก็หลับตาลงช้าๆ เพื่อกลืนน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวลงไป ก่อนจะหันขวับไปหาพิธีกรสาวฝีปากกล้าเพื่อทวงสัญญาที่เคยให้กันไว้ก่อนหน้า



“ฉันคิดว่าฉันคุยกับพวกคุณแล้วนะ ว่าฉันไม่คิดให้สัมภาษณ์เรื่องอื่น นอกจากเรื่องร้าน” น้ำเสียงที่เคยนุ่มละมุนรื่นหูโพล่งขึ้นอย่างฉุนเฉียว



“แหมคุณน้ำพลอยคะ ดิฉันเป็นพิธีกรก็ต้องถามในสิ่งที่คนดูเขาอยากรู้สิคะ ไม่อย่างนั้นใครเขาจะดูรายการเราล่ะ” พิธีกรสาวหันมาเหยียดยิ้มให้แขกรับเชิญทั้งสอง ก่อนจะแสร้งตอบเสียงอ่อนพร้อมกับหลับตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา



“ฉันเพิ่งรู้ว่ารายการคุณสนับสนุนให้พิธีกรสร้างเรทติ้ง แต่ไม่สนับสนุนให้พิธีกรมีจรรยาบรรณ” ร่างบางทั้งร่างเริ่มสั่นเทาด้วยความโกรธ ทว่าก็ยังพยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้ขึ้นเสียงใส่พิธีกรสาวจอมเสแสร้งตรงหน้า ถ้อยคำและน้ำเสียงที่ออกมาจึงไม่ต่างจากมีดคมๆ ที่ค่อยๆ กรีดเฉือนคนตรงหน้าทีละแผลอย่างเลือดเย็น



“อย่าเพิ่งโกรธสิคะ เอาเป็นว่าเห็นแก่ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องของพวกเราก็แล้วกัน” พิธีกรสาวปากกล้าแสร้งยกมือขึ้นปิดปากแล้วจีบปากจีบคอหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ยินน้ำเสียงเชือดเฉือนจากคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย



“ใครเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับใคร” ทิพย์น้ำปรุงที่ไม่อาจกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไว้ได้อีกต่อไปโพล่งถามขึ้นเสียงดัง



“นี่พวกพี่จำครีมไม่ได้จริงๆ เหรอ ครีมเป็นรุ่นน้องพี่ที่มหาลัยไงคะ” หญิงสาวร่างบางเอียงคอตอบราวกับสาวน้อยผู้น่าเอ็นดู ทว่าท่าทางจีบปากจีบคอจนเกินพอดีนั้นยิ่งทำให้ความอดทนของคนเดือดพล่านลดน้อยลงเข้าไปทุกที



“นั่นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะมหาลัยเราไม่ได้สอนอะไรแบบนี้” เพียงน้ำพลอยมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยหางตา ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างสุดทน



“เอาเป็นว่าช่วงหน้าครีมจะถามเรื่องร้านให้มากกว่าเดิมก็แล้วกัน โอเคมั้ยคะ” พิธีกรสาวผู้เรียกตัวเองว่า ‘ครีม’ ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะเหยียดยิ้มให้แขกรับเชิญตรงหน้าอีกครั้ง



เพราะรู้ดีแก่ใจว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า อำนาจทั้งหมดก็จะกลับมาอยู่ที่ริมฝีปากเธออีกครั้ง



ส่วนคนถูกถามก็มีหน้าที่ตอบ...มันก็แค่นั้น...



“ถ้าฉันอยากตอบล่ะก็นะ” สิ้นน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าเฉียบขาด ร่างบางก็ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวโดยไม่คิดหันหลังกลับไปมองแม้แต่หางตา ขณะที่ในใจพลางคิดถึงหัวข้อพูดคุยไร้แก่นสารพวกนั้นที่เจ้าหล่อนหยิบยกขึ้นมาเรียกเรทติ้งเมื่อครู่



“เจ้าหญิงดวงข่มงั้นเหรอ...”



เธอไม่ได้ถืออภิสิทธิ์ว่าตนเป็นแขกรับเชิญและอีกฝ่ายเป็นทีมงานจึงต้องมาคอยเอาอกเอาใจเธอ แต่ถือสิทธิ์ที่ว่าตัวเองเป็นเจ้าของเรื่องราวพวกนั้น หากเธอไม่อยากพูด ใครก็ไม่มีสิทธิ์มางัดมันออกจากปากเธอได้ทั้งนั้น เธอไม่ใช่ดาราที่ต้องสนใจความนิยมของประชาชน ไม่ใช่คนสำคัญถึงขั้นจะต้องคิดคำพูดสวยหรูเพื่อให้ตัวเองดูดี ที่เธอมาที่นี่ก็เพื่อรักษาคำพูดที่พี่สาวได้ตกปากรับคำเอาไว้ ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นจะสามารถบังคับให้เธอพูดในเรื่องที่ไม่อยากพูดต่อหน้าธารกำนัลได้



เธอมาที่นี่ก็เพื่อรักษาสัญญา...แต่ถ้าการรักษาสัญญาที่ว่ามันหมายถึงเธอแค่ฝ่ายเดียว



เธอก็ไม่รู้จะอยู่ที่นี่ไปทำไมเหมือนกัน...





10 นาทีที่แล้ว



ชายหนุ่มร่างสูงใช้ลำแขนกำยำของตัวเองโอบรัดเรือนร่างแสนยั่วใจเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้สองแขนที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อยกร่างเบาโหวงของหญิงสาวขึ้นนั่งบนอ่างล้างหน้า จากนั้นก็เบียดแทรกร่างแกร่งเข้าไปตรงกลางระหว่างเรียวขาของเจ้าหล่อน เรียวลิ้นสากร้อนจัดลากไล้จากริมฝีปากที่ถูกเบียดบดจนบวมเจ่อไปหาไปใบหูเล็กๆ ใต้พุ่มผมหอมกรุ่น มือหนาร้อนระอุเลื่อนสัมผัสจากข้างแก้มแดงซ่านลงมายังไหปลาร้า แล้วใช้ฝ่ามือทั้งหมดกอบกุมหน้าอกอวบอัดของเจ้าหล่อน จากนั้นก็พาริมฝีปากนุ่มทว่าร้อนระอุดุจเหล็กกล้าลงมาลิ้มรสภายในเสี้ยววินาที ทว่าถึงอย่างนั้น ก็ยังดูจะตอบสนองสัญชาตญาณดิบในกายบุรุษเพศ ที่ถูกปลุกเร้าด้วยเสียงครวญครางแสนรัญจวนได้ไม่ทันใจอยู่ดี



“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวใครก็หาว่าผมทรมานคุณหรอก” น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแสนร้ายกาจอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว ทำเอาเรือนร่างที่อ่อนปวกเปียกอยู่แล้วแทบแหลกเหลวลงในมือเขาเสียให้ได้



“ก็คุณทรมานฉันจริงๆ นี่” หญิงสาวกัดฟันกลั้นความเสียวซ่านเอาไว้ ก่อนจะตอบโต้ชายหนุ่มออกไปด้วยน้ำเสียงยั่วยวน



“เอาไว้ให้คุณรู้ว่าความทรมานคืออะไรซะก่อน ค่อยมาว่าผมก็ไม่สาย” ริมฝีปากได้รูปโน้มลงไปกลืนกินเสียงครวญครางแสนหวานอีกครั้ง มือหนาข้างหนึ่งเอื้อมไปลูบไล้แผ่นหลังบางเตรียมรูดซิปชุดเดรสสีดำแสนลึกลับของเหยื่ออันโอชะออกด้วยความชำนาญ ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ลูบไล้ต้นขาขาวเนียนที่โอบรัดสะโพกสอบของตนอยู่อย่างแน่นหนา



ทว่าชั่วขณะนั้นเอง เสียงหวานรื่นหูที่ไม่คิดว่าจะได้ยินที่นี่กลับลอดผ่านประตูห้องน้ำเข้ามากระทบโสตประสาทเขาเสียได้ ทำเอาริมฝีปากร้อนระอุที่กำลังละเลียดชิมความหอมหวานจากต้นคอขาวละเอียดแทบหยุดชะงักลงในทันที หากแต่ในใจเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อนัก เพราะบางอารมณ์ที่พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดของมนุษย์ก็อาจพาให้หูทั้งสองข้างเกิดแว่วขึ้นมาก็ได้ เพียงชั่วเสี้ยววินาทีความปรารถนาที่คั่งค้างอยู่จึงตะกายขึ้นมาทำงานต่ออย่างรวดเร็ว



หากความไม่แน่ใจก็ไม่เคยได้รั้งรออยู่นานนัก น้ำเสียงอ่อนหวานรื่นหูทว่ากลับเจือแววแข็งกร้าวดื้อรั้นของเจ้าตัวก็ดังขึ้นอีกครั้ง เรียวลิ้นร้อนจัดที่เคยละเลียดชิมความหอมหวานอย่างชำนาญจึงไม่อาจลากไล้สัมผัสได้อีกต่อไป พร้อมกับที่เพลิงปรารถนาลูกใหญ่ค่อยๆ ดับมอดลงอย่างไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังเงี่ยหูฟังเสียงนั้นได้หลายคำแล้ว...



“ค่ะ ฉันมีคนที่กำลังดูๆ กันอยู่”



“พอจะบอกได้มั้ยคะ ว่าใครคือผู้ชายที่โชคดีคนนั้น”



“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร หวังว่าทุกท่านจะเคารพความเป็นส่วนตัวของเธอด้วยนะคะ”



“แล้วอย่างนี้เขาคนนั้นทราบเรื่องเมื่อสองปีที่แล้วบ้างรึเปล่าคะ”



“ทราบสิคะ”



“ตอนนี้คนทั้งประเทศคงอยากจะทราบแล้วล่ะค่ะว่า คนๆ นั้น เอาชนะหัวใจที่บอบช้ำของคุณน้ำพลอยได้ยังไง ช่วยเล่าให้เราฟังสักหน่อยได้มั้ยคะ”



“เอ่อ ฉันว่าเราเก็บไว้พูดกันช่วงหน้ากันบ้างดีมั้ยคะ เกิดคนฟังเรื่องน้ำพลอยจบแล้วไม่รอฟังเรื่องของฉันจะทำยังไง”



“ถ้าอย่างนั้นเราไปพักชมสิ่งที่น่าสนใจสักครู่แล้วกันนะคะ แต่อย่าเพิ่งลุกหนีไปไหน ช่วงหน้าคุณน้ำพลอยจะมาเล่าให้เราฟังกันต่อค่ะว่าเธอผ่านความยากลำบากตอนนั้นมาได้ยังไง และอะไรเป็นที่มาของคำว่า ‘เจ้าหญิงดวงข่ม’ มาพบกันช่วงหน้าค่ะ”



ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษที่ช่วงสองสามปีให้หลังนี้เขาแวะเวียนไปที่เมืองไทยบ่อยเหลือเกิน จนพอจะจับใจความบทสัมภาษณ์ที่ดังขึ้นได้อย่างไม่ลำบากนัก และก็คงต้องโทษที่ตัวเขาเองอีกนั่นแหละที่ลากเหยื่อเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ดูว่าที่นี่เป็นสถานปฏิบัติธรรมของพระหรือชี



แต่คนมาลากเข้ามาแล้วจะให้เขาทำยังไง...สวรรค์สมควรจะลงโทษให้เขาคุกเข่าสารภาพบาปหรืออะไรเทือกนั้นสิ



ไม่ใช่ดลบันดาลให้เขาเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินเพื่อทำบุญล้างบาป



ร่างสูงทั้งร่างโถมตัวเข้าไปหาหญิงสาวที่ยังอารมณ์ค้างเติ่งบนอ่างล้างหน้า ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงแหบพร่าที่ข้างหูของเธอเบาๆ



“ผมอยากเห็นคุณใส่เสื้อผ้าของผม”



“คนบ้า!” หญิงสาวใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบลงที่แผงอกแกร่งของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้า พลางอมยิ้มอย่างเอียงอาย



“ผมแต่งตัวให้คุณดีมั้ย” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยขึ้นที่ข้างใบหูแดงซ่านอีกครั้ง ทว่ามือหนาทั้งสองข้างที่เคยประคองเอวบางอยู่กลับไม่รอช้า รีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเหยื่อตรงหน้าออกอย่างชำนาญ ซึ่งผู้เป็นเหยื่อก็ยินดีจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทั้งยังช่วยแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดของเขาออกด้วย เพียงไม่กี่วินาทีร่างทั้งสองก็เหลือเพียงแค่ชั้นในไว้ปกปิดร่างกายในบางส่วนเท่านั้น หญิงสาวเรือนร่างยวนใจรีบโผเข้าหาอ้อมอกกว้างของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่รอช้า หมายให้เขาจัดการเรื่องที่ค้างคาอยู่ให้แล้วเสร็จสักที ทว่ามือหนาที่เคยร้อนระอุด้วยแรงปรารถนาคู่นั้นกลับรีบร้อนจะแต่งตัวให้เธออย่างปากว่าจริงๆ



ในเวลาไม่ถึงนาทีที่เธอสับสนงุนงงอยู่นั้นเอง มือหนาทั้งสองข้างแสนคล่องแคล่วก็จับเธอใส่เสื้อใส่กางเกง แถมยังใส่ถุงเท้ารองเท้าให้เธอเสร็จสรรพอีกด้วย มารู้ตัวอีกเธอก็ใส่เสื้อผ้าหลวมโคร่งของชายตรงหน้าจนครบชุดแล้ว และยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรออกไป ริมฝีปากร้อนจัดดุจเหล็กกล้านั้นก็โถมทับลงมาบดขยี้ริมฝีปากนุ่มของเธออีกครั้ง หากเธอก็ยังไม่ทันได้หลับตาเคลิ้มฝัน เสียงทุ้มละมุนทว่าฟังดูร้อนรนพิกลก็ดับไฟปรารถนาในอกเธอเสียจนหมดสิ้น



“ไปรอผมที่ห้อง 212224” สิ้นเสียงบอกกล่าว ลำแขนกำยำก็ผลักร่างแบบบางในเสื้อผ้าหลวมโคร่งของตัวเองออกไปจากห้องน้ำ ก่อนจะก้มลงมองชุดเดรสสีดำที่กองอยู่บนพื้นอย่างเคร่งเครียดจนเผลอยกมือขึ้นเกาศีรษะโดยไม่รู้ตัว



“อุตส่าห์แลกมาได้ แล้วจะใส่ยังไงวะ!”



เสื้อผ้าแบบนี้เขาเคยแต่ถอด เคยใส่เสียที่ไหนกัน!!





#อีเฮียฟรานนนจะทำอาร๊ายยยยย!!! มาหาคำตอบกันในตอนต่อไปน้าา:)

อย่าลืมเม้นท์+โหวตเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา
ไม่เป็นพลังเงียบกันเนอะ^^



พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2560, 19:47:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 เม.ย. 2560, 04:08:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 772





<< Chapter 1 : ชั่วพริบตา   Chapter 3 : เลยเถิด >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account